ซังหนี่นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะทันทีที่หลับตาลงก็จะตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นห้องที่ชื้นและมืดมัว ประตูห้องที่ปิดไม่สนิทอยู่เสมอ เสื้อผ้าที่มักจะถูกทำให้สกปรกโดยไม่ทราบสาเหตุ และตู้เสื้อผ้าที่ถูกรื้อค้นจนยุ่งเหยิงสุดท้าย คือใบหน้าที่น่าขยะแขยงและน่ารังเกียจของผู้ชายคนนั้นเป็นเวลาแปดปี ซังหนี่ยังคงไม่สามารถหลุดพ้นจากฝันร้ายเหล่านั้นได้ และตอนนี้ เขาออกจากคุกแล้ว...เขาออกจากคุกมาแล้วจริง ๆ !ซังหนี่ไม่รู้ว่าเขาได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมาจากไหน แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกแบบนี้...ความรู้สึกที่อึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ราวกับว่าไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็หนีไม่พ้นในตอนนี้ แม้แต่ห้องเช่าที่เธอเพิ่งเช่านี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้วซังหนี่รู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่และในวินาทีต่อมา ก็จะพุ่งเข้ามากระโจนใส่เธอซังหนี่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วแต่เธอจะไปที่ไหนได้ ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันสุดท้าย ซังหนี่ก็ไปที่โรงพยาบาลซังหนี่รู้ว่าตัวเธอเองไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้แล้ว และซังหนี่ก็ไม่สามารถบอกอะไรเธอได้เช่นกัน แต่ในเวลานี้ แค่ได้มองเธอ ซังหนี่ถึง
สุดท้าย เธอทำได้เพียงนั่งลงบนโซฟาอย่างช้า ๆ ใช้มือโอบกอดร่างกายของตนเองเอาไว้แน่นและก็เป็นเวลาเดียวกัน ที่โทรศัพท์เบอร์แปลกดังขึ้นมาอีกครั้งซังหนี่ไม่ได้บันทึกไว้ แต่แค่เมื่อคืนมองผ่านเบอร์เพียงแวบเดียว ตอนนี้เธอก็สามารถจดจำมันได้อย่างชัดเจนเวลานี้ไม่มีความลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเขวี้ยงลงไปที่พื้นทันที!เมืองถง เถาหรานจูป้าคังกำลังมองคนที่อยู่ตรงหน้าโดยมีประตูอะลูมิเนียมกั้นอยู่ “คุณบอกว่าคุณเป็นใครนะคะ?”“ผมชื่อจวงโหย่วเหวย เป็นพ่อของเยว่…ไม่ใช่สิ เป็นพ่อของซังหนี่ครับ”ชายคนนั้นแย้มยิ้มเผยให้ฟันสีเหลืองทั่วทั้งปาก “ผมรู้ว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่นี่ คุณให้เธอออกมาพบผมหน่อยสิ”ก่อนหน้านี้ซังหนี่หายตัวไป และได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในชนบทมาสิบกว่าปี คนเมืองถงต่างก็รู้เรื่องนี้ดีเมื่อเห็นท่าทางของชายคนนั้นในเวลานี้ ป้าคังก็รู้ถึงสถานะของเขาในทันที สายตาที่มองเขา แสดงความดูถูกมากขึ้นเรื่อย ๆ “คุณหนูซังหนี่ย้ายออกไปจากที่นี่แล้วค่ะ”“ย้ายออกไปแล้ว? เป็นไปได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าเธอ…”“เธอกับคุณชายของพวกเราหย่ากันแล้ว” ป้าคังกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “หากคุณอยากพบเธอ ก็ต้
