จีกวานฮวาแอบกำหมัดแน่นภายใต้แขนเสื้อ นางคือผู้แพ้อย่างนั้นหรือในวันนี้ ทุก ๆ ครั้งนางคือคนที่ชนะมาโดยตลอด ส่วนทหารและบ่าวไพร่ที่มาอยู่ดูการตัดสินได้หายไปจากลานฝึกอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ถิงก็เล่นบทนางเอกแสนดี สะใภ้ผู้เพียบพร้อมได้เช่นกัน ก่อนจะแสร้งทิ้งน้ำหนักลงไปทางแม่สามีเล็กน้อย หลิวเจินเจินโอบประคองหญิงสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะก้าวพ้นประตูลานฝึก ฮูหยินใหญ่แห่งจวนสกุลหยางได้หยุดลงก่อนจะเอี้ยวตัวเล็กน้อยหันกลับไปยังบุตรชายและญาติของลูกสะใภ้ “อ้อ! ลืมไป คุณหนูจีกวานฮวาเองก็รีบกลับบ้านได้แล้วนะ ก่อนที่มันจะค่ำมืดเอา หลานเอ๋อร์มีซานหลางคอยดูแลอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้า เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าระหว่างสามีกับญาติ ข้าคิดว่าคนเป็นสามีย่อมดีต่อความรู้สึกมากกว่า จริงหรือไม่ หน้าที่ในการปรนนิบัติซานหลางก็เป็นของภรรยาเขา ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” หยางฮูหยินกล่าวทิ้งท้ายด้วยคำพูดเหน็บแหนม ซึ่งทำให้คนฟังแทบ กรีดร้องออกมาด้วยความอับอายและเจ็บแค้นเลยทีเดียว หยางซานหลางมองตามร่างภรรยา ด้วยสายตาที่แปลกกว่าที่เคย โม่ไป๋หลานคนนี้ติดจะก้าวร้าว แต่ทุกคำของนางช่างมีน้ำหนักที่สามารถทำให้คนเอนเอียงตามได้ แม้มันจะดูมิเหมาะสมที่นางต่อคำกับเขา แต่กลับบ่งบอกถึงความเข้มแข็งของเจ้าตัวอยู่ในที ใช่แล้ว...เขาสืบความไม่ได้กระจ่างก่อนตัดสิน แต่แล้วอย่างไรเล่า เพราะมันควรเป็นไปตามสิ่งที่เขาพูดมิใช่หรือ เขาคืออำนาจเด็จขาด แต่โม่ไป๋หลานกลับใช้อำนาจของสกุลนางมาหักล้างคำตัดสินของเขา โดยตัวเขาก็มิอาจทัดทานได้ มิคิดว่าเพื่อสาวใช้เพียงคนเดียว ภรรยาของเขาจะกล้านำอำนาจของตระกูลมาข่มขู่คนในจวน โดยไม่มีความเกรงกลัวในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย “พี่ซานหลาง คือว่า...” จีกวานฮวาชะงักค้าง ด้วยเวลานี้แม่ทัพหนุ่มกำลังอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรกันไปหมด จนนางเองก็มิอาจตั้งรับได้ทันเช่นกัน หยางซานหลางหันไปมองหญิงสาวก่อนจะระบายยิ้มน้อย “ว่าอย่างไรหรือ กวานเอ๋อร์” แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เอ่ยอะไรออกมา หัวหน้าพ่อบ้านเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่เสียก่อน “เรียนท่านแม่ทัพ…ท่านแม่ทัพใหญ่ให้มาเชิญไปพบด่วนขอรับ” ทั้งคู่จึงยุติการสนทนา ก่อนจะหันไปยังชายวัยกลางคน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในจวน ใบหน้านิ่งสนิทของพ่อบ้านเกาไม่มีผู้ใดสามารถเดาอารมณ์หรือความรู้สึกของเขาออก ชายผู้นี้จะแย้มยิ้มกับคนเพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นคือฮูหยินน้อยโม่ไป๋หลาน “อืม! ถ้าเช่นนั้น เจ้าไปส่งคุณหนูกวานฮวาแทนข้าด้วย” หยางซานหลางยิ้มน้อย ๆ ให้หญิงสาวข้างกาย ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อเดาได้ถึงเรื่องที่บิดาต้องการหารือกับเขา มิพ้นมีเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นรวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน “ได้ขอรับ ท่านแม่ทัพ” พ่อบ้านเกาตอบรับ ก่อนจะขยับก้าวถอยออกไป เพื่อรอให้เจ้านายสนทนากันเสียก่อน จีกวานฮวาได้แต่ยิ้มละมุน มิได้เอ่ยแทรกหรือโต้ตอบอันใด แม้จะรู้สึกขัดเคืองใจอยู่มิน้อยที่ตนเองเสมือนเป็นส่วนเกินของจวนแห่งนี้ แม้แต่พ่อบ้านเกา นางก็ดูออกว่าเขามิชอบใจกับการมาเยือนของนางเท่าใดนัก นางพบเจอพ่อบ้านเกาคราใด แม้แต่รอยยิ้มหรือคำพูดทักทายนางสักครั้งก็มิเคยได้รับจากคนผู้นี้ เป็นที่รู้กันว่าสตรีใดที่แต่งเข้าจวนใหญ่ หากจะครอบครองอำนาจได้อย่างแท้จริง