เพียงครู่เดียว โม่ไป๋หลานก็กลับมาเป็นปกติเช่นเดิม ด้วยเกรงผู้คนจะคิดว่านางเป็นบ้าไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เฉียดอันตรายมาแท้ ๆ ยังจะมีอารมณ์หัวเราะอยู่อีก นางจำต้องรีบกลับมาทำตัวอ่อนหวาน ในแบบฉบับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ต่อไป แทนการหัวร่อแบบไร้ที่มาอย่างเมื่อครู่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์รีบหันไปมองหน้าเถ้าแก่ของตนสลับกับสาวงามที่ยืนอยู่หน้าประตู โดยมีชายท่าทางภูมิฐาน กับขอทานสกปรกคนหนึ่ง ทุกอย่างเหมือนถูกสั่งให้หยุดนิ่ง ไม่มีเสียงพูดคุยหรือถามไถ่ เพราะทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่คนทั้งสาม“พาท่านลุงผู้นี้ไปอาบน้ำชำระร่างกาย รอหรู่อี้ก่อนเถอะท่านลุงเกา ข้าจะนั่งรออยู่ที่นี่ ท่านค่อยรีบกลับมาหาข้าก็ได้”โม่ไป๋หลานเอ่ยเบา ๆ โดยมิต้องการความเห็นจากคนรับฟัง นี่คือคำสั่งนั่นเอง และไม่ต้องการให้ปฏิเสธเช่นกัน“ได้ขอรับ! ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปจัดการเลือกโต๊ะให้ฮูหยินน้อยก่อนนะขอรับ ส่วนเจ้ารอข้าสักครู่ก็แล้วกัน”“ได้ขอรับนายท่าน” ชายขอทานกล่าวตอบรับด้วยเสียงเบาหวิว เพราะเวลานี้ อกของเขาแทบจะพองอยู่แล้วจากของสำคัญบางอย่างซึ่งมันเรียกร้องจะออกมา เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ เขาจำต้องอดทนต่อไปแม้เหงื่อจะไห
หรู่อี้พยายามที่จะคิดตามคำพูดของเจ้านาย แต่นางไม่รู้จริง ๆ ว่าผู้เป็นนายแยกแยะออกได้อย่างไร ว่าใช่หรือไม่ใช่ขอทาน เพราะตลอดหลายปีมานี้ เจ้านายของนางมิเคยย่างกรายออกจากจวนเลยสักครั้ง นอกจากไปร่วมงานเลี้ยง ซึ่งย่อมไม่เคยได้พบเจอเหล่ายาจกอยู่แล้วนั้นเองโม่ไป๋หลานไม่ได้คิดที่จะหัวเราะเยาะกับคำพูดของหรู่อี้ เพราะสิ่งที่นางเห็นนั้น มันเป็นด้วยนิสัยช่างสังเกตหรือเพราะด้วยใจที่มันพาให้รู้สึกอย่างนั้น นางก็มิอาจจะอธิบายออกมาได้เช่นกัน มันรู้สึกแค่เพียงว่ามีเสียงแว่วหวานของเจ้าของร่าง คอยชักนำว่านางควรก้าวไปหาขอทานคนนั้น และช่วยเหลืออย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ แม้จิตวิญญาณเป็นของตน แต่เหมือนหัวใจยังเป็นเจ้าของร่างนี้อยู่ เพียงแค่นางเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เท่านั้น หากจะอยู่ในร่างนี้จนวันตายก็ต้องครอบครองให้สมบูรณ์ทั้งกายและใจ“เล็บมือ! ขอทานที่ไหนเล็บจะสะอาดและถูกตัดอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีขี้ดินติดในซอกเล็บเลยแม้แต่น้อย ยังมีอีกนะ ร่างกายเขากำยำเช่นคนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ มิใช่ในแบบทำงานหนักเสียด้วย เขาเป็นขอทานยากจน จะเอาอาหารดี ๆ ที่ใดมาบำรุงร่างกายกันเล่า หรือเจ้าว่ามันไม่จริงอย่างที่ข้าพูดกัน หืม!”โม
