“พี่ พี่จะพูดกับหม่ามี๊แบบนี้ไม่ได้นะคะ!” โดยไม่รอให้คุณนายซังได้พูดอะไร ซังฉิงก็เดินมาหยุดข้างหน้า และมองซังหนี่ด้วยดวงตาที่แดงระเรื่อ “ท่านเป็นห่วงพี่จริง ๆ นะ พี่จะคิดกับท่านแบบนี้ไม่ได้!” ซังหนี่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว ตอนนี้ แค่เธอมองดูพวกเขาก็รู้สึกคลื่นไส้เต็มทน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้โต้ตอบคำพูดของซังฉิง ทำแค่หันหลังแล้วเดินจากไป “พี่คะ!” ซังฉิงทำหมือนอยากจะไล่ตามไป กลับถูกคุณนายซังหยุดเธอไว้ ก่อนที่จะตะโกนไล่หลังซังหนี่ “ได้! ซังหนี่ ถ้าก้าวออกจากประตูนี้ไป นับจากนี้ก็เชิญอดตายอยู่ข้างนอก อย่าคิดที่จะกลับมาอีก!” จบคำพูดนั้นของเธอ ฝีเท้าของซังหนี่พลันหยุดชะงักชั่วครู่หนึ่ง ในตอนแรกคุณนายซังคิดว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้ว กลายเป็นว่าซังหนี่หันกลับมาและพูดกับเธอ “เช่นนั้นฉันก็ขอบคุณค่ะ” กิริยาของเธอยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย ทว่าความสงบนิ่งนี้ ในสายตาของคุณนายซัง กลับเป็น...ความไม่แยแส เหมือนงูพิษที่พ่นพิษออกมา และมองเหยื่อของเธอด้วยความเย็นชา คุณนายซังผงะถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที ซังฉิงรีบเ
ประโยคย้อนถามของเขานั้นอยู่เหนือความคาดหมายของซังหนี่ ในชั่วขณะหนึ่ง เธอคิดว่าตนเองหูฝาดไป ผ่านไปหลายอึดใจ ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัว ทว่ากลับกระตุกมุมปากเอ่ย “ตอนนี้ประธานฟู่เพิ่งจะมาถามคำถามนี้...ไม่คิดว่าสายไปหน่อยเหรอคะ?” ฟู่เซียวหานหรี่ตาลง ในตอนที่เธอเสนอเรื่องหย่าขึ้นมาครั้งแรก เขาแค่คิดว่าเธอกำลังโกรธแต่ถึงแม้จะเป็นเพราะความโกรธ เขาก็จะอดทนกับเธอได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นในครั้งที่สอง เขาจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเธอ เป็นเพราะความโกรธจริงไหม? อาจจะจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ในเวลานั้นฟู่เซียวหานมั่นใจมากว่า——เธอจะต้องนึกเสียใจภายหลัง ทว่าตอนนี้ดูแล้ว...เหมือนว่าเขาจะคิดผิด สำหรับเรื่องราวในอดีตของเธอนั้น แท้จริงแล้วฟู่เซียวหานก็เพิ่งจะรู้เมื่อสองวันก่อนนี้เอง ——พ่อบุญธรรมที่ถูกจับเข้าคุก และแม่บุญธรรมที่นอนไม่ได้สติอยู่โรงพยาบาล เรื่องเหล่านี้ เขาไม่เคยได้ยินซังหนี่เอ่ยถึงมาก่อนเลย ในเวลานี้เองที่ฟู่เซียวหานเพิ่งจะได้ค้นพบว่า เหมือนตัวเขาเองเหมือนที่...ไม่เคยรู้จักเธอเลย “แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ตอนนี้
เมื่อซังหนี่กลับมาก็ล้มตัวนอนบนเตียงและผล็อยหลับไป ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นจะตกอยู่ในห้วงฝันร้าย ครั้นเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หมอนก็เปียกไปมากกว่าครึ่ง ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว หลังจากซังหนี่นั่งบนเตียงสักพักหนึ่ง ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเอง เดิมเธอคิดว่าตนเองจะถูกโจมตีด้วยกองทัพข้อความและสายเรียกเข้า แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ...ไม่มีเลย นอกจากไม่มีข่าวในโลกออนไลน์แล้ว แม้แต่ข่าวในแวดวงสังคมของพวกเขาก็ไม่มีเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยถึงอื่นไกล หากหยวนโหรวรู้เรื่องนี้แล้ว เธอจะต้องมาเหน็บแนมและเย้ยหยันตนเองแน่ ๆ ทว่าไม่มีการเคลื่อนไหวจากเธอเลย หมายความได้ว่า...