จำต้องได้รับการสนับสนุนจากบรรดาหัวหน้าพ่อบ้านผู้กุมอำนาจในการดูแลบ่าวไพร่และความเรียบร้อยภายในจวน หากไม่ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าบ่าวไพร่แล้วละก็ การที่จะเอาชนะสตรีอื่นในจวนมัก ต้องพบกับความยากลำบากเป็นที่สุด “กวานเอ๋อร์ เจ้าเองก็ควรพักผ่อนให้มาก อย่าได้กังวลเรื่องพี่สาวเจ้าเลย นางปลอดภัยแล้ว คงไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง” ทุกคำที่เอ่ยกับหญิงสาวมันช่างอ่อนโยนเหลือเกิน ทำให้คนฟังจิตใจเบิกบาน รอยยิ้มอ่อนหวานอย่างมีจริตได้ปรากฏขึ้น “เจ้าค่ะ พี่ซานหลาง เอาไว้วันหลังข้าค่อยมาเยี่ยมพวกท่านใหม่ก็แล้วกันนะเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้นกวานเอ๋อร์ขอตัวก่อน” “พี่คงมิได้เดินไปส่งเจ้าแล้ว ต้องขอโทษเจ้าด้วยจริง ๆ” “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านพ่อคงมีเรื่องสำคัญที่จะหารือกับพี่ซานหลาง กวานเอ๋อร์มิรบกวนแล้ว” ชายหนุ่มก้มหัวให้หญิงสาวน้อย ๆ ก่อนจะผายมือให้นางเดินนำไปก่อนในฐานะแขกของบ้าน หลายคนมักมองว่าจีกวานฮวาดูฉลาดเฉลียว อ่อนหวาน ซ้ำยังเรียนรู้วิชาการต่อสู้ ฝีมือนางถือว่าดีมาก จึงเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างแม่ทัพหนุ่มมากกว่าฮูหยินน้อยผู้บอบบาง ซึ่งเหมาะเพียงเป็นดอกไม้สูงค่ามีไว้เพื่อประดับบารมีเท่านั้น เรื่องฝีมือกลับไร้สามารถ หากยามออกสนามรบ สำคัญคือสตรีที่เคียงข้างสามีได้ มิใช่เพียงอยู่เฝ้าบ้าน แต่ทุกคำพูดจำต้องเงียบหายไปในที่สุด เมื่อพ่อบ้านเกาได้ร้องขอให้บรรดาภรรยาของเหล่าทหารที่พากันพูดพาดพิงถึงฮูหยินน้อยในลักษณะดูหมิ่นถึงความสามารถของนาง ให้นำภรรยาของพวกเขาออกสู่สนามรบด้วย เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ภรรยาของผู้นำ ว่าในสิ่งที่พวกเขาคิดและกล่าวหาฮูหยินน้อยนั้น ภรรยาของพวกเขาทุกคนทำได้อย่างที่พากันตำหนิฮูหยินในท่านแม่ทัพหนุ่มหรือไม่ ซึ่งนับจากนั้นมา ไม่มีทหารของแม่ทัพหยางซานหลางคนใดเอ่ยเรื่องทำนองนี้ออกมาอีกแม้แต่เพียงครึ่งคำเรือนไป๋หลานยามค่ำคืน…
หลังจากแม่สามีกลับไปแล้ว หลี่ถิงได้เดินออกจากห้องเพื่อที่จะไปดูหรู่อี้อีกครั้งให้แน่ใจว่าหญิงสาวปลอดภัยและได้รับการรักษาที่ดี คำสั่งของหลี่ถิงคือห้ามใครเข้าไปรบกวนหรู่อี้ นางเอ่ยขอสาวใช้จากแม่สามีมาดูแลคนของนางอย่างใกล้ชิด เพราะหลี่ถิงกลัวจะมีคนมาทำร้ายหรู่อี้อีก เธอจึงได้จัดห้องให้สาวใช้ผู้น่าสงสารพักอยู่ห้องติดกับตนเอง เพื่อที่จะสะดวกในการดูแลอีกด้วย สำหรับชิงชิง เธอได้สั่งให้ไปอยู่เรือนซักล้าง เพราะเวลาเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเก็บคนอย่างชิงชิงเอาไว้ข้างกาย ทุกอย่างที่เธอทำได้ คือพยายามจะรักษาชีวิตใหม่นี้เอาไว้ให้นานที่สุด เพียงก้าวพ้นประตูห้องมายืนอยู่ด้านหน้า คิ้วงามได้ขมวดเข้าหากันเมื่อได้มีโอกาสมองสำรวจที่พักของตนเอง ‘นี่หรือเรือนไป๋หลาน ไยมันถึงได้ใหญ่โตโอ่อ่าถึงเพียงนี้’ นับว่าการออกแบบของคนในยุคสมัยนี้มีความประณีตเป็นอย่างมาก สิ่งของที่ใช้หรือแม้แต่วัสดุทุกชิ้น ล้วนเป็นของดีมีคุณภาพ สมแล้วกับที่เป็นจวนของแม่ทัพใหญ่ ร่ำรวยโอ่อ่ายิ่งนัก แล้วถ้าเป็นจวนอ๋องผู้เป็นพระบิดาของโม่ไป๋หลานจะงดงามแค่ไหนกันนะ… แน่นอน หากวันข้างหน้าต้องหย่าขาดสามี นางต้องกลับไปอยู่ที่นั่น คงต้องหาโอกาสกลับไปสำรวจเอาไว้บ้างก็ดี แต่ต้องรอให้หรู่อี้หายดีเสียก่อน นางค่อยสอบถามถึงความจริงเกี่ยวกับโม่ไป๋หลานอีกครั้ง เพราะความทรงจำที่เจ้าของร่างหลงเหลือเอาไว้นั้นมันยังไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ต้องมีคนช่วยไขความกระจ่างเพิ่มเติมจะเป็นการดีที่สุดในการเอาชีวิตรอดในโลกที่แปลกใหม่แห่งนี้ ขณะที่หญิงสาวกำลังชื่นชมอยู่กับความใหญ่โตของบ้านแบบย้อนยุค สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงของใครบางคนหลี่ถิงรีบหลบหลังเสาทันที ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเดินมาหาตน แล้วหาเรื่องแบบเมื่อกลางวัน‘ฉันยังไม่พร้อมทะเลาะกับใครตอนนี้’หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกทันที เมื่อร่างสูงของหยางซานหลางได้หายเข้าไปภายในห้องซึ่งอยู่ฝั่งขวามือของห้องเธอ ด้วยลักษณะของเรือนหลังนี้เป็นรูปทรงตัวยู โดยห้องของเธอจัดอยู่ตรงกลางที่เป็นส่วนของตัวยูนั่นเอง‘ไหนในหนังสือนิยายหรือละครบอกว่าสามีภรรยาในยุคโบราณ เขาจะแยกอยู่คนละหลังนี่! ยิ่งสามีไม่รักก็มิสมควรนอนหลังเดียวกัน แต่ทำไมสามีของโม่ไป๋หลานถึงได้มาอยู่ที่นี่’“หลบทำไม! หรือคิดว่าข้าจะไปหาเจ้ากัน ถึงมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ตรงนี้ เพื่อเฝ้ารอข้าอย่างนั้นใช่ไหม คิดว่าข้าจะหลงกลมารยาของสตรีใจสกปรกอย่างเจ้าหรืออย่างไรกัน”หยางซานหลางปรากฏตัวขึ้นอีกด้านของเสาต้นใหญ่ที่หลี่ถิงหลบอยู่ พร้อมน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน“ว้าย! ท่านคิดจะทำอะไรข้าอย่างนั้นหรือ ไยถึงได้มาเงียบ ๆ เช่นนี้”หลี่ถิงหวีดร้องด้วยความตกใจ จนดวงตามืดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดประชดอีกฝ่าย ที่ยังยืนนิ่งมองเธออยู่“อย่าใส่ความข้าเพียงเพราะอับอายกับความคิดของตนเอง ไป๋หลาน มีหรือว่าข้าจะมิรู้ว่าเจ้าออกมายืนทำอะไรตรงนี้ ถ้าไม่ใช่มาร
ร่างงามก้าวลงจากเตียงเพื่อเดินออกไปดูด้านนอก แต่หรู่อี้ขยับมาขวางเอาไว้เสียก่อน คิ้วงามขมวดเป็นปม สายตาเริ่มมีแววโทสะที่ถูกขัดใจ เธอพอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว จึงได้คิดที่จะออกไปจัดการให้เรียบร้อย เธอเข้าใจว่าหรู่อี้กลัวหยางซานหลาง“ฮูหยินน้อย อย่าเพิ่งเข้าใจหรู่อี้ผิดนะเจ้าคะ ท่านควรอาบน้ำแต่งกายเสียก่อนเจ้าค่ะ หรู่อี้มิอยากให้ผู้ใดมาว่าฮูหยินอีกเจ้าค่ะ”หลี่ถิงก้มมองชุดตัวเองก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ออกมา เธอลืมไปว่าตอนนี้ สภาพมันไม่น่าดูเอาเสียเลย หากออกไปย่อมต้องอับอายคนอื่นเขาแน่นอนหลี่ถิงเข้าใจเจตนาของสาวใช้แล้ว ก่อนจะเดินไปโอบกอดหรู่อี้ มือบางตบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะผละออก แล้วเดินไปยังส่วนอาบน้ำที่เธอสั่งให้จัดขึ้นมาใหม่‘น่าอายที่สุด...หลี่ถิง’การที่เธอสวมกอดสาวใช้ มันคือ…หนึ่งรู้สึกผิด ที่คิดในแง่ร้ายต่อหญิงสาว สองคือเธอกำลังขัดเขินกับสภาพของตนในตอนนี้“หรู่อี้ เจ้าช่วยไปเอาเสื้อผ้าทั้งหมดของข้าออกมาวางไว้บนเตียงรอเลยนะ ไม่ต้องมาช่วยอาบน้ำก็ได้ ข้าจะจัดการเอง”หลี่ถิงยิ้มแต้ที่สามารถทำตัวกลมกลืนไปกับภาษาของที่นี่ได้ แม้จะยังไม่ชำนาญนัก แต่ก็ถือว่าตีเนียนไปได้เยอะอยู่ ในความคิดของเจ้
“หรู่อี้ ช่วยหากระดาษกับพู่กันมาให้ข้าที”เธอคือคนจีนมาแต่กำเนิด เรื่องอ่านเขียนวาดโคลงกลอนก็ไม่เป็นรองใคร แค่ไม่ได้เก่งมากจนมีชื่อเสียง การใช้พู่กันยิ่งสำคัญกับการแสดงหนังและละคร จึงไม่แปลกที่คนอย่างเธอจะใช้มันเป็นและคล่องแคล่วหรู่อี้ออกไปจากห้องเพื่อจัดหาของให้เจ้านายหลี่ถิงบรรจงเลือกเสื้อผ้าทีละชิ้น ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมสำหรับไปด้านนอกมาดู‘อ่า! ยังดีที่ชุดคลุมเหล่านี้มีลวดลายอยู่บ้าง แม้จะสีน้อย แต่พอไหว’หญิงสาวเร่งจัดการกับตัวเองก่อนที่สาวใช้จะกลับมา เมื่อหรู่อี้กลับมาถึง หลี่ถิงรีบรับสิ่งของทั้งหมดไปนั่งวาดเขียนบางอย่างยังโต๊ะกลางห้อง โดยที่หรู่อี้คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ“หรู่อี้ เรามีเงินหรือไม่” แน่นอนจะทำอะไรจำเป็นต้องใช้เงิน ไม่ว่ายุคสมัยหรือบ้านเมืองใดก็ตาม“มีเจ้าค่ะ ตั๋วแลกเงินและทุกอย่างอยู่ในหีบ รอสักครู่นะเจ้าคะ”ไม่นาน หรู่อี้ยกหีบลวดลายงดงามมาวางบนโต๊ะที่หลี่ถิงกำลังทำบางอย่างอยู่ สองนายบ่าวช่วยกันสำรวจของข้างใน เมื่อทุกอย่างลงตัวหลี่ถิงจึงได้ให้หรู่อี้นำเสื้อผ้าทั้งหมดไปใส่หีบเอาไว้ก่อน เพื่อที่นางจะนำออกไปแลกเป็นเงินมาไว้แทนเสื้อผ้าของโม่ไป่หลานมิได้มากมาย
หยางซานหลางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือรับถ้วยชามาไว้ในมือ“ขอบใจเจ้ามากกวานเอ๋อร์”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนักในความรู้สึกของสตรีทั้งสามที่ได้ร่วมรับฟังพร้อมกัน“มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่ซานหลาง”จีกวานฮวาตอบกลับด้วยความเขินอาย ก่อนจะช้อนสายตามองเลยไปยังหญิงสาวอีกสองนางมุมปากของหลี่ถิงบิดขึ้นเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกหึงหวงอะไรเลยสักนิด แต่จะให้ปล่อยผ่านไปก็เห็นจะไม่เป็นการดี เพราะตอนนี้ เธอยังนั่งในตำแหน่งภรรยาของชายผู้นี้อยู่‘เมื่อเสนอมา พี่จะสนองให้นะจ๊ะ’หากใครได้ยินสิ่งที่เธอคิด คงพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเป็นตัวประหลาดแน่นอนจากเสียงพูดคุยกันเบา ๆ อยู่ด้านหลัง แม่ทัพหนุ่มมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นโม่ไป๋หลานอย่างแน่นอน เพราะในเรือนหลังนี้ไม่มีสาวใช้อื่น นอกจากหรู่อี้ เขาจึงไม่ต้องเดาว่าผู้ใดพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ แต่แม่ทัพหนุ่มหาสนใจไม่ ชายหนุ่มได้ยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบา ๆ เพื่อที่จะดื่ม“นั่น ๆ งู! มันเลื้อยเข้าไปใต้กระโปรงน้องสาวแล้ว”โม่ไป๋หลานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดัง พร้อมทั้งส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นกลัว“กรี๊ดด!”เพล้ง!จีกวานฮวาเผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างแท้จ
หลี่ถิงถามกลับด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธปนเย้ยหยัน สายตากราดมองสองหนุ่มสาวที่เป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจก็มิปาน ก่อนจะเงยหน้าจ้องชายหนุ่มกลับโดยไร้คำว่าเกรงกลัวหยางซานหลางถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก เมื่อถูกภรรยาย้อนถามมาเช่นนั้น ชายหนุ่มทำได้เพียงหายใจแรง ๆ และเพิ่มแรงบีบที่ต้นแขนของโม่ไป๋หลาน เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตากึ่งสมเพชจากภรรยา ส่วนจีกวานฮวาเองทำเพียงหลบสายตาซุกหน้าเข้ากับอกแกร่งหลี่ถิงมองคนทั้งคู่ด้วยสายตาสมเพชจริงอย่างที่ชายหนุ่มคิด ก่อนที่เธอจะใช้มืออีกข้างแกะนิ้วที่ยังอยู่ที่ต้นแขนของตนออก หากคนที่ยืนตรงนี้คือโม่ไป๋หลาน นางคงช้ำใจเจียนตายที่ถูกสามีและน้องสาวหยามเกียรติถึงในเรือนหอดีว่าตอนนี้เป็นเธอ..หลี่ถิง ซึ่งไม่ได้รู้สึกอะไรกับชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิดเดียว มีให้แค่ความรังเกียจก็ถือว่ามากพอแล้ว“โม่ไป๋หลาน! นี่…เจ้ากล้าย้อนข้าหรือ” หยางซานหลางคำรามออกมาด้วยความขุ่นเคืองในวันนี้ เขาเสมือนถูกภรรยาตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากคำพูดที่เสียดแทงใจเขาและคนในอ้อมแขนจนมิเหลือชิ้นดี จากสตรีที่มักจะไม่เคยก้าวก่ายเรื่องใด ๆ ของเขา แล้วไยวันนี้ นางถึงได้หาญกล้าต่อกรด้วยในที่สุด หลี่ถิงก็เป็นอิสระ
