แต่เพราะนางติดที่สามีจึงจำต้องทนนิ่งไว้ จะให้นางเกรี้ยวกราดเช่นสตรีไร้การอบรม นางก็มิอาจทำได้เช่นกัน อีกอย่าง บุตรชายก็ยังรักษาระยะที่เหมาะสมในการพบปะพูดคุยกับจีกวานฮวาอยู่มาก ซึ่งมันยังไม่ถึงขั้นต้องตักเตือนหรือห้ามปรามกัน และเป็นนางเองที่คอยบอกมิให้สะใภ้รักยอมรับจีกวานฮวามาเป็นอนุของบุตรชาย
นางเป็นสตรีคนหนึ่ง ไยจะมิรู้ว่าหากจีกวานฮวาแต่งเข้ามาในจวน ลูกสะใภ้ของนางต้องเจ็บปวดแค่ไหน
“ซานหลาง แทนที่เจ้าจะเอาเวลามาปลอบขวัญผู้อื่นอยู่แบบนี้ เจ้าต้องให้แม่บอกหรือไม่ ว่าสิ่งที่ลูกสมควรทำตอนนี้คืออะไร และต้องอยู่ที่ไหน”
เมื่อถูกมองด้วยหางตาเสมือนการดูหมิ่นกลาย ๆ จากมารดาของชายหนุ่ม ทำให้จีกวานฮวาจำต้องหลบไปอยู่ด้านหลังของหยางซานหลาง
ด้วยท่าทางหวาดกลัว ยิ่งเพิ่มความมิพอใจให้แก่ฮูหยินใหญ่แห่งสกุลหยาง
‘หึ! มารยาเจ้าใช้ได้แค่กับผู้อื่น ยกเว้นคนเช่นข้า จีกวานฮวา’
หลิวเจินเจินคิดอยู่ในใจ พร้อมกับพยายามข่มกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองที่มีต่อหญิงสาวเอาไว้ให้ลึกที่สุด
“ท่านแม่ เมื่อไหร่จะเลิกเข้าข้างไป๋หลานสักที ท่านมักเชื่อการเสแสร้งของนางเหมือนคนตาบอดยิ่งนัก” หยางซานหลางตัดพ้อมารดาอยู่ในที
“ใช่ ลูกรัก แม่มันตาบอด แล้วคนตาดีเช่นเจ้าล่ะ ทำไมถึงมองไม่เห็นความจริงเสียบ้าง” พูดจบหลิวเจินเจินได้สะบัดใบหน้าไปอีกทางด้วยความขัดเคืองใจเป็นที่สุด
หรู่อี้เป็นสาวใช้ที่ซื่อสัตย์มาตลอด แล้วไยนางต้องมารับกรรมในสิ่งที่นางไม่ได้ทำด้วยเล่า แม้นางจะเป็นใหญ่ในบ้าน แต่ก็มีหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อย และการเงินบ่าวไพร่เท่านั้น ส่วนเรื่องเช่นนี้จำต้องให้สามีและ
บุตรชายเป็นผู้ตัดสิน
“ท่านแม่อย่าได้ถือโทษพี่ซานหลางเลยนะเจ้าคะ เป็นเพราะกวานเอ๋อร์ไม่ดูแลพี่ไป๋หลานให้ดีเองเจ้าค่ะ” จีกวานฮวาเอ่ยออกมาในที่สุด เมื่อเห็นมารดาของชายหนุ่มกล่าวหาว่าหยางซานหลางบกพร่องในการดูแลภรรยา
“คุณหนูจีกวานฮวา ไม่มีผู้ใดสอนเจ้าหรืออย่างไร ว่าหากมิใช่เรื่องของตนเอง อย่าได้เอ่ยปากสอดแทรก เจ้าช่างต่างจากไป๋หลานของข้ายิ่งนัก ที่รู้จักคำว่ามารยาท สมกับเป็นสตรีชั้นสูง อีกอย่าง ไป๋หลาน นางโตแล้ว ไยยังต้องให้เจ้าดูแลด้วย ปกตินางอยู่ในจวนโดยไม่มีเจ้าแวะเวียนมา แม้แต่รอยมดกัดยังไม่เคยเกิดขึ้นกับนางสักครา”
จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อถูกเปรียบเทียบกับญาติผู้พี่อย่างตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อม หรือรักษาหน้าของนางจากมารดาของชายหนุ่ม ทุกคำพูดบ่งบอกว่านางคือคนที่เป็นต้นเหตุของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับโม่ไป๋หลาน
หยางซานหลางทำเพียงตบเบา ๆ ลงบนหลังมือของหญิงสาวที่กำลังจับชายแขนเสื้อของเขาอยู่ในตอนนี้
