"เอ่อ ยังไม่นอนเหรอ" พอกลับเข้ามาก็เห็นกระถินนั่งมองจ้องเหมือนกำลังรอคำอธิบาย ปารดาค่อนข้างลำบากใจแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี
"ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของเธอหรอกนะ แต่นั่นน่ะหลายหมื่น กระเป๋าเนี่ยใบเป็นแสน ถึงฉันจะแค่ชาวบ้านแต่ฉันไม่โง่ที่จะดูไม่ออก ว่ามันคือของแท้ เพราะฉะนั้นอย่าโกหก" คำพูดของกระถินยิ่งทำให้ปารดาหาข้ออ้างไม่ได้ เธอถอนหายใจแรงๆอีกครั้งแล้วขยับนั่งลงข้างๆกระถิน
"กระถิน ห้ามตกใจนะถ้าป่านบอกความจริง" สีหน้าปารดาจริงจังมาก เธอเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจว่าจะบอกความจริงดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจแล้วว่าจะพูดความจริง และปารดาคิดว่ากระถินจะไม่บอกใครแน่นอน
"อะไร เธอเป็นลูกคุณหนูที่ถูกจับตัวมาเหรอ ..." กระถินเลิกคิ้วแล้วเดา แต่ปารดาส่ายหน้าแทนคำตอบ "งั้นเธอมาทำงานใช้หนี้แบบฉันเหรอ" กระถินชกนิ้วชี้ที่ตัวเอง คราวนี้ปารดาพยักหน้าเบาๆ
"ใกล้เคียง ป่านมาที่นี่..."
"เธอเป็นลูกคุณหนูตกอับที่พ่อส่งมาใช้หนี้พ่อเลี้ยงงั้นสินะ" กระถินพูดแทรกขึ้นมาก่อนจากการคาดเดา เธอคิดแล้วไม่มีผิดเลย เพราะปารดาน่ะเหมือนคุณหนูจะตายไป
"ป่านมาอยู่ที่นี่ ในฐานะภรรยาของคุณชนาวินน่ะ" ปารดาบอกออกไปในที่สุด ประเดี๋ยวคนช่างเดาจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่
"ฮะ! ภรรยา...มะ หมายความว่า เธอเป็นเมียพ่อเลี้ยงเหรอ" คราวนี้กระถินทำตาโตใส่ แทบจะตะโกนออกมา
"บอกว่าอย่าตกใจไง" ปารดาดุเบาๆ ทำปากชู่ ๆใส่ กลัวจะได้ยินกันทั้งไร่
"โกหกหรือเปล่าเนี่ย แล้วทำไมเมียพ่อเลี้ยงต้องมานอนที่บ้านคนงานด้วยเล่า" กระถินขยับหนีอย่างอัตโนมัติ รู้สึกหวาดๆอีกคน เพราะคำพูดปารดาน่าเชื่อถือเกินไป ไม่ใช่ไม่เชื่อหรอกนะแต่ว่ามันดูไร้เหตุผลจนเกินไป
มิน่าเล่า มือขวาของพ่อเลี้ยงถึงได้เรียกว่า 'คุณป่าน'
"ไม่ได้โกหกนะ นี่ไงแล้วก็นี่ด้วย" ปารดาหยิบเอาแหวนเพชรออกมาแสดง พร้อมกับภาพถ่ายเอกสารใบทะเบียนสมรสที่ทำเอากระถินมองอึ้งตาค้างไปเลย ไม่ได้อยากอวดหรอกนะ แต่บางเรื่องก็จำเป็นต้องมีหลักฐาน
"แล้วๆ มาทำอะไรอยู่ที่นี่เนี่ย" ถามด้วยความตกใจ
"ป่านต้องมาอยู่นี่เพราะเขาคงอยากให้ป่านลองทำงานในไร่มั้ง" ปารดาน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแทนชนาวินหรอก แต่ก็ไม่ได้อยากว่าร้ายคนๆนั้น เพราะถึงยังไงเขาก็มีสิทธิ์ในตัวเธอจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ขัดไม่ได้
"ลองให้เมียตัวเองมาทำงานในไร่เนี่ยนะ เขาบ้าหรือเธอเอ๋อ เธอจะบ้าเหรอไม่มีใครเขาทำกันหรอกป่าน" กระถินโพล่งใส่
บ้ากันไปใหญ่แล้ว มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าพ่อเลี้ยงน่ะไม่ชอบปารดามากขนาดไหน แล้วมาบอกว่าอยากให้ลองทำงานในไร่เนี่ยนะ หลอกเด็กสามขวบเหอะ
"ก็คงประมาณนั้นแหละ" ปารดาไม่รู้จะแก้ตัวยังไง รู้ว่าถึงพูดมากไปกส่านี้กระถินก็คงไม่เข้าใจหรอก ให้เข้าใจแบบนี้แหละดีแล้ว
"ประมาณนั้นแหละอะไรเล่า พ่อเลี้ยงไม่ชอบเธอ เอ้ย คุณ เอ้ย...โอ้ย ต้องเรียกยังไงล่ะเนี่ย" กระถินทึ้งผมตัวเองด้วยความงุนงง ระบบประมวลผลของเธอเจ๊งไปแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าปารดาคือใคร
"เรียกแบบเดิมนั่นแหละ ป่านก็คือป่านน่า อย่าคิดมากน่า" อีกคนยิ้มให้
"ไม่ต้องมายิ้มเลย โอ้ย จะบ้าตาย เมียเจ้านายมานอนด้วย นี่ขี้กากจะกินกะบาลไหมเนี่ย" กระถินบ่นพึมพำกับตัวเอง มองปารดาที่ส่งยิ้มมาแล้วได้แต่ขัดใจ
"ไม่หรอกน่า บอกแล้วไงอย่าคิดมาก ถึงป่านจะเป็นภรรยาของเขา แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้นะ" คนสวยฉีกยิ้มกว้างแสดงออกถึงความจริงใจที่มี
