หยางซานหลางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือรับถ้วยชามาไว้ในมือ
“ขอบใจเจ้ามากกวานเอ๋อร์”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนักในความรู้สึกของสตรีทั้งสามที่ได้ร่วมรับฟังพร้อมกัน
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่ซานหลาง”
จีกวานฮวาตอบกลับด้วยความเขินอาย ก่อนจะช้อนสายตามองเลยไปยังหญิงสาวอีกสองนาง
มุมปากของหลี่ถิงบิดขึ้นเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกหึงหวงอะไรเลยสักนิด แต่จะให้ปล่อยผ่านไปก็เห็นจะไม่เป็นการดี เพราะตอนนี้ เธอยังนั่งในตำแหน่งภรรยาของชายผู้นี้อยู่
‘เมื่อเสนอมา พี่จะสนองให้นะจ๊ะ’
หากใครได้ยินสิ่งที่เธอคิด คงพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเป็นตัวประหลาดแน่นอน
จากเสียงพูดคุยกันเบา ๆ อยู่ด้านหลัง แม่ทัพหนุ่มมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นโม่ไป๋หลานอย่างแน่นอน เพราะในเรือนหลังนี้ไม่มีสาวใช้อื่น นอกจากหรู่อี้ เขาจึงไม่ต้องเดาว่าผู้ใดพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ แต่แม่ทัพหนุ่มหาสนใจไม่ ชายหนุ่มได้ยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบา ๆ เพื่อที่จะดื่ม
“นั่น ๆ งู! มันเลื้อยเข้าไปใต้กระโปรงน้องสาวแล้ว”
โม่ไป๋หลานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดัง พร้อมทั้งส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นกลัว
“กรี๊ดด!”
เพล้ง!
จีกวานฮวาเผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างแท้จริง หรือจงใจที่จะแสร้งหวาดกลัวก็มิรู้ เพราะในเมื่อตอนนี้ หญิงสาวได้กระโดดเข้าสวมกอดกับสามีของโม่ไป๋หลาน ส่วนผู้เป็นภรรยายืนเอามือปิดปาก น้ำตาคลอหน่วยด้วยความสะเทือนใจกับภาพที่ถ้วยชาหลุดจากมือของสามี แล้วลุกขึ้นโอบรัดหญิงอื่นต่อหน้า โม่ไป๋หลานใช้ชายเสื้อซับหน่วยตาเบา ๆ ศีรษะเอนพิงที่ไหล่ของคนสนิท
‘ดีนะที่เอาน้ำมันหอมป้ายตาทัน หึ ๆ’
หยางซานหลางหันไปมองภรรยาด้วยสายตาขุ่นเคืองใจ เขามั่นใจว่าไม่เห็นงูหรือแมลงสักตัว
‘เป็นนางที่สร้างเรื่องสินะ’
มือหนากระชับร่างบางในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เมื่อรับรู้ถึงอาการตัวสั่นเทาของอีกฝ่าย
จีกวานฮวานึกขอบคุณญาติของตนอยู่ภายในใจ แม้จะรับรู้ถึงใจของชายหนุ่มดีว่ามันมีเพียงนาง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่กำลังมอบความอบอุ่นให้อยู่ในตอนนี้ ไม่เคยล่วงเกินนางมากกว่าการจับมือ ครั้งนี้นับว่านางชนะโดยมิต้องลงแรง
‘คนโง่ทำยังไงก็ไม่มีวันฉลาดขึ้นมาได้อยู่ดี’
หลี่ถิงแอบยิ้มอยู่ภายใต้แขนเสื้อที่ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งเอาไว้ มันอาจดูโง่ในสายตาศัตรู และร้ายกาจในความคิดของสามี แต่มันเป็นผลดีกับเธอที่จะได้เป็นอิสระเร็วขึ้นโดยไม่ต้องหาข้ออ้างมากมายที่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดมากพอที่จะขอหย่า แต่การกระทำของคนทั้งคู่มันจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ซึ่งไม่ต้องดิ้นรนหาให้เหนื่อย
วันนี้ คนที่เห็นอาจมีแค่สองคน แต่วันหน้าจะมีมากกว่านี้ เธอรับรองได้ เพราะคนที่ชอบเสแสร้งมักพลาดด้วยความดีใจและหลงระเริงในตัวเองจนลืมตัวทำในสิ่งที่ไม่เหมาะและมิควรอยู่บ่อยครั้ง แค่ทุกครั้งไม่มี
ใครกระตุ้นมันเท่านั้นเอง
“เป็นสตรีที่ไร้ยางอาย แล้วยังทำตัวร้ายกาจยิ่งนัก กลั่นแกล้งผู้อื่น ซ้ำยังทำต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีความยำเกรงสามีเช่นข้าเลยหรืออย่างไร โม่ไป๋หลาน”
หยางซานหลางพูดขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อมองเห็นโม่ไป๋หลานแสดงอาการทุกข์ระทม ไหนจะหญิงสาวที่ยังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ผู้หนึ่งน่าสงสาร ส่วนอีกคนมันน่าจะจับฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งนัก จะมีสตรีใดไร้ยางอายได้เท่ากับนางอีกหรือไม่ กล้ารังแกแม้แต่คนที่หวังดีกับนางเช่นนี้