“อย่าคิดมากกวานเอ๋อร์ ท่านแม่แค่กำลังสับสนและเป็นกังวลที่
ไป๋หลาน อาจไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง”
หยางซานหลางเอี้ยวตัวไปพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน และแก้ต่างให้แก่มารดาไปในทีด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้ผู้ใดมาตำหนิมารดาของเขาได้เช่นกัน
“อ้อ! อีกเรื่องหนึ่ง...คุณหนูจีกวานฮวา เจ้าควรใช้คำที่เรียกข้าให้ถูกต้องด้วย คำว่าแม่เรียกได้เฉพาะบุตรชายและลูกสะใภ้เท่านั้น คนนอก...ควรใช้คำว่า ฮูหยิน จึงจะถูกต้อง หวังว่าเรื่องแค่นี้ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่”
ใบหน้าของจีกวานฮวาซีดเผือดลงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อถูกตอกย้ำถึงสถานะของนางภายในจวนแห่งนี้ ก่อนจะช้อนสายตาที่มีน้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่ในดวงตาขึ้นมองชายหนุ่ม
หยางซานหลางเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน เพราะหากเขาตั้งแง่กับมารดามากเท่าไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งจะลำบากใจมากเท่านั้น
เพราะภรรยาจอมมารยาของเขาที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด จึงทำให้มารดาของเขาต่อว่าญาติผู้น้องของภรรยา ซึ่งนับว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงอยู่มิน้อย และเขาไม่อาจเถียงมารดาได้ ในเมื่อสิ่งที่ผู้เป็นแม่เอ่ยมานั้น เรียกได้ว่าไม่มีสิ่งใดผิดเลยสักนิดเดียว
ส่วนคนที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกพอจะจับใจความได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มากเท่าที่ควร แต่เสียงโบยที่ยังคงดังมาเป็นระยะ หากเธอยังมัวโอ้เอ้อยู่ คงได้มีคนตายขึ้นมาจริง ๆ แน่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบางรีบก้าวเข้าสู่ด้านในด้วยฝีเท้าเบาดุจปุยนุ่น มิใช่ว่าเธอเก่งกาจอะไร แต่เพราะร่างกายที่อ่อนแรงต่างหาก ที่ทำให้เดินแล้วไม่มีเสียง
เมื่อผ่านประตูลานฝึกเข้ามาได้เพียงเล็กน้อย หลี่ถิงก็ต้องหยุดชะงักเสียก่อน เมื่อเสียงโบยหยุดลง ก่อนจะได้ยินเสียงคนพูดขึ้น
“เรียนท่านแม่ทัพ นางสลบไปแล้วขอรับ”
ทหารที่รับหน้าที่โบยหรู่อี้ได้ก้าวเข้าไปรายงานแก่ท่านแม่ทัพ
หยางซานหลางด้วยอาการเกร็งอยู่เล็กน้อย ด้วยตอนนี้ เจ้านายของบ้านกำลังมีปากเสียงกันอยู่ หากรอก่อนก็เกรงว่าจะถูกตำหนิเรื่องมิรายงานผล
ให้ทราบ
“ทำให้นางฟื้น! แล้วโบยต่อไปจนกว่านางจะตาย”
คำสั่งของหยางซานหลาง ทำให้หลายคนรู้สึกเสียใจกับความแล้งน้ำใจของแม่ทัพหนุ่ม หลิวเจินเจินขยับกายหมายปกป้องหรู่อี้ เมื่อบุตรชายกำลังจะกลายเป็นสัตว์ร้ายในสายตาของบริวารภายในจวน
“อำมหิตยิ่งนัก! ใจของท่านทำด้วยอะไรกัน นี่หรือแม่ทัพผู้เกรียงไกร ไยไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้ สืบความมิกระจ่าง แต่กลับลงทัณฑ์คนถึงตาย ช่างน่านับถือยิ่งนัก”