เพราะการเตือนของป้าคัง ฟู่เซียวหานถึงจำวันเกิดที่กำลังจะมาถึงของตัวเองได้หลังจากขึ้นรถ เขาก็หยิบไฟแช็กที่พกติดตัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณสีดำทอง ไม่มีการตกแต่งใด ๆ เพียงแต่มีอักษรย่อชื่อของเขาสลักอยู่ที่ด้านขวาล่างเท่านั้นของขวัญที่แสนจะธรรมดาแต่กลับเป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่ซังหนี่มอบให้กับเขาในปีที่สอง…เพราะว่าเขาไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันแต่งงาน ดังนั้นวันเกิดปีที่แล้ว ซังหนี่จึงไม่ได้มอบแม้กระทั่งของขวัญที่ดูขอไปทีเช่นนี้ให้เขาอีกและในปีนี้…ฟู่เซียวหานไม่ได้คิดต่อ เพียงแค่วางไฟแช็กกลับไปที่เดิม จากนั้นก็เปิดแท็บเล็ตที่อยู่ตรงหน้าทว่าในวินาทีต่อมา คนขับรถกลับเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน!การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนั้น ทำให้ฟู่เซียวหานขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที ดวงตาคมกริบคนขับรีบอธิบาย “ขอโทษครับประธานฟู่ แต่ว่าด้านหน้า…”ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบ ผู้ชายที่เดิมทียืนขวางอยู่หน้ารถ ก็ได้อ้อมมาอยู่ที่ด้านข้างฟู่เซียวหานแล้ว และเคาะหน้าต่างรถไม่หยุดชายคนนี้อายุประมาณห้าสิบกว่าปี ตัดผมสั้นเตียน ฟันเหลืองเต็มปาก กำลังแสยะยิ้มอยู่นอกหน้าต่างรถเดิมทีฟู่เซียวหานไม่คิดจะสน
ทางเข้าร้านอาหาร เป็นคนขับรถที่เตือนเขา ฟู่เซียวหานถึงได้มองเห็นคนที่พูดคุยอยู่กับนายท่านซังเห็นได้ชัดว่านายท่านซังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก พยายามหลีกเลี่ยงเขาและเดินไปข้างหน้าแต่ว่าจวงโหย่วเหวยกลับไม่ยอมปล่อยเขาไป เอาแต่ตามอยู่ด้านหลังเขา เมื่อเห็นนายท่านซังกำลังจะขึ้นรถจากไป เขาก็ตะโกนออกมาในทันที “หากผู้อำนวยการซังไม่ยินยอมละก็ งั้นผมก็ทำได้แค่ไปหาประธานฟู่อีกครั้ง แล้วเอาเรื่องของเยว่เยว่ในตอนนั้นไปบอกเขา”เดิมทีฟู่เซียวหานก็เตรียมตัวจะจากไปเช่นกันถึงอย่างไร ไม่ว่าซังหนี่หรือว่าตระกูลซัง เรื่องพวกนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแล้วแต่ว่าในตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของจวงโหย่วเหวย การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดอยู่กับที่อีกครั้งในทันที“ประธานฟู่?”เสียงของสวีเหยียนดังมาจากด้านข้าง ทว่าฟู่เซียวหานกลับไม่ได้สนใจ เพียงแค่หันศีรษะมาเล็กน้อยเท่านั้นนายท่านซังที่เดิมทีใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาและเด็ดขาด ตอนนี้กลับยอมให้จวงโหย่วเหวยขึ้นรถไปเป็นที่เรียบร้อย ฟู่เซียวหานหรี่ตาอยู่ชั่วครู่“ประธานฟู่ เยว่เยว่ที่คนคนนั้นพูดถึง…”สวีเหยียนเห็นเขาไม่ขยับ จึงทำได้เพียงพูดออกมาด้วยความสั
ซังหนี่กลับมาถึงเมืองถงแล้วซังหนี่ไม่รู้ว่านายท่านซัง ยังให้คนคอยจับตาดูเธออยู่หรือเปล่า แต่ว่าเธอไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยงที่จะพบกับจวงโหย่วเหวยภัตตาคารฉีฝู———ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงของเมืองถงตอนที่ซังหนี่มาถึง จวงโหย่วเหวยก็นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว กำลังนั่งไขว่ห้างพูดจาแทะโลมพนักงานที่อยู่ด้านข้างแววตาของเขาไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจ กำลังพูดในเรื่องหยาบโลน ดวงตาของเด็กสาวแดงก่ำไปหมด แต่ว่าไม่กล้าแสดงอาการ ทำได้เพียงก้มหน้าและยืนอยู่ตรงนั้น ถือเมนูอาหารที่อยู่ในมือไว้แน่นแม้ว่าจะเตรียมใจมาพร้อมแล้วก็ตาม แต่วินาทีที่มองเห็นโจวโหย่วเหวยอีกครั้ง หัวใจของซังหนี่ก็อดที่จะตึงเครียดไม่ได้!