ประโยคย้อนถามของเขานั้นอยู่เหนือความคาดหมายของซังหนี่ ในชั่วขณะหนึ่ง เธอคิดว่าตนเองหูฝาดไป ผ่านไปหลายอึดใจ ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัว ทว่ากลับกระตุกมุมปากเอ่ย “ตอนนี้ประธานฟู่เพิ่งจะมาถามคำถามนี้...ไม่คิดว่าสายไปหน่อยเหรอคะ?” ฟู่เซียวหานหรี่ตาลง ในตอนที่เธอเสนอเรื่องหย่าขึ้นมาครั้งแรก เขาแค่คิดว่าเธอกำลังโกรธแต่ถึงแม้จะเป็นเพราะความโกรธ เขาก็จะอดทนกับเธอได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นในครั้งที่สอง เขาจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเธอ เป็นเพราะความโกรธจริงไหม? อาจจะจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ในเวลานั้นฟู่เซียวหานมั่นใจมากว่า——เธอจะต้องนึกเสียใจภายหลัง ทว่าตอนนี้ดูแล้ว...เหมือนว่าเขาจะคิดผิด สำหรับเรื่องราวในอดีตของเธอนั้น แท้จริงแล้วฟู่เซียวหานก็เพิ่งจะรู้เมื่อสองวันก่อนนี้เอง ——พ่อบุญธรรมที่ถูกจับเข้าคุก และแม่บุญธรรมที่นอนไม่ได้สติอยู่โรงพยาบาล เรื่องเหล่านี้ เขาไม่เคยได้ยินซังหนี่เอ่ยถึงมาก่อนเลย ในเวลานี้เองที่ฟู่เซียวหานเพิ่งจะได้ค้นพบว่า เหมือนตัวเขาเองเหมือนที่...ไม่เคยรู้จักเธอเลย “แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ตอนนี้
เมื่อซังหนี่กลับมาก็ล้มตัวนอนบนเตียงและผล็อยหลับไป ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นจะตกอยู่ในห้วงฝันร้าย ครั้นเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หมอนก็เปียกไปมากกว่าครึ่ง ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว หลังจากซังหนี่นั่งบนเตียงสักพักหนึ่ง ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเอง เดิมเธอคิดว่าตนเองจะถูกโจมตีด้วยกองทัพข้อความและสายเรียกเข้า แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ...ไม่มีเลย นอกจากไม่มีข่าวในโลกออนไลน์แล้ว แม้แต่ข่าวในแวดวงสังคมของพวกเขาก็ไม่มีเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยถึงอื่นไกล หากหยวนโหรวรู้เรื่องนี้แล้ว เธอจะต้องมาเหน็บแนมและเย้ยหยันตนเองแน่ ๆ ทว่าไม่มีการเคลื่อนไหวจากเธอเลย หมายความได้ว่า...มีคนสั่งให้ปิดข่าว และผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนั้นได้ คำตอบก็พร้อมจะเฉลยออกมาทันที เพียงแต่ซังหนี่ก็ตัดความคิดนี้ทิ้งทันทีที่มันเกิดขึ้น สุดท้ายแล้ว...มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ทว่านอกเหนือจากนี้ ซังหนี่ก็นึกถึงคำตอบอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ ในอีกไม่กี่วันต่อมา ซังหนี่ยังคงสนใจกับข่าวที่คล้ายกัน แต่ไม่มีข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเธอแพร่กระจายออกไปเลย ตรงกันข้ามเธอกลับได้ยินข่าวอื่น——
เขาไม่รอให้ซังหนี่ได้ตอบ เพียงกล่าวตามตรง “เธอได้ยินแล้วใช่ไหม? ฉันกำลังจะหมั้นหมายกับตระกูลซังน่ะ” ซังหนี่กำลังหยิบส้อมขึ้นมาแล้วตัดเค้ก หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ค่อย ๆ วางส้อมกลับที่เดิม แล้วพยักหน้า “กับซังฉิง” ซังหนี่เอ่ยตอบ “ฉันรู้แล้ว” “ได้ยินมาว่าตอนนี้เธอได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซังแล้วเหรอ?” ฉินม่อลดสายตาลง แล้วเอ่ยต่อ “จะว่าไปแล้ว หากไม่เป็นเช่นนั้น คนที่ฉันต้องแต่งงานด้วยก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเธอ” คราวนี้ ฉินม่อหัวเราะเสียงดังออกมาจริง ๆ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน รอยยิ้มนั้นก็ยังไม่อาจส่งไปถึงดวงตา และมุมปากยิ่งขมขื่นไม่รู้จบ ซังหนี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “หากนายไม่เต็มใจ ก็สามารถคุยกับพวกเขาได้...” ฉินม่อส่ายหน้า “พวกเขาให้ฉันกลับมา ก็เพื่อดึงเอาคุณค่าทั้งหมดออกไปจากตัวฉัน เธอรู้ไหม? ในเวลาเพียงยี่สิบวันนี้ ฉันได้นัดพบกับคนอื่นมาสิบกว่าคนแล้ว” “คุณค่า?” ซังหนี่กลับขมวดคิ้ว “ถ้านายได้แต่งงานสำเร็จจริง ๆ มันก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาใช่ไหม? ทำไมยัง...” ฉินม่อเอ่ยขัดจังหวะเธอ “เธอคงยังไม่รู้สินะ? หลังจากอุบัต