"ทำไมถึงได้ใจเย็นนักนะ นี่ถามจริงๆ มองไม่ออกเหรอพ่อเลี้ยงน่ะ ไม่ชอบเธอมากเลยนะ"
"ป่านรู้"
"อ้าว แล้วแต่งงานกันทำไม"
"ก็จำเป็นต้องแต่งน่ะ เรื่องมันยาวเอาไว้จะค่อยๆเล่านะ เอาเป็นว่า เขาก็แค่อยากแกล้งป่านเท่านั้นแหละ แล้วป่านก็ต้องทำตาม กระถินไม่ต้องห่วงนะ เขาทำอะไรป่านมากกว่านี้ไม่ได้หรอก แต่ขออะไรอย่างนึงได้ไหม" ปารดาขยับเข้าไปหาแล้วจับมือกระถินที่ทำท่าเหมือนเกรงๆเอาไว้
"อ่ะ อะไรเหรอ" มองด้วยสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพึง
"อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร รู้กันแค่เราสองคนนะ"
"ที่เธอเป็นเมียพ่อเลี้ยงน่ะนะ"
"อื้อ อย่าบอกใครได้ไหม เขาไม่อยากให้ใครรู้ แต่ที่ป่านบอกกระถิน เพราะป่านไม่อยากโกหก สักวันกระถินก็ต้องรู้ แต่ป่านอยากให้รู้จากป่านเอง แล้วป่านก็เชื่อใจกระถินนะ" คำพูดของปารดาทำให้กระถินนิ่งไป เชื่อใจงั้นเหรอ
"เราเพิ่งเจอกันเอาอะไรมามั่นใจ" กระถินถามกลับ แต่ใจก็ไม่ได้คิดจะบอกใครหรอก มันไม่ใช่เรื่องของเธอเสียหน่อย
"ป่านว่าป่านมองคนไม่ผิด ป่านถูกชะตาน่ะ เราเป็นเพื่อนกัน กระถินจะไม่บอกใครหรอก ใช่ไหม?" คนตัวเล็กยิ้มหวานให้
"อือ ไม่บอกก็ไม่บอก แล้วต้องนอนด้วยกันอีกนานไหมเนี่ย"
"ก็...เดือนนึงละมั้งนะ" ปารดาทำหน้านึก
"ทำไมเดือนนึงล่ะ ตกลงกันไว้เหรอ" กระถินหลิ่วตา
"เปล่าหรอก แต่พ่อเลี้ยงใหญ่ของกระถินน่าจะกลับมาแล้วน่ะ"
"แล้ว...?"
"ถึงตอนนั้นเดี๋ยวกระถินก็รู้เอง" ปารดาพูดจามีเงื่อนงำ แต่กระถินก็ไม่ได้ถามต่อ พยายามประติดประต่อคิดเอาเองตามคำบอกเล่า ถึงจะยังไม่เข้าใจแต่คิดว่า ถ้าพ่อเลี้ยงใหญ่กลับมาอะไรๆก็คงจะคลี่คลายน่ะนะ แล้วปารดาก็คงได้เข้าไปอยู่ในบ้านใหญ่แน่ ๆ
"ก็ได้ งั้นมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นเมียเจ้านายหรอกนะ แต่เราเป็นเพื่อนกันมีอะไรก็บอกได้จะได้ช่วยกัน" เป็นปารดาที่คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง เธอคิดไม่ผิดเลยจริงๆที่บอกความจริงกับกระถิน ผู้หญิงคนนี้ไว้ใจได้และอาจจะช่วยเธอได้ในอนาคต เอาไว้ถึงตอนนั้นเธอจะขอความช่วยเหลือแน่นอน
"อื้อ ขอบใจนะ นอนเถอะ" ปารดาบอกกับอีกคนก่อนเดินไปปิดไฟ ต่างคนต่างล้มตัวนอนอย่างใช้ความคิดแตกต่างกันไป
/ไม่ต้องห่วงนะกระถิน ถ้าถึงตอนนั้น กระถินต้องช่วยป่านได้แน่ ๆ/
ภายในห้องนอนขนาดกว้างขวางของชนาวินที่อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้ว เขายืนที่มุมหนึ่งของห้องที่สามารถมองไปเห็นแสงไฟรำไรจากบ้านพักคนงานได้ เจ้าของร่างสูงสมส่วนกว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตร อิงไหล่ที่ขอบประตูระเบียง หลุบตามองข้อมือตัวเองที่บัดนี้ถูกล้างเอาลอยปื้นเลือดออกไปจนหมดแล้ว เขามองมันอย่างครุ่นคิด"เล่นแรงไปเปล่าวะ" ด้วยรู้ว่านั่นคือเลือดที่มาจากมือของอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากยอมรับว่าเป็นเพราะตนเอง ก็เขาไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ยัยนั่นทำตัวเองต่างหาก"ช่วยไม่ได้ ก็อยากยอมเอง"จะว่าไป ปารดาไม่จำเป็นต้องยอมให้เขาทำแบบนั้นก็ได้ ตัวเธอเองก็มีสิทธิ์ความเป็นภรรยาที่ถูกต้องไม่เห็นจะต้องทำตามที่เขาบอก คงไม่ได้ซื่อบื้อเชื่อฟังแต่คำสั่งของพ่อจนคิดอะไรเองไม่เป็นหรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้น นี่เขาแต่งงานกับคนแบบไหนกันเนี่ยชนาวินหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่หัวเตียงดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นบิดาก็กลอกตาไปมาก่อนกดรับ"ครับพ่อ"[เป็นยังไงบ้าง พ่อไม่อยู่ ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ]"เรียบร้อยครับ"[อื้ม ก็ดี แล้วหนูป่านเป็นยังไงบ้าง]"ก็ดีมั้งครับ"[อะไรคือก็ดีมั้งครับ นี่น้องนอนหรื