“หากไม่มาด้วยตนเอง แม่จะได้เห็นสิ่งที่เจ้าทำหรือ ตกลงว่าอย่างไร แม่ถามว่ามันไม่มากไปหน่อยหรือที่ทำกับหลานเอ๋อร์”“ท่านแม่กำลังเข้าใจผิดไปเองนะขอรับ เป็นไป๋หลานที่กลั่นแกล้งผู้อื่นก่อน”หยางซานหลางยังมิวายโยนความผิดมาที่โม่ไป๋หลาน แต่คนในร่างคือเธอ หลี่ถิง มีหรือจะยอมให้คนอื่นใสความอยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาอยากมาพลอดรักกันหยามเธอถึงหน้าห้องถ้าปล่อยไป...เธอก็ไม่พ้นถูกหัวร่อจากบ่าวไพร่ถึงจะมาอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่มีหรือข่าวที่เกี่ยวกับฮูหยินน้อยแห่งจวนแม่ทัพจะไม่ถึงหูเธอ ถ้าวันนี้ไม่ตอบโต้ วันต่อ ๆ ไปก็คงทำมากกว่าที่เห็นเป็นแน่ ไม่ใช่เธอหึงหวงชายหนุ่มตรงหน้า แต่ในช่วงเวลาที่เธอยังอยู่ในตำแหน่งภรรยา ก็จำต้องรักษาฐานอำนาจและชื่อเสียงเอาไว้บ้าง มิใช่ปล่อยให้คนทั้งคู่มาเหยียบย่ำอยู่แบบนี้หลิวเจินเจินหันมองลูกสะใภ้ ซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งเงียบ ใบหน้ามีร่องรอยแห่งความเสียใจปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง แม้หญิงสาวจะพยายามกลบเกลื่อนมันด้วยรอยยิ้มก็ตามที มีหรือ นางผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนจะมองไม่ออก ว่าสะใภ้รักรู้สึกเช่นไร ต่อสิ่งที่บุตรชายของนางได้กระทำ นางมาถึงทางเข้าเรือนอยู่นานแล้ว เพียงแค่ยืนฟังท
หญิงสาวกลับเสียหลักซะเอง โดยไม่สามารถเอาผิดผู้ใดได้ เพราะทุกคนต่างเห็นกับตาว่าฮูหยินน้อยหยางไป๋หลานได้พยายามยื่นมือไปคว้าตัวน้องสาวเอาไว้ แต่พลาดเมื่อเล็บของนางครูดกับแขนนวลจนได้เลือดโม่ไป๋หลานถึงกับมีใบหน้าซีดเซียวด้วยความตกใจ ที่อยู่ ๆ ญาติผู้น้องเซจนจะล้ม ซ้ำนางยังคว้าเอาไว้มิทัน และยังทำให้อีกฝ่ายมีแผลที่แขนงามนั่นอีกด้วยหยางซานหลางรีบก้าวยาว ๆ เข้าไปพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น ก่อนจะหันมาทางภรรยาด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว“ข้าขอโทษที่ช่วยเจ้ามิทัน น้องพี่”“อย่าให้รู้ว่าเจ้าคิดรังแกผู้อื่นอีก ข้าจะมิปล่อยไว้แน่”หยางซานหลางพูดออกมาด้วยความโมโห นับตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมาจากการจมน้ำเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ มันมิใช่คนเดิมที่ชอบเสแสร้งอ่อนแอเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขามาตลอด แต่กลับกลายไปเป็นคนที่ปากคอเราะร้ายกว่าที่เคย แต่ไม่ว่านางจะเป็นแบบไหน โม่ไป๋หลานก็คือผู้หญิงไร้ยางอายในสายตาของเขาอยู่ดี“ต่อหน้าข้า ใครกล้าลงมือกัน ซานหลาง แม่ยืนอยู่ตรงนี้กับพวกเจ้า มิเห็นว่าไป๋หลานทำอันใดใครเลย หากเจ้ายังใส่ความภรรยาตนเองอีกข้าจะลงโทษเจ้าในฐานะภรรยาผู้นำตระกูลเช่นกัน” หยางฮูหยิ
ตลาดเมืองหลวงรถม้าประจำตระกูลหยางได้จอดลงยังหน้าร้านขายผ้าซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ตามความต้องการของนายหญิงน้อยของบ้านหรู่อี้ก้าวลงจากรถม้าก่อน เพื่อมายืนรอรับเจ้านาย โม่ไป๋หลานจำต้องทำตัวให้คุ้นชินกับการถูกปรนนิบัติจากคนรอบข้าง ในยุคที่จากมาแม้ว่านางจะร่ำรวยแค่ไหน แต่ทุกสิ่งอย่างมักที่จะลงทำด้วยตัวเองเสมอ ซึ่งต่างจากในเวลานี้มากนัก เพราะนางคือโม่ไป๋หลาน ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรย่อมต้องมีคนคอยทำให้ หากมิยินยอม นั่นเท่ากับนางกำลังลดอำนาจด้วยตนเองลง และมันจะไม่เป็นผลดีเท่าไหร่นักในการดำเนินชีวิตอยู่ที่นี่ ดังนั้นจำต้องทำตัวให้คุ้นชินเข้าไว้ หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ให้แก่โชคชะตาที่กำลังประสบอยู่เพียงก้าวลงมายืนยังพื้นถนน หลายสายตาหันมาจับจ้องหญิงงามในชุดสีขาวราวเทพเซียนที่แย้มยิ้มน้อย ๆ โดยมิได้สนใจที่ใดเป็นพิเศษเลย“ท่านลุงเกา รอเราสองคนอยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะ ข้าจะเดินดูข้าวของกับหรู่อี้สักครู่” โม่ไป๋หลานเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล แต่ใบหน้าคนฟังกลับไม่ค่อยเต็มใจรับเท่าใดนัก“แต่ว่า ฮูหยินน้อย...”พ่อบ้านเกาเอ่ยทัดทาน แต่ยังมิทันพูดสิ่งใดได้มากก็ถูกยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดข
“ให้เข้ามาได้” ฮ่องเต้ทรงตรัสอนุญาต แม้จะทรงข้องพระทัยอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นอาของพระองค์ก็เสด็จมาหา“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงก้าวออกไปยังหน้าประตู ก่อนทูลเชิญเสด็จจิ้นอ๋องจิ้นอ๋องเสิ่นหลีก้าวเข้ามาอย่างองอาจ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตามที แต่ยังคงความสง่าเช่นราชนิกุลผู้มีสายเลือดมังกรอยู่มิเสื่อมคลาย ใบหน้าที่อ่อนโอน และอบอุ่นเสมอสำหรับคนในครอบครัว แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอ๋องประสานมือก่อนจะโค้งตัว ทำความเคารพโอรสมังกร ผู้ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ตนเอง“ตามสบายเถอะ เสด็จอา วันนี้ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ จึงได้มาหาข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มิทรงอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทรงรู้จักนิสัยของผู้เป็นอาดี ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ คนผู้นี้มักจะขลุกอยู่กับโคลงกลอน และการออกตรวจเยี่ยมราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่ของพระองค์เอง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงมาเยี่ยมเยียน พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ทรงมิค่อยสบายพระทัยนัก จึงอยากที่จะมาชวนฝ่าบาท ร่วมดื่มสุราชั้นยอด จากเมืองฉินเส่าสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้โม่เหยีย
แต่ยังไร้เสียงร้องขอความเมตตา ออกจากปากของสองพี่น้อง โม่หยวนฟางพยายามยกหน้าไม้ขึ้น เขาทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงตัดสินใจกดยิงออกไป ระยะประชิดเช่นนี้ มีหรือจะพลาดเป้า ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณสีข้างของคนร้าย ด้วยอารามตกใจ ชายสวมหน้ากากจึงเหวี่ยงหยวนฟาง ไปยังทิศทางเดียวกับโม่คังปึก! ตุบ! ร่างเด็กชายกระแทกเข้ากับตัวของพี่ชายที่รวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งรับร่างผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะตกสู่พื้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่สะเทือนใจขององครักษ์บางคนที่ยังหายใจอยู่ แต่ไร้สามารถที่จะลุกขึ้นปกป้องนายได้แล้วเช่นกันเลือดสีแดงฉาน ทะลักออกมาจากปากของโม่คัง เด็กชายยังคงพลิกตัวนอน ทาบทับเอาร่างบังน้องชายเอาไว้ภายใต้กายโชกเลือดของตนเอง ซึ่งเขาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อาการหายใจไม่ทั่วช่องท้อง เริ่มมีบ้างแล้วหยวนฟางดึงปี่ออกจากเชือกที่ร้อยติดกับสายคาดเอว ก่อนจะนำมาใส่ปากออกแรงเป่าอยู่อย่างมิท้อถอย ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาเหยียบลงบนหลังของโม่คัง ค่อย ๆ กดน้ำหนักลงไป เด็กชายไร้แรงต้านทานใด ๆ ได้อีกสองแขนที่พยายามค้ำยันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับน้องชายแรงเกินไป ถึงกับสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มันคือการทรมานจากศ