ฟู่เซียวหานถามตรง ๆ เช่นนี้ ซังฉิงจึงเกิดความลังเล เธอก้มศีรษะลง และใช้มือถูกระโปรงไปมาสักพัก ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ตอนที่ฉันไปเรียน...เขากับพี่สาวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากค่ะ” ฟู่เซียวหานไม่ได้พูดต่อ ซังฉิงดูเหมือนกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายต่อทันที “แต่ในไม่ช้าฉินม่อก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ดังนั้นระหว่างพี่สาวกับเขานั้น...คงจะเป็นความบริสุทธิ์ใจค่ะ” “แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคิดว่าฉันไม่ควรหมั้นกับเขาค่ะ พี่เซียวหาน พี่คิดว่าฉันเห็นแก่ตัวหรือเลวมากไหมคะ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ครอบครัวต้องการฉันมากที่สุด แต่ฉัน...” ซังฉิงกล่าวมาถึงตรงนั้น ดวงตาของเธอพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ฟู่เซียวหานไม่ตอบ แค่หลับตาลงโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ซังฉิงกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดต่อ “พี่เซียวหานคะ ครั้งล่าสุด...พี่คุยอะไรกับแด๊ดดี้บ้างคะ? ฉัน...ฉันไม่อยากแต่งงานตอนนี้เลยจริง ๆ พี่ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ?” ขณะที่พูด ซังฉิงก็ยื่นมือออกมา หมายจะดึงแขนเสื้อของฟู่เซียวหาน แต่ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของ
“คุณผู้หญิง คุณได้โปรดใจเย็น ๆ ก่อน พวกเราไปหาสถานที่คุยกันดี ๆ ...” ในขณะที่พนักงานพยายามขัดขวางหยวนโหรวอย่างเต็มที่ ประตูห้องตรงหน้าก็เปิดออกกะทันหัน ซังหนี่อยู่ในห้องตามที่คาดไว้ ผมเผ้าของเธอค่อนข้างยุ่งเหยิง นอกจากนี้ยังมีอาการใบหน้าแดงก่ำผิดปกติด้วย แต่ดวงตากลับเย็นชานัก “นั่นไง! เธออยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย! แล้วชายชู้อยู่ที่ไหน? ฉินม่ออยู่ข้างในใช่ไหม? หลบให้ฉันเข้าไป...” ซังหนี่เพิกเฉยต่อหยวนโหรว และเดินไปหยุดตรงหน้าของซังฉิงในไม่กี่ก้าวเท่านั้น การเคลื่อนไหวของซังหนี่รวดเร็วเกินไป ซังฉิงยังไม่ทันได้มีเวลาตอบสนอง ก็ถูกซังหนี่แย่งโทรศัพท์ของเธอไปแล้ว! “พี่...” ซังฉิงเพิ่งจะอ้าปาก ซังหนี่ก็ลบวิดีโอที่เธอเพิ่งบันทึกไปแล้ว จากนั้น ก็ปาโทรศัพท์ของเธอลงกระแทกกับพื้นโดยตรง! “เธอคิดจะทำอะไร?!” เดิมทีหยวนโหรวต้องการจะเข้าไปตามหาฉินม่อ หลังจากเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เธอก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องซังฉิงทันที ซังหนี่ไม่เปิดโอกาสให้พวกเธอได้ป้องกันใด ๆ เลย เพียงแค่เงื้อมือขึ้น และตบหน้าซังฉิงโดยตรง! “ฉิงฉิง!” หยวนโหรวกรีดร้องออกม
ซังหนี่ยืดตัวขึ้น และเงยหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากของชายคนนั้น ทว่าฟู่เซียวหานเบือนหน้าหนีทันที และหลบเลี่ยงการจูบของเธอได้ ร่างกายของซังหนี่พลันแข็งทื่อ แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เธอก้มศีรษะลงทันที แล้วแลบลิ้นออกมา เลียลูกกระเดือกของฟู่เซียวหาน ร่างกายของฟู่เซียวหานสั่นสะท้านอย่างกะทันหัน ก่อนจะจับคางของเธอ และบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง เดิมทีดวงตาของซังหนี่ก็เป็นสีแดงอยู่แล้ว เมื่อรวมกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง และหน้าตาเปียกปอนก็เหมือนลูกแมวน้อยไร้ที่พึ่งในคืนฝนพรำ ฟู่เซียวหานย่นคิ้วเบา ๆ แต่ซังหนี่ไม่สนใจมากนัก เพียงแค่เอื้อมมือออกไปปลดเข็มขัดของเขาออกตรง ๆ ในตอนแรกเขายังอยากจะหยุดเธอ แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของซังหนี่ก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองอย่างรวดเร็ว และเห็นชื่อบนนั้นได้ทันที——ฉินม่อ เสียงที่คุ้นเคยทำให้สติของซังหนี่กลับมาเล็กน้อย ร่างกายของเธอยังสั่นอยู่อีกสักพัก ก่อนที่จะหันกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตน โดยไม่สนใจมือของเขาที่จับคางของตัวเองไว้ แต่ในวินาทีต่อมา ฝ่ามือของฟู่เซียวหานประคองท้ายทอยของเธอเอาไว้ จากนั
หลังจากนั้น ซังหนี่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนแล้ว ราวกับว่าในโลกของเธอมีเพียงฟู่เซียวหานคนเดียวเท่านั้น เหมือนว่าเธอไม่สามารถอยู่คนเดียวได้อีกต่อไป และขั้นตอนทั้งหมดยึดติดอยู่กับร่างกายของฟู่เซียวหาน อนุญาตให้เขาตักตวงได้ตามใจปรารถนา ผลลัพธ์จากการปล่อยตัวอย่างไร้การควบคุมก็คือเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป ร่างกายของเธอก็รู้สึกเหมือนถูกรถบดขยี้ ลำคอแห้งผากจนแทบจุดไฟติด ทันทีที่ซังหนี่เคลื่อนไหว พลันมีความรู้สึกเจ็บแปลบที่แข้งขาทันที เธอพ่นลมหายใจเพื่อตั้งสติ หลังจากพักผ่อนบนเตียงได้สักพัก ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง สถานที่ตรงหน้านี้ไม่คุ้นเคยเลย ไม่ใช่บ้านเช่าหลังเล็กของเธอ และไม่ใช่โรงแรมใด ๆ ด้วย ทว่าฟู่เซียวหานเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในเมืองนี้ ซังหนี่จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีสถานที่เช่นนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก แค่ก้มลงและหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นค่อย ๆ สวมใส่ เมื่อเธอเดินออกจากห้อง โทรศัพท์มือถือก็เปิดเครื่องได้สำเร็จพอดี บนหน้าจอมีทั้งข้อความและสายที่ไม่ได้รับมากมายนั
“อืม พอใจแล้ว” คำตอบของฟู่เซียวหานนั้นตรงไปตรงมา “ถ้างั้นฉันก็ออกไปได้แล้วใช่ไหมคะ?” พูดจบแล้ว ซังหนี่ก็ยืนขึ้นและตั้งท่าจะเดินออกไป แต่ในอึดใจต่อมา เสียงของฟู่เซียวหานก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ซังหนี่ คุณคงไม่คิดว่าคุณถูกวางยา จึงไม่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้กระมัง?” คำพูดของเขาทำให้ซังหนี่ตะลึงงัน! จากนั้น เธอก็มองเขาช้า ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้น ซังหนี่กลับมีความคิดทุกประเภทแวบขึ้นมาในใจของตน เขาต้องการให้เธอรับผิดชอบด้วยอะไร? หรือต้องการใช้สิ่งนี้มาข่มขู่เธอ? หรือเป็นเพียงเหตุผลง่าย ๆ แค่...หาข้ออ้างไม่อยากจากเธอไป? เมื่อความคิดสุดท้ายนี้ผุดขึ้นมา ซังหนี่ก็อยากจะตัดมันทิ้งโดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้น ฟู่เซียวหานก็พูดต่อแล้ว “คุณยังมีแม่บุญธรรมอยู่ในโรงพยาบาลใช่ไหม?” “คุณคิดจะทำอะไรคะ?!” สีหน้าของซังหนี่เปลี่ยนไปทันที สายตาที่ใช้มองเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวังและเดือดดาล! ฟู่เซียวหานแค่เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “ผมช่วยย้ายเธอไปรักษาในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้ได้ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาด้วย ผมจะ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา
ซังหนี่มองดูท่าทางสงบนิ่งของเขาแล้วกลับหัวเราะออกมา “ที่แท้เป็นแบบนี้เอง นี่เป็นแผนที่คุณกับฟู่เซียวหานร่วมมือกันเหรอ?”“ไม่ใช่แน่นอน”ซังหลินขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ “ซังหนี่ เธอทำงานที่บริษัทมานานพอสมควรแล้ว คงรู้ดีว่าผลประโยชน์ของบริษัทต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว เข้าใจไหม?”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่เธอกลับกัดฟันแน่นขึ้นจากนั้น ซังหลินก็เรียกอีกคนเข้ามาทันทีคนนั้น...ซังหนี่เองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า——เกาต๋า อดีตผู้จัดการทั่วไปของบริษัทลูกเมืองอิ๋นเกาต๋ามีเครือข่ายอยู่ที่เมืองอิ๋นเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่เขาถูกย้ายกลับสำนักงานใหญ่ ก็นับว่าเป็นการถูกลดบทบาทไปโดยปริยายแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดอิทธิพลในบริษัท ยังคงก้าวหน้าและเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีโครงการครั้งนี้ ทางจื้อเหอก็ระบุให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงซังหนี่รู้ดีว่า ฟู่เซียวหานทำแบบนี้ก็แค่ต้องการยั่วโมโหเธอ“ประธานเสี่ยวซัง ไม่เจอกันนานเลยนะ”เกาต๋ายิ้มบาง ๆ แล้วเดินตรงไปหาซังหนี่ ก่อนจะยื่นมือออกมาแต่ซังหนี่กลับเมินเฉยไม่สนใจเธอเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป“ถ้าสองวันนี้เธอไม่ยุ่งก็เข้
บางทีอาจจะเพราะท่าทีของซังหนี่ที่ดูสับสนมากเกินไป จี้อวี้หยวนจึงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงพร้อมจุมพิตเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปากสัมผัสนั้นราวกับแมลงปอต้องน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็จากไปแล้วก็ยื่นมือมาลูบศีรษะเธออีกครั้ง “เอาล่ะ เข้าไปเถอะครับ”ซังหนี่ยังคงสับสนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่มองเขาก่อนจะหันหลังลงจากรถไปซังหลินกำลังรอเธออยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ซังหนี่เข้ามา สิ่งแรกที่เขาถามแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงการรู่โจว“ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอย่างไรเสียฉันก็แค่ได้รับการแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายมาฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ประธานซังไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะตรวจสอบให้ชัดเจนและให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอนค่ะ”คำตอบซังหนี่เป็นทางการเป็นอย่างมากซังหลินจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอไม่ได้ติดต่อกับคนของจื้อเหอกรุ๊ปเลยหรือ?”“ยังไม่ได้ติดต่อเป็นการชั่วคราวค่ะ แต่ฉันจะ…”“นี่เป็นอีเมลที่ฉันเพิ่งได้รับมา เธอมาดูสิ”ซังหลินกลับเอ่ยขัดจังหวะการพูดของเธอโดยตรง พร้อมโยนเอกสารในมือของเขาไปยังซังหนี่ซังหนี
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นคันยุบยิบเล็กน้อยราวกับโดนขนของลูกแมวซุกไซร้คลอเคลีย และยังเหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสเส้นผมของซังหนี่และในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ขอโทษที่ปล่อยให้ประธานฟู่รอนานนะครับ”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางเบา “ไม่เจอกันนานนะครับประธานเกา”……เรื่องที่โครงการรู่โจวโดนระงับการดำเนินการ ซังหนี่นับว่าเป็นคนที่ได้รับการแจ้งเป็นคนสุดท้ายในเวลานั้นเธอและจี้อวี้หยวนกำลังคุยกับคุณเยว่ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่ปลายสายเธอยังรู้สึกไม่ทันตั้งตัว “อะไรนะคะ?”“เป็นทางฝั่งจื้อเหอกรุ๊ปที่ระงับการดำเนินการครับ โดยบอกว่ามีปัญหาบางอย่างภายในทีมงานก่อสร้าง และพวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อน”“ปัญหาอะไร?”“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทางจื้อเหอกรุ๊ปบอกเรามาเพียงเท่านี้”“ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในทีมก่อสร้าง แต่ขั้นตอนอื่น ๆ ก็ยังสามารถดำเนินการไปก่อนได้ หรือถ้ายังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เราสามารถเปลี่ยนทีมวิ