ทุกคนหันไปตามเสียงแหบโหยอย่างพร้อมเพียงโดยมิได้นัดหมาย หลี่ถิงมือสั่นน้อย ๆ แต่ยังคุมเสียงให้ไม่สั่นเช่นร่างกาย เพื่อที่จะไม่เผลอแสดงอาการตื่นกลัวให้ใครจับได้ ยังดีที่เธอเคยแสดงหนังแนวย้อนยุค เลยทำให้พอจะตีเนียนพูดตามทุกคนได้บ้าง
“เจ้า! หึ! เป็นอย่างที่ข้าคิดไม่มีผิด เจ้าเสแสร้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจริง ๆ ถ้าจะตายจริงคงมิได้มายืนปากกล้าต่อหน้าข้าอยู่เช่นนี้”
หยางซานหลางพูดน้ำเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมชี้นิ้วไปยังภรรยาที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยสภาพอ่อนแรงเต็มที แต่ยังคงหลังตรง ยกไหล่เชิดหน้าอย่างสง่างาม สมกับฐานะอยู่นั้นเอง
“แล้วแต่ท่านจะคิด ใครทำอะไรเอาไว้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ” คนอย่าง
หลี่ถิงหรือจะยอมแพ้ กล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าเธอ‘ฉันจะเป็นนางเอกหรือนางร้าย มันก็ขึ้นกับสถานการณ์…’
หลี่ถิงไม่คิดหลบสายตาของอีกฝ่าย เมื่อถูกมองมาด้วยสายตาแข็งกร้าว ซึ่งเต็มไปด้วยโทสะของสามีในชีวิตใหม่
หลิวเจินเจินรีบก้าวเร็ว ๆ เข้าไปประคองลูกสะใภ้ด้วยกลัวว่านางจะ
ล้มลงบาดเจ็บเพิ่ม มือบางลูบคลำตามใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“หลานเอ๋อร์...ลูกแม่ เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ ยังรู้สึกเจ็บปวดตรงไหนบอกแม่มาได้ วันนี้หากใครแตะต้องไป๋หลานก็จงข้ามศพข้าไปก่อน”
หลิวเจินเจินประกาศเปิดศึกกับบุตรชายอย่างชัดเจน จีกวานฮวารู้สึกอิจฉาโม่ไป๋หลานยิ่งนัก ที่มารดาของชายหนุ่มปกป้องญาติผู้พี่ของนางอย่างออกนอกหน้า จนกล้าต่อกรกับชายหนุ่ม“ท่านแม่ นางคือคนผิดนะขอรับ โม่ไป๋หลาน เจ้าปากกล้าเกินไปแล้ว ข้าคือสามีของเจ้า ไยถึงกล้าต่อคำกับข้า ซ้ำต่อหน้าบ่าวไพร่อีกด้วย”หยางซานหลางรู้สึกเหมือนถูกมารดาและภรรยารุมกล่าวหาว่าเขาคือคนที่ไร้ซึ่งเหตุผลอยู่กลาย ๆ“สามีของข้าน่ะหรือ! แน่ใจนะ...ว่าเป็นท่านจริง ๆ หากใช่ ไยจึงปรักปรำภรรยาตนเองเช่นนี้เล่า สงสัยข้าฝันไป ว่าตนเองยังไร้ซึ่งคู่ครอง หรือนี่มิใช่เรื่องจริงกัน อย่างว่าคนใกล้ตาย มักสับสนกับเรื่อง…สามีภรรยาอะไรแบบนี้! ข้าตื่นมาอยู่ในห้องเพียงลำพัง เลยเข้าใจว่ายังไม่มีสามี เพราะมีด้วยหรือที่คนแต่งงานกันแล้ว เมื่อเจ็บป่วยก็ไร้การเหลียวแลกันเช่นนี้”หลี่ถิงทำตาโต ยกมือข้างที่มิได้ถูกแม่สามีเกาะกุมขึ้นปิดปากตนเอง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากฮูหยินหยาง นางชอบใจในการกระทำของสะใภ้รักเป็นอย่างมาก ไป๋หลานสมควรลุกขึ้นมารักษาสิทธิ์ในฐานะภรรยาของบุตรชายได้แล้วสองสามีภรรยายืนประจันหน้ากัน และมันน่าแปลกมากกว่านั้น คือฮูหยินน้อยของบ้านมิคิ