และในตอนนั้นเอง โจวโหย่วเหวยก็มองเห็นเธอแล้วเขาลุกขึ้นยืนในฉับพลัน โบกมือให้เธออย่างตื่นเต้น “เยว่เยว่!”หลังจากที่ซังหนี่ยืนกุมมืออยู่ชั่วขณะ ท้ายที่สุดก็เดินเข้าไปชีวิตของพนักงานคนนั้นเหมือนได้รับการปลดปล่อย หลังจากที่ซังหนี่เดินเข้ามาแล้ว ก็รีบวางเมนูอาหารแล้วจากไปในทันทีจวงโหย่วเหวยยังคงจับจ้องขาคู่นั้นของเธอ หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาถึงได้มองมาที่ซังหนี่อีกครั้ง พลางแสยะยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลยนะเยว
ผ่านไปสักพัก เธอถึงได้หันหน้ากลับมา “ได้ คุณไปพูดเลยสิ”คำตอบนี้ของเธอ ทำให้จวงโหย่วเหวยตะลึงงันไปชั่วขณะเขายังไม่ทันจะตั้งสติได้ ซังหนี่ก็เดินไปข้างหน้าแล้วจวงโหย่วเหวยตบโต๊ะด้วยความโกรธ ขณะที่เตรียมจะเดินตามไปนั้น บริกรชายคนหนึ่งกลับขวางเขาเอาไว้ “คุณผู้ชายครับ คุณยังไม่ได้ชำระเงิน” “จ่ายเงินอะไรกัน? ฉันยังไม่ได้สั่งอาหารเลย!”“คุณผู้ชายครับ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้สั่งอาหาร แต่พวกเราก็ต้องเก็บค่าบริการอื่น ๆ ครับ”ขณะที่คนผู้นั้นกำลังพูด สายตาก็เหลือบมองไปที่จวงโหย่วเหวยสองสามครั้งสายตาแห่งความดูถูกชัดเจนยิ่งขึ้นอย่างมากจวงโหย่วเหวยโกรธจนตัวสั่น ในขณะที่กำลังเตรียมจะเอาบัตรธนาคาร ที่มีเงินฝากห้าแสนหยวนใบนั้นของตัวเองตบไปที่ใบหน้าของเขา ก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ฉันจ่ายเองค่ะ”เมื่อได้ยินเสียง ใบหน้าของจวงโหย่วเหวยก็อดที่จะเปลี่ยนสีไม่ได้ตอนที่หันหน้ามาอย่างกะทันหัน ซังฉิงก็กำลังยื่นบัตรธนาคารของตนเองให้กับบริกรชายพอดี หลังจากนั้น ก็หันหน้ามาทางเขาแล้วยิ้ม “คุณคือคุณลุงจวงใช่ไหมคะ?”“เธอคือ…” “ฉันเป็นน้องสาวของซังหนี่ค่ะ ซังฉิง”“โอ้ เด็กที่เก็บมาเลี้ยงของตระกูลซ
ซังหนี่กับจ้าวจิ้งเหยานัดกันที่ร้านอาหารแบบส่วนตัวแห่งหนึ่งซังหนี่นับว่าอาศัยอยู่ที่เมืองถงมาเป็นเวลาหลายปีมากแล้ว ทว่าหากวันนี้ไม่ใช่จ้าวจิ้งเหยาพาเธอมา เธอก็คงไม่รู้ว่าเมืองถงมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วยร้านอาหารแห่งนี้ สร้างอยู่ในจุดเชื่อมต่อระหว่างชานเมืองและตัวเมืองของเมืองถง กำแพงสีขาวหลังคาสีดำ ภายในร้านอาหารยังมีสระดอกบัวและป่าไผ่ด้วย มองดูแวบแรก ซังหนี่ยังนึกว่าที่นี่เป็นสวนพฤกษาที่ให้คนมาเที่ยวเล่นเสียอีกผู้จัดการร้านอาหารเป็นหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาของเธอไม่ถือว่าโดดเด่นมากนัก ทว่าบุคลิกดีมาก คำพูดคำจาก็อ่อนโยนมากเช่นกันเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ จ้าวจิ้งเหยาได้ติดต่อกับเธอไว้แล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งอาหารก็ไม่ต้องสั่ง ผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่ช่วยเสิร์ฟน้ำชาให้พวกเขา จากนั้นก็ถอยกลับออกไป“วัตถุดิบของพวกเขาล้วนแต่เตรียมวันต่อวัน ดังนั้นหากอยากทานอะไรต้องบอกล่วงหน้าหนึ่งวัน เมื่อวานผมเลยตัดสินใจเอาเอง คุณไม่ถือสาใช่ไหมครับ?”