เมื่อฟู่เซียวหานยังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอแมวจรจัดในโรงเรียนของพวกเขาลูกแมวตัวนั้นอาจเพิ่งคลอดได้ไม่นานแต่ไม่มีแม่แมวอยู่เคียงข้าง มีเพียงมันตัวเดียวที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าและส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงฟู่เซียวหานเพียงเหลือบตามองมันแต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจที่เปี่ยมล้น ดังนั้นหลังจากเหลือบมองครั้งหนึ่งเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่คาดคิดว่าลูกแมวตัวนั้นจะเดินตามหลังเขามาฝีเท้าของเขาไม่ได้นับว่าก้าวเดินช้า ทั้งที่ลูกแมวตัวนั้นยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแต่ยังคงยืนหยัดเดินตามเขามาทีละก้าวและในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปที่ร้านของชำด้านข้าง พร้อมซื้อไส้กรอกมาหนึ่งชิ้นลูกแมวตัวน้อยกินอย่างมีความสุขดังนั้นนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟู่เซียวหานจะเจอมันทุกครั้งหลังเลิกเรียนมันเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาเขาก่อน หลังจากซุกไซร้เข้ากับฝ่ามือของเขาแล้วจึงรอให้เขาป้อนอาหารด้วยความเชื่อฟังและนับตั้งแต่นั้น ฟู่เซียวหานก็มักจะเตรียมขนมไว้ในกระเป๋านักเรียนของเขาเสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาแม้กระทั่งตั้
ฟู่เซียวหานราวกับสงบสติลงแล้ว ในเวลานี้สองมือของเขายันเข้ากับพื้นโต๊ะ แผ่นหลังที่เหยียดตรงอยู่เสมอโค้งงอ เขาก้มศีรษะลง ดูจิตใจเหงาหงอยเศร้าซึมลงอย่างบอกไม่ถูกสวีเหยียนคิดอยากจะปลอบโยนเขา แต่ว่าสวีเหยียนไม่รู้เลยว่าตนควรจะพูดสิ่งใดและในขณะที่เขาลังเลนั้นเอง จู่ ๆ ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมถามเขาว่า “มีบุหรี่ไหม?”สวีเหยียนชะงักไปกับคำถามที่เข้ามาอย่างกะทันหันนี้ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็รู้สึกตัวและนึกขึ้นได้ว่าฟู่เซียวหานเลิกบุหรี่ไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้เขารีบส่งซองบุหรี่ที่พกติดตัวไปอย่างไม่ลังเล พร้อมกล่าวว่า “บุหรี่ยี่ห้อนี้แตกต่างกับที่คุณคุ้นเคย ให้ผมสั่งคนไปซื้อมาให้ไหมครับ?”“ไม่ต้อง”ฟู่เซียวหานพูดพลางหยิบบุหรี่ออกจากซองสวีเหยียนรีบส่งไฟแช็กที่จุดไฟแล้วไปให้อย่างรวดเร็วเพราะมือของเขายังคง…สั่นระริกอยู่ตลอดเวลาสวีเหยียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาเมื่อเห็นท่าทีของเขาเช่นนั้น โชคดีที่ครู่ต่อมาฟู่เซียวหานจุดบุหรี่ได้ในที่สุดสวีเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกฟู่เซียวหานสุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง หลังจากจ้องไปที่วงควันบนอากาศสักพัก เขาก็กล่าวว่า “เธอกำลังจะแต่งงานแล้ว”
ฟู่เซียวหานมองภาพนั้นอยู่นานจนกระทั่งสวีเหยียนและผู้จัดการฝ่ายดำเนินการเข้ามากล่าวรายงานกับเขาได้ครู่ใหญ่ และพบว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดกลับมาเลย สวีเหยียนถึงจะตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ประธานฟู่ครับ?”