หลินหว่านหรูพูด“อือ!”เย่เทียนหยู่พูดแล้วพยักหน้า“เย่เทียนหยู่ ครั้งนี้ฉันเข้าใจนายผิดอีกแล้ว คุณจะรู้สึกว่าฉันโง่แล้วก็ถูกหลอกง่ายบ้างหรือเปล่าคะ?” หลินหว่านหรูถาม“ไม่หรอกครับ!”“ไม่อย่างแน่นอน คุณประมาทและสับสนรวมกับที่คุณไว้ใจซูถิงมาก”“ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น คุณต้องมองเห็นความผิดปกติได้ในทันทีแน่ครับ”เมื่อเย่เทียนหยู่พูดแบบนั้น แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร“จริงเหรอคะ? คุณไม่คิดว่าฉันโง่จริง ๆ เหรอ?”“ขนาดฉันเองบางครั้งยังก็รู้สึกว่าตัวเองโง่มากเลยนะคะ!”หลินหว่านหรูกล่าวอย่างหดหู่“จะเป็นไปได้ยังไงครับ? คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดในโลกแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้น คุณจะรักษาตำแหน่งประธานตระกูลหลินได้ยังไงใช่ไหมครับ?” เย่เทียนหยู่พูดจาประจบ เขาโม้จนขนาดตัวเองยังต้องส่ายหัว“รักษาตำแหน่งประธานเหรอคะ?”“คงจะดีมากถ้าฉันสามารถรักษามันไว้ได้อย่างมั่นคงจริง ๆ !”หลินหว่านหรูยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ถ้าก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าร่วมหอการค้าหลงเถิงและได้รับความร่วมมือจากนายน้อยซู บางคนคงจะไม่พอใจและไล่ฉันออกมานานแล้วล่ะ”“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอครับ?”เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้วแล
"อย่างนายน่ะเหรอ?"หลินหว่านหรูส่ายหัวแล้วพูดว่า: "ลืมซะเถอะ แม้ว่าบริษัทของเราจะไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ก็ต้องมีใบจบการศึกษากับประสบการณ์การทำงานอยู่ดีนะ"“เดี๋ยว เมื่อก่อนคุณเป็นคนขอให้ผมไปทำงานไม่ใช่เหรอ?”“ฉันจะให้คุณทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบริษัท มันไม่จำเป็นต้องมีประกาศนียบัตร แต่ถ้าใช้เจ้านี่คุณก็สร้างความสงบไม่ได้หรอก”“……”เย่เทียนหยู่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ในใจของคุณ ผมเป็นได้แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหรอ?”“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ!”“ยังมีอีกเหรอ?”“ภารโรง”“ถ้าอย่างนั้น เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเถอะ” เย่เทียนหยู่พูดไม่ออก แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง แต่ประกาศนียบัตรของเขาก็ไม่ได้ต่ำเลยนะ“คุณอยากไปบริษัทของฉันจริง ๆ เหรอ?” หลินว่านหรูถาม“อือ!”“เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยเหรอ?”“ได้หมด เอาตามที่คุณจัดการเถอะ ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญ ผมแค่จะไปช่วยคุณสร้างความสงบ ไม่สิ ไปช่วยคุณควบคุมบริษัท”เย่เทียนหยู่กล่าวอย่างไม่แยแส“พูดซะน่าฟังกว่าร้องเพลงอีกนะนาย เอาเถอะ เราฉันคิดก่อนว่าจะจัดการยังไงแล้วกัน”
เมื่อเห็นหลินหว่านหรูวางสาย เย่เทียนหยู่ก็พูดอย่างช่วยไม่ได้: “ลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ เหรอครับ?”“ยังไงเราก็ต้องหย่ากันไม่ช้าก็เร็ว ถ้าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราถูกเปิดเผย มันคงไม่เป็นผลดีกับเราทั้งคู่” หลินหว่านหรูกล่าว“ไม่หรอก ผมไม่รังเกียจ”“ฉันรังเกียจ พอหรือยัง นายควรกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่และเตรียมตัวไปทำงานพรุ่งนี้ดีกว่านะ” หลินหว่านหรูพูดด้วยความโกรธ“ก็ได้ครับ!”เย่เทียนหยู่ลุกขึ้นยืนและจากไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทันทีที่เขาไปถึงประตู เขาก็บังเอิญเจอคู่สามีภรรยาหลิวอวิ๋นซิ่วที่กลับมาพอดี จากนั้นทุกคนก็มองหน้ากันตาโตหลังจากกลับมามีสติ หลิวอวิ๋นซิ่วก็โกรธขึ้นมาทันที “เย่เทียนหยู่ แกไอ้ชั่วสารเลว ทำอะไรกับลูกชายของฉัน แล้วยังกล้ามาที่บ้านของเราอีก!”เย่เทียนหยู่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเธอและเดินแทรกตัวไปด้านข้างแล้วจากไปอย่างรวดเร็วเพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสื่อสารกับคนประเภทนี้แต่คราวนี้หลิวอวิ๋นซิ่วกังวลมาก เธอก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับเย่เทียนหยู่ แต่ด้วยความเร็วของเธอ เธอจะจับเย่เทียนหยู่ที่กำลังเดินหลีกออกไปได้ยังไงและเพราะจับเย่เทียนหยู่ไว้ไม่ทั