มีคนสั่งให้ปิดข่าว และผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนั้นได้ คำตอบก็พร้อมจะเฉลยออกมาทันที เพียงแต่ซังหนี่ก็ตัดความคิดนี้ทิ้งทันทีที่มันเกิดขึ้น สุดท้ายแล้ว...มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ทว่านอกเหนือจากนี้ ซังหนี่ก็นึกถึงคำตอบอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ ในอีกไม่กี่วันต่อมา ซังหนี่ยังคงสนใจกับข่าวที่คล้ายกัน แต่ไม่มีข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเธอแพร่กระจายออกไปเลย ตรงกันข้ามเธอกลับได้ยินข่าวอื่น——
เขาไม่รอให้ซังหนี่ได้ตอบ เพียงกล่าวตามตรง “เธอได้ยินแล้วใช่ไหม? ฉันกำลังจะหมั้นหมายกับตระกูลซังน่ะ” ซังหนี่กำลังหยิบส้อมขึ้นมาแล้วตัดเค้ก หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ค่อย ๆ วางส้อมกลับที่เดิม แล้วพยักหน้า “กับซังฉิง” ซังหนี่เอ่ยตอบ “ฉันรู้แล้ว” “ได้ยินมาว่าตอนนี้เธอได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซังแล้วเหรอ?” ฉินม่อลดสายตาลง แล้วเอ่ยต่อ “จะว่าไปแล้ว หากไม่เป็นเช่นนั้น คนที่ฉันต้องแต่งงานด้วยก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเธอ” คราวนี้ ฉินม่อหัวเราะเสียงดังออกมาจริง ๆ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน รอยยิ้มนั้นก็ยังไม่อาจส่งไปถึงดวงตา และมุมปากยิ่งขมขื่นไม่รู้จบ ซังหนี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “หากนายไม่เต็มใจ ก็สามารถคุยกับพวกเขาได้...” ฉินม่อส่ายหน้า “พวกเขาให้ฉันกลับมา ก็เพื่อดึงเอาคุณค่าทั้งหมดออกไปจากตัวฉัน เธอรู้ไหม? ในเวลาเพียงยี่สิบวันนี้ ฉันได้นัดพบกับคนอื่นมาสิบกว่าคนแล้ว” “คุณค่า?” ซังหนี่กลับขมวดคิ้ว “ถ้านายได้แต่งงานสำเร็จจริง ๆ มันก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาใช่ไหม? ทำไมยัง...” ฉินม่อเอ่ยขัดจังหวะเธอ “เธอคงยังไม่รู้สินะ? หลังจากอุบัต
ฟู่เซียวหานถามตรง ๆ เช่นนี้ ซังฉิงจึงเกิดความลังเล เธอก้มศีรษะลง และใช้มือถูกระโปรงไปมาสักพัก ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ตอนที่ฉันไปเรียน...เขากับพี่สาวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากค่ะ” ฟู่เซียวหานไม่ได้พูดต่อ ซังฉิงดูเหมือนกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายต่อทันที “แต่ในไม่ช้าฉินม่อก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ดังนั้นระหว่างพี่สาวกับเขานั้น...คงจะเป็นความบริสุทธิ์ใจค่ะ” “แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคิดว่าฉันไม่ควรหมั้นกับเขาค่ะ พี่เซียวหาน พี่คิดว่าฉันเห็นแก่ตัวหรือเลวมากไหมคะ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ครอบครัวต้องการฉันมากที่สุด แต่ฉัน...” ซังฉิงกล่าวมาถึงตรงนั้น ดวงตาของเธอพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ฟู่เซียวหานไม่ตอบ แค่หลับตาลงโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ซังฉิงกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดต่อ “พี่เซียวหานคะ ครั้งล่าสุด...พี่คุยอะไรกับแด๊ดดี้บ้างคะ? ฉัน...ฉันไม่อยากแต่งงานตอนนี้เลยจริง ๆ พี่ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ?” ขณะที่พูด ซังฉิงก็ยื่นมือออกมา หมายจะดึงแขนเสื้อของฟู่เซียวหาน แต่ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของ
“คุณผู้หญิง คุณได้โปรดใจเย็น ๆ ก่อน พวกเราไปหาสถานที่คุยกันดี ๆ ...” ในขณะที่พนักงานพยายามขัดขวางหยวนโหรวอย่างเต็มที่ ประตูห้องตรงหน้าก็เปิดออกกะทันหัน ซังหนี่อยู่ในห้องตามที่คาดไว้ ผมเผ้าของเธอค่อนข้างยุ่งเหยิง นอกจากนี้ยังมีอาการใบหน้าแดงก่ำผิดปกติด้วย แต่ดวงตากลับเย็นชานัก “นั่นไง! เธออยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย! แล้วชายชู้อยู่ที่ไหน? ฉินม่ออยู่ข้างในใช่ไหม? หลบให้ฉันเข้าไป...” ซังหนี่เพิกเฉยต่อหยวนโหรว และเดินไปหยุดตรงหน้าของซังฉิงในไม่กี่ก้าวเท่านั้น การเคลื่อนไหวของซังหนี่รวดเร็วเกินไป ซังฉิงยังไม่ทันได้มีเวลาตอบสนอง ก็ถูกซังหนี่แย่งโทรศัพท์ของเธอไปแล้ว! “พี่...” ซังฉิงเพิ่งจะอ้าปาก ซังหนี่ก็ลบวิดีโอที่เธอเพิ่งบันทึกไปแล้ว จากนั้น ก็ปาโทรศัพท์ของเธอลงกระแทกกับพื้นโดยตรง! “เธอคิดจะทำอะไร?!” เดิมทีหยวนโหรวต้องการจะเข้าไปตามหาฉินม่อ หลังจากเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เธอก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อปกป้องซังฉิงทันที ซังหนี่ไม่เปิดโอกาสให้พวกเธอได้ป้องกันใด ๆ เลย เพียงแค่เงื้อมือขึ้น และตบหน้าซังฉิงโดยตรง! “ฉิงฉิง!” หยวนโหรวกรีดร้องออกม
ซังหนี่ยืดตัวขึ้น และเงยหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากของชายคนนั้น ทว่าฟู่เซียวหานเบือนหน้าหนีทันที และหลบเลี่ยงการจูบของเธอได้ ร่างกายของซังหนี่พลันแข็งทื่อ แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เธอก้มศีรษะลงทันที แล้วแลบลิ้นออกมา เลียลูกกระเดือกของฟู่เซียวหาน ร่างกายของฟู่เซียวหานสั่นสะท้านอย่างกะทันหัน ก่อนจะจับคางของเธอ และบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง เดิมทีดวงตาของซังหนี่ก็เป็นสีแดงอยู่แล้ว เมื่อรวมกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง และหน้าตาเปียกปอนก็เหมือนลูกแมวน้อยไร้ที่พึ่งในคืนฝนพรำ ฟู่เซียวหานย่นคิ้วเบา ๆ แต่ซังหนี่ไม่สนใจมากนัก เพียงแค่เอื้อมมือออกไปปลดเข็มขัดของเขาออกตรง ๆ ในตอนแรกเขายังอยากจะหยุดเธอ แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของซังหนี่ก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองอย่างรวดเร็ว และเห็นชื่อบนนั้นได้ทันที——ฉินม่อ เสียงที่คุ้นเคยทำให้สติของซังหนี่กลับมาเล็กน้อย ร่างกายของเธอยังสั่นอยู่อีกสักพัก ก่อนที่จะหันกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตน โดยไม่สนใจมือของเขาที่จับคางของตัวเองไว้ แต่ในวินาทีต่อมา ฝ่ามือของฟู่เซียวหานประคองท้ายทอยของเธอเอาไว้ จากนั
หลังจากนั้น ซังหนี่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนแล้ว ราวกับว่าในโลกของเธอมีเพียงฟู่เซียวหานคนเดียวเท่านั้น เหมือนว่าเธอไม่สามารถอยู่คนเดียวได้อีกต่อไป และขั้นตอนทั้งหมดยึดติดอยู่กับร่างกายของฟู่เซียวหาน อนุญาตให้เขาตักตวงได้ตามใจปรารถนา ผลลัพธ์จากการปล่อยตัวอย่างไร้การควบคุมก็คือเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป ร่างกายของเธอก็รู้สึกเหมือนถูกรถบดขยี้ ลำคอแห้งผากจนแทบจุดไฟติด ทันทีที่ซังหนี่เคลื่อนไหว พลันมีความรู้สึกเจ็บแปลบที่แข้งขาทันที เธอพ่นลมหายใจเพื่อตั้งสติ หลังจากพักผ่อนบนเตียงได้สักพัก ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง สถานที่ตรงหน้านี้ไม่คุ้นเคยเลย ไม่ใช่บ้านเช่าหลังเล็กของเธอ และไม่ใช่โรงแรมใด ๆ ด้วย ทว่าฟู่เซียวหานเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในเมืองนี้ ซังหนี่จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีสถานที่เช่นนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก แค่ก้มลงและหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นค่อย ๆ สวมใส่ เมื่อเธอเดินออกจากห้อง โทรศัพท์มือถือก็เปิดเครื่องได้สำเร็จพอดี บนหน้าจอมีทั้งข้อความและสายที่ไม่ได้รับมากมายนั