“อย่างไรที่ว่าไร้ยางอายเจ้าคะท่านพี่ แล้วน้องกลั่นแกล้งผู้ใดกัน ก็ในเมื่อข้าเห็นกับตาว่ามีงูจริง ๆ หากมันมิใช่ แล้วไยท่านไม่คิดบ้างล่ะเจ้าคะ ว่าข้าเองก็ยังมิหายดีจากอาการเจ็บป่วย ดวงตาอาจยังพร่ามัวไปบ้างก็เป็นได้”
หลี่ถิงเองก็ใช่จะยอมไปเสียทุกอย่าง คำพูดของเธอมันไม่มีทางแทรกเข้าไปในใจของคนตรงหน้าให้สำนึกรู้ได้อยู่แล้ว ว่าเวลานี้ ตัวเขาผู้เป็นสามีสมควรที่จะใส่ใจผู้ใดกันแน่ ในเมื่อความรู้สึกของเขามันมีให้แต่เพียงคนในอ้อมแขนเท่านั้น ต่อให้เป็นเธอหรือโม่ไป๋หลานตัวจริงล้มเจ็บลงต่อหน้า อาการเจียนตายอยู่ตรงนี้ เขาก็จะไม่มีวันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหรือชายตามองด้วยซ้ำไป
“เจ้ายังจะมาแก้ตัวอีกหรือ หากเจ็บป่วยจริง เจ้าคงมิลุกขึ้นมาแต่งตัวเสียงดงามแล้วออกมาเดินอยู่เช่นนี้หรอกนะ”
เสียงที่ปนเปไปด้วยความโกรธ มันทำให้หยางซานหลางพูดชื่นชมภรรยาโดยมิรู้ตัว ทำให้จีกวานฮวานิ่งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะใช้แขนที่คราแรก
วางข้างลำตัวอยู่โอบรอบเอวชายหนุ่ม
“ท่านพี่ แม้ข้าจะงามหยดย้อย แต่ก็มิอาจเป็นที่พึงใจท่านอยู่ดีมิใช่หรือเจ้าคะ แล้วข้าจะมารยาเพื่ออันใดกันเล่าเจ้าคะ”
หยางซานหลางถึงกับใบหน้าชาไปชั่วขณะ เมื่อคำพูดของเขาถูกหญิงสาวย้อนกลับมา ทุกถ้อยคำช่างบาดลึกใจของใครอีกคนยิ่งนัก
หลี่ถิงไม่คิดจะเสียเวลากับชายหญิงคู่นี้ จึงหวังจะเดินผ่านเลยทั้งสองไป
หมับ!
มือหนาคว้าเข้าที่ต้นแขนกลมกลึง ก่อนจะกระชากโม่ไป๋หลานมิให้ก้าวต่อไป
แรงบีบที่ต้นแขนแม้จะเจ็บแค่ไหน เสียงร้องขอให้ปล่อยหรือโอดครวญกลับไม่มีหลุดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ สายตาของหลี่ถิงจ้องลึกไปในดวงตาของชายหนุ่ม มันมีแต่ความโกรธเกรี้ยว มุมปากงามยกขึ้นช้า ๆ และปลุกไฟในใจของชายหนุ่มให้โหมกระพือมากกว่าเดิมเมื่อมุมปากบางโค้งขึ้นแค่ข้างเดียว
หยางซานหลางไม่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั่นเท่าใดนัก จะว่าโม่ไป๋หลานกำลังเย้ยหยันตัวเขาอยู่ก็ย่อมเป็นไปได้ หรือจะคิดว่านางกำลังยั่วยุให้เขาขุ่นเคืองมากกว่าเดิมก็ได้เช่นกัน
“เจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น จนกว่าจะขอโทษกวานเอ๋อร์เสียก่อน”
ไม่เพียงแค่คำพูดมันรวมถึงการกระทำด้วย หากใครมาเห็นในตอนนี้ คงยากจะเดาออกว่าใครคือภรรยาของแม่ทัพที่แท้จริง ในเมื่อในอ้อมกอดมิใช่ท่านหญิงโม่ แต่กลับเป็นญาติผู้น้องของนาง ส่วนคนที่ถูกจับต้นแขนคือตัวของท่านหญิงเอง และมิใช่ถูกรั้งเพราะห่วงหา แต่เป็นความ
โกรธกรุ่นของท่านแม่ทัพหนุ่มเสียมากกว่า
“เรื่องใดเจ้าคะ”
น้ำเสียงที่เคยอ่อนหวานกลายเป็นห้วนสั้น แม้จะลงท้ายด้วยคำที่สุภาพที่สุดเท่าที่หลี่ถิงคิดได้ทันก่อนจะถูกคาดโทษเพิ่ม
“เจ้ามิสมกับที่เกิดเป็นชนชั้นสูงยิ่งนัก ไร้มารยาท ทำผิดแล้วยังมิรู้จักยอมรับอีก”
“หากท่านว่าข้าผิด แล้วสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ มันถูกต้องแล้วหรือท่านแม่ทัพ เช่นนั้นได้โปรดชี้แจงให้สตรีโง่งมเช่นข้าได้กระจ่างแก่ใจด้วยเถอะ…”
หลี่ถิงถามกลับด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธปนเย้ยหยัน สายตากราดมองสองหนุ่มสาวที่เป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจก็มิปาน ก่อนจะเงยหน้าจ้องชายหนุ่มกลับโดยไร้คำว่าเกรงกลัวหยางซานหลางถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก เมื่อถูกภรรยาย้อนถามมาเช่นนั้น ชายหนุ่มทำได้เพียงหายใจแรง ๆ และเพิ่มแรงบีบที่ต้นแขนของโม่ไป๋หลาน เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตากึ่งสมเพชจากภรรยา ส่วนจีกวานฮวาเองทำเพียงหลบสายตาซุกหน้าเข้ากับอกแกร่งหลี่ถิงมองคนทั้งคู่ด้วยสายตาสมเพชจริงอย่างที่ชายหนุ่มคิด ก่อนที่เธอจะใช้มืออีกข้างแกะนิ้วที่ยังอยู่ที่ต้นแขนของตนออก หากคนที่ยืนตรงนี้คือโม่ไป๋หลาน นางคงช้ำใจเจียนตายที่ถูกสามีและน้องสาวหยามเกียรติถึงในเรือนหอดีว่าตอนนี้เป็นเธอ..