‘การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง’โม่ไป๋หลานมองออกไปนอกหน้าต่าง เรียวปากอวบอิ่มคลี่ออกน้อย ๆ ใช่แล้ว...หากมิเสี่ยงเลย ย่อมมิได้สิ่งที่ต้องการ การนั่งรอความหวังมันจะจบลงแบบที่โม่ไป๋หลานตัวจริงพบเจอมาแล้วนั่นเอง ซึ่งมันคือความตายที่โม่ไป๋หลานได้รับเป็นรางวัล แล้วทำไมนางต้องรอ มิใช่ต้องลงมือหรืออย่างไรถึงจะได้มาโม่ไป๋หลานบอกให้ทุกคนลงมือกินข้าวกันได้ ชายขอทานยังคงเก้ ๆ กัง ๆ ยังไม่กล้าที่จะลงมือ นายหญิงของโต๊ะยังคงยิ้มละมุน มิได้เอ่ยวาจาใดออกมา จนนางคิดว่ารอนานไปแล้วกับความเกรงใจของอีกฝ่ายหญิงสาวจึงได้รวบแขนเสื้อ ยื่นตะเกียบเพื่อคีบเนื้อไก่แล้วนำไปวางไว้ในถ้วยข้าวของแขกที่ร่วมโต๊ะในวันนี้ ดวงตาของชายขอทานเบิกกว้างด้วยความตกใจ มิคิดว่าหญิงสาวสูงศักดิ์จะลดตัวลงตักอาหารให้แก่คนต่ำต้อยเช่นเขาได้“ท่านลุง อย่าได้เกรงใจ กินข้าวกันก่อนเถอะนะ อย่างอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” โม่ไป๋หลานพูดเนิบช้าพร้อมรอยยิ้มละมุนส่งให้แก่แขกของนาง“ฮูหยิน ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าเป็นเพียงขอทานผู้หนึ่งเท่านั้น ไยท่านถึงเมตตาคนเช่นข้ากันเล่าขอรับ” ชายขอทานกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจ“เอาเป็นว่าข้าเต็มใจช่วยท่าน ว่าแต่พอจะบอกนามของท่
เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงเกิดขึ้นจากคนทั้งสี่ ก่อนจะลงมือกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย แม้ภายในใจของทั้งสี่คนมีความคิดที่ขัดแย้งกันอยู่ในทีก็ตาม แต่เวลานี้พวกเขาต้องมิแสดงให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงมันโม่ไป๋หลานไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ อีก หญิงสาวคีบอาหารเข้าปากช้า ๆ มิได้เร่งร้อนอันใด การวางตัวของนางตกอยู่ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย นายให้บ่าวร่วมโต๊ะนั้น เรียกว่าแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ในเมืองหลวงเช่นนี้แต่ฮูหยินในแม่ทัพหยางซานหลางกลับมิถือตน ซ้ำไม่ได้ทำตัวต่ำต้อยอันใดเลย ร่างงามนั่งตัวตรง ทุกการเคลื่อนไหวดุจนางพญาผู้เป็นใหญ่ แม้แต่บ่าวหรือกระทั่งขอทานผู้นั้นเช่นกัน ต่างดูมิเหมือนคนรับใช้เลยสักนิดใช่แล้วที่ว่าภายในจิตใจของโม่ไป๋หลานนั้น นางคิดถึงสิ่งที่ต้องการจากชายขอทาน แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ทุกอย่างย่อมต้องอาศัยจังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะสม หากรีบร้อนไปดาบนั้นอาจหันเข้าหาตัวเอาได้เวลาผ่านไปไม่นาน ทุกคนเริ่มวางตะเกียบลง บ่งบอกว่าทุกคนอิ่มกันแล้ว โม่ไป๋หลานได้โน้มกายไปกระซิบบางอย่างกับหรู่อี้ สาวใช้ข้างกายมิได้แสดงออกอันใดทางสีหน้าท่าทาง ทำเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ“ท่านลุงเกา เรากลับกันได้แล้ว ส่วนหรู่อี
