“แม้แต่คนที่อยู่ในระดับผลึกวสันต์ หรือแม้กระทั่งระดับผลึกสวรรค์ก็ยังไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าลองมัน เขาคิดว่าตัวเองไหวเหรอ? กำลังรนหาที่ตายสิไม่ว่า!”เกรแฮมเหลือบมองชายสวมหน้ากาก เกรแฮมเกลียดชายสวมหน้ากากถึงขั้นสูงสุดแล้ว นั่นก็เพราะผู้ชายคนนั้นทำให้เกรแฮมต้องประสบกับปัญหามากมายและยังฆ่าศิษย์จากสำนักสหัสบรรณไปไม่น้อยด้วยเดิมทีเขาอยากจะเพิกเฉยต่อชายสวมหน้ากาก แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ถือดีของชายสวมหน้ากากแล้ว เกรแฮมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า "นายมักจะประเมินเฟนด์แบบนี้ตลอดเลยนะ แต่ก็นายไม่ใช่เหรอที่มองเขาผิดไปอยู่ตลอดเวลา? อย่ามาวิจารณ์กันมั่ว ๆ นะ!”จู่ ๆ ใบหน้าของชายสวมหน้ากากก็แดงก่ำด้วยความโกรธ และอยากจะเข้าไปเล่นงานเกรแฮมเสียเดี๋ยวนี้! ขณะที่ชายสวมหน้ากากกำลังจะตอบโต้ เฟนด์ที่อดทนจนถึงขีดสุดก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด "อ๊า..."แต่เสียงร้องของเฟนด์ถูกกลั้นเอาไว้ เขาปิดปากแน่น ไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงร้องเนื่องจากความเจ็บปวดของตัวเองแต่เนื่องจากความเจ็บปวดที่เขาต้องทนทุกข์ทรมาน ร่างกายของเขาจึงสั่นสะท้านยิ่งขึ้นไปอีก เขาสั่นอย่างรุนแรงจนกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเ
“ในตอนที่พลังวิญญาณของเฟนด์ที่ใช้ในการสนับสนุนการสร้างวิญญาณของเขาขึ้นมาใหม่หมดลง วิญญาณของเขาก็จะแหลกสลาย! หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จะไม่ใช่แค่การบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น แต่เฟนด์อาจจะถึงแก่ความตายก็เป็นได้”คำพูดของเบนจามินทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคน นั่นก็เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับโอสถขัดเกลาวิญญาณมากนัก แต่กลับกันเบนจามินไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุรุ่นต่อไปอีกด้วยเขาเข้าใจเรื่องโอสถมากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่คำพูดของเขาจะน่าเชื่อถือ อิเซยาห์ทำท่าราวกับคนในครอบครัวของตัวเองกำลังจะตาย "แล้วพวกเราจะทำยังไงดี?!"ในขณะนั้น เขาไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้อีกนอกจากพูดออกมาแบบนั้น ใบหน้าของเนลสันเองก็กังวลไม่แพ้กัน นับตั้งแต่ที่เฟนด์กลืนโอสถขัดเกลาวิญญาณลงคอไป เนลสันก็คลายความกังวลลงไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียวเขาส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่มีคำตอบให้กับอิเซยาห์ นอกจากเบนจามินแล้ว ทุกคนก็เงียบเป็นเป่าสาก เบนจามินมองอิเซยาห์ด้วยสายตามีนัยยะ เขารู้ว่าอิเซยาห์เป็นศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์เช่นเดียวกับเฟนด์หากเกิ
หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่เหล่าศิษย์คนอื่น ๆ นอกเหนือจากศิษย์จากสำนักทางเหนือแล้ว ยังมีศิษย์จากสำนักใต้ซึ่งมองดูเขาอย่างสนุกสนานไม่ต่างกับชายสวมหน้ากากอยู่ด้วยพวกเขาทุกคนรอให้เฟนด์ล้มเหลวต่อการสร้างพลังวิญญาณของตัวเองขึ้นมาใหม่และต้องตายจากไปในที่สุด!เฟนด์ส่งเสียงเย็นชาออกมาและพยักหน้าเห็นด้วยกับชายสวมหน้ากาก คนอื่น ๆ จึงเริ่มกระวนกระวายขึ้นอีกครั้งทันทีเมื่อเห็นเฟนด์พยักหน้ารับเช่นนั้นศิษย์สำนักทางใต้ที่ไม่ชอบเฟนด์เริ่มหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข"พระเจ้าช่วย! นี่เพิ่งผ่านไปแค่พริบตาเดียวเท่านั้น พลังงานที่แท้จริงของเขากลับหมดลงแล้ว ดูร่างของเฟนด์สิ มันสั่นสะท้านไปหมด แค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าวิญญาณของเขาคงถูกฉีกทึ้งออกจากกันและถูกรวบรวมใหม่อยู่ตลอดเวลา“หากขาดการสนับสนุนจากพลังที่แท้จริงของเขา เฟนด์จะไม่สามารถก่อร่างสร้างพลังวิญญาณของเขาขึ้นมาใหม่ได้อีกต่อไป! เขาจะทำได้เพียงรอให้วิญญาณของเขาถูกฉีกออกจากกันเท่านั้น เขาจะทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยังไง? เขาต้องตายแน่ ๆ!"“ถูกต้อง! ถึงเขาจะแข็งแกร่งและมีความสามารถแล้วจะยังไงล่ะ ยังไงคนโง่ก็ต้องโง่อยู่วันยันค่ำ นี่จะต่างอะไรกับ