ปารดาเดินตามปานนท์ออกมาอย่างใช้ความคิด จะแกล้งให้เธอเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้วก็หนีกลับกรุงเทพฯสินะ ฮึ! อย่าหวังเลย/เก็บส้มงั้นเหรอ ได้สิ ห้าสิบลังสบายมาก/เมื่อหัวหน้าคนงานอย่างปานนท์มาถึงทุกคนก็ดูกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นรวมถึงชงโคที่กระตือรือร้นรีบวิ่งอแอกมาปั้นหน้ายิ้มแฉ่งฉอเลาะใส่อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ"น้านน พาคนงานใหม่มาเก็บส้มเหรอจ้ะ" ชงโคยิ้มหวานให้ปานนท์ ก่อนจะยิ้มเยือนมาที่ปารดาด้วย หญิงสาวเลยยิ้มตอบแล้วมองทั้งคู่สนทนากันปารดาที่มองหน้าสองคนสลับกันไปมาก็พอจะเดาได้ว่าชงโคน่ะน่าจะชอบปานนท์อย่างแน่นอน"เจอก็ดีแล้ว เดี๋ยวพาเพื่อนไปแปลงสิบ สิบเอ็ดสิบสองไปทำงานที่โรงแยกแทนนะ ตรงนี้เดี๋ยวให้ป่านจัดการ" ปานนท์หน้านิ่งไม้ไหวติงต่อสิ่งเร้าตรงหน้า แม้นว่าชงโคจะฉีกยิ้มกว้างแค่ไหนก็ตามที"อ้าว ทำไมล่ะ ชงโคเพิ่งเก็บได้สามลังเอง" เธอก้มมองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือบอกเวลาเก้าโมงกว่าเองแท้ๆ แล้วปกติถ้าคนไม่ขาดก็จะไม่ได้เข้าไปในโรงคัดแยกเพราะมีพนักงานประจำที่ทำบริเวณนั้นอยู่แล้ว"ไปเถอะนะ พ่อเลี้ยงสั่ง อ่อ ฝากตามเขียวให้ด้วยสิ" ปานนท์ตอบกลับด้วยใบหน้านิ่วขรึมเช่นเดิม ทำให้ชงโคหน้าง้ำลงเล็กน
"เกิดอะไรขึ้น"ชนาวินเท้าเอวมองจ้องตัวเจ้าปัญหา ปารดาตีหน้าซื่อเสมองซ้ายทีขวาทีเหมือนไม่รู้ว่าที่ทำไปมันทำให้เกิดความเสียหายขนาดไหนปานนท์ขยับเข้าไปอธิบายสถาณการณ์ ชนาวินมองจ้องปารดาตาแข็ง เดินเข้าไปหยิบผลส้มที่อีกคนเก็บมาแบบมั่วๆ จนเต็มลัง"นี่เธอทำอะไร" เจ้าของร่างสูงย่างกายเข้าไปหา สีหน้าโกรธขึ้งที่เห็นผลงานของปารดา"เก็บส้มไงคะ" ปารดาตอบหน้าตาเฉย ท่าทีที่บอกว่าไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามันสามารถกินได้หรือเปล่านั่นยิ่งทำให้ชนาวินกัดกรามแน่น ปารดาก็แค่เก็บๆให้มันเสร็จเท่านั้น"เก็บบ้าอะไร ที่เธอเก็บมามันยังไม่สุกเลย แล้วมันจะขายได้ยังไง" ชนาวินใช้น้ำเสียงแทบตะโกนพูดใส่หน้าปารดา แต่อีกคนก็ไม่ได้ไหวติง ยังคงยืนนิ่งๆดูอีกคนแปลงร่างเป็นยักษ์ต่อหน้า"ก็พ่อเลี้ยงบอกให้เก็บให้ได้ห้าสิบลัง แต่ไม่ได้บอกนี่คะว่าต้องเก็บ...แบบไหน ฉันก็คิดว่า เก็บยังไงก็ได้ ให้ได้ห้าสิบลังก็พอ" ปารดาพูดเนิบนาบเสียงดังอย่างใจเย็นเน้นบางช่วงที่ชนาวินออกคำสั่งไม่ชัดเจน แล้วยักคิ้วหลิ่วตาจนน่าหมั่นไส้"ปารดา!" มือหนาคว้าเข้าที่ข้อแขนบีบรัดแน่นด้วยความโมโห ดึงจนอีกคนเข้ามาชิดอกแกร่งจ้องมองด้วยหน้าตาถมึงทึง โกรธจนพูดไม่ออก
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาพี่สาวที่ไม่รู้ว่าตอนนี้หนีหายไปไหนมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ผลก็เหมือนเดิมคือปิดเครื่อง ไม่สามารถติดต่อได้ มันน่าแปลกใจที่คนอย่างปารมีที่ไม่เคยยอมอะไรง่ายๆดันหนีไปเฉยๆทั้งที่ปารดาคิดว่าพี่เธอคงยืนกรานจะไม่แต่งงานแน่ ๆ และที่สำคัญคือแม้แต่แฟนที่รักกันมากอย่างธนนท์ ก็ไม่รู้ข่าวของปารมีเลย"ค่ะพี่บีม ได้ข่าวพี่ปาล์มบ้างไหมคะ" ปารดาตัดสินใจโทรหาภาวินี เพื่อนสนิทของพี่สาวแต่ก็ได้รับคำตอบเช่นเดิม เธอเลยลองกดโทรหาธนนท์ดูอีกครั้ง[น้องป่าน ได้ข่าวปาล์มแล้วเหรอครับ] ปลายสายที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นนั่นทำให้ปารดาพูดไม่ออก