หลี่ถิง ซึ่งไม่ได้รู้สึกอะไรกับชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิดเดียว มีให้แค่ความรังเกียจก็ถือว่ามากพอแล้ว“โม่ไป๋หลาน! นี่…เจ้ากล้าย้อนข้าหรือ” หยางซานหลางคำรามออกมาด้วยความขุ่นเคืองในวันนี้ เขาเสมือนถูกภรรยาตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากคำพูดที่เสียดแทงใจเขาและคนในอ้อมแขนจนมิเหลือชิ้นดี จากสตรีที่มักจะไม่เคยก้าวก่ายเรื่องใด ๆ ของเขา แล้วไยวันนี้ นางถึงได้หาญกล้าต่อกรด้วยในที่สุด หลี่ถิงก็เป็นอิสระ
“หากไม่มาด้วยตนเอง แม่จะได้เห็นสิ่งที่เจ้าทำหรือ ตกลงว่าอย่างไร แม่ถามว่ามันไม่มากไปหน่อยหรือที่ทำกับหลานเอ๋อร์”“ท่านแม่กำลังเข้าใจผิดไปเองนะขอรับ เป็นไป๋หลานที่กลั่นแกล้งผู้อื่นก่อน”หยางซานหลางยังมิวายโยนความผิดมาที่โม่ไป๋หลาน แต่คนในร่างคือเธอ หลี่ถิง มีหรือจะยอมให้คนอื่นใสความอยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาอยากมาพลอดรักกันหยามเธอถึงหน้าห้องถ้าปล่อยไป...เธอก็ไม่พ้นถูกหัวร่อจากบ่าวไพร่ถึงจะมาอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่มีหรือข่าวที่เกี่ยวกับฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพจะไม่ถึงหูเธอ ถ้าวันนี้ไม่ตอบโต้ วันต่อ ๆ ไปก็คงทำมากกว่าที่เห็นเป็นแน่ ไม่ใช่เธอหึงหวงชายหนุ่มตรงหน้า แต่ในช่วงเวลาที่เธอยังอยู่ในตำแหน่งภรรยา ก็จำต้องรักษาฐานอำนาจและชื่อเสียงเอาไว้บ้าง มิใช่ปล่อยให้คนทั้งคู่มาเหยียบย่ำอยู่แบบนี้หลิวเจินเจินหันมองลูกสะใภ้ ซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งเงียบ ใบหน้ามีร่องรอยแห่งความเสียใจปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง แม้หญิงสาวจะพยายามกลบเกลื่อนมันด้วยรอยยิ้มก็ตามที มีหรือ นางผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนจะมองไม่ออก ว่าสะใภ้รักรู้สึกเช่นไร ต่อสิ่งที่บุตรชายของนางได้กระทำ นางมาถึงทางเข้าเรือนอยู่นานแล้ว เพียงแค่ยืนฟังท
หญิงสาวกลับเสียหลักซะเอง โดยไม่สามารถเอาผิดผู้ใดได้ เพราะทุกคนต่างเห็นกับตาว่าฮูหยินน้อยหยางไป๋หลานได้พยายามยื่นมือไปคว้าตัวน้องสาวเอาไว้ แต่พลาดเมื่อเล็บของนางครูดกับแขนนวลจนได้เลือดโม่ไป๋หลานถึงกับมีใบหน้าซีดเซียวด้วยความตกใจ ที่อยู่ ๆ ญาติผู้น้องเซจนจะล้ม ซ้ำนางยังคว้าเอาไว้มิทัน และยังทำให้อีกฝ่ายมีแผลที่แขนงามนั่นอีกด้วยหยางซานหลางรีบก้าวยาว ๆ เข้าไปพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น ก่อนจะหันมาทางภรรยาด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว“ข้าขอโทษที่ช่วยเจ้ามิทัน น้องพี่”“อย่าให้รู้ว่าเจ้าคิดรังแกผู้อื่นอีก ข้าจะมิปล่อยไว้แน่”หยางซานหลางพูดออกมาด้วยความโมโห นับตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมาจากการจมน้ำเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ มันมิใช่คนเดิมที่ชอบเสแสร้งอ่อนแอเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขามาตลอด แต่กลับกลายไปเป็นคนที่ปากคอเราะร้ายกว่าที่เคย แต่ไม่ว่านางจะเป็นแบบไหน โม่ไป๋หลานก็คือผู้หญิงไร้ยางอายในสายตาของเขาอยู่ดี“ต่อหน้าข้า ใครกล้าลงมือกัน ซานหลาง แม่ยืนอยู่ตรงนี้กับพวกเจ้า มิเห็นว่าไป๋หลานทำอันใดใครเลย หากเจ้ายังใส่ความภรรยาตนเองอีกข้าจะลงโทษเจ้าในฐานะภรรยาผู้นำตระกูลเช่นกัน” หยางฮูหยิ