จงเป่ารีบประสานมือ ก้มหน้าลงยิ้มมุมปาก เรื่องนี้มันไม่ได้เกินความคาดเดาของเขาเลยสักนิด จริงอย่างที่คิด โม่ไป๋หลานต้องการเลี้ยงดูเขาเพื่องานของนางในอนาคตมิผิดแน่ วางหมากได้ยอดเยี่ยม ‘บุญคุณต้องทดแทน’ คำนี้ มิว่ายุคใดมันยังคงใช้ได้เสมอสินะ“อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยเจ้าค่ะท่านลุง ฮูหยินน้อยมิอยากให้ท่านถูกผู้อื่นรังแกอีก นางจึงให้โอกาสแก่ท่าน ข้าขอแนะนำว่าจงรับมันไว้เถอะเจ้าค่ะ” หรู่อี้เองก็มิยอมปล่อยผ่านเช่นกัน เมื่อนางได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ นางจะมิยอมให้เกิดความผิดพลาดใด ๆ เป็นอันขาด“เช่นนั้น ข้าฝากขอบคุณฮูหยินน้อยด้วยนะขอรับ ข้าต้องรบกวนแม่นางแล้ว”จงเป่าอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ กับท่าทางสาวใช้ของโม่ไป๋หลานที่พยายามทำงานของตนให้สำเร็จ เขามิอยากทำให้นางเสียเวลานานจึงตอบรับออกไปหรู่อี้เดินไปจ่ายค่าอาหารและสอบถามเสี่ยวเอ้อถึงบ้านเช่าในเมืองหลวง ก่อนจะได้ความกระจ่าง แล้วจึงได้เดินนำชายจงเป่าตรงไปยังทิศทางที่เสี่ยวเอ้อผู้นั้นบอกมา การทดสอบเพิ่งเริ่ม คำที่นายของตนกล่าวก่อนจากไปคือ ‘ใจคนยากแท้หยั่งถึง จงระวังตัวทุกย่างก้าว’ หรู่อี้จดจำมันขึ้นใจจวนแม่ทัพหยางไป๋หลานก้าวลงจากรถม้าหน้
คำพูดสุดท้ายของโม่ไป๋หลานถึงกับทำให้หยางซานหลางหน้าม้านไปเลยทีเดียว เขาไม่เคยคิดว่าภรรยาจะกล้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา“ฮา ๆ ไป๋หลาน เวลานี้จะมีผู้อื่นที่ไหนกัน ข้าสั่งสอนเจ้าอยู่ภายในจวน และต่อหน้าคนในครอบครัวเท่านั้น และมันไม่จำเป็นต้องนำใครมาเป็นพยานใด ๆ ทั้งนั้น เพราะคำพูดของข้าคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ สตรีเช่นเจ้าได้แต่งออกเรือนกับข้านับว่ามีวาสนามากแล้ว บุรุษเพียบพร้อมอย่างข้ายอมรับสตรีไร้ประโยชน์เช่นเจ้าเข้าจวน แต่เจ้าโม่ไป๋หลาน…เจ้ายังที่จะทำตัวร้ายกาจ ซ้ำเป็นคนทำให้ตระกูลข้ามัวหมอง”โม่ไป๋หลานเบะปากกับคำพูดของหยางซานหลาง ดูเหมือนเขายกยอตนเองให้สูงส่ง แต่การกระทำมันช่างตรงกันข้ามกับความเป็นจริงยิ่งนัก“ตรงไหนกันที่เรียกว่ามัวหมอง การที่ข้าออกไปหาซื้อของใช้เพียงลำพังก็มิใช่เพราะสามีไร้ความรับผิดชอบหรอกหรือ”“ต้องให้ข้าสาธยายอีกอย่างนั้นใช่ไหม กล้าพูดว่าเป็นภรรยาของข้า แต่ไม่รู้จักคำว่าสำรวม มิสมฐานะฮูหยินของข้าสักนิด”“สามีข้า หากจะพูดเช่นนี้ ข้าว่าท่านเอาเวลาที่มี ไปช่วยสอนใครบางคนให้รู้จักฐานะและความเหมาะสมของตัวเองจะดีกว่า เพราะข้ารู้จักดีว่าอะไรควรมิควร และยืนอยู่ในที่ของตนเองตา
น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจได้ออกมาจากปากของโม่ไป๋หลานเมื่อความเหนื่อยล้าเริ่มโจมตีนางแล้วในเวลานี้“ไม่เจ้าค่ะ จนกว่าท่านพี่จะกล่าวคำขอโทษแก่ข้าและพี่ซานหลางเสียก่อน”จีกวานฮวากล่าวพร้อมเชิดใบหน้างาม แสดงถึงความได้เปรียบของตนเองที่อย่างไรเสียนางก็เหนือกว่าญาติผู้พี่ แม้ความงามมิเทียบเท่าแต่หัวใจของแม่ทัพหนุ่มคือของนางแต่ผู้เดียวโม่ไป๋หลานเลิกคิ้วงามขึ้นเป็นเชิงถามอีกฝ่าย นี่ยังจะให้นางขอโทษอันใดกันอีกเล่า ในเมื่อนางมิได้ทำอันใดผิด“เรื่องอะไรกันที่ข้าจะต้องขอโทษพวกเจ้า ในเมื่อข้าไม่เคยคิดที่จะหยุดเสวนาอันใดด้วยเลยสักนิด ผู้ที่รั้งข้ามิใช่พวกเจ้าหรอกหรือ แล้วนี่ยังมาออกคำสั่งให้ข้ากล่าวในสิ่งที่มิรู้ถึงความผิด น้องพี่ จงอย่าไปทำเช่นนี้กับผู้อื่นอีกนะ เพราะคนเขาจะว่าเอาได้ว่าเจ้าไร้การอบรม หากแต่เป็นเจ้าต่างหากเล่าที่ทำ...มิใช่ข้า แต่กลับกลายเป็นพี่สาวผู้นี้ที่ต้องกล่าวขอโทษเช่นนั้นหรือ ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”“ท่านพี่ช่างทำตัวต่ำต้อยเช่นหญิงสาวชาวบ้านเกินไปแล้วนะเจ้าคะ นอกจากมิรู้ผิดชอบชั่วดี…แล้วยังต่อว่าข้า ไม่เพียงแค่นั้น ท่านพี่ยังมิเคารพต่อสามีของตัวเองอีก ช่างน่าอับอาย