เดาได้เลยว่าอีกคนก็ยังหาพี่สาวเธอไม่เจอแน่นอน"เปล่าค่ะ พี่หนึ่งก็ยังไม่เจอพี่ปาล์มเลยใช่ไหมคะ"[พี่ตามหาทุกที่แล้วป่าน ไม่รู้จะหาที่ไหนแล้ว ปาล์มทิ้งพี่ไปจริงๆเหรอ] น้ำเสียงที่บอกถึงความเสียใจนั่นยิ่งตอกย้ำว่าธนนท์ไม่โกหก"ใจเย็นๆนะคะ ป่านว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง พี่หนึ่งเราต้องสู้นะคะ ป่านจะให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยหาอีกทีค่ะ"[ครับ พี่จะตามหาต่อไป น้องป่านสบายดีนะ]"ค่ะสบายดี งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ เอาไว้ได้เรื่องอะไรป่านจะโทรมาใหม่"ปารดากดวางสา
ปารดาช่วยเขียวกับพุดเก็บส้มจนผ่านเวลาไปกว่าสองชั่วโมง"น้องป่านไปได้แล้ว เดี๋ยวพ่อเลี้ยงดุเอา" เขียวว่าขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าปารดามีนัดกับพ่อเลี้ยงของพวกเขาตอนบ่ายสอง"อ่อๆ จ้ะ งั้นไปก่อนนะ เอาไว้ถ้าเสร็จเร็วป่านมาช่วยอีกนะ" เธอตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินออกไปด้วยความรีบร้อนใช้เวลาเดินกว่ายี่สิบนาทีเนื่องจากพื้นที่ไร่ค่อนข้างกว้าง กว่าจะมาถึงก็เล่นเอาหอบ"มาหาพ่อเลี้ยงค่ะ" ปารดายืนหอบหน้าโต๊ะทำงานของสาวร่างอวบที่ป้ายหน้าโต๊ะเขียนเอาไว้ว่าบุษกร"มาแล้วเหรอคะ เข้าไปรอข้างในได้เลยนะคะเดี๋ยวพ่อเลี้ยงก็มา" บุษกรยิ้มหวานให้อย่างอ่อนน้อม ปารดายิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปด้านในตามที่คนหน้าห้องบอกด้านในห้องทำงานของชนาวินมีโซฟาตัวใหญ่วางอยู่ เธอเลือกที่จะไปนั่งตรงนั้นเพื่อรออีกคน คว้าหยิบเอานิตยสารที่วางอยู่ขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาทางด้านชนาวินที่ลืมไปแล้วว่านัดปารดาเอาไว้ก็กำลังตัดกินขนมเค้กสูตรใหม่ที่พาขวัญทำขึ้นมาเพื่อขายในร้านเบเกอรี่ของเธอพาขวัญเป็นสาวสวยวัยยี่สิบห้า น้องสาวของภูวดลเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมต้นของชนาวิน ทั้งคู่สนิทกันมากและดูเหมือนชนาวินจะชื่นชอบพาขวัญอยู่ไม่น้อย ยอมรับว่าเป็นผู้หญิงท
ปารดากลับมาช่วยงานเขียวและพุดอีกครั้งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย คนที่มาสังเกตุการณ์อย่างชมพูเฝ้ามองดูด้วยความหมั่นไส้ที่ใครๆก็ให้ความช่วยเหลือปารดา ทั้งที่เป็นคนสร้างความเดือดร้อนแท้ๆ คำพูดคำจาที่หยอกเย้ากับคนงานแบบนั้นมันยิ่งทำให้หงุดหงิดจริงๆ/คิดว่ามีแต่คนเอ็นดูแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือยังไง/สายตาของชมพูมองปารดาที่ตั้งใจเก็บส้มอยู่อีกฝากหนึ่ง ซึ่งมีลังส้มวางเทินกันไว้ปกติเช่นทุกวัน ความไม่พอใจบวกกับอาการไม่ชอบหน้าทำให้ชมพูคิดจะหาทางแกล้งปารดาขึ้นมาอีกหญิงสาวเจ้าถิ่นใช้จังหวะที่ปารดาเดินเข้ามาถ่ายส้มจากตะกร้าที่ไหล่ใส่ในลังที่พื้น เธอก้มลงเทส้มอย่างเบามือพอดีกับที่ชมพูทำเป็นเดินเซเข้าไปใส่ลังส้มที่เทินอยู่ไม่ไกล ใช้สองมือผลักอย่างแรง"เฮ้ย!" เสียงร้องของเขียวที่หันมาพอดี และถลาเข้าไปหาแต่ไม่ทันเวลาแล้ว"กรี๊ด!!!!... โครม!!! " เสียงกรีดร้องดังขึ้นตามมาด้วยเสียงโครมดังสนั่นไปทั่วบริเวณคนงานหลายคนวิ่งกรูกันเข้าไปหาปารดาที่ถูกลังส้มทับอยู่ ในขณะที่ชมพูลนลานรีบหนีไปจากตรงนั้น เธอไม่คิดว่าผลที่เกิดจะรุนแรงมากขนาดนี้ จึงต้องหนีไปก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า แต่ก็สวนทางกับชงโคที่วิ่งเข้ามาพอ
เพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้แผนการกลั่นแกล้งภรรยาของชนาวินเป็นอันต้องยุติลง และเหตุผลที่บอกกับคนงานไปก็คืออยากให้ปารดาได้ลองทำงานในไร่ ถึงมันจะฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่ ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับ แต่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือทัดท้วงอะไรทุกคนออกไปคุยกันข้างนอกมีแต่ชงโคที่นั่งมองคนที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงบนเตียง มิน่าเล่า ถึงได้ดูเหมือนลูกคุณหนูชอบกล มาหลอกกันเสียได้นะ"อือ...." เสียงครางของคนบนเตียงกับการขยับตัวคล้ายว่ากำลังจะตื่นขึ้นมาทำให้ชงโครีบผวาเข้าไปหาปารดาปรือตาขึ้นมองไปรอบๆอย่างไม่คุ้นชิน ก่อนจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บที่แล่นเข้ามา"อย่าเพิ่งขยับ" ชงโคว่าพลางกดออดเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการคนป่วย นั่นจึงทำให้ทุกคนรับรู้ว่าปารดาฟื้นขึ้นมาแล้ว"มองตามนิ้วนะครับ โอเคครับ" หมอเมฆาชี้นิ้วไปมาเพื่อทดสอบ"คุณชื่ออะไรครับ""ป่านค่ะ""ทราบชื่อจริงไหมครับ""ปารดาค่ะ ปารดา พัฒนกรกุล""คุณรู้สึกเจ็บที่ตรงไหนอีกไหมครับนอกจากที่หัว" หมอถามแล้วมองสำรวจร่างกายคนเจ็บ แม้ว่าจะเข้าเครื่องทำCT scan เรียบร้อยแล้วก็ตาม"ปวดแขนค่ะ" ปารดารู้สึกหนักอึ้งที่แขนข้างซ้าย เพราะเธอใช้มันบังลังที่ร่วงลงมา"ครับ แขนคุณฟกช้
ความเจ็บที่แขนซึ่งถูกจับเอาไว้นั่นไม่ได้ทำให้ปารดารู้สึกอัดอั้นมากเท่าคำปรักปรำที่เจ้าของไร่พยายามยัดเยียดให้ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ทั้งที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ตั้งใจจะเจ็บตัวแบบนี้ และที่สำคัญ เขาไม่ใช่เหรอที่แกล้งเธอจนเป็นเรื่องแบบนี้ ใจร้ายชะมัด"ก็หรือไม่จริง ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาก็มีแต่เรื่อง" เขาปล่อยแขนเมื่อเห็นดวงตาของอีกคนสั่นไหวและเริ่มแดงขึ้นมา คงเจ็บที่เขาจับแบบนั้น"ก็แล้วมันเพราะใครล่ะคะ ที่อยากแกล้งฉัน ถ้าคุณคิดว่าทั้งหมดมันเพราะฉัน ฉันก็ขอโทษด้วย ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะ ฉันจะพัก" ปารดาขยับตัวปรับเตียงลงนอนราบ ตะแคงหันหลังให้คนไม่มีเหตุผล ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจนถึงหน้าผาก พยายามกลั้นน้ำตาที่มีแต่มันก็ไหลออกมาจนได้ มือเล็กยกขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้อีกคนได้ยินเสียงสะอื้นของเธอ"อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆนะ แล้วอย่าคิดว่าทุกคนรู้เรื่องแล้วฉันจะใช้งานเธอไม่ได้อีก" ชนาวินเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบด้วยความหงุดหงิด เพราะคนเจ็บนอนนิ่งๆเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่เขาพูดอีกต่อไป มันส่งผลให้เขายิ่งโมโหที่ทำอะไรเธอไม่ได้แบบนี้"ขอโทษนะคะ หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ พรุ่งนี้ค่อย
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เด็กสาวกำลังจะทำมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต แต่ตามที่เขารับปากพ่อเอาไว้ เขาจะเป็นคนปกป้องและคอยช่วยเหลือเธอเอง"ต้องการผู้ช่วยไหม" ปารดาผละออกจากหน้าท้องของอีกฝ่าย ยกมือปาดน้ำตาพอลวกๆ แล้วแหงนหน้ามองอีกคนตาแดงก่ำ"รับสมัครหนึ่งตำแหน่งค่ะ""โอเค ค่าแรงแพงหน่อยนะ ไม่รู้จะจ่ายไหวหรือเปล่า" เขาย่อตัวลงแล้วยิ้มให้คนน้อง ยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่แก้มนิ่มที่ผ่านมาเขามัวแต่หวาดระแวงกับการที่จะต้องแต่งงานกับเด็กคนนี้ กลัวที่ต้องเสียความโสดที่หวงแหนไป กลัวว่าจะต้องใช้ชีวิตกับคนที่ไม่ได้รัก แต่ตอนนี้เขาไม่มีเรื่องพวกนั้นในหัวเลยตั้งแต่ทำความเข้าใจอะไรหลายๆอย่างทั้งหมด เขาก็เข้าใจแล้วว่า มันคือหน้าที่ ปารดามีหน้าที่ที่จะต้องเป็นทายาทเจ้าสัว เขามีหน้าที่ดูแลทายาทเจ้าสัว นี่ต่างหาก คือความจริง"จ่ายไหวสิคะ หนูเป็นหลานสาวเจ้าสัวนะ" คนตัวเล็กกว่าพอจะยิ้มออกมาได้บ้างกับมุขเสี่ยวๆค่าตัวแพงของชนาวิน ความออดอ้อนที่มีทำให้เผลอแทนตัวเองเปลี่ยนไป แต่ชนาวินกลับรู้สึกชอบแบบนั้นมากกว่าแทนตัวด้วยชื่อสะอีก"หนูตัวใหญ่ไปนะ" เขาวางมือบนหัวแล้วโยกไปมาเบาๆเป็นเชิงหยอก"บ้า ป่านลืมตัว" เธอว่าแล้วท
ถึง หนูป่านของแม่ตอนที่หนูได้อ่านจดหมายฉบับนี้แม่คงได้ไปอยู่กับพ่อบนสวรรค์แล้วนะลูก แม่บอกคุณป้ารังรองของหนูเอาไว้ว่าให้มอบของพวกนี้ให้หนูตอนที่หนูเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วและยังมีชีวิตอยู่ ถึงตอนนั้นหนูคงจะพร้อมที่จะเป็นทายาทของคุณปู่ ทุกอย่างที่แม่และป้าทำ เพื่อหนูนะลูก อย่าได้ครางแครงสงสัยสิ่งที่คุณป้าบอกคือเรื่องจริงแม่เชื่อใจป้ารังรองของหนู ให้ทำทุกอย่างตามที่คุณป้าบอก แต่ถ้าหนูไม่อยากทำ ให้บอกคุณป้าไปตรงๆ จะไม่มีใครบังคับหนูได้ แต่อย่าลืม ว่าหนูคือธนทรัพย์รุ่งเรือง คือลูกสาวพ่อกับแม่ คือหลานของคุณปู่ แม่รักหนูมาก ดูแลตัวเองดีๆนะลูก รักแม่ของหนูปารดามองแผ่นกระดาษในมือ กวาดตาไปมาอยู่หลายรอบ หัวใจเต้นแรงมากขึ้น เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างนั่น หยิบของในซองออกมาทีละชิ้น ทีละชิ้น ของแต่ละชิ้นมีป้ายที่เขียนด้วยลายมือแปะเอาไว้เข็มกลัดของแม่สร้อยคอของพ่อแหวนประจำตระกูลกุญแจตู้เซฟที่ธนาคารxxxสมุดบัญชี สามสี่เล่มที่ยอดเงินไม่น้อยเลยเช่นกันและภาพถ่ายของสามคนพ่อแม่ลูก ไม่รู้เมื่อไหร่ที่น้ำตาหยดแมะลงมาบนพื้นโต๊ะไม้ มือของปารดาสั่นเทา หยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมามอง พ่อเหรอ คนนี้คือพ่อที
"นี่คือหนูในตอนนั้น คุณหนูอันตราของทุกคน แม่ยังจำได้ ทุกคนดีใจกับการเกิดมาของหนูมาก เพราะหนูคือทายาทคนเดียวของธนทรัพย์รุ่งเรือง"ภาพหญิงสาวใบหน้าสะสวยที่ปารดาจำได้นี่คือแม่ของเธอ กำลังอุ้มเด็กตัวเล็กในอ้อมแขน อีกด้านมีผู้ชายหน้าตาใจดีที่ดูแล้วเหมือนปารดามากยืนอยู่ข้างกัน"เหมือนป่านมาก ไม่สิ ต้องบอกว่าป่านเหมือนคนนี้มาก" ชนาวินพูดออกมาเมื่อเห็นภาพถ่ายใบนั้นไปพร้อมกัน"ใช่ หนูป่านเหมือนพ่อมาก คุณปู่ก็เลยรักหนูมาก แล้วก็ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะยกทุกอย่างที่มีให้หนู นั่นทำให้เรื่องเลวร้ายทุกอย่างเกิดขึ้น" รังรองพูดด้วยน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อย ปากอิ่มเม้มแน่นเมื่อต้องพูดเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา"ทำไมป่านถึงเป็นทายาทคนเดียว แล้วลุงล่ะคะ ลุงเป็นลูกของคุณแม่"ปารดาหันไปที่ชนาวิน เธอไม่เข้าใจ ในเมื่อรังรองก็เป็นลูกอีกคนของปู่ ถ้าอย่างนั้น ชนาวินก็ต้องมีสิทธิ์ในสมบัติพวกนั้นเช่นกันรังรองส่ายหน้าไปมา มองชนะพลแล้วจับมืออีกคนเอาไว้แน่น"ฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆของแม่ แม่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เกิดแค่นั้น" ชนาวินตอบแทน ปารดาอ้าปากค้างยิ่งสับสนหนักเข้าไปอีก"อะไรนะคะ" ถามออกไปอย่างไม่อยากเชื่อ"คุณปู่มีลูกสามคน คุณ