ตลาดเมืองหลวงรถม้าประจำตระกูลหยางได้จอดลงยังหน้าร้านขายผ้าซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ตามความต้องการของนายหญิงน้อยของบ้านหรู่อี้ก้าวลงจากรถม้าก่อน เพื่อมายืนรอรับเจ้านาย โม่ไป๋หลานจำต้องทำตัวให้คุ้นชินกับการถูกปรนนิบัติจากคนรอบข้าง ในยุคที่จากมาแม้ว่านางจะร่ำรวยแค่ไหน แต่ทุกสิ่งอย่างมักที่จะลงทำด้วยตัวเองเสมอ ซึ่งต่างจากในเวลานี้มากนัก เพราะนางคือโม่ไป๋หลาน ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรย่อมต้องมีคนคอยทำให้ หากมิยินยอม นั่นเท่ากับนางกำลังลดอำนาจด้วยตนเองลง และมันจะไม่เป็นผลดีเท่าไหร่นักในการดำเนินชีวิตอยู่ที่นี่ ดังนั้นจำต้องทำตัวให้คุ้นชินเข้าไว้ หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ให้แก่โชคชะตาที่กำลังประสบอยู่เพียงก้าวลงมายืนยังพื้นถนน หลายสายตาหันมาจับจ้องหญิงงามในชุดสีขาวราวเทพเซียนที่แย้มยิ้มน้อย ๆ โดยมิได้สนใจที่ใดเป็นพิเศษเลย“ท่านลุงเกา รอเราสองคนอยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะ ข้าจะเดินดูข้าวของกับหรู่อี้สักครู่” โม่ไป๋หลานเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล แต่ใบหน้าคนฟังกลับไม่ค่อยเต็มใจรับเท่าใดนัก“แต่ว่า ฮูหยินน้อย...”พ่อบ้านเกาเอ่ยทัดทาน แต่ยังมิทันพูดสิ่งใดได้มากก็ถูกยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดข
เพราะสีที่นางเลือกนั้นมันจะขับเน้นให้เจ้าของร่างนี้ดูสง่าและสูงส่งสมฐานะของนาง ก่อนที่มือบางจะแบไปทางสาวใช้ หรู่อี้รู้หน้าที่ก่อนจะรีบวางกระดาษที่ถูกม้วนเอาไว้อย่างดีวางลงบนมือผู้เป็นนายอย่างรู้งาน“ได้เจ้าค่ะคุณหนู เชิญทางนี้ก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะจัดเตรียมทุกอย่างตามที่ท่านต้องการมิให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย” เจ้าของร้านได้รับกระดาษมาถือไว้ ก่อนจะทำการเชื้อเชิญลูกค้าของนางไปยังส่วนรับรองเพื่อทำการตกลงราคาซื้อขาย“ช้าก่อน นั่น สีฟ้าพับนั้นงามยิ่งนัก ใช่ผ้าไหมเช่นกันหรือไม่” นิ้วเรียวชี้ไปยังผ้าผืนสีฟ้าสดใส ไล่สีจากอ่อนไปเข้ม ปักลายดอกเหมยลิ่วลมงดงามมาก ราคาก็คงมิเบาด้วยเช่นกัน“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ผ้าไหมชั้นดีจากแดนเหนือ”“เอาสีชมพูลวดลายและแบบเดียวกันนั้นด้วย สองพับนั้นตัดให้คนของข้า แล้วคิดราคารวมกันเลยทีเดียว ข้าจะจ่ายไว้ก่อนแล้วค่อยให้คนที่บ้านมารับเอง มิต้องส่งไปที่จวน เข้าใจหรือไม่”“ฮูหยินน้อย…”โม่ไป๋หลานยกมือห้ามเอาไว้ ประวัติของหรู่อี้มิใช่หญิงชาวบ้านทั่วไป ต่างจากชิงชิงที่ถูกนำมาขายให้แก่จวนของบิดาโม่ไป๋หลาน หรือต่อให้หรู่อี้เป็นเพียงสามัญทั่วไป แต่หากอยู่ภายใต้ปกครองของนางแล้ว จะต้อ
“ข้าไม่คิดที่จะยุ่งกับพวกท่านเลยสักนิด แต่มิอาจทนเห็นพี่ชายทั้งหลายรังแกผู้ที่ไร้ทางสู้เช่นนี้ได้ พี่ชายพอจะบอกข้าผู้น้องได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงต้องทุบตีท่านลุงผู้นี้ด้วยเล่า”คำพูดที่ฉะฉานมิดังหรือเบาจนเกินไปตามเจตนาที่หญิงสาวกะเกณฑ์เอาไว้ นางต้องการพยานและคนมุงให้มากขึ้น เพื่อกดดันคนทั้งห้าและเป็นการป้องกันตัวในอีกหนทางหนึ่งด้วยเช่นกัน แม้ว่าความคิดดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าใดนักก็ตามที เพราะคนมากอันตรายก็มีขึ้นตามลำดับเช่นกัน ถอยก็ไม่ได้แล้ว ดังนั้นจำต้องยืนยัดเอาไว้ก่อน เผื่อว่าคุณชายเหล่านี้อาจเลิกรากันไป โดยมิจำเป็นต้องใช้กำลังก็เป็นได้“น้องสาว เจ้ารู้ไปแล้วจะช่วยสิ่งใดพวกข้าได้เล่า แต่ว่าใบหน้าที่งดงามอย่างน้องสาวก็ไม่แน่นะ เราอาจพอตกลงกันได้อยู่ หากเจ้าจะ…ฮา ๆ” ชายหนุ่มทั้งห้าต่างมองหญิงสาวด้วยสายตาหื่นกระหาย พากันสอดส่ายสายตาสำรวจร่างกายของสาวงามตรงหน้า ทุกคนต่างพากันหัวเราะในลำคอและคาดหวังที่จะได้ยลโฉมหญิงงามสักครั้งหรู่อี้ขยับกายเพื่อจัดการกับคนทั้งห้า เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายถูกล่วงเกินทั้งทางสายตาและคำพูด แต่โม่ไป๋หลานได้ห้ามเอาไว้เสียก่อน เพราะหากพวกนางวู่วาม ทำอะไรคุณชายเห