“ข้าพูดไปจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อคนที่ไร้ความเป็นธรรมอย่างท่านเป็นผู้ชี้ชะตาผู้คนในจวน และนั่นรวมถึงตัวข้าด้วย ที่ถูกท่านกล่าวหาในสิ่งที่ข้าไม่ได้กระทำ หากข้าพูดออกมาก็ไม่พ้นคำตัดสินจากท่านว่าข้าคือผู้ผิดอยู่วันยังค่ำ สู้ปล่อยให้พวกท่านเก็บไปคิดเล่น ๆ กันต่อเองมิดีกว่าหรือ”“โม่ไป๋หลาน ตัวเจ้าไม่ได้มาฟังการสอบสวน มาถึงก็พูดจาให้ร้ายใส่ความผู้อื่น แล้วยังพูดเหมือนตัวข้าไม่มีความเป็นธรรมต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”“ข้าคือผู้ถูกกระทำ ย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด แล้วมีสักคำแล้วหรือที่ข้าพาดพิงถึงใคร ส่วนที่กล่าวหาว่าข้าทำให้ท่านดูเหมือนคนไม่มีความเป็นธรรม คงไม่ต้องให้ข้าบอกหรอกนะ ว่าจริงหรือไม่ และไม่มีสิ่งใดที่คนอย่างข้าต้องการจากสามีเช่นท่าน แม่ทัพหยางซานหลาง”หยางซานหลางกำลังปะทะกับภรรยา ซึ่งไม่รู้ว่านางไปกินยาตัวไหนผิดมา ถึงได้หาญกล้าต่อกรกับคนเช่นเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนนางจะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูดจีกวานฮวาเห็นท่าไม่ดีจึงได้เดินเข้าไปหาญาติผู้พี่ของตน หวังปลอบโยนให้นางอารมณ์เย็นลง จะได้ไม่ต้องมีปากเสียงกันกับผู้เป็นพี่เขย ซึ่งมันพ่วงความอับอายมาสู่ตัวนางอย่าง
จีกวานฮวาแอบกำหมัดแน่นภายใต้แขนเสื้อ นางคือผู้แพ้อย่างนั้นหรือในวันนี้ ทุก ๆ ครั้งนางคือคนที่ชนะมาโดยตลอด ส่วนทหารและบ่าวไพร่ที่มาอยู่ดูการตัดสินได้หายไปจากลานฝึกอย่างรวดเร็วเช่นกัน“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ถิงก็เล่นบทนางเอกแสนดี สะใภ้ผู้เพียบพร้อมได้เช่นกัน ก่อนจะแสร้งทิ้งน้ำหนักลงไปทางแม่สามีเล็กน้อยหลิวเจินเจินโอบประคองหญิงสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะก้าวพ้นประตูลานฝึก ฮูหยินใหญ่แห่งจวนสกุลหยางได้หยุดลงก่อนจะเอี้ยวตัวเล็กน้อยหันกลับไปยังบุตรชายและญาติของลูกสะใภ้“อ้อ! ลืมไป คุณหนูจีกวานฮวาเองก็รีบกลับบ้านได้แล้วนะ ก่อนที่มันจะค่ำมืดเอา หลานเอ๋อร์มีซานหลางคอยดูแลอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้า เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าระหว่างสามีกับญาติ ข้าคิดว่าคนเป็นสามีย่อมดีต่อความรู้สึกมากกว่า จริงหรือไม่ หน้าที่ในการปรนนิบัติซานหลางก็เป็นของภรรยาเขา ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”หยางฮูหยินกล่าวทิ้งท้ายด้วยคำพูดเหน็บแหนม ซึ่งทำให้คนฟังแทบกรีดร้องออกมาด้วยความอับอายและเจ็บแค้นเลยทีเดียวหยางซานหลางมองตามร่างภรรยา ด้วยสายตาที่แปลกกว่าที่เคย โม่ไป๋หลานคนนี้ติดจะก้าวร้าว แต่ทุกคำของนางช่างมีน้ำหนักที่สาม