พื้นที่แยกเดี่ยวถูกสร้างขึ้นเพราะไม่อยากให้พวกเขาต้องต่อสู้กันเอง ในขณะนั้น เกรแฮมไม่รู้ว่าเขาจะต้องทำอย่างไร แม้ว่าทุกคนจะคิดว่าเฟนด์จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่สีหน้าของเฟนด์กลับไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมามากมายนักเขาค่อย ๆ หยิบผลึกสีม่วงดำจากมัสตาร์ด ซี๊ดออกมา ผลึกดังกล่าวดูคล้ายกับผลึกสีธรรมดา ๆ เท่านั้น มันดูธรรมดาอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ภายในมีพลังพุ่งพล่านอยู่ในนั้นทุกคนเห็นกับตาว่าเฟนด์เอื้อมมือออกไป ก่อนที่พลังงานสีดำจะเริ่มรวมตัวกันที่ปลายนิ้วของเขา เขาส่งกระแสพลังงานพุ่งเข้าหาผลึกดังกล่าว จนทำให้มันเกิดรอยร้าวพลังงานภายในเริ่มรั่วไหลออกมา และเฟนด์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ฝ่ามือของเขาเล็งไปที่แหล่งกำเนิดพลังและเริ่มดูดซับพลังเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง!ผลึกวิญญาณสลายก้อนนี้นั้นใหญ่กว่าก้อนก่อนหน้าที่เขาเคยได้รับมา ผลึกวิญญาณสลายมีความพิเศษตรงที่เมื่อเกิดรอยร้าวขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย พลังที่กักเก็บไว้ภายในจะรั่วไหลออกมาอย่างหยุดไม่ได้เขาจำเป็นต้องดูดซับพลังงานทั้งหมดเข้าไปในตัวเขาเอง เฟนด์คิดไว้ว่าจะรอให้ถึงระดับผลึกสวรรค์เสียก่อนถึงจะใช้ผลึกก้อนนั้น นั่นก็เพราะผลึกวิญญาณ
นั่นเป็นข้อพิสูจน์ถึงทักษะของเฟนด์ได้ชัดเจนที่สุด พวกเขารู้สึกว่าหากเฟนด์ต้องต่อสู้กับชายสวมหน้ากากคงเป็นการต่อสู้ที่สูสีกันน่าดู ศิษย์จากสำนักทางเหนือทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข บางคนถึงกับเริ่มส่งเสียงเชียร์เฟนด์ดัง ๆ แต่เบนจามินก็ปรามพวกเขาไว้ทันทีนั่นก็เพราะเฟนด์ยังคงดูดซับโอสถขัดเกลาวิญญาณอยู่ หากเขาถูกรบกวนด้วยเสียงร้องตะโกนเหล่านั้น เขาอาจจะได้รับผลกระทบ แต่ถึงกระนั้นเขายังคงไม่สามารถหยุดความกระตือรือร้นของทุกคนได้“เฟนด์น่าทึ่งมาก ฉันนี่มันไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ฉันประเมินเฟนด์ต่ำไป ฉันก็นึกว่าเฟนด์กำลังมีปัญหา แต่จริงๆ แล้วเขาเตรียมพร้อมมาโดยตลอด!”“นี่มันน่าทึ่งเกินไปแล้ว หลังจากดูดซับโอสถขัดเกลาวิญญาณแล้ว เขาจะก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอย่างแน่นอน เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าระหว่างเขากับชายสวมหน้ากากแล้ว ใครแข็งแกร่งกว่ากัน!”“ฉันคิดว่าเฟนด์จะเป็นผู้ชนะ เขาไม่เคยทำให้เราผิดหวัง คราวนี้ สมบัติล้ำค่าบนหุบเหวแห่งสุญญะทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเฟนด์แน่!”ศิษย์ของสำนักทางตอนเหนือต่างสนับสนุนเฟนด์ โดยเชื่อว่าเฟนด์จะสามารถเอาชนะชายสวมหน้ากากได้ ขณะเดียวกันศิษย์จากสำนักทางใต้ไม่พอใจกับเรื่องนั้นแม้
“เขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด เขาอาจได้รับบาดเจ็บมา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทักษะของเขาอ่อนแอกว่าเฟนด์สักหน่อย“คุณก็ไม่ได้ตาบอดนี่ คุณก็น่าจะบอกได้ว่าเฟนด์สามารถเอาชนะอสรพิษปีศาจแปดหางได้อย่างง่ายดายและได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย นั่นเพราะเฟนด์มองเห็นจุดอ่อนของอสรพิษแปดหาง“หากชายสวมหน้ากากรู้จุดอ่อนของอสรพิษแปดหางเหมือนเขา เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวอย่างแน่นอน เฟนด์ก็แค่โชคดีมากเกินไป คุณไม่ควรกังขาในทักษะของชายสวมหน้ากาก เขาต้องเอาชนะเฟนด์ได้แน่นอน!”