จ้างจิ้งเหยายิ้มอย่างอ่อนโยน บนใบหน้ามองไม่เห็นร่องรอยของความโกรธ ที่เมื่อสองวันก่อนซังหนี่ขาดการติดต่อไปเลยแม้แต่น้อยซังหนี่รีบส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ”จ้าว
“ไม่รู้ว่าคืนนี้ประธานฟู่ก็มาที่นี่เหมือนกัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกจะได้เชิญคุณมาด้วยกัน”จ้าวจิ้งเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม ท่าทางไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่ง ราวกับไม่มีความกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อยฟู่เซียวหานปล่อยมือ สายตาเหลือบมองคนที่อยู่ด้านข้างอยู่ชั่วครู่เธอยังคงก้มหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่มีเจตนาจะทักทายเขาฟู่เซียวหานก็ไม่ได้มองเธออีก เพียงแค่ตอบคำถามของจ้าวจิ้งเหยาเท่านั้น “ในเมื่อเป็นการเดต ผมก็ไม่ขอรบกวนดีกว่า แล้วพบกันใหม่ครับ” “ครับ แล้วพบกันใหม่”หลังจากการทักทายกันสั้น ๆ แล้ว เถ้าแก่เนี้ยก็นำฟู่เซียวหานเดินต่อไปข้างหน้า และจ้าวจิ้งเหยาก็กลับไปนั่งตรงข้ามซังหนี่“ผมไม่รู้ว่าคืนนี้เขาก็จะมาที่นี่เหมือนกัน”จ้าวจิ้งเหยากล่าวอธิบายกับซังหนี่“ไม่เป็นไรค่ะ”สีหน้าของซังหนี่กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว และยิ้มให้กับจ้าวจิ้งเหยาจ้าวจิ้งเหยาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกันทว่าเมื่อครู่นี้ หัวข้อสนทนาทั้งหมดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ล้วนเป็นจ้าวจิ้งเหยาที่เป็นผู้เริ่ม ในเวลานี้เมื่อเขาเงียบลง บรรยากาศระหว่างคนสองคน จึงดูอึดอัดและกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันทีซังหนี่ครุ่นคิดบางอย่างอยู่ชั่วครู่ พอกำลังเต
ฟู่เซียวหานเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของเธอแวบหนึ่งก่อนจะย้อนถามกลับว่า “คุณไปไหนมา?”ซังหนี่เม้มริมฝีปากแล้วตอบกลับว่า “ใครให้คุณเปลี่ยนกลอนประตูห้องของฉัน?”“ตอบ คำถาม ฉัน มา”สีหน้าของฟู่เซียวหานดูไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซังหนี่ตั้งใจจะโต้เถียงกับเขาให้ถึงที่สุด แต่เมื่อสบตาเขาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยอมตอบในที่สุด “โรงพยาบาล”สีหน้าของฟู่เซียวหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองเธออีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังหนี่ไม่ได้สังเกตสายตาของเขา เพียงพูดต่อว่า “ตอนบ่ายพวกเขาบอกฉันว่าแม่ฉันฟื้นแล้ว แต่พอฉันไปถึงเธอก็หลับไปอีก ฉันเลยรออยู่ที่นั่นตลอด เพื่อดูว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้หรือเปล่า”เสียงของซังหนี่แผ่วเบา และแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างชัดเจนสีหน้าที่เย็นชาของฟู่เซียวหานผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามว่า “แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์?”