หลี่ถิงรีบหลบหลังเสาทันที ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเดินมาหาตน แล้วหาเรื่องแบบเมื่อกลางวัน‘ฉันยังไม่พร้อมทะเลาะกับใครตอนนี้’หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกทันที เมื่อร่างสูงของหยางซานหลางได้หายเข้าไปภายในห้องซึ่งอยู่ฝั่งขวามือของห้องเธอ ด้วยลักษณะของเรือนหลังนี้เป็นรูปทรงตัวยู โดยห้องของเธอจัดอยู่ตรงกลางที่เป็นส่วนของตัวยูนั่นเอง‘ไหนในหนังสือนิยายหรือละครบอกว่าสามีภรรยาในยุคโบราณ เขาจะแยกอยู่คนละหลังนี่! ยิ่งสามีไม่รักก็มิสมควรนอนหลังเดียวกัน แต่ทำไมสามีของโม่ไป๋หลานถึงได้มาอยู่ที่นี่’“หลบทำไม! หรือคิดว่าข้าจะไปหาเจ้ากัน ถึงมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ตรงนี้ เพื่อเฝ้ารอข้าอย่างนั้นใช่ไหม คิดว่าข้าจะหลงกลมารยาของสตรีใจสกปรกอย่างเจ้าหรืออย่างไรกัน”หยางซานหลางปรากฏตัวขึ้นอีกด้านของเสาต้นใหญ่ที่หลี่ถิงหลบอยู่ พร้อมน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน“ว้าย! ท่านคิดจะทำอะไรข้าอย่างนั้นหรือ ไยถึงได้มาเงียบ ๆ เช่นนี้”หลี่ถิงหวีดร้องด้วยความตกใจ จนดวงตามืดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดประชดอีกฝ่าย ที่ยังยืนนิ่งมองเธออยู่“อย่าใส่ความข้าเพียงเพราะอับอายกับความคิดของตนเอง ไป๋หลาน มีหรือว่าข้าจะมิรู้ว่าเจ้าออกมายืนทำอะไรตรงนี้ ถ้าไม่ใช่มาร
ร่างงามก้าวลงจากเตียงเพื่อเดินออกไปดูด้านนอก แต่หรู่อี้ขยับมาขวางเอาไว้เสียก่อน คิ้วงามขมวดเป็นปม สายตาเริ่มมีแววโทสะที่ถูกขัดใจ เธอพอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว จึงได้คิดที่จะออกไปจัดการให้เรียบร้อย เธอเข้าใจว่าหรู่อี้กลัวหยางซานหลาง“ฮูหยินน้อย อย่าเพิ่งเข้าใจหรู่อี้ผิดนะเจ้าคะ ท่านควรอาบน้ำแต่งกายเสียก่อนเจ้าค่ะ หรู่อี้มิอยากให้ผู้ใดมาว่าฮูหยินอีกเจ้าค่ะ”หลี่ถิงก้มมองชุดตัวเองก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ออกมา เธอลืมไปว่าตอนนี้ สภาพมันไม่น่าดูเอาเสียเลย หากออกไปย่อมต้องอับอายคนอื่นเขาแน่นอนหลี่ถิงเข้าใจเจตนาของสาวใช้แล้ว ก่อนจะเดินไปโอบกอดหรู่อี้ มือบางตบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะผละออก แล้วเดินไปยังส่วนอาบน้ำที่เธอสั่งให้จัดขึ้นมาใหม่‘น่าอายที่สุด...หลี่ถิง’การที่เธอสวมกอดสาวใช้ มันคือ…หนึ่งรู้สึกผิด ที่คิดในแง่ร้ายต่อหญิงสาว สองคือเธอกำลังขัดเขินกับสภาพของตนในตอนนี้“หรู่อี้ เจ้าช่วยไปเอาเสื้อผ้าทั้งหมดของข้าออกมาวางไว้บนเตียงรอเลยนะ ไม่ต้องมาช่วยอาบน้ำก็ได้ ข้าจะจัดการเอง”หลี่ถิงยิ้มแต้ที่สามารถทำตัวกลมกลืนไปกับภาษาของที่นี่ได้ แม้จะยังไม่ชำนาญนัก แต่ก็ถือว่าตีเนียนไปได้เยอะอยู่ ในความคิดของเจ้