หลายปีก่อน ระหว่างทางไปวัดฉุ่ยอิงนอกเมืองหลวงเพล้ง! ฮี้ ๆ เสียงกระทบกันของอะไรสักอย่าง รวมทั้งเสียงม้าที่แตกตื่น ทำให้เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า รับรู้ถึงเรื่องผิดปกติ“เกิดอะไรขึ้น”เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยถามองครักษ์ด้านนอก แม้ตัวเขาพอเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากอะไร“อย่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ มีคนร้าย”คำตอบจากหนึ่งในองครักษ์ ที่ได้อยู่คุ้มกันขบวนรถม้านำเสด็จองค์รัชทายาทโม่คังในวัยสิบชันษาเพื่อไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนนี้ อยู่ ๆ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน โดยภายในมีขันทีวัยใกล้เคียงกันได้ตามเสด็จพร้อมทั้งพระญาติ คือท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เด็ก ๆ ต่างพากันเตรียมพร้อมรับมือ เสียงลูกดอกกระทบรถม้า และทะลุเข้ามายังด้านใน ทำให้โม่คังรีบคว้าตัวน้องชายเข้ามากอดเพื่อปกป้อง ก่อนจะหยิบเอาแส้อสรพิษที่นำติดตัวมาด้วยเอาไว้ในมือ แล้วพาน้องชาย รวมทั้งขันทีคนสนิทลงจากรถม้า องครักษ์คุ้มกันได้ล้อมเข้าเพื่อป้องกันเจ้านายทั้งสองอ๋องน้อยด้วยวัยเพียงห้าขวบที่หวังตามพระเชษฐาออกมาเที่ยวนอกวังนั้นยังมิประสาอะไรมาก ฝีมือการต่อสู้ก็เพียงเล็กน้อยยังมิถึงขั้นชำนาญ ในมือยังคงถือหน้าไม้ที่ฮ่องเต้
ชายหนุ่มเดินยืดตัวตรง ช่างดูสง่าผ่าเผย จนมิเหมือนบ่าวรับใช้สักเท่าใดนัก ร่างสูงหยุดยืนกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หยางซานซินโดยบังเอิญ บุรุษต่างวัยยืนจ้องตากันดุจมังกรปะทะพยัคฆ์ก็ว่าได้ ก่อนรอยยิ้มของผู้อ่อนวัยกว่า จะยกขึ้นช้า ๆ เมื่อมองเห็นเสือเฒ่า ปิดดวงตาเอาไว้ข้างหนึ่ง‘สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้บาดเจ็บหนักยังลุกขึ้น ออกมาเดินไปทั่วค่ายได้’ นับว่าเสือเฒ่าตัวนี้ร้ายมิใช่เล่นแต่จงอย่าลืมว่าแม่ทัพเพียงสองคน มิอาจล้มฮ่องเต้ได้โดยไร้ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นต่างหากที่เขาต้องการตัว มากกว่าคนตรงหน้า โม่คังเดินเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่าย แต่เท้าของหยางซานซิน ยังมิทันขยับก้าวกลับเป็นโม่คังที่ก้าวออกไปก่อน ไม่คิดรั้งรอที่จะเอ่ยปากอันใดกับหยางซานซิน“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักอ่อนน้อม รึเห็นข้าเป็นเพียงก้อนหินหรืออย่างไรกัน เป็นชาวบ้านไร้การอบรมสิ้นดี”โม่คังหยุดเดินก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย คนพวกนี้ช่างเจ้ายศกันเสียจริง เขาเป็นถึงองค์ชาย ยังไม่เคยเรียกร้องให้คนมาก้มหัวให้ ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาเสมือนไร้ความรู้สึกใด ๆ เมื่อเขาต้องมองหน้าคนอย่างหยางซานซิน
หยางซานหลางได้คว้ามือไปหยิบหน้ากากมาสวมเพื่อปิดบังรอยแผล“ข้าน้อยเยว่คัง คารวะท่านแม่ทัพหยาง”ชายหนุ่มได้ยื่นตะกร้าให้แก่ทหาร ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวและประสานมือ ทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม โม่คังแอบซ้อนสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่‘เล่อเล่อ! น้องเบามือเกินไปแล้ว หยางซานหลางยังนั่งหน้าตาย อยู่ได้ มันไม่สาแก่ใจพี่เท่าใดนัก’ ชายหนุ่มแอบตำหนิน้องสาวอยู่ภายในใจทหารที่เป็นผู้รับตะกร้าอาหารไป ได้ทำการทดสอบพิษเสียก่อน ที่จะนำมาให้แก่ผู้เป็นหัวหน้าของตนได้ดื่มกิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำออกมาวางยังโต๊ะ รวมกับอาหารของหญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าชา เสมือนถูกตบอย่างแรง เมื่อต้องมองอาหารที่สตรีอื่น นำมาให้คนรักของตนต่อหน้าเช่นนี้“แม่นางฟางเล่อสบายดีหรือ ข้านั้นเสียมารยาทมากนัก ที่มิได้เข้าไปกล่าวทักทาย ต้อนรับนางเลย ช่างเสียมารยาทนัก”“หามิได้ขอรับท่านแม่ทัพ นายหญิงให้เรียนท่านแม่ทัพว่า เมื่อวานเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวเซียนอี้ วันนี้จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อย นำของกำนัลมาให้ยังค่ายแทนขอรับ หวังว่าท่านแม่ทัพหยางคงมิรังเกียจของพื้น ๆ เช่นนี้นะขอรับ”โม่
