แก้มของเฮเลน่าแดงขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอจ้องที่เขา “อย่าพูดเรื่องไร้สาระ ยังไม่เกิดขึ้นหรอก ยังไงก็ตามฉันไม่ได้รู้จักเขามานานเกินไปแล้ว!”จากนั้นเฮเลน่าก็มองไปที่เฟนด์อีกครั้ง “อันที่จริง เขาไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คุณคิด!” เธอกล่าว“โอ้โห คุณหนูใหญ่คาเบลโล ผู้ชายเช่นนี้ยังไม่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอีกหรือ? ระดับการบ่มเพาะของเขาสูงมาก และเขาก็เป็นหนุ่มหล่อ แม้แต่เหล่าเจ้าตำหนักแห่งชนเผ่าโบราณทั้งสี่ก็เทียบเขาไม่ได้ นอกจากนี้เขารู้จักเล่นแร่แปรธาตุ ขนาดผมเองยังคิดว่าผู้ชายคนนี้สมบูรณ์แบบแล้ว แล้วคุณคิดว่าเขาไม่ใช่เหรอ?”ท่าทีของชายคนนั้นดูไม่เชื่อเอาซะเลยหลังจากที่เขาได้ยินแบบนั้น “ผู้หญิงในตระกูลของเราทุกคนล้วนเป็นแฟนคลับเขา และพวกเธอล้วนใฝ่ฝันที่จะแต่งงานกับเขา คุณคิดว่าเขาไม่ดีพออีกเหรอ?”เฮเลน่าโกรธมาก เธอจ้องอย่างดุร้าย และพูดอย่างฉุนเฉียวใส่เขาว่า “คนคนนึงจะพูดเรื่องไร้สาระขนาดนี้ได้ยังไง? ทําไมมันถึงสําคัญกับคุณนักว่าเขาจะสมบูรณ์แบบหรือไม่? ออกไป!"ชายคนนั้นก็ยิ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมเฮเลน่าถึงกับโกรธขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะพูดงึมงัมขอโทษและรีบกลับไปหาครอบครัวเขาดาเนียลล่
“แล้วทําไมเราไม่ประลองกันหน่อยล่ะ?”ดวงตาของชายชราหรี่ลงเล็กน้อย และเขารวบรวมพลังฉีเข้ามาในฝ่ามือของเขา พอเขาโบกมือของเขา ดาบอันน่ากลัวที่มาจากพลังฉีก็ปรากฏขึ้นดาบบินขนาดมหึมาราวกว่ายี่สิบฟุต ปรากฏขึ้นมา แล้วยกตัวขึ้นฟาดฟันฉวัดเฉวียนไปมา จากนั้นก็ฟันฉับลงมา"ฮึ่ม!"อเล็กซานเดอร์รู้สึกว่าชายชราผู้นี้เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่ง่ายหลังจากได้เห็นการโจมตีของเขา จากที่ดู ชายผู้นี้ต้องเป็นนักสู้ที่เข้าถึงขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริง ยิ่งกว่านั้น การโจมตีครั้งแรกของเขาก็ดุร้ายเหลือเกิน ราวกับเขาไม่มีความตั้งใจที่จะยั้งมันเขากําหมัดจนแน่นและต่อยออกไป ทันใดนั้น กำปั้นหมัดยักษ์ที่เกิดขึ้นจากพลังฉีก็ปรากฏขึ้น หมัดนี้มีออร่าที่น่ากลัว และลอยไปหาดาบที่กำลังลอยอยู่ปัง!เสียงโครมครามดังขึ้นในอากาศระหว่างทั้งสองฝ่าย การปะทะกันอย่างรุนแรงทําให้คลื่นพลังงานกระเพื่อมไปทุกทิศทาง ลมอันน่าสะพรึงกลัวพัดผ่านผู้คนมากมาย และผู้ที่ยังฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำกว่าต่างก็กลัวกันมากจนถอยหลังไปสองก้าวเกิดระลอกคลื่นปรากฏบนผืนน้ำของมหาสมุทรเบื้องล่าง บอกได้เลยว่านักสู้ทั้งสองอยู่จุดสูงสุดของระดับเทพแท้จริงถึงได้มีการปะทะ
“พวกเขามีนักสู้จำนวนมาก? และพวกเขายังเคลื่อนไปข้างหน้าต่อ?” คืนนั้น เจ้าวิหารแห่งวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ เรียกผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ให้มารวมตัวกัน เขาบอกทุกคนเกี่ยวกับรายงานที่เขาได้รับหลังจากที่เขาแจ้งพวกเขาถึงรายงานแล้ว เขาก็พูดว่า "พิจารณาจากเส้นทางของพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขากําลังมุ่งหน้าไปยังเกาะวายุมืด!"“ไม่มีทาง พวกเขากําลังจะไปเกาะวายุมืดจริง ๆ เหรอ? มีกองกําลังมากมายที่นั่น พวกนั้นไม่เหมาะกับเราเช่นกัน แต่ถ้าคนเหล่านั้นกําลังมุ่งหน้าตรงไปที่ป่าวายุมืดเพื่อค้นหาบางสิ่ง หึหึ กองกําลังเหล่านั้นอาจจะโจมตีพวกเขา!”ผู้อาวุโสฮาร์ทแมนหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า“นั่นเป็นเขตอันตรายและหลายคนกําลังมุ่งหน้าสู่เขตอันตรายอย่างงั้นหรือ? เกาะวายุมืดอันตรายมาก เรายังไม่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย ทําไมพวกเขาถึงไปที่นั่น? เว้นแต่ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาได้พบเบาะแสที่จะทะลวงเข้าถึงระดับเทพสูงสุดที่นั่นแล้ว”ผู้อาวุโสโมสลีย์ขมวดคิ้วและเริ่มพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง“เรากลัวอะไรกันอยู่หรือ? เจ้าวิหารแห่งวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังมาก ในทางกลับกัน ตระกูลเหล่านั้นเป็นเพียงฝูงชนที่มารวมตัวกันเม