โม่ไป๋หลานรับคำด้วยเสียงในลำคอเบา ๆ ก่อนจะแยกออกไปช่วยพยุงขอทานให้ลุกขึ้นเพื่อออกห่างจากคนที่กำลังหยั่งเชิงกันอยู่ ชายหนุ่มทั้งห้าต่างพากันหัวเราะขบขันที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คิดจะต่อกรกับพวกเขาที่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า หรู่อี้มิคิดแม้แต่จะดึงกระบี่ออกจากฝัก ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกเหล่าคุณชายให้เข้าสู้กับนางพร้อม ๆ กัน ทั้งหมดหันมองหน้ากัน ก่อนที่หนึ่งในห้าจะพุ่งเข้าหาหญิงสาวก่อนผู้อื่นปึ๊ก! อั๊ก! ตุ๊บ!ร่างสูงของคนที่วิ่งเข้าใส่ฝ่าเท้าของหรู่อี้ ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมา แม้จะเจ็บจนจุกไปหมดทั้งกายก็ตามที ด้วยเกรงว่าจะอับอายไปมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ส่วนคนที่เหลือไม่สนใจสายตาผู้คนแล้ว ในเมื่อหญิงสาวตรงหน้ากล้าลงมือ หักหน้าพวกตนท่ามกลางชาวเมืองมากมาย หนึ่งในสี่กลับเปลี่ยนเป้าหมาย หวังจับตัวของหญิงสาวอีกคน ซึ่งเขามิต้องคาดเดาให้ว่านางจะต้องไร้ฝีมือต่างจากหญิงสาวที่กำลังลงมือกับพวกเขาในตอนนี้ เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาก็ใช้นางเป็นตัวต่อรองได้ ซึ่งจากที่เขาสักเกตมาตลอด หญิงสาวคนนี้จะต้องสำคัญกับสาวน้อยอีกนางมากอย่างแน่นอนโม่ไป๋หลานหันกลับไปมองเหตุการณ์ทั้ง
เกาจูหมุนตัวเดินกลับไปหาผู้เป็นนายโดยไม่ได้แม้แต่จะเหลือบแลชายหนุ่มทั้งห้า ซึ่งเขารู้ดีว่าเป็นลูกหลานบ้านใดบ้างคนที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่นานอดที่จะระบายยิ้มกว้างมิได้เลยจริง ๆ เมื่อทุกอย่างจบลงในแบบที่เขาคาดไม่ถึง ครั้งแรก เขาเองกำลังจะยื่นมือไปช่วยเหลือหญิงสาว เพียงแค่เขาขยับตัวจะลุกขึ้นเท่านั้นก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่หญิงสาวได้กระทำต่อชายผู้นั้น พอมีคนเข้าช่วยเหลือแทนเขาแล้ว และมันใจว่าพวกนางสองคนรับมือได้ เขาจึงนั่งดูต่อและอดขำกับท่าทางของนางมิได้ มือบางสะบัดไปมาอยู่ด้านหลัง ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวคงเจ็บไม่น้อยเขานับถือความมีน้ำใจและกล้าหาญของนางเหลือเกิน อีกอย่าง เขารู้แล้วว่านางคือผู้ใด เมื่อชายผู้นั้นปรากฏตัวช่วยเหลือหญิงสาว และการที่เขามานั่งอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็เพราะมีเหตุชักจูงให้จำต้องมา ซึ่งเกี่ยวพันกับหญิงสาวผู้นี้เสียด้วย“มาเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าคงมีอะไรให้ทำอีกมากทีเดียว”ชายแปลกหน้าได้แต่บ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังพร้อมยกสุราจอกสุดท้ายขึ้นดื่ม ก่อนจะวางเงินไว้บนโต๊ะและลุกเดินออกจากร้านหายไปในฝูงชนที่เริ่มกลับมาเดินตามถนนเช่นเดิมหลังจากทุกอย่างจบลงโม่ไป๋หลานมองตามรถม้าที่ม
“ให้เข้ามาได้” ฮ่องเต้ทรงตรัสอนุญาต แม้จะทรงข้องพระทัยอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นอาของพระองค์ก็เสด็จมาหา“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงก้าวออกไปยังหน้าประตู ก่อนทูลเชิญเสด็จจิ้นอ๋องจิ้นอ๋องเสิ่นหลีก้าวเข้ามาอย่างองอาจ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตามที แต่ยังคงความสง่าเช่นราชนิกุลผู้มีสายเลือดมังกรอยู่มิเสื่อมคลาย ใบหน้าที่อ่อนโอน และอบอุ่นเสมอสำหรับคนในครอบครัว แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอ๋องประสานมือก่อนจะโค้งตัว ทำความเคารพโอรสมังกร ผู้ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ตนเอง“ตามสบายเถอะ เสด็จอา วันนี้ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ จึงได้มาหาข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มิทรงอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทรงรู้จักนิสัยของผู้เป็นอาดี ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ คนผู้นี้มักจะขลุกอยู่กับโคลงกลอน และการออกตรวจเยี่ยมราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่ของพระองค์เอง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงมาเยี่ยมเยียน พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ทรงมิค่อยสบายพระทัยนัก จึงอยากที่จะมาชวนฝ่าบาท ร่วมดื่มสุราชั้นยอด จากเมืองฉินเส่าสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้โม่เหยีย