คำพูดสุดท้ายนั่นแทบจะถูกซาเมียนตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง เขาต้องการใช้คำพูดพวกนั้นเป็นข้อยืนยันว่าชายสวมหน้ากากจะไม่มีวันแพ้!ศิษย์จากสำนักทางเหนือต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป หากสิ่งที่ซาเมียนพูดถูกต้อง เฟนด์ก็คงไม่สามารถเอาชนะชายสวมหน้ากากได้ท้ายที่สุดแล้ว ชายสวมหน้ากากก็เคยอยู่ที่ระดับผลึกวสันต์ ทักษะที่เขาฝึกฝนนั้นมีข้อจำกัดน้อยกว่าทักษะของพวกเขามากระดับของพลังยุทธเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเรียนรู้ทักษะยุทธ เฉพาะผู้ที่อยู่ระดับการบ่มเพาะสูงเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนทักษะระดับสูงและสามา
ทุกคนตกตะลึงกับคำพูดเหล่านั้น การชายสวมหน้ากากบอกว่าเขาต้องการฆ่าเฟนด์อาจไม่กระตุ้นการตอบสนองมากนัก แต่การที่เฟนด์บอกว่าเขาต้องการฆ่าชายสวมหน้ากากนั้นทำให้ทุกคนตกใจอย่างแน่นอนท้ายที่สุดแล้วเฟนด์ดูเหมือนจะตามหลังชายสวมหน้ากากในทุก ๆ ด้าน แต่เมื่อเขาพูดคำเหล่านั้น น้ำเสียงของเขาก็สงบอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งใบหน้าของเขายังไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ อีกด้วยการที่เขาประพฤติเช่นนั้นก็หมายความว่าคำพูดที่เขาพูดนั้นไม่ใช่การพูดเพื่อศักดิ์ศรี แต่เป็นเพราะเขาต้องการกำจัดชายสวมหน้ากากอย่างแท้จริง!เกรแฮมสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า "ถึงเวลาที่พวกคุณต้องหยุดเถียงกันได้แล้ว"เขาไม่อยากฟังทั้งสองเสวนากันอีกต่อไป นั่นก็เพราะเขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาในตอนที่พวกเขาทำเช่นนั้นทันทีที่เกรแฮมพูดจบประโยค เสียงของผู้อาวุโสก็ดังขึ้นอีกครั้ง "สองคนที่ผ่านไปได้โปรดขึ้นไปยังจุดสูงสุด!"ทันทีที่เขาพูดอย่างนั้น ทุกคนก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว! พวกเขาจะได้เห็นแล้วว่าใครในบรรดาอัจฉริยะทั้งสองที่อยู่จุดสูงสุดที่แข็งแกร่งกว่ากันไม่รู้ว่าเฟนด์จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกค
จนกระทั่งเฟนด์เปิดเผยทักษะที่แท้จริงของเขาต่อชายสวมหน้ากาก จนเขาตระหนักได้ว่าเฟนด์เกือบจะอยู่ในระดับเดียวกับเขาแล้ว!แต่ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสับสนและหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่ชายสวมหน้ากากต้องถาม ไม่ใช่แค่ชายสวมหน้ากากที่สับสน แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็มองเฟนด์ด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็นเช่นกันริมฝีปากของเฟนด์กระตุกขณะที่เขาเกาจมูกอย่างช่วยไม่ได้ ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาสามารถรวบรวมดาบวิญญาณได้เพียงสิบห้าเล่มเท่านั้น! เขาเลือกที่จะวิ่งหนีก็เพื่อเอาชีวิตรอดจริง ๆ เพราะในตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อกรกับชายสวมหน้ากากได้แต่เขาไม่อธิบายออกไปแบบนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงถูกบีบให้ต้องสร้างเรื่องบางอย่างขึ้น“มันไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะเอาไว้ใช้สู้กันนี่นา!”คำพูดเหล่านั้นทำให้ทุกคนหยุดชะงัก แววตาที่ครุ่นคิดแวบขึ้นมาในดวงตาของชายสวมหน้ากาก เขาหมายถึงอะไรที่บอกว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่จะใช้สู้กัน? ทำเลที่ตั้งสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอ?"นายหมายความว่ายังไงกันแน่?"เฟนด์กระแอมเล็กน้อย การโกหกเพียงหนึ่งครั้งอาจต้องใช้การโกหกอีกมากมายเพื่อปกปิดมัน เขาพูดต่อด้วยค
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