เห็นได้ชัดว่าเฟนด์ได้กลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้น เพราะแม้แต่หัวหน้าตระกูลชั้นหนึ่งอย่างตระกูลซีเมเนสก็ยังต้องขอความคิดเห็นของเฟนด์ด้วยน้ำเสียงยำเกรงเสียก่อนเฟนด์พยักหน้า “ผมก็คิดถึงวิธีที่เราจะใช้เข้าไปในเกาะอยู่เหมือนกัน! สรุปว่าเราจะเข้าไปตอนกลางคืน! ตอนนี้คงต้องพักผ่อนที่เกาะตรงนั้นก่อน ที่นั่นมีต้นไม้มากพอให้เราหลบได้ชั่วคราว!”ในไม่ช้าทุกคนก็บินไปและซ่อนตัวอยู่บนเกาะเล็ก ๆ นั่นเป็นการชั่วคราวในตอนกลางคืน ทุกคนออกเดินทางไปยังป่าวายุมืด"ที่นี่ไง มาเถอะ ทุกคนระวังด้วย ยิ่งเราเข้าไปในผืนป่าแห่งนี้ลึกเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีสิทธิ์เจอสัตว์อสูรมากขึ้นเท่านั้น แถมยังมีสัตว์อสูรในระดับเทพแท้จริงไม่น้อยอีกด้วย!”เควินมองไปข้างหน้าและเห็นว่าข้างหน้าเขานอกจากต้นไม้แล้วก็ไม่มีอะไรเลย ดวงตาของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น โชคดีที่มีนักสู้หลายคน การเข้าป่าด้วยวิธีนี้นั้นดูปลอดภัยกว่า เพราะหากทุกคนแยกไปทางใครทางมันและคิดจะต่อสู่แก่งแย่งกันโดยขาดกลยุทธ์ที่เหมาะสม คนสุดท้ายที่เดินออกมาโดยที่ร่างกายไม่บุบสลายไปครึ่งหนึ่งก็ถือว่าโชคดี ไหนนะจำนวนสัตว์อสูรที่อยู่ข้างในอีกโฮก!เสียงคำรามที่น่ากลัวข
ทว่าเฟนด์กลับส่ายศีรษะ “ผมคิดว่าผมถูกพบเห็นนานแล้ว” เขาพูดพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่อย่างนั้นเมื่อวานนี้คนกลุ่มนั้นจะไม่ปรากฏตัว! อีกอย่างไม่แปลกเหรอที่พวกเขาต่อสู้กับนายท่านคาเบลโลเพียงช่วงสั้น ๆ ก่อนที่จะปล่อยให้เราผ่านเข้ามาได้?!”“ผมไม่คิดว่าเราต้องกังวลเรื่องนี้ พวกเขาต้องเห็นจำนวนคนที่เรามี และเมื่อตอนที่เขาพยายามต่อสู้กับนายท่านคาเบลโล ย่อมเป็นเพราะพวกเขากลัวความแข็งแกร่งของนายท่านคาเบลโล พวกเขาจึงจากไป!”ผู้อาวุโสสามคนจากตระกูลชั้นสามพูดขึ้นหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงกระนั้นเฟนด์ก็ยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง “เรามีผู้คนมากมาย พวกเขาน่าจะเห็นเราจากระยะไกล เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่มียอดฝีมือท่ามกลางคนมากมายพวกนั้น พอพวกเขารู้ถึงสถานการณ์ของเราและมาเพื่อทดสอบเราอย่างนั้น แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนอยู่!”“คุณกำลังบอกว่าเราถูกจับตามองอยู่ก่อนแล้ว แต่ที่พวกเขาปล่อยให้เรามาง่าย ๆ ก็อาจจะเพราะพวกเขาอยากรู้ว่าเราจะไปที่ไหน หากเป็นเช่นนี้ ตอนนี้พวกเขาคงกำลังตามเรามาแล้ว!”แนชคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเสริมว่า “แต่นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ทันได้คาดคิด นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม
ผู้อาวุโสฮาร์ทแมนหน้าซีดเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสโมสลีย์ ทว่าเขาดื้อรั้นมากเกินว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้ “บรรลุไปสู่ระดับเทพสูงสุดงั้นเหรอ? คุณคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยรึไง? ผมใช้เวลาสองถึงสามปีในการก้าวไปขั้นจุดสูงสุดของระดับเทพแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างนั้นผมก็ล้มเหลวไปหลายครั้ง นอกจากนี้ ภายในอาณาเขตของเรา ผู้คนมากมายบรรลุไปสู่ขั้นสูงสุดได้ก็จริง แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คน ๆ หนึ่งจะบรรลุไปสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้ในคราวเดียว จริงไหม? ไม่ต้องพูดถึงระดับเทพสูงสุดอันยิ่งใหญ่เลย” “ไม่ว่ายังไง เราก็จะเสี่ยงไม่ได้ เราควรมุ่งหน้าไปให้เร็วกว่านี้ หากสิ่งที่สามารถช่วยเราให้ก้าวไปสู่ระดับเทพขั้นสูงสุดได้นั้นแท้จริงแล้วเป็นผลวิญญาณบางอย่าง และมีอยู่เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นจะเป็นเช่นไร? พวกเขาอาจกินมันจนไม่มีเหลือให้เรา! หากเป็นเช่นนั้น เราจะไม่มีโอกาสไปถึงระดับเทพสูงสุดได้เลย!” เจ้าแห่งวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็หันไปหาผู้อาวุโสอีกครั้ง “เอายังไงดี ผู้อาวุโสล็อค คุณพาคนสองสามคนที่มีระดับพลังยุทธในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงไปสอดแนมสถานการณ์
“หนึ่งหมื่นตัว? บ้าไปแล้ว! ถ้าพวกมันบินเข้าไปในเมฆดำทะมึนพวกนั้นแล้วบินลงมาหาเราด้วยความเร็วสูงสุดและโจมตีเรา เราคงจะรับมือได้ยาก!” แนชซึ่งยืนอยู่ข้างเฟนด์เชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของเฟนด์อย่างหมดหัวใจ เพราะเฟนด์เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นกลางระดับสอง ความสามารถในเรื่องสมาธิและความอดทนของเขาแข็งแกร่งกว่าใคร ดังนั้นเฟนด์จะสามารถคาดเดาสถานการณ์ จำนวนของสัตว์อสูร และความผันผวนของพลังฉีในเมฆได้แม่นยำกว่าพวกเขาทุกคน “ทุกคนโปรดระวัง สัตว์มีปีกพวกนี้กำลังบินอย่างเป็นระเบียบในเมฆมืดเหนือเรา แน่นอนว่าพวกมันกำลังจะโจมตีเรา เรามีนักสู้ที่แข็งแกร่งมากมาย แต่เราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด! เราต้องพยายามลดความสูญเสีย” เฟนด์จ้องมองท้องฟ้าเหนือศีรษะและพูดกับฝูงชน แกว๊ก! เสียงร้องหวีดหวิวดังลงมาจากด้านบนอีก คลื่นเงาดำพุ่งเข้าหาเฟนด์และพรรคพวกราวกับฝนทมิฬที่เทลงมาอย่างหนัก “ตั้งสติไว้! พวกมันมาแล้ว!” เมื่อเฟนด์สังเกตเห็นว่าสัตว์อสูรเริ่มโจมตี เขาก็โบกมือและการโจมตีกลับไป พลังฉีรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที! "ฆ่าพวกมันให้หมด!" คนอื่น ๆ ควบคุมพลังฉีในร่างกายและปล่อยระเบิดใส่สัตว์อสูร
“อืม... จำนวนผู้เสียชีวิตนั้นยังพอรับได้ ถึงยังไงพวกเราก็มีกันสองแสนคน เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเราอยู่ห่างจากส่วนที่ลึกที่สุดของป่าเพียงใด และมีสัตว์อสูรดุร้ายรอเราอยู่อีกกี่ตัว เราไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นเราจะประมาทไม่ได้ เราต้องระวังตัวตลอดเวลา!” เฟนด์ผงกศีรษะ คนที่พวกเขาสูญเสียไปล้วนเป็นคนในระดับกึ่งเทพ คนที่มีระดับการต่อสู้สูงกว่าสามารถรับมือกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาสามารถมองเห็นสัตว์อสูรได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที หากพวกเขาไม่สังเกตเห็นนกอินทรีดำเหล่านั้นล่วงหน้า พวกเขาคงจะต้องสูญเสียกันไปมากกว่านี้! หากพวกเขาคิดหาทางรับมือกับพวกมันหลังจากที่พวกมันเริ่มโจมตีไปแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตคงจะมากกว่านี้ “ต้องขอบคุณแผนของเรา เรารวมพลังของทุกคนเข้าด้วยกัน และนั่นคือเหตุผลที่เรามีพลังมากพอที่จะต่อกรกับนกอินทรีพวกนั้น!” หัวหน้าตระกูลชั้นสามแสดงความคิดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ “หากเราแยกย้ายกันออกไปสำรวจที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลชั้นสามอย่างเรา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าอินทรีดำพวกนั้นเราคงต้องประสบความสูญเสียครั้งใ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