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นมองเขาดวงตาล้ำลึกคู่นั้นยังคงเปี่ยมด้วยความสงบอย่างเคยสวีเหยียนรู้สึกไปแม้กระทั่งว่าเมื่อกี้เป็นเขาที่คิดไปเอง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงยื่นเอกสารในมือให้เขา “นี่เป็นเอกสารที่ทางแผนกดำเนินการเพิ่งนำมาครับ ต้องใช้ลายเซ็นของคุณ”ฟู่เซียวหานเหมือนจะเอ่ยตอบรับในลำคอ และหยิบปากกาที่วางด้านข้างขึ้นมาสวีเหยียนและคนที่ยืนด้านข้างยืนรออยู่ฝั่งตรงข้ามหากยึดตามความเร็วในการตรวจสอบเอกสารของฟู่เซียวหานในอดีต เอกสารชุดนี้ก็จะใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบวินาทีเท่านั้น แต่ทั้งสองรอไปสักพักใหญ่ ก็พบว่าสายตาของฟู่เซียวหานยังคงหยุดอยู่ตรงหน้าแรกของเอกสาร“ประธานฟู่ครับ?”เขาทำได้เพียงเอ่ยถามอีกครั้ง ผู้จัดการฝ่ายดำเนินการกระทั่งเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ประธานฟู่ครับ เอกสาร…มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”ฟู่เซียวหานไม่กล่าวอะไรออกมา เพียงพลิกหน้
เขาคิดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็จะยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ราวกับสายน้ำแร่อันแสนอ่อนโยนที่คอยโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเอาไว้เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะจากไปและมากกว่านั้นคือเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากที่เธอจากไป เขาจะรู้สึก…เจ็บได้ถึงขนาดนี้——ราวกับสูญเสียอากาศและแหล่งน้ำที่จำต้องพึ่งพาเพื่อความอยู่รอดดังนั้น เขาคิดผิดไปอย่างไรก็ตาม มันก็เหมือนกันกับในตอนแรกที่เขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอได้อธิบาย ตอนนี้ เธอเองก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาเหนี่ยวรั้งเอาไว้เช่นกันความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ได้ถูกเธอตัดสินโทษประหารชีวิตเอาไว้แล้ว……ไม่กี่วันหลังจากนั้น ซังหนี่ยังคงไปทำงานที่บริษัทตามปกติข่าวการแต่งงานกับจี้อวี้หยวนไม่ใช่เรื่องที่เธอกุขึ้นมา แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาปรึกษากันอย่างดีและตัดสินใจลงมือทำเพราะเวลาของคุณตาของจี้อวี้หยวนใกล้จะหมดลงแล้วชายชราไม่นับว่าอายุมากนัก แต่ก่อนหน้านี้จู่ ๆ เขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุยิ่งไปกว่านั้น อาการของเขาทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็ว จี้อวี้หยวนเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเขา ความปรารถนาของผ
ทันทีที่คำพูดนี้ของฟู่เซียวหานหลุดออกจากปาก ซังหนี่พลันตกตะลึงจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “จริงหรือคะ? แล้วนับว่าคุณชนะหรือเปล่า?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบคำถามของเธอ ราวกับรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่มีความจำเป็นต้องตอบเขาจึงเดินถือสัมภาระออกไปทั้งอย่างนั้นเสียงปิดประตูไม่ดังไม่เบา ไม่เจือไปด้วยอารมณ์ใด ๆ ซังหนี่เองก็ไม่ได้เหลือบมองไปฝั่งนั้นเลยด้วยซ้ำกล่าวตามตรง เดิมทีเธอไม่คิดจะพูดถ้อยคำเมื่อกี้ไปสักนิดเพราะมัน…ไม่มีความหมายอะไรอย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็จบลงแล้ว การที่จะไปขุดคุ้ยอารมณ์จากเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีกครั้งช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นมันก็เหมือนกับผลไม้เน่าเสียที่แค่ต้องโยนทิ้งลงถังขยะไปก็เท่านั้น ทำไมต้องปอกเปลือกออกทีละชั้นเพื่อหาว่าตรงไหนกันที่เน่าเป็นจุดแรก?ท้ายที่สุดแล้ว บนมือก็หลงเหลือเพียงแกนกลางผลไม้ที่เน่าเปื่อยถึงจะยอมรับได้ในที่สุดว่า ——มันผิดมาตั้งแต่แรกแต่ซังหนี่เองที่อดใจไม่ไหวคำถามต่าง ๆ วนเวียนอยู่ในสมองของเธอ นับตั้งแต่เจิ้งชวนบอกกล่าวให้เธอฟังเกี่ยวกับเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ป นับตั้งแต่เธอรู้เรื่องว่าคุณนายฟู่ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วไม