“ฉันตั้งโหมดเงียบไว้ เลยไม่เห็น”ซังหนี่พูดพร้อมกับถามต่อ “ตอนนี้ฉันเข้าบ้านได้หรือยัง?”ฟู่เซียวหานจึงขยับตัวหลีกทางให้เธอเข้าไปซังหนี่โน้มตัวถอดรองเท้า แล้ววางกระเป๋าผ้าของเธอลงจากนั้น เธอหันกลับมามองเขา “แล้วคุณมาที่นี่ทำไม?”ฟ
ในฐานะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ฟู่เซียวหานเคยพบเจอสิ่งล่อลวงมากมายนับไม่ถ้วนและชัดเจนว่าผู้หญิงตรงหน้านี้คือหนึ่งในประเภทผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุดดังนั้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซังหนี่โดยตรงโทรติด แต่กลับไม่มีคนรับสายสีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งขุ่นหมองและดูไม่ดีมากขึ้นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา รู้สึกอับอายไม่น้อย กับการที่ถูกเมินเฉยแต่เมื่อนึกถึงรถยนต์สุดหรูของฟู่เซียวหาน รวมถึงเสื้อผ้าบนตัวเขาที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าราคาไม่ธรรมดา เธอก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา “คุณกับซังหนี่เป็นอะไรกันเหรอ? เพื่อนกันใช่มั้ย?”“แต่ว่าตอนนี้เธอคงไม่มีเวลามารับโทรศัพท์ของคุณหรอกนะ ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับบ้าน แสดงว่าต้องไปนัดเจอผู้ชายอยู่แน่ ๆ ”“ฉันบอกคุณเลยนะ เธอไม่ได้เรียบร้อยเหมือนที่คุณเห็นหรอก เบื้องหลังน่ะเธอออกจะสุดเหวี่ยงใช่เล่น เมื่อเช้าฉันยังเห็นเธอ...”ยังไม่ทันที่คำพูดของหญิงสาวจะจบ สายตาของฟู่เซียวหานหันมาจ้องเธอทันทีสายตาเย็นเยียบคมกริบดั่งมือที่มองไม่เห็น บีบเข้าที่ลำคอของเธอ ทำให้คำพูดที่ยังไม่ทันหลุดออกมาถูกกลืนกลับลงไปในทันทีหญิงสาวก็มั่นใจว่า
ฟ้ามืดลงแล้วแสงไฟจากด้านนอกเริ่มส่องสว่าง หลอดไฟนีออนหลากสีผสานเข้ากับแสงสีแดงจากการจราจรยามค่ำคืน ทำให้เกิดภาพด้านหนึ่งที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองและความเย็นชาของเมืองแห่งนี้อย่างเด่นชัดตึกจื้อเหอตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง หน้าต่างบานใหญ่สูงจรดพื้นดูราวกับกรอบรูปขนาดยักษ์บานหนึ่ง กักเก็บภาพทั้งหมดนี้ไว้ ให้คนได้ชื่นชมฟู่เซียวหานยืนอยู่ตรงนั้น มองดูทุกอย่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเขาถือไฟแช็กไว้ในมือ กดสวิตช์เปิดปิดซ้ำไปซ้ำมา เปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะดับวูบไปในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับความทรงจำของพ่อ ฟู่เซียวหานแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้วสิ่งเดียวที่นึกออก คงเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมและไม่เคยยิ้มง่าย ๆ มีมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับเขา และท้ายที่สุดคือภาพพ่อที่นอนป่วยอยู่บนเตียงคนป่วยจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้พ่อจากไปตอนที่ฟู่เซียวหานอายุเพียง 12 ปีแม้ความสัมพันธ์พ่อลูกจะไม่ได้แน่นแฟ้นมากนัก แต่ในความทรงจำของเขา พ่อก็ยังเป็น "พ่อ" ที่ธรรมดาคนหนึ่งระหว่างเขากับแม่ บางทีก็ดูเหมือนว่าเคยรักกันไม่อย่างนั้น เธอจะเฝ้ารอเขามาตลอดหลายปีเพื่ออะไร?ตอนแรกที่บังคับใ
น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“ไอ้สารเลว” เธอกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนชายที่เดิมทีกำลังจะก้มกัดที่ต้นคอของเธอ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นกลับชะงักไปพักหนึ่งจากนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองตาเธอลิปสติกของซังหนี่เลอะเทอะไปหมด อายไลเนอร์ก็เลือนรางเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา เส้นผมยุ่งเหยิง ทั้งตัวของเธอดูทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อฟู่เซียวหานเห็นหยดน้ำตาที่เกาะอยู่บนขนตาของเธอ หัวใจของเขากลับเต้นแรงไปชั่วขณะจากนั้น เขาค่อย ๆ ชะลอการกระทำลง ก่อนจะโอบท้ายทอยของเธออีกครั้งและจูบลงไปทันทีจูบนี้อ่อนโยนและละมุนยิ่งกว่าเดิม ซังหนี่เองก็ดูเหมือนจะไม่ขัดขืนเหมือนในตอนนั้นที่จริงแล้วการที่เธอรู้สึกเจ็บปวด ฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มผ่อนคลายลง ฟู่เซียวหานก็สงบสติอารมณ์ลงเช่นกันแต่ในจังหวะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะพูดกับเธอดี ๆ ซังหนี่กลับอ้าปาก กัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง! ……“ประธานฟู่”ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน ตอนที่สวีเหยียนกำลังพูดกับเขาอยู่ สายตากลับอดไม่ได้ที่มองริมฝีปากของฟู่เซียวหานแน่นอนว่า รอยฝ่ามือบนแก้มของฟู่เซียวหานนั้นโดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย แต่เ
“นี่คุณจะทำอะไร?”ซังหนี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มขัดขืน “ปล่อยฉันนะ! ฟู่เซียวหาน คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”เท้าของเธอพยายามถีบตัวออกมา จนรองเท้าส้นสูงกระเด็นหลุดไปข้างหนึ่งทางเดินยาวของโรงแรมปูด้วยพรมหนานุ่ม เมื่อรองเท้ากระเด็นหล่นลงไป กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเมื่อเข้ามาในลิฟต์ เขาถึงได้ยอมปล่อยเธอลงแต่ซังหนี่กลับถูกเขาดันไปติดมุมลิฟต์ พอเธอกำลังจะก้าวหนี เขาก็จับคางเธอไว้แล้วจูบลงมาทันทีเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอลังเลหรือขัดขืนเลย เพียงแค่จูบลงไปลิ้นของเขาก็เข้าผ่านริมฝีปากของเธอโดยตรงการรุกล้ำที่เต็มไปด้วยความกระหายทำให้ซังหนี่เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจในทันทีแต่สองมือของเธอถูกเขากดไว้แน่น เวลานี้แม้แต่จะผลักเขาออกไปยังทำไม่ได้เข่าของฟู่เซียวหานยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สอดเข้าไปในใต้กระโปรงของเธอเขารู้จักร่างกายของเธอเป็นอย่างดี การกระทำที่ดุดันและรุนแรงในตอนนี้ ทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปลาตัวที่ถูกตรึงไว้บนเขียงตัวหนึ่งเธอทำได้เพียงเฝ้ามองใบมีดที่กำลังจะตกลงมากรีดผิวและกระดูกตัวเองสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายยิ่งกว่าคือ ร่างกายของเธอกลับตอบสนองต่อสิ่งที
ซังหนี่พึ่งจะรู้สึกตัว จึงค่อย ๆ ลดเท้าที่ตั้งใจจะเตะอีกลงอย่างช้า ๆหน้ากากของเขายังคงสวมไว้อย่างเรียบร้อย แต่ดวงตาคู่นั้นเย็นชาอย่างที่สุด ราวกับต้องการฉีกซังหนี่ทั้งตัวออกเป็นชิ้น ๆ“คุณ...คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”ซังหนี่สบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามในที่สุด“ทำไม? หรือว่าไม่พอใจที่ผมขัดขวางเรื่องดี ๆ ของคุณ?”สีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ มือของเขาบีบปลายคางของซังหนี่แน่นขึ้นกว่าเดิมความโกรธจากการถูกปฏิเสธคำชวนเต้นและการเตะเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะถูกเขาจดจำไว้ทั้งหมด แรงบีบในตอนนี้ราวกับจะบดขยี้กระดูกของซังหนี่ให้แหลกละเอียดซังหนี่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว กำลังจะปัดมือของเขาออก แต่ฟู่เซียวหานกลับคว้าข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น จากนั้นยกเข่าขึ้นมาแทรกระหว่างขาของเธอทันที“คุณหนูซังนี่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยนะ”เขามองเธอพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมผมถึงไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีแววจะเป็นดาวเด่นในวงสังคมได้?”——เธอในเมื่อก่อนมักจะเงียบขรึมและเรียบง่ายจนน่าเบื่อ มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นที่เธอจะเผยเสน่ห์เย้ายวนออกมาฟู่เซียวหานเคยคิดว่า ด้านนี้ของเธอมีเพียงเขาเท่
การพูดคุยระหว่างซังหนี่และคุณชายเย่ดำเนินไปอย่างราบรื่นหลังจากเพลงแรกจบลง พวกเขาก็ยังไม่ได้ลงจากฟลอร์ แต่กลับเริ่มเต้นรำเพลงที่สองต่อทันที“ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?”คุณชายเย่อดไม่ได้ที่จะถามเธอซังหนี่ยักคิ้วเล็กน้อย “นี่มันงานเต้นรำหน้ากากนะคะ การบอกชื่อกันไม่จำเป็นหรอก”“แต่คุณก็รู้จักตัวผมนี่ ดูเหมือนไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลยนะ? ““คนที่นี่ก็รู้จักคุณเยอะมาก คุณดังขนาดนี้ ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”น้ำเสียงของซังหนี่แฝงด้วยความจนใจคุณชายเย่กลับไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงพูดขึ้นว่า “งั้นแปลว่าหลังคืนนี้ ผมคงไม่มีโอกาสชวนคุณออกไปกินข้าวแล้วสินะ?”“อืม มีโอกาสค่ะ” ซังหนี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ถึงตอนนั้น คุณพาคุณพ่อมาด้วย ส่วนฉันก็มากับประธานฉิน ทานข้าวด้วยกันแบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”สรุปแล้ว คุณเป็นลูกน้องของฉินเหยา? เลขา? ผู้ช่วย? หรือว่าเป็นนักแสดงในสังกัดบริษัทของเขากันล่ะ?”คุณชายเย่เดาไปทีละอย่าง แต่ซังหนี่กลับไม่ตอบอะไร แค่ย้อนถามว่า “เรื่องทานข้าว คุณตกลงหรือเปล่า?”“ถ้าคุณไป ผมก็ต้องตกลงอยู่แล้วล่ะ”“ตกลงค่ะ”ซังหนี่ตอบรับอย่างไม่ลังเลคุณชายเย่จ้องมองเธอสักพักก่อนพูดว่า
“นี่คุณ ไม่ทราบหรือว่าอะไรคือการมาก่อนมาหลัง?”คุณชายเย่หันกลับมา ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยถามเขาฟู่เซียวหานตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ทราบดี แต่ผมคิดว่าสิทธิ์ในการเลือกควรเป็นของสุภาพสตรีท่านนี้มากกว่า”คำพูดของเขาทำเอาคนฟังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีฟู่เซียวหานไม่ได้มองคุณชายเย่อีก แต่สายตาจับจ้องไปที่ซังหนี่เพียงคนเดียวเท่านั้นดวงตาที่มักจะสงบนิ่งดั่งผืนน้ำ ในตอนนี้เหมือนกำลังพยายามอดกลั้นบางสิ่งไว้ คล้ายกับกระแสใต้ผิวน้ำที่กำลังจะไหลเชี่ยวมือของซังหนี่ที่อยู่ข้างตัวกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวผ่านไปครู่หนึ่ง เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะวางมือบนฝ่ามือของคุณชายเย่——เป็นการตอบรับคำเชิญของเขาประกายในแววตาของฟู่เซียวหานพลันจางหายไปทันทีมือที่แบออกก็กำแน่นขึ้นในทันทีเขาอยากมองซังหนี่อีกครั้ง แต่เธอหันหลังเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่ลังเลฟู่เซียวหานมองตามแผ่นหลังของพวกเขา ฟันของเขาค่อย ๆ ขบกันจนแน่นในตอนนั้นเอง ฉินเหยาก็เดินเข้ามาหา “ประธานฟู่”ฟู่เซียวหานมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาร่วมงานคืนนี้” ฉินเหยาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยังไม่ได้แสดงความยินดีเลย ได้ยินมาว่าคุณปิดการเจรจาที่ประเทศ
“ทางทิศหกนาฬิกา มองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไหม?”ฉินเหยาถามเพราะท่าการเต้น ทำให้ตอนนี้ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันมาก ซังหนี่ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว จนลมหายใจของเธอตอนนี้เริ่มไม่เป็นจังหวะ และปลายจมูกภายใต้หน้ากากก็มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ฉินเหยาถามแบบนี้ เธอก็หันไปมองทันที“อืม แล้วไงล่ะ?”“นั่นคือลูกชายของประธานเย่แห่งไห่เฉากรุ๊ป เขามองคุณมาสักพักแล้ว เดี๋ยวผมจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักกัน คุณช่วยเต้นรำกับเขาสักเพลงได้ไหม?”ซังหนี่หัวเราะเบา ๆ “ทำไมฉันต้องทำด้วยล่ะ?”“ช่วงนี้ผมกำลังเตรียมร่วมงามกับพ่อของเขา”ฉินเหยาไม่ได้ปิดบังซังหนี่ พูดตรง ๆ ว่า “ถ้าคุณช่วยผมได้ครั้งนี้ เรื่องลิขสิทธิ์ผมจะให้คุณร่วมลงทุนในการผลิตทันที ถ้าละครดังขึ้นมา คุณจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแน่นอน”ซังหนี่ยังหัวเราะเหมือนเดิม ดูเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ฉินเหยาพูดเท่าไหร่ฉินเหยาไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของเธอ เพียงพูดต่อว่า “แน่นอน เงินอาจไม่ได้ดึงดูดใจคุณมาก แต่สิ่งนี้คือความมั่นใจที่คุณสร้างให้ตัวเองใช่ไหมล่ะ?”ซังหนี่ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของฉินเหยาอีกหลังจากครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาที เธอถามว่า “การช่