มิใช่แค่จีกวานฮวาที่ตกใจ แม้แต่แม่ทัพหยางซานหลางที่เคยดูหมิ่นในความอ่อนแอของคนตรงหน้ายังรู้สึกว่าคนเช่นนี้เขาควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้ แต่นี้มันคือบ้านของเขา จะยอมให้คนนอกมาอยู่เหนือกว่าตนเองได้อย่างไรกัน หากว่าข่าวนี้แพร่ออกไป ย่อมทำให้เขามิอาจสู้หน้าชาวเมืองได้‘แค่ภาพภายนอกผู้ใดก็สร้างได้ จะวัดกันต้องได้เห็นฝีมือก่อนเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าน่าเก่งกาจอย่างแท้จริง’ หยางซานหลางยังคงไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็นนัก เขามีความเชื่อมั่นในฐานะแม่ทัพนั่นเอง“ขอบคุณน้องเขยผู้แสนดีที่ยังจำกันได้ มิพบกันหลายปีนิสัยเจ้ามิเคยเปลี่ยนไปเลยนะ ไร้สมองสอนมิรู้จักจดจำ พี่ภรรยาผู้นี้คงต้องอบรมเจ้าให้รู้จักการให้เกียรติภรรยาเสียหน่อยดีหรือไม่…เจ้าว่าอย่างไรเจี๋ย ข้าควรสั่งสอนน้องเขยดีหรือไม่”ใบหน้าหล่อเหลาได้หันไปยังทางเดินที่เขาพึ่งผ่านเข้ามา มองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังยืนเอามือลูบหัวของหมาป่าตัวใหญ่ขนาดเท่าลูกวัวอยู่อย่างอารมณ์ดี คนที่ถูกถามช้อนสายตาขึ้นมองดูคนทั้งสี่อย่างถี่ถ้วนโดยหยุดไว้ที่หญิงสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ก่อนจะพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้เมื่อมองเห็นท่าทางเอาเรื่องของเด็กที่หาเรื่องใส่ตัวทั้งในและนอก
“ให้เข้ามาได้” ฮ่องเต้ทรงตรัสอนุญาต แม้จะทรงข้องพระทัยอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นอาของพระองค์ก็เสด็จมาหา“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงก้าวออกไปยังหน้าประตู ก่อนทูลเชิญเสด็จจิ้นอ๋องจิ้นอ๋องเสิ่นหลีก้าวเข้ามาอย่างองอาจ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตามที แต่ยังคงความสง่าเช่นราชนิกุลผู้มีสายเลือดมังกรอยู่มิเสื่อมคลาย ใบหน้าที่อ่อนโอน และอบอุ่นเสมอสำหรับคนในครอบครัว แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอ๋องประสานมือก่อนจะโค้งตัว ทำความเคารพโอรสมังกร ผู้ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ตนเอง“ตามสบายเถอะ เสด็จอา วันนี้ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ จึงได้มาหาข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มิทรงอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทรงรู้จักนิสัยของผู้เป็นอาดี ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ คนผู้นี้มักจะขลุกอยู่กับโคลงกลอน และการออกตรวจเยี่ยมราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่ของพระองค์เอง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงมาเยี่ยมเยียน พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ทรงมิค่อยสบายพระทัยนัก จึงอยากที่จะมาชวนฝ่าบาท ร่วมดื่มสุราชั้นยอด จากเมืองฉินเส่าสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้โม่เหยีย