"มานั่งนี่สิลูก แม่มีอะไรจะเล่าให้ฟัง" รังรองยิ้มกว้างตอบรับลูกชายและลูกสะใภ้ ทั้งสองมานั่งลงคนละฝั่ง วันนี้ดูพ่อกับแม่จะเครียดๆชอบกล"มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมแม่ดูเครียดๆ" ชนาวินมองรังรองที่สีหน้าแปลกไปจากทุกที แต่รังรองก็ยังคงยิ้มให้"ฟังแม่หน่อยนะ เรื่องนี้สำคัญมากเลยล่ะ" ชนะพลบอกกับลูกชายและปารดาที่นั่งตาแป๋วรอฟัง"ย้อนไปเมื่อยี่สิบปีก่อน"รังรองเริ่มเกริ่นถึงวันที่ปรมินทร์ได้รับอุบัติเหตุและเสียชีวิตในกองเพลิง โดยที่ภรรยาและลูกสาววัยขวบกว่าได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอผ่านไปสองสัปดาห์ ภรรยาของปรมินทร์นามว่าปรียานุชติดต่อมาหารังรองและขอความช่วยเหลือ ทำให้รู้ว่าการตายของปรมินทร์เป็นการจัดฉาก และคนที่ทำก็คือชัยยศปรียานุชที่หนีรอดมาได้ก็หอบลูกสาวคนเดียวที่เป็นทายาทของธนทรัพย์รุ่งเรืองหนีไปอยู่กับแม่แท้ๆที่ต่างจังหวัด เพื่อหลบหนีการตามล่าของชัยยศทุกคนช่วยกันวางแผนเพื่อให้สองแม่ลูกยังมีชีวิตอยู่ ปรียานุชติดต่อไปที่ธีรยุทธให้มารับสมอ้างเป็นพ่อของลูก เปลี่ยนชื่อและให้ใช้นามสกุลของธีรยุทธ แต่สุดท้าย ปรียานุชก็ต้องจากไปก่อนด้วยโรคมะเร็ง ก่อนตายได้ฝากฝังลูกสาวคนเ
ฝันร้ายเมื่อสี่สิบปีก่อน ฝันที่รังรองไม่อยากจดจำ เด็กสาววัยสิบห้าปี ต้องเจอพี่ชายที่เห็นกันมาตั้งแต่เกิดลวนลามทั้งทางร่างกายและสายตามาตลอดแรกๆรังรองไม่คิดอะไร แต่พอนานวันเข้ายิ่งโต ชัยยศก็ยิ่งแสดงพฤติกรรมน่ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเข้ามากอดแล้วลูบคลำตัวเธอ หรือมองเธอด้วยสายตาจาบจ้วงตลอดเวลา รังรองและชัยยศอายุห่างกันสามปีพ่อรับชัยยศมาเพราะไม่มีลูกเสียที แต่พอผ่านไปสามปีก็มีรังรองออกมา และมีปรมินทร์ที่ห่างกันออกไปเกือบสิบปี เรื่องที่ชัยยศไม่ใช่ลูกแท้ๆทุกคนรู้ดี และนั่นยิ่งทำให้รังรองลำบากใจกับการใช้ชีวิตที่เหมือนโดนตามรังควานอยู่ตลอดเวลารังรองโดนชัยยศเข้าหาและเอาตัวรอดมาได้แบบเฉียดฉิว แต่พ่อไม่ฟังที่เธอพูด พ่อเข้าข้างชัยยศที่บอกว่าไม่ได้ทำอะไร และต่อว่าเธอที่เพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง ครอบครัวคนจีนไม่ชอบลูกผู้หญิงอยู่แล้วรังรองจึงทำอะไรไม่ได้มากกว่าการร้องไห้กับแม่ จนเก็บกดและทนไม่ไหว เพราะแบบนั้นรังรองจึงหนีออกจากบ้านมาไกลถึงเชียงใหม่ด้วยวัยเพียงสิบหกปีพร้อมเงินติดตัวที่อยู่ในสมุดบัญชีจำนวนแปดหลักที่พ่อฝากให้ทุกเดือน แม้ว่าหลังจากที่ออกมาเงินจะไม่ได้ฝากเข้าให้อีกต่อไป แต่รังร
หลายวันถัดมาชัยยศนั่งมองรูปถ่ายของปารดาที่ถูกส่งมาจากคนของตัวเองที่ตามไปคอยดูความเคลื่อนไหวตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร ดูเหมือนจะมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ข้างกายตลอด ชัยยศไม่ได้รีรอ เขาให้คนสืบจนรู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่กับปารดาเป็นประจำก็คือชนาวิน ลูกชายของชนะพล คนที่รังรองอาศัยอยู่ด้วยในตอนนี้"ฉันอยากได้ข้อมูลทุกอย่างของผู้ชายคนนี้ ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของไร่ชนะพลด้วย ขอเร็วที่สุด" ชัยยศสั่งงานพวัตเสียงเข้ม เขาต้องการข้อมูลที่มากกว่าชื่ออายุ วันเกิดระดับการศึกษา เขาอยากรู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันแบบไหนทำไมถึงได้สนิทสนมกันขนาดนี้ที่บ้านสวน"คุณท่านคะ คุณท่าน คุณรองค่ะ คุณรองโทรมา" เสียงพรรณีแตกตื่นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือของสุรเดชเจ้าของโทรศัพท์เองก็ตื่นเต้นจนมือไม้สั่น รังรองงั้นเหรอ รังรองที่ออกจากบ้านไปสี่สิบปี นานทีปีหนจะโทรมาหาสักครั้งน่ะเหรอนี่เป็นการโทรมาครั้งแรกในรอบสองปีเลยก็ว่าได้ตั้งแต่ที่เขาล้มลงและเริ่มกล้ามเนื้ออ่อนแรงจนต้องใช้รถเข็น รังรองมาเยี่ยมแค่ครั้งเดียวและต้องรีบกลับไปเพราะไม่อยากจะเจอชัยยศ สุรเดชเองก็กลัวว่ารังรองจะเป็นอันตรายรีบไล่ให้กลั