ฟู่เซียวหานเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของเธอแวบหนึ่งก่อนจะย้อนถามกลับว่า “คุณไปไหนมา?”ซังหนี่เม้มริมฝีปากแล้วตอบกลับว่า “ใครให้คุณเปลี่ยนกลอนประตูห้องของฉัน?”“ตอบ คำถาม ฉัน มา”สีหน้าของฟู่เซียวหานดูไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซังหนี่ตั้งใจจะโต้เถียงกับเขาให้ถึงที่สุด แต่เมื่อสบตาเขาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยอมตอบในที่สุด “โรงพยาบาล”สีหน้าของฟู่เซียวหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองเธออีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังหนี่ไม่ได้สังเกตสายตาของเขา เพียงพูดต่อว่า “ตอนบ่ายพวกเขาบอกฉันว่าแม่ฉันฟื้นแล้ว แต่พอฉันไปถึงเธอก็หลับไปอีก ฉันเลยรออยู่ที่นั่นตลอด เพื่อดูว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้หรือเปล่า”เสียงของซังหนี่แผ่วเบา และแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างชัดเจนสีหน้าที่เย็นชาของฟู่เซียวหานผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามว่า “แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์?”“ฉันตั้งโหมดเงียบไว้ เลยไม่เห็น”ซังหนี่พูดพร้อมกับถามต่อ “ตอนนี้ฉันเข้าบ้านได้หรือยัง?”ฟู่เซียวหานจึงขยับตัวหลีกทางให้เธอเข้าไปซังหนี่โน้มตัวถอดรองเท้า แล้ววางกระเป๋าผ้าของเธอลงจากนั้น เธอหันกลับมามองเขา “แล้วคุณมาที่นี่ทำไม?”ฟ
ในฐานะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ฟู่เซียวหานเคยพบเจอสิ่งล่อลวงมากมายนับไม่ถ้วนและชัดเจนว่าผู้หญิงตรงหน้านี้คือหนึ่งในประเภทผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุดดังนั้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซังหนี่โดยตรงโทรติด แต่กลับไม่มีคนรับสายสีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งขุ่นหมองและดูไม่ดีมากขึ้นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา รู้สึกอับอายไม่น้อย กับการที่ถูกเมินเฉยแต่เมื่อนึกถึงรถยนต์สุดหรูของฟู่เซียวหาน รวมถึงเสื้อผ้าบนตัวเขาที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าราคาไม่ธรรมดา เธอก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา “คุณกับซังหนี่เป็นอะไรกันเหรอ? เพื่อนกันใช่มั้ย?”“แต่ว่าตอนนี้เธอคงไม่มีเวลามารับโทรศัพท์ของคุณหรอกนะ ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับบ้าน แสดงว่าต้องไปนัดเจอผู้ชายอยู่แน่ ๆ ”“ฉันบอกคุณเลยนะ เธอไม่ได้เรียบร้อยเหมือนที่คุณเห็นหรอก เบื้องหลังน่ะเธอออกจะสุดเหวี่ยงใช่เล่น เมื่อเช้าฉันยังเห็นเธอ...”ยังไม่ทันที่คำพูดของหญิงสาวจะจบ สายตาของฟู่เซียวหานหันมาจ้องเธอทันทีสายตาเย็นเยียบคมกริบดั่งมือที่มองไม่เห็น บีบเข้าที่ลำคอของเธอ ทำให้คำพูดที่ยังไม่ทันหลุดออกมาถูกกลืนกลับลงไปในทันทีหญิงสาวก็มั่นใจว่า