แต่ยังไร้เสียงร้องขอความเมตตา ออกจากปากของสองพี่น้อง โม่หยวนฟางพยายามยกหน้าไม้ขึ้น เขาทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงตัดสินใจกดยิงออกไป ระยะประชิดเช่นนี้ มีหรือจะพลาดเป้า ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณสีข้างของคนร้าย ด้วยอารามตกใจ ชายสวมหน้ากากจึงเหวี่ยงหยวนฟาง ไปยังทิศทางเดียวกับโม่คังปึก! ตุบ! ร่างเด็กชายกระแทกเข้ากับตัวของพี่ชายที่รวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งรับร่างผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะตกสู่พื้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่สะเทือนใจขององครักษ์บางคนที่ยังหายใจอยู่ แต่ไร้สามารถที่จะลุกขึ้นปกป้องนายได้แล้วเช่นกันเลือดสีแดงฉาน ทะลักออกมาจากปากของโม่คัง เด็กชายยังคงพลิกตัวนอน ทาบทับเอาร่างบังน้องชายเอาไว้ภายใต้กายโชกเลือดของตนเอง ซึ่งเขาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อาการหายใจไม่ทั่วช่องท้อง เริ่มมีบ้างแล้วหยวนฟางดึงปี่ออกจากเชือกที่ร้อยติดกับสายคาดเอว ก่อนจะนำมาใส่ปากออกแรงเป่าอยู่อย่างมิท้อถอย ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาเหยียบลงบนหลังของโม่คัง ค่อย ๆ กดน้ำหนักลงไป เด็กชายไร้แรงต้านทานใด ๆ ได้อีกสองแขนที่พยายามค้ำยันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับน้องชายแรงเกินไป ถึงกับสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มันคือการทรมานจากศ
หลายปีก่อน ระหว่างทางไปวัดฉุ่ยอิงนอกเมืองหลวงเพล้ง! ฮี้ ๆ เสียงกระทบกันของอะไรสักอย่าง รวมทั้งเสียงม้าที่แตกตื่น ทำให้เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า รับรู้ถึงเรื่องผิดปกติ“เกิดอะไรขึ้น”เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยถามองครักษ์ด้านนอก แม้ตัวเขาพอเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากอะไร“อย่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ มีคนร้าย”คำตอบจากหนึ่งในองครักษ์ ที่ได้อยู่คุ้มกันขบวนรถม้านำเสด็จองค์รัชทายาทโม่คังในวัยสิบชันษาเพื่อไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนนี้ อยู่ ๆ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน โดยภายในมีขันทีวัยใกล้เคียงกันได้ตามเสด็จพร้อมทั้งพระญาติ คือท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เด็ก ๆ ต่างพากันเตรียมพร้อมรับมือ เสียงลูกดอกกระทบรถม้า และทะลุเข้ามายังด้านใน ทำให้โม่คังรีบคว้าตัวน้องชายเข้ามากอดเพื่อปกป้อง ก่อนจะหยิบเอาแส้อสรพิษที่นำติดตัวมาด้วยเอาไว้ในมือ แล้วพาน้องชาย รวมทั้งขันทีคนสนิทลงจากรถม้า องครักษ์คุ้มกันได้ล้อมเข้าเพื่อป้องกันเจ้านายทั้งสองอ๋องน้อยด้วยวัยเพียงห้าขวบที่หวังตามพระเชษฐาออกมาเที่ยวนอกวังนั้นยังมิประสาอะไรมาก ฝีมือการต่อสู้ก็เพียงเล็กน้อยยังมิถึงขั้นชำนาญ ในมือยังคงถือหน้าไม้ที่ฮ่องเต้