“หรู่อี้ ช่วยหากระดาษกับพู่กันมาให้ข้าที”เธอคือคนจีนมาแต่กำเนิด เรื่องอ่านเขียนวาดโคลงกลอนก็ไม่เป็นรองใคร แค่ไม่ได้เก่งมากจนมีชื่อเสียง การใช้พู่กันยิ่งสำคัญกับการแสดงหนังและละคร จึงไม่แปลกที่คนอย่างเธอจะใช้มันเป็นและคล่องแคล่วหรู่อี้ออกไปจากห้องเพื่อจัดหาของให้เจ้านายหลี่ถิงบรรจงเลือกเสื้อผ้าทีละชิ้น ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมสำหรับไปด้านนอกมาดู‘อ่า! ยังดีที่ชุดคลุมเหล่านี้มีลวดลายอยู่บ้าง แม้จะสีน้อย แต่พอไหว’หญิงสาวเร่งจัดการกับตัวเองก่อนที่สาวใช้จะกลับมา เมื่อหรู่อี้กลับมาถึง หลี่ถิงรีบรับสิ่งของทั้งหมดไปนั่งวาดเขียนบางอย่างยังโต๊ะกลางห้อง โดยที่หรู่อี้คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ“หรู่อี้ เรามีเงินหรือไม่” แน่นอนจะทำอะไรจำเป็นต้องใช้เงิน ไม่ว่ายุคสมัยหรือบ้านเมืองใดก็ตาม“มีเจ้าค่ะ ตั๋วแลกเงินและทุกอย่างอยู่ในหีบ รอสักครู่นะเจ้าคะ”ไม่นาน หรู่อี้ยกหีบลวดลายงดงามมาวางบนโต๊ะที่หลี่ถิงกำลังทำบางอย่างอยู่ สองนายบ่าวช่วยกันสำรวจของข้างใน เมื่อทุกอย่างลงตัวหลี่ถิงจึงได้ให้หรู่อี้นำเสื้อผ้าทั้งหมดไปใส่หีบเอาไว้ก่อน เพื่อที่นางจะนำออกไปแลกเป็นเงินมาไว้แทนเสื้อผ้าของโม่ไป่หลานมิได้มากมาย
หยางซานหลางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือรับถ้วยชามาไว้ในมือ“ขอบใจเจ้ามากกวานเอ๋อร์”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนักในความรู้สึกของสตรีทั้งสามที่ได้ร่วมรับฟังพร้อมกัน“มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่ซานหลาง”จีกวานฮวาตอบกลับด้วยความเขินอาย ก่อนจะช้อนสายตามองเลยไปยังหญิงสาวอีกสองนางมุมปากของหลี่ถิงบิดขึ้นเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกหึงหวงอะไรเลยสักนิด แต่จะให้ปล่อยผ่านไปก็เห็นจะไม่เป็นการดี เพราะตอนนี้ เธอยังนั่งในตำแหน่งภรรยาของชายผู้นี้อยู่‘เมื่อเสนอมา พี่จะสนองให้นะจ๊ะ’หากใครได้ยินสิ่งที่เธอคิด คงพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเป็นตัวประหลาดแน่นอนจากเสียงพูดคุยกันเบา ๆ อยู่ด้านหลัง แม่ทัพหนุ่มมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นโม่ไป๋หลานอย่างแน่นอน เพราะในเรือนหลังนี้ไม่มีสาวใช้อื่น นอกจากหรู่อี้ เขาจึงไม่ต้องเดาว่าผู้ใดพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ แต่แม่ทัพหนุ่มหาสนใจไม่ ชายหนุ่มได้ยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบา ๆ เพื่อที่จะดื่ม“นั่น ๆ งู! มันเลื้อยเข้าไปใต้กระโปรงน้องสาวแล้ว”โม่ไป๋หลานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดัง พร้อมทั้งส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นกลัว“กรี๊ดด!”เพล้ง!จีกวานฮวาเผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างแท้จ
หลี่ถิงถามกลับด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธปนเย้ยหยัน สายตากราดมองสองหนุ่มสาวที่เป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจก็มิปาน ก่อนจะเงยหน้าจ้องชายหนุ่มกลับโดยไร้คำว่าเกรงกลัวหยางซานหลางถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก เมื่อถูกภรรยาย้อนถามมาเช่นนั้น ชายหนุ่มทำได้เพียงหายใจแรง ๆ และเพิ่มแรงบีบที่ต้นแขนของโม่ไป๋หลาน เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตากึ่งสมเพชจากภรรยา ส่วนจีกวานฮวาเองทำเพียงหลบสายตาซุกหน้าเข้ากับอกแกร่งหลี่ถิงมองคนทั้งคู่ด้วยสายตาสมเพชจริงอย่างที่ชายหนุ่มคิด ก่อนที่เธอจะใช้มืออีกข้างแกะนิ้วที่ยังอยู่ที่ต้นแขนของตนออก หากคนที่ยืนตรงนี้คือโม่ไป๋หลาน นางคงช้ำใจเจียนตายที่ถูกสามีและน้องสาวหยามเกียรติถึงในเรือนหอดีว่าตอนนี้เป็นเธอ..หลี่ถิง ซึ่งไม่ได้รู้สึกอะไรกับชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิดเดียว มีให้แค่ความรังเกียจก็ถือว่ามากพอแล้ว“โม่ไป๋หลาน! นี่…เจ้ากล้าย้อนข้าหรือ” หยางซานหลางคำรามออกมาด้วยความขุ่นเคืองในวันนี้ เขาเสมือนถูกภรรยาตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากคำพูดที่เสียดแทงใจเขาและคนในอ้อมแขนจนมิเหลือชิ้นดี จากสตรีที่มักจะไม่เคยก้าวก่ายเรื่องใด ๆ ของเขา แล้วไยวันนี้ นางถึงได้หาญกล้าต่อกรด้วยในที่สุด หลี่ถิงก็เป็นอิสระ
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ
ส่วนด้านนอกรถม้า สองแม่ทัพสกุลหยางแทบไร้การพูดคุยกันเช่นในอดีต หยางซานซินยังคงทำตัวเป็นปกติ ทว่า สิ่งที่แตกต่างก็ฉายชัดออกมาอยู่นั่นเอง เมื่อเขาดูจะไม่ใยดีบุตรชายซึ่งอยู่บนหลังอาชาเคียงข้างเขาอยู่ในขณะนี้ฝั่งหยางซานหลางก็ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย จากคนที่นิ่งขรึมมาตลอด บัดนี้เรียกได้ว่าตลอดทั้งร่างของชายหนุ่มนั้นปลดปล่อยแต่เพียงรังสีแห่งการฆ่าฟัน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ มิแสดงตัวตนของเขาออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้มากถึงเพียงนี้แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพทั้งสองจะสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมด ทว่าก็ไร้ซึ่งคำถามจากทุกคน เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้นำ“ซานหลาง เจ้าจงเว้นระยะห่างกับพระนางกุ้ยเฟยให้มากขึ้นอีกสักหน่อยก็ดีนะ”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงความนัยที่ทำให้ผู้ฟังขุ่นเคืองใจอยู่มากทีเดียว หยางซานหลางชำเลืองมองผู้ที่บัดนี้เขาต้องเรียกว่าบิดาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองตรง ๆ ตามเส้นทางอันยาวเหยียดพร้อมรอยยิ้มยังมุมปาก“ขอรับท่านพ่อ แต่ถ้าจะให้ดี ท่านพ่อเองก็ควรระวังใจของตนเองเอาไว้ให้มากเช่นกัน