แม้ว่าหลินซื่อกรุ๊ปจะไม่ใช่กลุ่มบริษัทที่ใหญ่มากแต่ก็เป็นกลุ่มบริษัทอันดับต้น ๆ ที่มีสินทรัพย์มากกว่าหนึ่งพันล้านและมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมากมายโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น ขายเหล็กตอนนี้หลินหว่านหรูอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพราะถึงยังไงอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ก็กลายเป็นอดีตและเริ่มตกต่ำลงด้านเครื่องสำอางกับการร่วมมือกับตระกูลซู ปัจจุบันเป็นทิศทางสำคัญของบริษัทและได้รับการสนับสนุนจากหลินหว่านหรูเองเช้าวันรุ่งขึ้น เย่เทียนหยู่ทำตามสัญญา เขามาถึงชั้นล่างของบริษัทแต่เช้า เห็นแก่หลินหว่านหรูเขายังสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวที่สง่างามมากมาอีกด้วยแบบนี้ทำให้เขาดูหล่อมากเนื่องจากโทรแจ้งล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เย่เทียนหยู่จึงรีบไปยังประตูห้องผู้จัดการอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะเคาะประตู"เข้ามา!"เสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดังมาจากข้างในห้องเมื่อเปิดประตูสำนักงาน เย่เทียนหยู่ก็เดินเข้ามา เขาเห็นสามงามเหนือชั้นพร้อมกับใบหน้าอันวิจิตรบรรจงคนหนึ่ง แม้จะไม่ดีเท่าหลินหว่านหรูแต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนักประเด็นสำคัญคือร่างกายของเธอให้ความร
แผนกขายมีสองทีม พวกเขาเป็นทีมที่สอง และยอดขายตามหลังทีมแรกเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกันแล้วสิ่งสำคัญที่สุด คือ พวกเขาไม่เก่งเท่าอีกฝ่าย ตอนนี้เธอสูญเสียพนักงานขายหลักไปแล้วดันได้คนที่ใช้เส้นสายเข้ามาแทน แล้วเธอจะทำอะไรได้อีก?อารมณ์ของเธอจะดีได้ยังไง?โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบทสรุปรายครึ่งปีกำลังจะมาในอีกสิบวัน ถึงตอนนั้นพวกเขาคงถูกดุอย่างหนัก“หัวหน้าทีมหลี่ ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยต้อนรับผมเท่าไหร่นะครับ?” เย่เทียนหยู่เห็นท่าทางไม่มีความสุขของอีกฝ่าย จึงเอ่ยปากคลี่คลายความตึงเครียด“คุณคิดว่าฉันควรจะต้อนรับคุณยังไงคะ”“ให้ฉันคุกเข่าลงเพื่อทักทายเลยหรือเปล่า?” หลี่ซินเยว่พูดอย่างเย็นชา“หัวหน้าทีมหลี่พูดเกินไปแล้วครับ”เย่เทียนหยู่ยิ้มอย่างขมขื่น ผู้หญิงคนนี้ก็ดูสวยแต่ทำไมเธอถึงพูดจาแย่ขนาดนี้“คุณชื่อเย่เทียนหยู่ใช่ไหม? ฉันไม่สนใจว่าภูมิหลังของคุณจะเป็นยังไง เมื่อคุณเข้าร่วมทีมของฉัน อย่าคิดที่จะเดินเตาะแตะ ถ้าคุณทำได้ไม่ดี ฉันจะไล่คุณออกเหมือนกัน” หลี่ซินเยว่ตะคอกอย่างเย็นชา“ไม่มีปัญหา ก็แค่การขายไม่ใช่เหรอ? ผมทำได้” เย่เทียนหยู่พูดอย่างมั่นใจ“อ่อ คุณเคยทำการขายแบบไหนมาก่อน” ห