ชายหนุ่มเดินยืดตัวตรง ช่างดูสง่าผ่าเผย จนมิเหมือนบ่าวรับใช้สักเท่าใดนัก ร่างสูงหยุดยืนกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หยางซานซินโดยบังเอิญ บุรุษต่างวัยยืนจ้องตากันดุจมังกรปะทะพยัคฆ์ก็ว่าได้ ก่อนรอยยิ้มของผู้อ่อนวัยกว่า จะยกขึ้นช้า ๆ เมื่อมองเห็นเสือเฒ่า ปิดดวงตาเอาไว้ข้างหนึ่ง‘สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้บาดเจ็บหนักยังลุกขึ้น ออกมาเดินไปทั่วค่ายได้’ นับว่าเสือเฒ่าตัวนี้ร้ายมิใช่เล่นแต่จงอย่าลืมว่าแม่ทัพเพียงสองคน มิอาจล้มฮ่องเต้ได้โดยไร้ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นต่างหากที่เขาต้องการตัว มากกว่าคนตรงหน้า โม่คังเดินเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่าย แต่เท้าของหยางซานซิน ยังมิทันขยับก้าวกลับเป็นโม่คังที่ก้าวออกไปก่อน ไม่คิดรั้งรอที่จะเอ่ยปากอันใดกับหยางซานซิน“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักอ่อนน้อม รึเห็นข้าเป็นเพียงก้อนหินหรืออย่างไรกัน เป็นชาวบ้านไร้การอบรมสิ้นดี”โม่คังหยุดเดินก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย คนพวกนี้ช่างเจ้ายศกันเสียจริง เขาเป็นถึงองค์ชาย ยังไม่เคยเรียกร้องให้คนมาก้มหัวให้ ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาเสมือนไร้ความรู้สึกใด ๆ เมื่อเขาต้องมองหน้าคนอย่างหยางซานซิน
หยางซานหลางได้คว้ามือไปหยิบหน้ากากมาสวมเพื่อปิดบังรอยแผล“ข้าน้อยเยว่คัง คารวะท่านแม่ทัพหยาง”ชายหนุ่มได้ยื่นตะกร้าให้แก่ทหาร ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวและประสานมือ ทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม โม่คังแอบซ้อนสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่‘เล่อเล่อ! น้องเบามือเกินไปแล้ว หยางซานหลางยังนั่งหน้าตาย อยู่ได้ มันไม่สาแก่ใจพี่เท่าใดนัก’ ชายหนุ่มแอบตำหนิน้องสาวอยู่ภายในใจทหารที่เป็นผู้รับตะกร้าอาหารไป ได้ทำการทดสอบพิษเสียก่อน ที่จะนำมาให้แก่ผู้เป็นหัวหน้าของตนได้ดื่มกิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำออกมาวางยังโต๊ะ รวมกับอาหารของหญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าชา เสมือนถูกตบอย่างแรง เมื่อต้องมองอาหารที่สตรีอื่น นำมาให้คนรักของตนต่อหน้าเช่นนี้“แม่นางฟางเล่อสบายดีหรือ ข้านั้นเสียมารยาทมากนัก ที่มิได้เข้าไปกล่าวทักทาย ต้อนรับนางเลย ช่างเสียมารยาทนัก”“หามิได้ขอรับท่านแม่ทัพ นายหญิงให้เรียนท่านแม่ทัพว่า เมื่อวานเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวเซียนอี้ วันนี้จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อย นำของกำนัลมาให้ยังค่ายแทนขอรับ หวังว่าท่านแม่ทัพหยางคงมิรังเกียจของพื้น ๆ เช่นนี้นะขอรับ”โม่
“เป็นเพียงบ่าวรับใช้ มินอนหน้าเตียงของข้าเสียเลยล่ะขอรับ” หยวนฟางประชดคนเป็นพี่“เช่นนั้นก็ได้ เอาตามนี้ก็ดี ปะ! ไปนอนกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราควรพักผ่อน” โม่คังยกยิ้มมุมปาก เมื่อกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องได้ จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีโม่คังอยากหัวเราะดัง ๆ กับท่าทางประชดประชันของน้องชาย อายุมิใช่น้อย แต่พอเขาที่แก่กว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นก็กลายร่างเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ทันที ยังมีอีกคนพรุ่งนี้ น้องสาวสุดที่รักจะยังจำพี่ชายคนนี้ได้อยู่รึไม่ คราแรกตอนได้ยินข่าวการตายของนาง เขาแทบตรงดิ่งเข้าเมืองหลวง เพื่อฆ่าอดีตน้องเขยด้วยมือของตนเอง แต่เพราะคำว่าเพื่อบ้านเมือง เขาจะปรากฏตัวให้ใครรู้มิได้ว่ายังไม่ตาย‘ใกล้ถึงเวลาที่พวกแก ต้องชดใช้แล้วกบฏทั้งหลาย’หยวนฟางแทบอยากผูกคอตาย เมื่อผู้เป็นพี่ชายมานอนร่วมห้อง เป็นเขาที่ต้องนอนหน้าเตียง เมื่อทนไม่ได้กับการนอนดิ้นของพี่ชาย จึงต้องหอบหมอนและผ้าห่ม ลงมานอนข้างล่างแทน“ฝากไว้ก่อนท่านพี่ อย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะเอาคืนให้สาสม”เสียงบ่นเบา ๆ ของคนด้านล่าง ทำให้คนบนเตียงยิ้มกว้าง ที่แกล้งน้องชายได้สำเร็จ พวกเขาหยอกล้อกันเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเสียงน้อ
“ได้! ปล่อยข้าก่อน”หรู่อี้รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าว เมื่อลมหายใจของคนตัวใหญ่ เป่าลดลงบนหน้าผากของนาง เมื่อร่างบางได้เป็นอิสระแล้ว หรู่อี้รีบพุ่งลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างเมี่ยวจ้านในทันที เยว่คังยังคงตีสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียง ไปยืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย“เอาละ! ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้ หรู่อี้ชายผู้นี้มีนามว่าเยว่คัง เป็นคนของฝ่าบาท ส่วนเจ้าเยว่คัง นางคือหรู่อี้ผู้ติดตาม คนสนิทของท่านหญิงโม่ฟางเล่อ ส่วนนั่นคือองค์หญิงเมี่ยวจ้าน คนรักของข้าเอง”พอแนะนำว่าเมี่ยวจ้านคือผู้ใดเสร็จ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เยว่คังค้อมศีรษะให้แก่สตรีทั้งสองนาง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางโม่หยวนฟาง‘ร้ายนักเจ้าน้องชาย หมายจะทิ้งบ้านเมือง ไปเป็นเขยต่างแคว้น’ โดยคนเป็นน้องชายก็มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“ท่านพี่จะรีบทำให้ไก่ตื่นไปไย อย่างไรเสียนกน้อยของท่านก็มิหนีหายไปไหนได้อยู่แล้ว” หยวนฟางกระซิบเบา ๆ กับเยว่คัง“แม่นางหรู่อี้! เยว่คังผู้นี้จำต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่ท่านทำให้ข้าต้องมีมลทินนั้น ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้”ทุกสายตาหันไปมองยังหรู่อี้