"โห้ย อิ่ม"ปารดาแทบจะแผ่อยู่ตรงนั้น เมื่อได้กินของอร่อยที่คุ้นชินจนซัดเข้าไปเสียเต็มคราบ"อิ่มจริงๆแหละ" อีกคนที่อิ่มตื้อไม่แพ้กันก็ชนาวินนั่นแหละ ไม่ว่าปารดาจะคีบอะไรมาให้เขาก็กินมันจนหมด จนตอนนี้ท้องตึงไปหมดแล้ว"มีของหวานด้วยนะป่านเอาไหม" กระถินพูดขึ้น พลางยื่นถ้วยขนมหวานที่เป็นทับทิมกรอบให้ดู"ลุงเอาขนมหวานไหมคะ" ปารดาหันไปถาม"ยังกินไหวอีกเหรอเราน่ะ" เขาบ่นออกมาพลางส่ายหน้าปฏิเสธ"ก็อยากกินนี่คะ" ปารดาบอก แล้วจูงมือกระถินพากันไปเลือกขนมหวานที่มีให้เลือกสองสามอย่าง ก่อนกลับมาพร้อมไอศกรีม"ชอบกินแต่ไอติมเหมือนเดิม" กระถินว่าให้เบาๆ ทั้งที่บอกให้เลือกขนมหวาน แต่พอเจ้าตัวเห็นไอศกรีม ก็เลือกไอศกรีมเฉยเลย"ก็คนมันชอบนี่" คนตัวเล็กว่าพลางกัดไอศกรีมเข้าปากอย่างอารมณ์ดีชนาวินมองภาพนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ มองดูปารดาหยอกล้อเล่นกับกระถินและชงโคก็พลอยยิ้มไปด้วย"มากันบ่อยเหรอครับที่นี่" ชนาวินถามปานนท์"นานๆทีครับ เห็นว่ามีโปรโมชั่นหมูกระทะกระถินเขาก็เลยมาชวน" ปานนท์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม สายตาก็มองชงโคที่คอยดูแลปารดาราวกับเป็นคุณแม่ ปารดาที่เอาแต่อ้อนก็เหมือนเด็กเล็กๆ พอเห็นแบบนี้ก็พลอย
ปารดาเร่งทำงานในส่วนของตัวเองให้แล้วเสร็จก่อนเวลาเลิกงานเพื่อจะได้ไปกินหมูกระทะกับเพื่อนๆ ชนาวินเองก็พลอยรีบเคลียร์งานของตัวเองไปด้วย"เสร็จแล้ว เย้"ชูมือสองข้างขึ้นแล้วยิ้มออกมาด้วยคใามดีใจที่หายเรียบร้อยและพร้อมสำหรับการเลิกงาน"พอจะได้ไปเที่ยวนี่รีบเลยนะ" ชนาวินบ่นให้เบาๆ"ลุงยังไม่เสร็จเหรอคะ"คนตัวเล็กเข้ามาเดินวนเวียนใกล้ๆ ซ้ายทีขวาทีจนชนาวินไม่มีสมาธิ เขาเลยคว้าเข้าที่แขนของอีกคนแล้วออกแรงดึงจนปารดาเซลงมานั่งบนตักของเขาแบบไม่ตั้งตัว"ลุง!!"ปารดาแหวใส่เสียงหลง ดันตัวอีกคนเอาไว้จะลงจากตักแต่ชนาวินยึดเอวคนตัวเล็กเอาไว้แน่นราวกับเป็นตุ๊กตา"อยู่แบบนี้แหละ เดินไปเดินมาเวียนหัว"เขาพูดทื่อๆขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจ เอียงตัวเซ็นเอกสาร มีอีกคนนั่งนิ่งๆบนตักเพราะเกร็งจนไม่กล้าขยับน่ะสิความเงียบเข้าครอบงำ มีแค่เสียงหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ถึงแม้จะนั่งเฉยๆ แต่แรงกอดที่เอวมันพาให้ใจเต้นแปลกๆชอบกล ปารดาเหลือบมองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเคลียร์งานไม่กล้าจะพูดหรือขยับตัว กระทั่งชนาวินวางปากกาลงและปิดเอกสารตรงหน้า เขาก็คลายมือออกและจับคนตัวเล็กลงจากตักไปยืนข้างๆ"เสร็จแล้ว" เขาบอก แล้วลุกขึ
บริษัท เจทีคอเปอเรชั่น จำกัดบนชั้นสี่สิบของตึกสูงระฟ้าที่ตั้งของบริษัทส่งออกยักษ์ใหญ่อย่างเจทีคอเปอเรชั่น ชัยยศยืนมองแผ่นฟ้ากว้างผ่านกระจกหนาตรงหน้า สีหน้าเรียบนิ่งจนเยือกเย็นของอีกคนไม่เคยประดับรอยยิ้มเลยสักครั้ง แววตาดุดันมองไปไกลคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง"นายครับ ผมให้พวกมันไปซ่อนตัวที่ชายแดนเรียบร้อยครับ" พวัตเข้ามารายงานหลังจากที่จัดการส่งมือผืนสองคนที่ทำงานพลาดไปชายแดนตามคำสั่งผู้เป็นนายเรียบร้อยแล้ว"หาคนใหม่ไปคอยจับตาดู พลาดไปครั้งนี้พวกมันคงระวังตัวแจ ให้คนไปเฝ้าบ้านไอ้ธีรยุทธด้วย แล้วลูกสาวคนโตของมันหาตัวเจอหรือยัง" น้ำเสียงเคร่งขรึมกับท่าทางสุขุมน่าเกรงขามของชัยยศทำให้หลายคนหวั่นเกรง แม้แต่พวัตที่ทำงานด้วยกันมานานก็ยังเกร็งทุกครั้งเวลาที่รับคำสั่งโดยตรง"ยังครับ เธอซ่อนตัวเก่งเหมือนมีคนคอยช่วยตลอดเวลาเลยครับ คนของเราไม่เจอเธอเลย""เพิ่มคนอีก ตามหาให้ทั่วแล้วจับตัวมาให้ได้ เข้าใจไหม""ครับนาย""วันนี้ฉันจะกลับบ้านสวน บอกคนที่นั่นเตรียมอาหารให้ด้วย""กลับบ้านสวนเหรอครับนาย แล้วคุณท่าน" พวัตทักท้วง"ทำไม ฉันจะกลับไปหาพ่อฉันบ้าง ผิดหรือไง ทำตามที่ฉันสั่ง ออกไปได้แล้ว" ชัย