‘คำว่าแพ้มีให้แก่คนอ่อนแอเท่านั้น และมันมิใช่ข้า’“ทูลพระนางเต๋อเฟย ลู่กงกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”กั๋วเต๋อเฟยเหลือบขึ้นมองคนสนิท ก่อนจะพยักหน้าให้กับอี้ถิง หญิงสาวย่อกายให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะหมุนกายออกไปยังห้องด้านนอก เพื่อทำตามประสงค์ของเจ้าของตำหนักเมื่อมีผู้มาเยือน การเดินหมากของนางก็จำต้องยุติลง มือวางสะบัดมือเพียงครั้ง ผ้าผืนบางที่วางอยู่บนโต๊ะได้ปลิวสะบัดก่อนจะคลุมลงยังกระดานหมากบนโต๊ะ เสมือนมีคนจับวางก็มิปาน ร่างระหงลุกขึ้นก้าวเดินออกไปยังห้องรับรองชั้นนอกลู่กงกงรีบโค้งกายลงต่ำ เมื่อเจ้าของตำหนักเดินนวยนาดออกมาจากหลังม่านไข่มุก“ลู่เฟย ถวายบังคมพระนางเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”“ตามสบายลู่กงกง วันนี้มาพบข้า ท่านคงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ว่ามาเถิด”“ทูลพระนาง กระหม่อมนำพระบัญชาของฝ่าบาทมาแจ้งแก่พระนางพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งถึงข้ารึ”ใบหน้างามซับสีเลือดในทันที เมื่อนึกถึงบุรุษผู้องอาจผู้เป็นพระสวามีของนาง แม้ทรงมีพระชนม์มายุมากแล้ว ทว่ากลับยังคงความหล่อเหล่าเฉกเช่นวัยหนุ่มสาวก็มิปาน จากแต่เดิมที่นางท่องจำว่าเพราะหน้าที่กับการสมรสในต่างแดนครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่านางปรารถนาที่จะเคียงคู่
วังหลวงบุรุษในชุดมังกรเดินวนไปมาเสมือนพยัคฆ์ติดบ่วง โดยมีร่างงามของสตรีในชุดสีแดงเพลิงปักลวดลายหงส์นั่งมองคนที่เดินไปมาด้วยความนึกขัน“จะทรงเดินอีกนานรึไม่เพคะ ฝ่าบาท”“จะให้ข้านิ่งนอนใจได้อย่างไรกันฮองเฮา ผู้อาวุโสมิรู้พากันสนุกสนานอยู่ที่ใดกัน ตอนนี้ กองทัพเคลื่อนพลสู่เมืองหลวงด้วยวิธีที่แยบยลนัก หึ ๆ เป็นข้าเอง ผิดที่ข้าฮองเฮา ข้าชักนำศึกเข้าเมืองเร็วเกินไป”ร่างสูงก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ข้างฮองเฮา โดยที่พระนางยังคงสนใจในตำราหลังจากอีกฝ่ายนั่งลง“หากเป็นท่านผู้อาวุโสก็จะทำเช่นพระองค์เพคะ อย่าทรงโทษพระองค์เองไปเลยเพคะ ไม่ว่าอย่างไร คนพวกนั้นก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่ดี การเดินเกมในบางครั้ง การปล่อยให้ศัตรูล่วงล้ำเข้ามาบ้างก็อาจเป็นผลดี”“ข้าไม่ถัดการวางแผนเช่นเจ้านี่ ภรรยาข้า หึ ๆ”“แต่ทรงเป็นนักรักที่เก่งกาจใช่ไหมเพคะ”“ฮา ๆ วางใจเถอะฮองเฮา จะไม่มีสตรีใดมาแทนที่เจ้าได้”เมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือนได้ก้าวเข้าสู่ห้องชั้นนอก สองสามีภรรยาจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นหยอกล้อกันแทนห้องโถงรับรอง ตำหนักเหลียน“ลู่กงกง ท่านมาตามหาฝ่าบาทหรือเจ้าคะ”“เชียงเชียง เจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก ฝ่าบาททรงมาแอบอยู่