ชายหนุ่มได้หายออกจากเก้าอี้ไปนั่งอยู่บนเตียง โดยที่หรู่อี้มิอาจตามได้ทัน ความรวดเร็วว่องไวดุจสายลม ช่างน่ากลัวยิ่งนักหากคนผู้นี้คือศัตรู คงต้องบอกว่าหนักมือสำหรับนางไม่น้อยเลย หรู่อี้พุ่งเข้าหาคนบนเตียง ด้วยความเร็วดุจพายุก็มิปาน แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้ขยับไปไหน เพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย มือแกร่งรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับไปนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม กระบี่ในมือตกอยู่ข้างลำตัวแทนไม่เพียงแค่กอดรัด ขณะที่หรู่อี้กำลังจะอ้าปากต่อว่า“อื้อ! อ่อย! ฮา! อะ!”หรู่อี้ทำได้แค่เพียง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มิใช่เพียงแค่ปากประกบลงบนกลีบปากนุ่มของหญิงสาวเท่านั้น ลิ้นของชายหนุ่มได้สอดล่วงล้ำ เข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกด้วย หรู่อี้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เมื่อถูกรุกราน นางยังมิเคยต้องมือบุรุษใดมาก่อนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ กับความใสซื่อและอ่อนประสบการณ์ของคนในอ้อมแขน หรู่อี้ถึงกับน้ำตาซึม ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่แก้มนวล ชายหนุ่มรู้สึกได้กับน้ำอุ่น ๆ สัมผัสใบหน้าของตนซึ่งแนบชิดกับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก“นี่อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าเล่นลิ้นสาวน้อย”
‘มิเจียมตนเลยเมี่ยวจ้าน’ หญิงสาวพร่ำบ่นตนเองอยู่ภายในใจ“เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือเมี่ยวจ้าน ว่าตนเองมีความผิดเรื่องใดบ้าง”โม่หยวนฟางยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน และยังคงพูดจา ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากขึ้นอีก เขารู้ตั้งแต่คนของเขาส่งสัญญาณมาก่อนแล้วว่า พวกนางมาถึงหอร้อยราตรีแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยให้หญิงคณิกาผู้นั้นรุกหนัก โดยยอมหญิงงามผู้นั้นขึ้นคร่อมบนตัว เสมือนเขาเป็นม้าและคณิกาคนงามเป็นผู้ขี่ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เมี่ยวจ้านปรากฏตัวขึ้น ด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่การกระทำกลับมินิ่งเสมือนใบหน้า สร้างความพอใจให้แกเขายิ่งนัก สิ่งที่ชอบในตัวนางคือ ความตรงไปตรงมา นางชัดเจนเสมอในสิ่งที่ลงมือกระทำ สมแล้วที่เป็นถึงรัชทายาทแห่งจิ้งหนาน‘ข้าอยากเห็นขุนพลผู้เกรียงไกร พ่ายต่อใจตนเองนัก’“เจ้าเห็นร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของพี่จนหมดสิ้นแล้ว มิเว้นแม้แต่ส่วนลับ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ”โม่หยวนฟางพูดด้วยน้ำเสียง เหมือนกำลังจะร้องไห้ พร้อมใบหน้าเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด“ห๊ะ! ขะ…ข้าหรือ” เมี่ยวจ้านอุทานออกมา ด้วยความตกใจปนสับสนโม่หยวนฟางเริ่มตีหน้าเศร้า เอามือลูบตามเนื้อตัวของตน เพื่อแสดงให้หญิ