แต่ยังไร้เสียงร้องขอความเมตตา ออกจากปากของสองพี่น้อง โม่หยวนฟางพยายามยกหน้าไม้ขึ้น เขาทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงตัดสินใจกดยิงออกไป ระยะประชิดเช่นนี้ มีหรือจะพลาดเป้า ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณสีข้างของคนร้าย ด้วยอารามตกใจ ชายสวมหน้ากากจึงเหวี่ยงหยวนฟาง ไปยังทิศทางเดียวกับโม่คังปึก! ตุบ! ร่างเด็กชายกระแทกเข้ากับตัวของพี่ชายที่รวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งรับร่างผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะตกสู่พื้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่สะเทือนใจขององครักษ์บางคนที่ยังหายใจอยู่ แต่ไร้สามารถที่จะลุกขึ้นปกป้องนายได้แล้วเช่นกันเลือดสีแดงฉาน ทะลักออกมาจากปากของโม่คัง เด็กชายยังคงพลิกตัวนอน ทาบทับเอาร่างบังน้องชายเอาไว้ภายใต้กายโชกเลือดของตนเอง ซึ่งเขาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อาการหายใจไม่ทั่วช่องท้อง เริ่มมีบ้างแล้วหยวนฟางดึงปี่ออกจากเชือกที่ร้อยติดกับสายคาดเอว ก่อนจะนำมาใส่ปากออกแรงเป่าอยู่อย่างมิท้อถอย ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาเหยียบลงบนหลังของโม่คัง ค่อย ๆ กดน้ำหนักลงไป เด็กชายไร้แรงต้านทานใด ๆ ได้อีกสองแขนที่พยายามค้ำยันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับน้องชายแรงเกินไป ถึงกับสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มันคือการทรมานจากศ
หลายปีก่อน ระหว่างทางไปวัดฉุ่ยอิงนอกเมืองหลวงเพล้ง! ฮี้ ๆ เสียงกระทบกันของอะไรสักอย่าง รวมทั้งเสียงม้าที่แตกตื่น ทำให้เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า รับรู้ถึงเรื่องผิดปกติ“เกิดอะไรขึ้น”เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยถามองครักษ์ด้านนอก แม้ตัวเขาพอเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากอะไร“อย่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ มีคนร้าย”คำตอบจากหนึ่งในองครักษ์ ที่ได้อยู่คุ้มกันขบวนรถม้านำเสด็จองค์รัชทายาทโม่คังในวัยสิบชันษาเพื่อไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนนี้ อยู่ ๆ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน โดยภายในมีขันทีวัยใกล้เคียงกันได้ตามเสด็จพร้อมทั้งพระญาติ คือท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เด็ก ๆ ต่างพากันเตรียมพร้อมรับมือ เสียงลูกดอกกระทบรถม้า และทะลุเข้ามายังด้านใน ทำให้โม่คังรีบคว้าตัวน้องชายเข้ามากอดเพื่อปกป้อง ก่อนจะหยิบเอาแส้อสรพิษที่นำติดตัวมาด้วยเอาไว้ในมือ แล้วพาน้องชาย รวมทั้งขันทีคนสนิทลงจากรถม้า องครักษ์คุ้มกันได้ล้อมเข้าเพื่อป้องกันเจ้านายทั้งสองอ๋องน้อยด้วยวัยเพียงห้าขวบที่หวังตามพระเชษฐาออกมาเที่ยวนอกวังนั้นยังมิประสาอะไรมาก ฝีมือการต่อสู้ก็เพียงเล็กน้อยยังมิถึงขั้นชำนาญ ในมือยังคงถือหน้าไม้ที่ฮ่องเต้
ชายหนุ่มเดินยืดตัวตรง ช่างดูสง่าผ่าเผย จนมิเหมือนบ่าวรับใช้สักเท่าใดนัก ร่างสูงหยุดยืนกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หยางซานซินโดยบังเอิญ บุรุษต่างวัยยืนจ้องตากันดุจมังกรปะทะพยัคฆ์ก็ว่าได้ ก่อนรอยยิ้มของผู้อ่อนวัยกว่า จะยกขึ้นช้า ๆ เมื่อมองเห็นเสือเฒ่า ปิดดวงตาเอาไว้ข้างหนึ่ง‘สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้บาดเจ็บหนักยังลุกขึ้น ออกมาเดินไปทั่วค่ายได้’ นับว่าเสือเฒ่าตัวนี้ร้ายมิใช่เล่นแต่จงอย่าลืมว่าแม่ทัพเพียงสองคน มิอาจล้มฮ่องเต้ได้โดยไร้ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นต่างหากที่เขาต้องการตัว มากกว่าคนตรงหน้า โม่คังเดินเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่าย แต่เท้าของหยางซานซิน ยังมิทันขยับก้าวกลับเป็นโม่คังที่ก้าวออกไปก่อน ไม่คิดรั้งรอที่จะเอ่ยปากอันใดกับหยางซานซิน“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักอ่อนน้อม รึเห็นข้าเป็นเพียงก้อนหินหรืออย่างไรกัน เป็นชาวบ้านไร้การอบรมสิ้นดี”โม่คังหยุดเดินก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย คนพวกนี้ช่างเจ้ายศกันเสียจริง เขาเป็นถึงองค์ชาย ยังไม่เคยเรียกร้องให้คนมาก้มหัวให้ ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาเสมือนไร้ความรู้สึกใด ๆ เมื่อเขาต้องมองหน้าคนอย่างหยางซานซิน
หยางซานหลางได้คว้ามือไปหยิบหน้ากากมาสวมเพื่อปิดบังรอยแผล“ข้าน้อยเยว่คัง คารวะท่านแม่ทัพหยาง”ชายหนุ่มได้ยื่นตะกร้าให้แก่ทหาร ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวและประสานมือ ทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม โม่คังแอบซ้อนสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่‘เล่อเล่อ! น้องเบามือเกินไปแล้ว หยางซานหลางยังนั่งหน้าตาย อยู่ได้ มันไม่สาแก่ใจพี่เท่าใดนัก’ ชายหนุ่มแอบตำหนิน้องสาวอยู่ภายในใจทหารที่เป็นผู้รับตะกร้าอาหารไป ได้ทำการทดสอบพิษเสียก่อน ที่จะนำมาให้แก่ผู้เป็นหัวหน้าของตนได้ดื่มกิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำออกมาวางยังโต๊ะ รวมกับอาหารของหญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าชา เสมือนถูกตบอย่างแรง เมื่อต้องมองอาหารที่สตรีอื่น นำมาให้คนรักของตนต่อหน้าเช่นนี้“แม่นางฟางเล่อสบายดีหรือ ข้านั้นเสียมารยาทมากนัก ที่มิได้เข้าไปกล่าวทักทาย ต้อนรับนางเลย ช่างเสียมารยาทนัก”“หามิได้ขอรับท่านแม่ทัพ นายหญิงให้เรียนท่านแม่ทัพว่า เมื่อวานเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวเซียนอี้ วันนี้จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อย นำของกำนัลมาให้ยังค่ายแทนขอรับ หวังว่าท่านแม่ทัพหยางคงมิรังเกียจของพื้น ๆ เช่นนี้นะขอรับ”โม่
“เป็นเพียงบ่าวรับใช้ มินอนหน้าเตียงของข้าเสียเลยล่ะขอรับ” หยวนฟางประชดคนเป็นพี่“เช่นนั้นก็ได้ เอาตามนี้ก็ดี ปะ! ไปนอนกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราควรพักผ่อน” โม่คังยกยิ้มมุมปาก เมื่อกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องได้ จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีโม่คังอยากหัวเราะดัง ๆ กับท่าทางประชดประชันของน้องชาย อายุมิใช่น้อย แต่พอเขาที่แก่กว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นก็กลายร่างเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ทันที ยังมีอีกคนพรุ่งนี้ น้องสาวสุดที่รักจะยังจำพี่ชายคนนี้ได้อยู่รึไม่ คราแรกตอนได้ยินข่าวการตายของนาง เขาแทบตรงดิ่งเข้าเมืองหลวง เพื่อฆ่าอดีตน้องเขยด้วยมือของตนเอง แต่เพราะคำว่าเพื่อบ้านเมือง เขาจะปรากฏตัวให้ใครรู้มิได้ว่ายังไม่ตาย‘ใกล้ถึงเวลาที่พวกแก ต้องชดใช้แล้วกบฏทั้งหลาย’หยวนฟางแทบอยากผูกคอตาย เมื่อผู้เป็นพี่ชายมานอนร่วมห้อง เป็นเขาที่ต้องนอนหน้าเตียง เมื่อทนไม่ได้กับการนอนดิ้นของพี่ชาย จึงต้องหอบหมอนและผ้าห่ม ลงมานอนข้างล่างแทน“ฝากไว้ก่อนท่านพี่ อย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะเอาคืนให้สาสม”เสียงบ่นเบา ๆ ของคนด้านล่าง ทำให้คนบนเตียงยิ้มกว้าง ที่แกล้งน้องชายได้สำเร็จ พวกเขาหยอกล้อกันเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเสียงน้อ
“ได้! ปล่อยข้าก่อน”หรู่อี้รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าว เมื่อลมหายใจของคนตัวใหญ่ เป่าลดลงบนหน้าผากของนาง เมื่อร่างบางได้เป็นอิสระแล้ว หรู่อี้รีบพุ่งลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างเมี่ยวจ้านในทันที เยว่คังยังคงตีสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียง ไปยืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย“เอาละ! ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้ หรู่อี้ชายผู้นี้มีนามว่าเยว่คัง เป็นคนของฝ่าบาท ส่วนเจ้าเยว่คัง นางคือหรู่อี้ผู้ติดตาม คนสนิทของท่านหญิงโม่ฟางเล่อ ส่วนนั่นคือองค์หญิงเมี่ยวจ้าน คนรักของข้าเอง”พอแนะนำว่าเมี่ยวจ้านคือผู้ใดเสร็จ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เยว่คังค้อมศีรษะให้แก่สตรีทั้งสองนาง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางโม่หยวนฟาง‘ร้ายนักเจ้าน้องชาย หมายจะทิ้งบ้านเมือง ไปเป็นเขยต่างแคว้น’ โดยคนเป็นน้องชายก็มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“ท่านพี่จะรีบทำให้ไก่ตื่นไปไย อย่างไรเสียนกน้อยของท่านก็มิหนีหายไปไหนได้อยู่แล้ว” หยวนฟางกระซิบเบา ๆ กับเยว่คัง“แม่นางหรู่อี้! เยว่คังผู้นี้จำต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่ท่านทำให้ข้าต้องมีมลทินนั้น ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้”ทุกสายตาหันไปมองยังหรู่อี้
ชายหนุ่มได้หายออกจากเก้าอี้ไปนั่งอยู่บนเตียง โดยที่หรู่อี้มิอาจตามได้ทัน ความรวดเร็วว่องไวดุจสายลม ช่างน่ากลัวยิ่งนักหากคนผู้นี้คือศัตรู คงต้องบอกว่าหนักมือสำหรับนางไม่น้อยเลย หรู่อี้พุ่งเข้าหาคนบนเตียง ด้วยความเร็วดุจพายุก็มิปาน แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้ขยับไปไหน เพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย มือแกร่งรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับไปนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม กระบี่ในมือตกอยู่ข้างลำตัวแทนไม่เพียงแค่กอดรัด ขณะที่หรู่อี้กำลังจะอ้าปากต่อว่า“อื้อ! อ่อย! ฮา! อะ!”หรู่อี้ทำได้แค่เพียง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มิใช่เพียงแค่ปากประกบลงบนกลีบปากนุ่มของหญิงสาวเท่านั้น ลิ้นของชายหนุ่มได้สอดล่วงล้ำ เข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกด้วย หรู่อี้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เมื่อถูกรุกราน นางยังมิเคยต้องมือบุรุษใดมาก่อนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ กับความใสซื่อและอ่อนประสบการณ์ของคนในอ้อมแขน หรู่อี้ถึงกับน้ำตาซึม ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่แก้มนวล ชายหนุ่มรู้สึกได้กับน้ำอุ่น ๆ สัมผัสใบหน้าของตนซึ่งแนบชิดกับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก“นี่อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าเล่นลิ้นสาวน้อย”
‘มิเจียมตนเลยเมี่ยวจ้าน’ หญิงสาวพร่ำบ่นตนเองอยู่ภายในใจ“เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือเมี่ยวจ้าน ว่าตนเองมีความผิดเรื่องใดบ้าง”โม่หยวนฟางยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน และยังคงพูดจา ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากขึ้นอีก เขารู้ตั้งแต่คนของเขาส่งสัญญาณมาก่อนแล้วว่า พวกนางมาถึงหอร้อยราตรีแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยให้หญิงคณิกาผู้นั้นรุกหนัก โดยยอมหญิงงามผู้นั้นขึ้นคร่อมบนตัว เสมือนเขาเป็นม้าและคณิกาคนงามเป็นผู้ขี่ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เมี่ยวจ้านปรากฏตัวขึ้น ด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่การกระทำกลับมินิ่งเสมือนใบหน้า สร้างความพอใจให้แกเขายิ่งนัก สิ่งที่ชอบในตัวนางคือ ความตรงไปตรงมา นางชัดเจนเสมอในสิ่งที่ลงมือกระทำ สมแล้วที่เป็นถึงรัชทายาทแห่งจิ้งหนาน‘ข้าอยากเห็นขุนพลผู้เกรียงไกร พ่ายต่อใจตนเองนัก’“เจ้าเห็นร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของพี่จนหมดสิ้นแล้ว มิเว้นแม้แต่ส่วนลับ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ”โม่หยวนฟางพูดด้วยน้ำเสียง เหมือนกำลังจะร้องไห้ พร้อมใบหน้าเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด“ห๊ะ! ขะ…ข้าหรือ” เมี่ยวจ้านอุทานออกมา ด้วยความตกใจปนสับสนโม่หยวนฟางเริ่มตีหน้าเศร้า เอามือลูบตามเนื้อตัวของตน เพื่อแสดงให้หญิ