หลี่ซินเยว่หัวหน้าทีมโกรธจนหน้าอกของเธอสั่น "อย่าชะล่าใจไปนักเลย เรื่องราวเปลี่ยนแปลงได้สมอ ต้องมีสักวันที่ไม่ได้เป็นวันของพวกเธอแน่" เธอก็พูดอย่างเย็นชา“จริงเหรอ?”“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะรอดู!”“ก็แค่นั้นแหละ ถึงเวลาประชุมสรุปผลงานก็อย่าเป็นบ้าเป็นหลังแล้วกัน”พี่เหม่ยหัวเราะเสียงดังทุกคนโกรธและทำอะไรไม่ถูก“ไม่เป็นไร ฉันเคยอยู่กับพวกเขามาก่อน พวกนี้หนังหน้าหนา จะกลัวถูกดุได้ยังไง”หวังซินหัวเราะและเยาะเย้ย“แต่ฉันได้ยินมาว่าเป็นเพราะฉันจากไป พวกคุณเลยได้คัดเลือกอัจฉริยะด้านการขายที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษมานี่ เขาคือใครเหรอ ขอฉันดูหน่อยสิ”ขณะที่เขาพูด เขาจงใจมองไปที่เย่เทียนหยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเขารู้ และยังจงใจเยาะเย้ยเขาด้วยเขาเป็นแค่ผู้มาใหม่เพียงคนเดียวที่นี่แม้ว่าจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน แต่อย่างน้อยทุกคนในแผนกขายก็ได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ของเย่เทียนหยู่ไม่มีการศึกษา ไม่มีประสบการณ์ทำงาน ไม่มีอะไรเลยพูดตามตรงว่า ห่วยแตกและใช้ชีวิตเหลวแหลกมากหลี่ซินเยว่รู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินแบบนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ชอบเย่เทียนหยู่เช่นกัน แต่เธอก็พูดอย่างเย็นชา: “มันไม่ใช่ธุระอะไรขอ
แม้ว่าหวังซินจะเป็นผู้ชาย แต่เขาก็หล่อมาก ทำให้มีความสัมพันธ์กับเจ้านายผู้หญิงมากหน้าหลายตาทีเดียวเมื่อได้ยินแบบนั้น เย่เทียนหยู่ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า "ยอดขายของทีมเราไม่ดีเท่าของคุณตอนนี้เหรอ?"“ถ้าอย่างนั้นผมไม่ทราบ ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ ระหว่างเราสองทีมก็มาแข่งกันดูสิ”เมื่อได้ยินเย่เทียนหยู่พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขัน หลี่ซินเยว่ก็พูดทันที: "เย่เทียนหยู่คุณไม่ใช่หัวหน้าทีม ทำไมคุณถึงตัดสินใจในการแข่งขันระหว่างทีมแบบนี้?"คนอื่น ๆ ก็จ้องมองที่เย่เทียนหยู่โดยไม่พูดอะไรการเปรียบเทียบยอดขายกับทีมก็เท่ากับรนหาที่ตายน่ะสิอยากตายอย่าลากเราลงไปด้วยจะได้ไหม?พี่เหม่ยยิ่งภูมิใจมากขึ้นเมื่อเห็นดังนั้น เธอหัวเราะเสียงดัง: “หลี่ซินเยว่ คุณไม่กล้าแข่งขันกับเราเหรอ? คุณรู้มานานแล้วสินะว่าทีมของคุณเต็มไปด้วยขยะ แล้วยังยืนกรานที่จะปฏิเสธที่จะยอมรับอีก?”“ใครบอกว่าไม่กล้าแข่ง!”“ฉันจะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งต่อไป!”“แค่การเปรียบเทียบยอดขายไม่ใช่เหรอ เรามีเวลาอีก 10 วันในการสรุปครึ่งปีแรกงั้นก็มาแข่งยอดขายรวมครึ่งปีแรกเลยแล้วกันนะ”เย่เทียนหยู่แสดงท่าทีทรงอำนาจแต่ทันทีที่สิ้นคำพูดเหล่า ทุกคนก
“น่าอับอายงั้นหรอ?”“หมายความว่ายังไง ฉันก็ไม่ได้ทำตัวน่าอายนี่” เย่เทียนหยู่ไม่เข้าใจ หรือว่าเป็นเรื่องที่พนันกันไว้เรื่องนั้น แต่ว่าเรื่องที่พนันกันไว้ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดเลยนี่“ยังจะพูดว่าไม่ได้ทำตัวน่าอาย ใครกันบ้างที่ไม่รู้ว่าฝ่ายการขายมีคนไม่มีการศึกษา ไม่มีประวัติการทำงานมาทำงานน่ะ แล้วที่สำคัญคือยังเป็นคนไร้ค่าที่ทำอะไรไม่ได้เลยด้วย”หลินหว่านหรูพูดด้วยน้ำเสียงโมโหและก็ถูกแล้วที่เธอโมโห เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้หลิวเหวินเพิ่งจะมารายงานเรื่องการทำงานในหนึ่งวันนี้ของเย่เทียนหยู่และมันก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆไม่มีอะไรเลยก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือคนอื่นๆต่างพากันรู้โดยทั่ว ทำเอาทุกคนอดจะวิจารณ์ไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนยัดคนไร้ประโยชน์คนนี้เข้ามาพอถึงตอนนี้จะให้ผู้อำนวยการแบบเธอทำยังไงได้ล่ะพอรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้หลินหว่านหรูจะไม่โมโหได้ยังไงเมื่อได้ยินแบบนี้ เย่เทียนหยู่ก็ไม่พอใจก่อนจะพูด “ใครพูดกัน ใครมันเอาเรื่องนี้ไปพูดมั่วๆ”“ยังจะมาถามอีก ถ้าไม่เป็นเพราะนายทำอะไรไม่ได้จริงๆคนอื่นเขาจะพูดแบบนี้กันหรือไง?”“แต่ตอนนี้พอมาคิดดูดีๆ การพานายมาฝากตัวไว้ในบริษัทมันเป
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป