“ไม่รู้ว่าคืนนี้ประธานฟู่ก็มาที่นี่เหมือนกัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกจะได้เชิญคุณมาด้วยกัน”จ้าวจิ้งเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม ท่าทางไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่ง ราวกับไม่มีความกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อยฟู่เซียวหานปล่อยมือ สายตาเหลือบมองคนที่อยู่ด้านข้างอยู่ชั่วครู่เธอยังคงก้มหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่มีเจตนาจะทักทายเขาฟู่เซียวหานก็ไม่ได้มองเธออีก เพียงแค่ตอบคำถามของจ้าวจิ้งเหยาเท่านั้น “ในเมื่อเป็นการเดต ผมก็ไม่ขอรบกวนดีกว่า แล้วพบกันใหม่ครับ” “ครับ แล้วพบกันใหม่”หลังจากการทักทายกันสั้น ๆ แล้ว เถ้าแก่เนี้ยก็นำฟู่เซียวหานเดินต่อไปข้างหน้า และจ้าวจิ้งเหยาก็กลับไปนั่งตรงข้ามซังหนี่“ผมไม่รู้ว่าคืนนี้เขาก็จะมาที่นี่เหมือนกัน”จ้าวจิ้งเหยากล่าวอธิบายกับซังหนี่“ไม่เป็นไรค่ะ”สีหน้าของซังหนี่กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว และยิ้มให้กับจ้าวจิ้งเหยาจ้าวจิ้งเหยาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกันทว่าเมื่อครู่นี้ หัวข้อสนทนาทั้งหมดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ล้วนเป็นจ้าวจิ้งเหยาที่เป็นผู้เริ่ม ในเวลานี้เมื่อเขาเงียบลง บรรยากาศระหว่างคนสองคน จึงดูอึดอัดและกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันทีซังหนี่ครุ่นคิดบางอย่างอยู่ชั่วครู่ พอกำลังเต
จวงโหย่วเหวยไม่พูดอะไร เพียงแค่หรี่ตามองเธอเท่านั้นทว่าซังหนี่กลับหัวเราะออกมา “ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ?”“ซังหนี่”เมื่อเห็นบรรยากาศตึงเครียด ท้ายที่สุดจ้าวจิ้งเหยาก็ลุกขึ้นมา พลางดึงมือของซังหนี่ซังหนี่กลับไม่ยอมอ่อนข้อ “คุณไม่ไปใช่ไหม ได้ งั้นฉันไปเอง”กล่าวจบ ซังหนี่ก็หันหลังกลับเตรียมจะไปจ้าวจิ้งเหยากำลังจะตามไป จวงโหย่วเหวยกลับกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “โอ้ สมแล้วที่เป็นคุณหนูใหญ่มาหลายปี มีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม”“แต่ว่านะซังหนี่ เป็นมนุษย์ไม่ควรลืมรากเหง้าของตัวเอง ตอนนั้นหากไม่ใช่ฉันละก็ เธอคงอดตายไปตั้งนานแล้ว จะมีเรี่ยวแรงมาชี้นิ้วอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?”“ตอนนี้กลับหันมารังเกียจที่ฉันไร้ประโยชน์อย่างงั้นเหรอ? ฉันจะบอกเธอให้นะซังหนี่ ฉันคำนึงถึงสถานะพ่อลูกของพวกเรา เลยไม่อยากพูดอะไรที่มันแสลงหูเท่านั้น หากเธอไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ละก็ ถ้าฉันเอาเรื่องของเธอในตอนนั้นออกมาพูด ก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน!”เมื่อจวงโหย่วเหวยกล่าวจบ ฝีเท้าของซังหนี่ก็ค่อย ๆ หยุดลงหลังจากนั้น เธอก็หันกลับมาจวงโหย่วเหวยกำลังมองดูเธอพลางยิ้มออกมา มีความมั่นใจอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจนแน่นอนว่าซัง
ผู้คนบนโลกใบนี้…ต่างก็เป็นแบบนี้กันหมดแม้ว่าเรื่องแบบนี้ จะว่าไปแล้วไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าเธอคือคนที่เป็นเหยื่อแต่แล้วยังไงล่ะ?แม้กระทั่งแม่แท้ ๆ ของเธอเองยังรับไม่ได้และรังเกียจเธอ นับประสาอะไรกับคนอื่น?ซังหนี่ไม่ได้อยู่ที่เดิมต่อเพื่อให้พวกเขาได้ดูเรื่องตลก เธอเพียงแค่เหลือบมองไปทางจ้าวจิ้งเหยา จากนั้นก็หันหลังจากไปในทันที“จวงเยว่! ซังหนี่! หยุดเดี๋ยวนี้นะ นังชั้นต่ำ!”เสียงโกรธกระฟัดกระเฟียดของจวงโหย่วเหวยดังมาจากด้านหลัง ทว่าซังหนี่ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมอง พลางเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นเดิมทีเธอคิดจะโบกรถสักคันแล้วก็จากไปทว่าเมื่อเธอออกมาจากร้านอาหารถึงได้พบว่า ตรงนี้มีระยะทางที่ห่างไกลจากถนนมาก และคนที่มาที่นี่ได้ ก็มีแต่คนที่มีฐานะและมีหน้ามีตา เดิมทีก็ไม่ต้องการแท็กซี่อยู่แล้วดังนั้นในตอนนี้ บนถนนจึงว่างเปล่า มีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นเดิมทีซังหนี่คิดจะใช้โทรศัพท์เรียกรถผ่านทางออนไลน์ทว่าเมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ออกมา กลับพบว่านิ้วมือของตนเองสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เพียงแค่การปลดล็อก เธอก็ใช้เวลาไปหลายนาทีมากแล้วตอนที่เธอเปิดเธอโทรศัพท์ได้อย่างยากเย็นนั้น ก
ฟู่เซียวหานไม่ได้ตอบรับคำพูดของเธอและเมื่อเขาไม่ได้เอ่ยปาก แน่นอนว่าคนขับรถที่อยู่ด้านหน้า ก็ไม่สามารถเชื่อฟังคำพูดของซังหนี่ได้เช่นกันซังหนี่อดที่จะกำมือเอาไว้แน่นยิ่งขึ้นไม่ได้เธอรู้ว่าฟู่เซียวหานไม่ได้สนใจตนเองเลย ในสายตาของเขา บางทีเธอเองก็อาจไม่เคยมีศักดิ์ศรีเลยด้วยซ้ำ ทว่าเวลานี้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ เธอไม่อยากให้เขาเห็นว่าตัวเธอเองกำลังย่ำแย่ต่อให้ในใจของเขาจะเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ดูถูก เย้ยหยัน หรือแม้กระทั่งรังเกียจก็ตามแต่เธอคิดแต่เพียงว่า อยากจะรักษาศักดิ์ศรีที่หลงเหลืออยู่เอาไว้เท่านั้นและศักดิ์ศรีเล็ก ๆ น้อยในตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่...การให้เธอลงจากรถอย่างมีศักดิ์ศรีทว่าต่อให้เป็นคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าฟู่เซียวหานจะไม่ต้องการทำตามความต้องการของเธอเขาไม่เอ่ยปาก คนขับรถก็ทำได้เพียงขับไปข้างหน้าเท่านั้นซังหนี่ยังอยากพูดอะไรต่อทว่ามือถือของเธอกลับดังขึ้นพอดีชื่อของคนที่อยู่บนนั้น…ก็เป็นไปตามการคาดเดาของเธอเช่นกัน“ซังหนี่ แกไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”เสียงของนายท่านซังที่แฝงไปด้วยความเดือดดาล ลอดผ่านโทรศัพท์และสะท้อนก้องอยู่ในห้องโดยสา
ทว่าซังหนี่หลบได้ทัน แจกันกระแทกกับพื้นและแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เศษกระเบื้องกระเด็นมาบาดน่องของเธอ ทำให้เลือดไหลซิบทันที เพียงแต่ในเวลานี้ ไม่มีใครใส่ใจมัน นายท่านซังชี้หน้าเธอ “เธอตั้งใจทำแบบนั้นใช่ไหม? เธอจงใจทำแบบนี้ต่อหน้าคนมากมาย ก็เพื่อจะทำลายตัวเองให้ย่อยยับ และทำให้ทุกคนในเมืองนี้ได้รู้ว่า เธอเป็นนังแพศยาใช่ไหม?!” “ฉันให้กำเนิดลูกสาวที่น่าอัปยศแบบเธอได้ยังไงกันนะ? ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันจะบีบคอเธอให้ตาย ตั้งแต่ที่เธอคลอดออกมาซะ! ยิ่งไม่ควรจะพาเธอกลับมา เพื่อให้เธอทำลายชื่อเสียงของตระกูลซังเราแบบนี้!” รอบด้านไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูด เสียงของนายท่านซังดังลั่น และสะท้อนก้องอยู่ในห้องรับแขกอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนมีดเลาะกระดูก ที่เฉือนลงไปบนร่างกายของซังหนี่ทีละนิด แต่...เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลย เธอไม่หลบสายตาของนายท่านซังด้วยซ้ำ เพียงแค่ยืนจ้องมองเขาอยู่ตรงนั้น “เธอยังกล้ามองฉันแบบนี้อีกเหรอ? ดี! ถ้าวันนี้ฉันไม่ตีเธอให้ตายล่ะก็ อย่าเรียกฉันแซ่ซัง!” ขณะที่พูด นายท่านซังก็ถอดเข็มขัดของตนเองออกมา และในจังหวะที่กำลังจะฟาดใส่ซังหนี่
“พี่ พี่จะพูดกับหม่ามี๊แบบนี้ไม่ได้นะคะ!” โดยไม่รอให้คุณนายซังได้พูดอะไร ซังฉิงก็เดินมาหยุดข้างหน้า และมองซังหนี่ด้วยดวงตาที่แดงระเรื่อ “ท่านเป็นห่วงพี่จริง ๆ นะ พี่จะคิดกับท่านแบบนี้ไม่ได้!” ซังหนี่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว ตอนนี้ แค่เธอมองดูพวกเขาก็รู้สึกคลื่นไส้เต็มทน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้โต้ตอบคำพูดของซังฉิง ทำแค่หันหลังแล้วเดินจากไป “พี่คะ!” ซังฉิงทำหมือนอยากจะไล่ตามไป กลับถูกคุณนายซังหยุดเธอไว้ ก่อนที่จะตะโกนไล่หลังซังหนี่ “ได้! ซังหนี่ ถ้าก้าวออกจากประตูนี้ไป นับจากนี้ก็เชิญอดตายอยู่ข้างนอก อย่าคิดที่จะกลับมาอีก!” จบคำพูดนั้นของเธอ ฝีเท้าของซังหนี่พลันหยุดชะงักชั่วครู่หนึ่ง ในตอนแรกคุณนายซังคิดว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้ว กลายเป็นว่าซังหนี่หันกลับมาและพูดกับเธอ “เช่นนั้นฉันก็ขอบคุณค่ะ” กิริยาของเธอยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย ทว่าความสงบนิ่งนี้ ในสายตาของคุณนายซัง กลับเป็น...ความไม่แยแส เหมือนงูพิษที่พ่นพิษออกมา และมองเหยื่อของเธอด้วยความเย็นชา คุณนายซังผงะถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที ซังฉิงรีบเ
ประโยคย้อนถามของเขานั้นอยู่เหนือความคาดหมายของซังหนี่ ในชั่วขณะหนึ่ง เธอคิดว่าตนเองหูฝาดไป ผ่านไปหลายอึดใจ ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัว ทว่ากลับกระตุกมุมปากเอ่ย “ตอนนี้ประธานฟู่เพิ่งจะมาถามคำถามนี้...ไม่คิดว่าสายไปหน่อยเหรอคะ?” ฟู่เซียวหานหรี่ตาลง ในตอนที่เธอเสนอเรื่องหย่าขึ้นมาครั้งแรก เขาแค่คิดว่าเธอกำลังโกรธแต่ถึงแม้จะเป็นเพราะความโกรธ เขาก็จะอดทนกับเธอได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นในครั้งที่สอง เขาจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเธอ เป็นเพราะความโกรธจริงไหม? อาจจะจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ในเวลานั้นฟู่เซียวหานมั่นใจมากว่า——เธอจะต้องนึกเสียใจภายหลัง ทว่าตอนนี้ดูแล้ว...เหมือนว่าเขาจะคิดผิด สำหรับเรื่องราวในอดีตของเธอนั้น แท้จริงแล้วฟู่เซียวหานก็เพิ่งจะรู้เมื่อสองวันก่อนนี้เอง ——พ่อบุญธรรมที่ถูกจับเข้าคุก และแม่บุญธรรมที่นอนไม่ได้สติอยู่โรงพยาบาล เรื่องเหล่านี้ เขาไม่เคยได้ยินซังหนี่เอ่ยถึงมาก่อนเลย ในเวลานี้เองที่ฟู่เซียวหานเพิ่งจะได้ค้นพบว่า เหมือนตัวเขาเองเหมือนที่...ไม่เคยรู้จักเธอเลย “แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ตอนนี้
เมื่อซังหนี่กลับมาก็ล้มตัวนอนบนเตียงและผล็อยหลับไป ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นจะตกอยู่ในห้วงฝันร้าย ครั้นเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หมอนก็เปียกไปมากกว่าครึ่ง ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว หลังจากซังหนี่นั่งบนเตียงสักพักหนึ่ง ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเอง เดิมเธอคิดว่าตนเองจะถูกโจมตีด้วยกองทัพข้อความและสายเรียกเข้า แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ...ไม่มีเลย นอกจากไม่มีข่าวในโลกออนไลน์แล้ว แม้แต่ข่าวในแวดวงสังคมของพวกเขาก็ไม่มีเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยถึงอื่นไกล หากหยวนโหรวรู้เรื่องนี้แล้ว เธอจะต้องมาเหน็บแนมและเย้ยหยันตนเองแน่ ๆ ทว่าไม่มีการเคลื่อนไหวจากเธอเลย หมายความได้ว่า...มีคนสั่งให้ปิดข่าว และผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนั้นได้ คำตอบก็พร้อมจะเฉลยออกมาทันที เพียงแต่ซังหนี่ก็ตัดความคิดนี้ทิ้งทันทีที่มันเกิดขึ้น สุดท้ายแล้ว...มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ทว่านอกเหนือจากนี้ ซังหนี่ก็นึกถึงคำตอบอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ ในอีกไม่กี่วันต่อมา ซังหนี่ยังคงสนใจกับข่าวที่คล้ายกัน แต่ไม่มีข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเธอแพร่กระจายออกไปเลย ตรงกันข้ามเธอกลับได้ยินข่าวอื่น——
ฟู่เซียวหานเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของเธอแวบหนึ่งก่อนจะย้อนถามกลับว่า “คุณไปไหนมา?”ซังหนี่เม้มริมฝีปากแล้วตอบกลับว่า “ใครให้คุณเปลี่ยนกลอนประตูห้องของฉัน?”“ตอบ คำถาม ฉัน มา”สีหน้าของฟู่เซียวหานดูไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซังหนี่ตั้งใจจะโต้เถียงกับเขาให้ถึงที่สุด แต่เมื่อสบตาเขาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยอมตอบในที่สุด “โรงพยาบาล”สีหน้าของฟู่เซียวหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองเธออีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังหนี่ไม่ได้สังเกตสายตาของเขา เพียงพูดต่อว่า “ตอนบ่ายพวกเขาบอกฉันว่าแม่ฉันฟื้นแล้ว แต่พอฉันไปถึงเธอก็หลับไปอีก ฉันเลยรออยู่ที่นั่นตลอด เพื่อดูว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้หรือเปล่า”เสียงของซังหนี่แผ่วเบา และแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างชัดเจนสีหน้าที่เย็นชาของฟู่เซียวหานผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามว่า “แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์?”“ฉันตั้งโหมดเงียบไว้ เลยไม่เห็น”ซังหนี่พูดพร้อมกับถามต่อ “ตอนนี้ฉันเข้าบ้านได้หรือยัง?”ฟู่เซียวหานจึงขยับตัวหลีกทางให้เธอเข้าไปซังหนี่โน้มตัวถอดรองเท้า แล้ววางกระเป๋าผ้าของเธอลงจากนั้น เธอหันกลับมามองเขา “แล้วคุณมาที่นี่ทำไม?”ฟ
ในฐานะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ฟู่เซียวหานเคยพบเจอสิ่งล่อลวงมากมายนับไม่ถ้วนและชัดเจนว่าผู้หญิงตรงหน้านี้คือหนึ่งในประเภทผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุดดังนั้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซังหนี่โดยตรงโทรติด แต่กลับไม่มีคนรับสายสีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งขุ่นหมองและดูไม่ดีมากขึ้นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา รู้สึกอับอายไม่น้อย กับการที่ถูกเมินเฉยแต่เมื่อนึกถึงรถยนต์สุดหรูของฟู่เซียวหาน รวมถึงเสื้อผ้าบนตัวเขาที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าราคาไม่ธรรมดา เธอก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา “คุณกับซังหนี่เป็นอะไรกันเหรอ? เพื่อนกันใช่มั้ย?”“แต่ว่าตอนนี้เธอคงไม่มีเวลามารับโทรศัพท์ของคุณหรอกนะ ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับบ้าน แสดงว่าต้องไปนัดเจอผู้ชายอยู่แน่ ๆ ”“ฉันบอกคุณเลยนะ เธอไม่ได้เรียบร้อยเหมือนที่คุณเห็นหรอก เบื้องหลังน่ะเธอออกจะสุดเหวี่ยงใช่เล่น เมื่อเช้าฉันยังเห็นเธอ...”ยังไม่ทันที่คำพูดของหญิงสาวจะจบ สายตาของฟู่เซียวหานหันมาจ้องเธอทันทีสายตาเย็นเยียบคมกริบดั่งมือที่มองไม่เห็น บีบเข้าที่ลำคอของเธอ ทำให้คำพูดที่ยังไม่ทันหลุดออกมาถูกกลืนกลับลงไปในทันทีหญิงสาวก็มั่นใจว่า
ฟ้ามืดลงแล้วแสงไฟจากด้านนอกเริ่มส่องสว่าง หลอดไฟนีออนหลากสีผสานเข้ากับแสงสีแดงจากการจราจรยามค่ำคืน ทำให้เกิดภาพด้านหนึ่งที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองและความเย็นชาของเมืองแห่งนี้อย่างเด่นชัดตึกจื้อเหอตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง หน้าต่างบานใหญ่สูงจรดพื้นดูราวกับกรอบรูปขนาดยักษ์บานหนึ่ง กักเก็บภาพทั้งหมดนี้ไว้ ให้คนได้ชื่นชมฟู่เซียวหานยืนอยู่ตรงนั้น มองดูทุกอย่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเขาถือไฟแช็กไว้ในมือ กดสวิตช์เปิดปิดซ้ำไปซ้ำมา เปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะดับวูบไปในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับความทรงจำของพ่อ ฟู่เซียวหานแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้วสิ่งเดียวที่นึกออก คงเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมและไม่เคยยิ้มง่าย ๆ มีมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับเขา และท้ายที่สุดคือภาพพ่อที่นอนป่วยอยู่บนเตียงคนป่วยจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้พ่อจากไปตอนที่ฟู่เซียวหานอายุเพียง 12 ปีแม้ความสัมพันธ์พ่อลูกจะไม่ได้แน่นแฟ้นมากนัก แต่ในความทรงจำของเขา พ่อก็ยังเป็น "พ่อ" ที่ธรรมดาคนหนึ่งระหว่างเขากับแม่ บางทีก็ดูเหมือนว่าเคยรักกันไม่อย่างนั้น เธอจะเฝ้ารอเขามาตลอดหลายปีเพื่ออะไร?ตอนแรกที่บังคับใ
น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“ไอ้สารเลว” เธอกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนชายที่เดิมทีกำลังจะก้มกัดที่ต้นคอของเธอ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นกลับชะงักไปพักหนึ่งจากนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองตาเธอลิปสติกของซังหนี่เลอะเทอะไปหมด อายไลเนอร์ก็เลือนรางเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา เส้นผมยุ่งเหยิง ทั้งตัวของเธอดูทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อฟู่เซียวหานเห็นหยดน้ำตาที่เกาะอยู่บนขนตาของเธอ หัวใจของเขากลับเต้นแรงไปชั่วขณะจากนั้น เขาค่อย ๆ ชะลอการกระทำลง ก่อนจะโอบท้ายทอยของเธออีกครั้งและจูบลงไปทันทีจูบนี้อ่อนโยนและละมุนยิ่งกว่าเดิม ซังหนี่เองก็ดูเหมือนจะไม่ขัดขืนเหมือนในตอนนั้นที่จริงแล้วการที่เธอรู้สึกเจ็บปวด ฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มผ่อนคลายลง ฟู่เซียวหานก็สงบสติอารมณ์ลงเช่นกันแต่ในจังหวะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะพูดกับเธอดี ๆ ซังหนี่กลับอ้าปาก กัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง! ……“ประธานฟู่”ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน ตอนที่สวีเหยียนกำลังพูดกับเขาอยู่ สายตากลับอดไม่ได้ที่มองริมฝีปากของฟู่เซียวหานแน่นอนว่า รอยฝ่ามือบนแก้มของฟู่เซียวหานนั้นโดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย แต่เ
“นี่คุณจะทำอะไร?”ซังหนี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มขัดขืน “ปล่อยฉันนะ! ฟู่เซียวหาน คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”เท้าของเธอพยายามถีบตัวออกมา จนรองเท้าส้นสูงกระเด็นหลุดไปข้างหนึ่งทางเดินยาวของโรงแรมปูด้วยพรมหนานุ่ม เมื่อรองเท้ากระเด็นหล่นลงไป กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเมื่อเข้ามาในลิฟต์ เขาถึงได้ยอมปล่อยเธอลงแต่ซังหนี่กลับถูกเขาดันไปติดมุมลิฟต์ พอเธอกำลังจะก้าวหนี เขาก็จับคางเธอไว้แล้วจูบลงมาทันทีเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอลังเลหรือขัดขืนเลย เพียงแค่จูบลงไปลิ้นของเขาก็เข้าผ่านริมฝีปากของเธอโดยตรงการรุกล้ำที่เต็มไปด้วยความกระหายทำให้ซังหนี่เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจในทันทีแต่สองมือของเธอถูกเขากดไว้แน่น เวลานี้แม้แต่จะผลักเขาออกไปยังทำไม่ได้เข่าของฟู่เซียวหานยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สอดเข้าไปในใต้กระโปรงของเธอเขารู้จักร่างกายของเธอเป็นอย่างดี การกระทำที่ดุดันและรุนแรงในตอนนี้ ทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปลาตัวที่ถูกตรึงไว้บนเขียงตัวหนึ่งเธอทำได้เพียงเฝ้ามองใบมีดที่กำลังจะตกลงมากรีดผิวและกระดูกตัวเองสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายยิ่งกว่าคือ ร่างกายของเธอกลับตอบสนองต่อสิ่งที
ซังหนี่พึ่งจะรู้สึกตัว จึงค่อย ๆ ลดเท้าที่ตั้งใจจะเตะอีกลงอย่างช้า ๆหน้ากากของเขายังคงสวมไว้อย่างเรียบร้อย แต่ดวงตาคู่นั้นเย็นชาอย่างที่สุด ราวกับต้องการฉีกซังหนี่ทั้งตัวออกเป็นชิ้น ๆ“คุณ...คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”ซังหนี่สบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามในที่สุด“ทำไม? หรือว่าไม่พอใจที่ผมขัดขวางเรื่องดี ๆ ของคุณ?”สีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ มือของเขาบีบปลายคางของซังหนี่แน่นขึ้นกว่าเดิมความโกรธจากการถูกปฏิเสธคำชวนเต้นและการเตะเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะถูกเขาจดจำไว้ทั้งหมด แรงบีบในตอนนี้ราวกับจะบดขยี้กระดูกของซังหนี่ให้แหลกละเอียดซังหนี่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว กำลังจะปัดมือของเขาออก แต่ฟู่เซียวหานกลับคว้าข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น จากนั้นยกเข่าขึ้นมาแทรกระหว่างขาของเธอทันที“คุณหนูซังนี่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยนะ”เขามองเธอพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมผมถึงไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีแววจะเป็นดาวเด่นในวงสังคมได้?”——เธอในเมื่อก่อนมักจะเงียบขรึมและเรียบง่ายจนน่าเบื่อ มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นที่เธอจะเผยเสน่ห์เย้ายวนออกมาฟู่เซียวหานเคยคิดว่า ด้านนี้ของเธอมีเพียงเขาเท่
การพูดคุยระหว่างซังหนี่และคุณชายเย่ดำเนินไปอย่างราบรื่นหลังจากเพลงแรกจบลง พวกเขาก็ยังไม่ได้ลงจากฟลอร์ แต่กลับเริ่มเต้นรำเพลงที่สองต่อทันที“ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?”คุณชายเย่อดไม่ได้ที่จะถามเธอซังหนี่ยักคิ้วเล็กน้อย “นี่มันงานเต้นรำหน้ากากนะคะ การบอกชื่อกันไม่จำเป็นหรอก”“แต่คุณก็รู้จักตัวผมนี่ ดูเหมือนไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลยนะ? ““คนที่นี่ก็รู้จักคุณเยอะมาก คุณดังขนาดนี้ ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”น้ำเสียงของซังหนี่แฝงด้วยความจนใจคุณชายเย่กลับไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงพูดขึ้นว่า “งั้นแปลว่าหลังคืนนี้ ผมคงไม่มีโอกาสชวนคุณออกไปกินข้าวแล้วสินะ?”“อืม มีโอกาสค่ะ” ซังหนี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ถึงตอนนั้น คุณพาคุณพ่อมาด้วย ส่วนฉันก็มากับประธานฉิน ทานข้าวด้วยกันแบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”สรุปแล้ว คุณเป็นลูกน้องของฉินเหยา? เลขา? ผู้ช่วย? หรือว่าเป็นนักแสดงในสังกัดบริษัทของเขากันล่ะ?”คุณชายเย่เดาไปทีละอย่าง แต่ซังหนี่กลับไม่ตอบอะไร แค่ย้อนถามว่า “เรื่องทานข้าว คุณตกลงหรือเปล่า?”“ถ้าคุณไป ผมก็ต้องตกลงอยู่แล้วล่ะ”“ตกลงค่ะ”ซังหนี่ตอบรับอย่างไม่ลังเลคุณชายเย่จ้องมองเธอสักพักก่อนพูดว่า
“นี่คุณ ไม่ทราบหรือว่าอะไรคือการมาก่อนมาหลัง?”คุณชายเย่หันกลับมา ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยถามเขาฟู่เซียวหานตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ทราบดี แต่ผมคิดว่าสิทธิ์ในการเลือกควรเป็นของสุภาพสตรีท่านนี้มากกว่า”คำพูดของเขาทำเอาคนฟังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีฟู่เซียวหานไม่ได้มองคุณชายเย่อีก แต่สายตาจับจ้องไปที่ซังหนี่เพียงคนเดียวเท่านั้นดวงตาที่มักจะสงบนิ่งดั่งผืนน้ำ ในตอนนี้เหมือนกำลังพยายามอดกลั้นบางสิ่งไว้ คล้ายกับกระแสใต้ผิวน้ำที่กำลังจะไหลเชี่ยวมือของซังหนี่ที่อยู่ข้างตัวกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวผ่านไปครู่หนึ่ง เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะวางมือบนฝ่ามือของคุณชายเย่——เป็นการตอบรับคำเชิญของเขาประกายในแววตาของฟู่เซียวหานพลันจางหายไปทันทีมือที่แบออกก็กำแน่นขึ้นในทันทีเขาอยากมองซังหนี่อีกครั้ง แต่เธอหันหลังเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่ลังเลฟู่เซียวหานมองตามแผ่นหลังของพวกเขา ฟันของเขาค่อย ๆ ขบกันจนแน่นในตอนนั้นเอง ฉินเหยาก็เดินเข้ามาหา “ประธานฟู่”ฟู่เซียวหานมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาร่วมงานคืนนี้” ฉินเหยาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยังไม่ได้แสดงความยินดีเลย ได้ยินมาว่าคุณปิดการเจรจาที่ประเทศ
“ทางทิศหกนาฬิกา มองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไหม?”ฉินเหยาถามเพราะท่าการเต้น ทำให้ตอนนี้ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันมาก ซังหนี่ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว จนลมหายใจของเธอตอนนี้เริ่มไม่เป็นจังหวะ และปลายจมูกภายใต้หน้ากากก็มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ฉินเหยาถามแบบนี้ เธอก็หันไปมองทันที“อืม แล้วไงล่ะ?”“นั่นคือลูกชายของประธานเย่แห่งไห่เฉากรุ๊ป เขามองคุณมาสักพักแล้ว เดี๋ยวผมจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักกัน คุณช่วยเต้นรำกับเขาสักเพลงได้ไหม?”ซังหนี่หัวเราะเบา ๆ “ทำไมฉันต้องทำด้วยล่ะ?”“ช่วงนี้ผมกำลังเตรียมร่วมงามกับพ่อของเขา”ฉินเหยาไม่ได้ปิดบังซังหนี่ พูดตรง ๆ ว่า “ถ้าคุณช่วยผมได้ครั้งนี้ เรื่องลิขสิทธิ์ผมจะให้คุณร่วมลงทุนในการผลิตทันที ถ้าละครดังขึ้นมา คุณจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแน่นอน”ซังหนี่ยังหัวเราะเหมือนเดิม ดูเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ฉินเหยาพูดเท่าไหร่ฉินเหยาไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของเธอ เพียงพูดต่อว่า “แน่นอน เงินอาจไม่ได้ดึงดูดใจคุณมาก แต่สิ่งนี้คือความมั่นใจที่คุณสร้างให้ตัวเองใช่ไหมล่ะ?”ซังหนี่ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของฉินเหยาอีกหลังจากครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาที เธอถามว่า “การช่