ฟ้ามืดลงแล้วแสงไฟจากด้านนอกเริ่มส่องสว่าง หลอดไฟนีออนหลากสีผสานเข้ากับแสงสีแดงจากการจราจรยามค่ำคืน ทำให้เกิดภาพด้านหนึ่งที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองและความเย็นชาของเมืองแห่งนี้อย่างเด่นชัดตึกจื้อเหอตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง หน้าต่างบานใหญ่สูงจรดพื้นดูราวกับกรอบรูปขนาดยักษ์บานหนึ่ง กักเก็บภาพทั้งหมดนี้ไว้ ให้คนได้ชื่นชมฟู่เซียวหานยืนอยู่ตรงนั้น มองดูทุกอย่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเขาถือไฟแช็กไว้ในมือ กดสวิตช์เปิดปิดซ้ำไปซ้ำมา เปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะดับวูบไปในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับความทรงจำของพ่อ ฟู่เซียวหานแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้วสิ่งเดียวที่นึกออก คงเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมและไม่เคยยิ้มง่าย ๆ มีมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับเขา และท้ายที่สุดคือภาพพ่อที่นอนป่วยอยู่บนเตียงคนป่วยจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้พ่อจากไปตอนที่ฟู่เซียวหานอายุเพียง 12 ปีแม้ความสัมพันธ์พ่อลูกจะไม่ได้แน่นแฟ้นมากนัก แต่ในความทรงจำของเขา พ่อก็ยังเป็น "พ่อ" ที่ธรรมดาคนหนึ่งระหว่างเขากับแม่ บางทีก็ดูเหมือนว่าเคยรักกันไม่อย่างนั้น เธอจะเฝ้ารอเขามาตลอดหลายปีเพื่ออะไร?ตอนแรกที่บังคับใ
น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“ไอ้สารเลว” เธอกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนชายที่เดิมทีกำลังจะก้มกัดที่ต้นคอของเธอ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นกลับชะงักไปพักหนึ่งจากนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองตาเธอลิปสติกของซังหนี่เลอะเทอะไปหมด อายไลเนอร์ก็เลือนรางเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา เส้นผมยุ่งเหยิง ทั้งตัวของเธอดูทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อฟู่เซียวหานเห็นหยดน้ำตาที่เกาะอยู่บนขนตาของเธอ หัวใจของเขากลับเต้นแรงไปชั่วขณะจากนั้น เขาค่อย ๆ ชะลอการกระทำลง ก่อนจะโอบท้ายทอยของเธออีกครั้งและจูบลงไปทันทีจูบนี้อ่อนโยนและละมุนยิ่งกว่าเดิม ซังหนี่เองก็ดูเหมือนจะไม่ขัดขืนเหมือนในตอนนั้นที่จริงแล้วการที่เธอรู้สึกเจ็บปวด ฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มผ่อนคลายลง ฟู่เซียวหานก็สงบสติอารมณ์ลงเช่นกันแต่ในจังหวะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะพูดกับเธอดี ๆ ซังหนี่กลับอ้าปาก กัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง! ……“ประธานฟู่”ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน ตอนที่สวีเหยียนกำลังพูดกับเขาอยู่ สายตากลับอดไม่ได้ที่มองริมฝีปากของฟู่เซียวหานแน่นอนว่า รอยฝ่ามือบนแก้มของฟู่เซียวหานนั้นโดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย แต่เ
“นี่คุณจะทำอะไร?”ซังหนี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มขัดขืน “ปล่อยฉันนะ! ฟู่เซียวหาน คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”เท้าของเธอพยายามถีบตัวออกมา จนรองเท้าส้นสูงกระเด็นหลุดไปข้างหนึ่งทางเดินยาวของโรงแรมปูด้วยพรมหนานุ่ม เมื่อรองเท้ากระเด็นหล่นลงไป กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเมื่อเข้ามาในลิฟต์ เขาถึงได้ยอมปล่อยเธอลงแต่ซังหนี่กลับถูกเขาดันไปติดมุมลิฟต์ พอเธอกำลังจะก้าวหนี เขาก็จับคางเธอไว้แล้วจูบลงมาทันทีเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอลังเลหรือขัดขืนเลย เพียงแค่จูบลงไปลิ้นของเขาก็เข้าผ่านริมฝีปากของเธอโดยตรงการรุกล้ำที่เต็มไปด้วยความกระหายทำให้ซังหนี่เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจในทันทีแต่สองมือของเธอถูกเขากดไว้แน่น เวลานี้แม้แต่จะผลักเขาออกไปยังทำไม่ได้เข่าของฟู่เซียวหานยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สอดเข้าไปในใต้กระโปรงของเธอเขารู้จักร่างกายของเธอเป็นอย่างดี การกระทำที่ดุดันและรุนแรงในตอนนี้ ทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปลาตัวที่ถูกตรึงไว้บนเขียงตัวหนึ่งเธอทำได้เพียงเฝ้ามองใบมีดที่กำลังจะตกลงมากรีดผิวและกระดูกตัวเองสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายยิ่งกว่าคือ ร่างกายของเธอกลับตอบสนองต่อสิ่งที
ซังหนี่พึ่งจะรู้สึกตัว จึงค่อย ๆ ลดเท้าที่ตั้งใจจะเตะอีกลงอย่างช้า ๆหน้ากากของเขายังคงสวมไว้อย่างเรียบร้อย แต่ดวงตาคู่นั้นเย็นชาอย่างที่สุด ราวกับต้องการฉีกซังหนี่ทั้งตัวออกเป็นชิ้น ๆ“คุณ...คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”ซังหนี่สบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามในที่สุด“ทำไม? หรือว่าไม่พอใจที่ผมขัดขวางเรื่องดี ๆ ของคุณ?”สีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ มือของเขาบีบปลายคางของซังหนี่แน่นขึ้นกว่าเดิมความโกรธจากการถูกปฏิเสธคำชวนเต้นและการเตะเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะถูกเขาจดจำไว้ทั้งหมด แรงบีบในตอนนี้ราวกับจะบดขยี้กระดูกของซังหนี่ให้แหลกละเอียดซังหนี่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว กำลังจะปัดมือของเขาออก แต่ฟู่เซียวหานกลับคว้าข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น จากนั้นยกเข่าขึ้นมาแทรกระหว่างขาของเธอทันที“คุณหนูซังนี่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยนะ”เขามองเธอพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมผมถึงไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีแววจะเป็นดาวเด่นในวงสังคมได้?”——เธอในเมื่อก่อนมักจะเงียบขรึมและเรียบง่ายจนน่าเบื่อ มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นที่เธอจะเผยเสน่ห์เย้ายวนออกมาฟู่เซียวหานเคยคิดว่า ด้านนี้ของเธอมีเพียงเขาเท่
การพูดคุยระหว่างซังหนี่และคุณชายเย่ดำเนินไปอย่างราบรื่นหลังจากเพลงแรกจบลง พวกเขาก็ยังไม่ได้ลงจากฟลอร์ แต่กลับเริ่มเต้นรำเพลงที่สองต่อทันที“ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?”คุณชายเย่อดไม่ได้ที่จะถามเธอซังหนี่ยักคิ้วเล็กน้อย “นี่มันงานเต้นรำหน้ากากนะคะ การบอกชื่อกันไม่จำเป็นหรอก”“แต่คุณก็รู้จักตัวผมนี่ ดูเหมือนไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลยนะ? ““คนที่นี่ก็รู้จักคุณเยอะมาก คุณดังขนาดนี้ ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”น้ำเสียงของซังหนี่แฝงด้วยความจนใจคุณชายเย่กลับไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงพูดขึ้นว่า “งั้นแปลว่าหลังคืนนี้ ผมคงไม่มีโอกาสชวนคุณออกไปกินข้าวแล้วสินะ?”“อืม มีโอกาสค่ะ” ซังหนี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ถึงตอนนั้น คุณพาคุณพ่อมาด้วย ส่วนฉันก็มากับประธานฉิน ทานข้าวด้วยกันแบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”สรุปแล้ว คุณเป็นลูกน้องของฉินเหยา? เลขา? ผู้ช่วย? หรือว่าเป็นนักแสดงในสังกัดบริษัทของเขากันล่ะ?”คุณชายเย่เดาไปทีละอย่าง แต่ซังหนี่กลับไม่ตอบอะไร แค่ย้อนถามว่า “เรื่องทานข้าว คุณตกลงหรือเปล่า?”“ถ้าคุณไป ผมก็ต้องตกลงอยู่แล้วล่ะ”“ตกลงค่ะ”ซังหนี่ตอบรับอย่างไม่ลังเลคุณชายเย่จ้องมองเธอสักพักก่อนพูดว่า
“นี่คุณ ไม่ทราบหรือว่าอะไรคือการมาก่อนมาหลัง?”คุณชายเย่หันกลับมา ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยถามเขาฟู่เซียวหานตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ทราบดี แต่ผมคิดว่าสิทธิ์ในการเลือกควรเป็นของสุภาพสตรีท่านนี้มากกว่า”คำพูดของเขาทำเอาคนฟังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีฟู่เซียวหานไม่ได้มองคุณชายเย่อีก แต่สายตาจับจ้องไปที่ซังหนี่เพียงคนเดียวเท่านั้นดวงตาที่มักจะสงบนิ่งดั่งผืนน้ำ ในตอนนี้เหมือนกำลังพยายามอดกลั้นบางสิ่งไว้ คล้ายกับกระแสใต้ผิวน้ำที่กำลังจะไหลเชี่ยวมือของซังหนี่ที่อยู่ข้างตัวกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวผ่านไปครู่หนึ่ง เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะวางมือบนฝ่ามือของคุณชายเย่——เป็นการตอบรับคำเชิญของเขาประกายในแววตาของฟู่เซียวหานพลันจางหายไปทันทีมือที่แบออกก็กำแน่นขึ้นในทันทีเขาอยากมองซังหนี่อีกครั้ง แต่เธอหันหลังเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่ลังเลฟู่เซียวหานมองตามแผ่นหลังของพวกเขา ฟันของเขาค่อย ๆ ขบกันจนแน่นในตอนนั้นเอง ฉินเหยาก็เดินเข้ามาหา “ประธานฟู่”ฟู่เซียวหานมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาร่วมงานคืนนี้” ฉินเหยาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยังไม่ได้แสดงความยินดีเลย ได้ยินมาว่าคุณปิดการเจรจาที่ประเทศ
“ทางทิศหกนาฬิกา มองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไหม?”ฉินเหยาถามเพราะท่าการเต้น ทำให้ตอนนี้ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันมาก ซังหนี่ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว จนลมหายใจของเธอตอนนี้เริ่มไม่เป็นจังหวะ และปลายจมูกภายใต้หน้ากากก็มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ฉินเหยาถามแบบนี้ เธอก็หันไปมองทันที“อืม แล้วไงล่ะ?”“นั่นคือลูกชายของประธานเย่แห่งไห่เฉากรุ๊ป เขามองคุณมาสักพักแล้ว เดี๋ยวผมจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักกัน คุณช่วยเต้นรำกับเขาสักเพลงได้ไหม?”ซังหนี่หัวเราะเบา ๆ “ทำไมฉันต้องทำด้วยล่ะ?”“ช่วงนี้ผมกำลังเตรียมร่วมงามกับพ่อของเขา”ฉินเหยาไม่ได้ปิดบังซังหนี่ พูดตรง ๆ ว่า “ถ้าคุณช่วยผมได้ครั้งนี้ เรื่องลิขสิทธิ์ผมจะให้คุณร่วมลงทุนในการผลิตทันที ถ้าละครดังขึ้นมา คุณจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแน่นอน”ซังหนี่ยังหัวเราะเหมือนเดิม ดูเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ฉินเหยาพูดเท่าไหร่ฉินเหยาไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของเธอ เพียงพูดต่อว่า “แน่นอน เงินอาจไม่ได้ดึงดูดใจคุณมาก แต่สิ่งนี้คือความมั่นใจที่คุณสร้างให้ตัวเองใช่ไหมล่ะ?”ซังหนี่ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของฉินเหยาอีกหลังจากครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาที เธอถามว่า “การช่