“เป็นเพียงบ่าวรับใช้ มินอนหน้าเตียงของข้าเสียเลยล่ะขอรับ” หยวนฟางประชดคนเป็นพี่“เช่นนั้นก็ได้ เอาตามนี้ก็ดี ปะ! ไปนอนกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราควรพักผ่อน” โม่คังยกยิ้มมุมปาก เมื่อกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องได้ จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีโม่คังอยากหัวเราะดัง ๆ กับท่าทางประชดประชันของน้องชาย อายุมิใช่น้อย แต่พอเขาที่แก่กว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นก็กลายร่างเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ทันที ยังมีอีกคนพรุ่งนี้ น้องสาวสุดที่รักจะยังจำพี่ชายคนนี้ได้อยู่รึไม่ คราแรกตอนได้ยินข่าวการตายของนาง เขาแทบตรงดิ่งเข้าเมืองหลวง เพื่อฆ่าอดีตน้องเขยด้วยมือของตนเอง แต่เพราะคำว่าเพื่อบ้านเมือง เขาจะปรากฏตัวให้ใครรู้มิได้ว่ายังไม่ตาย‘ใกล้ถึงเวลาที่พวกแก ต้องชดใช้แล้วกบฏทั้งหลาย’หยวนฟางแทบอยากผูกคอตาย เมื่อผู้เป็นพี่ชายมานอนร่วมห้อง เป็นเขาที่ต้องนอนหน้าเตียง เมื่อทนไม่ได้กับการนอนดิ้นของพี่ชาย จึงต้องหอบหมอนและผ้าห่ม ลงมานอนข้างล่างแทน“ฝากไว้ก่อนท่านพี่ อย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะเอาคืนให้สาสม”เสียงบ่นเบา ๆ ของคนด้านล่าง ทำให้คนบนเตียงยิ้มกว้าง ที่แกล้งน้องชายได้สำเร็จ พวกเขาหยอกล้อกันเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเสียงน้อ
“ได้! ปล่อยข้าก่อน”หรู่อี้รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าว เมื่อลมหายใจของคนตัวใหญ่ เป่าลดลงบนหน้าผากของนาง เมื่อร่างบางได้เป็นอิสระแล้ว หรู่อี้รีบพุ่งลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างเมี่ยวจ้านในทันที เยว่คังยังคงตีสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียง ไปยืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย“เอาละ! ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้ หรู่อี้ชายผู้นี้มีนามว่าเยว่คัง เป็นคนของฝ่าบาท ส่วนเจ้าเยว่คัง นางคือหรู่อี้ผู้ติดตาม คนสนิทของท่านหญิงโม่ฟางเล่อ ส่วนนั่นคือองค์หญิงเมี่ยวจ้าน คนรักของข้าเอง”พอแนะนำว่าเมี่ยวจ้านคือผู้ใดเสร็จ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เยว่คังค้อมศีรษะให้แก่สตรีทั้งสองนาง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางโม่หยวนฟาง‘ร้ายนักเจ้าน้องชาย หมายจะทิ้งบ้านเมือง ไปเป็นเขยต่างแคว้น’ โดยคนเป็นน้องชายก็มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“ท่านพี่จะรีบทำให้ไก่ตื่นไปไย อย่างไรเสียนกน้อยของท่านก็มิหนีหายไปไหนได้อยู่แล้ว” หยวนฟางกระซิบเบา ๆ กับเยว่คัง“แม่นางหรู่อี้! เยว่คังผู้นี้จำต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่ท่านทำให้ข้าต้องมีมลทินนั้น ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้”ทุกสายตาหันไปมองยังหรู่อี้
ชายหนุ่มได้หายออกจากเก้าอี้ไปนั่งอยู่บนเตียง โดยที่หรู่อี้มิอาจตามได้ทัน ความรวดเร็วว่องไวดุจสายลม ช่างน่ากลัวยิ่งนักหากคนผู้นี้คือศัตรู คงต้องบอกว่าหนักมือสำหรับนางไม่น้อยเลย หรู่อี้พุ่งเข้าหาคนบนเตียง ด้วยความเร็วดุจพายุก็มิปาน แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้ขยับไปไหน เพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย มือแกร่งรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับไปนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม กระบี่ในมือตกอยู่ข้างลำตัวแทนไม่เพียงแค่กอดรัด ขณะที่หรู่อี้กำลังจะอ้าปากต่อว่า“อื้อ! อ่อย! ฮา! อะ!”หรู่อี้ทำได้แค่เพียง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มิใช่เพียงแค่ปากประกบลงบนกลีบปากนุ่มของหญิงสาวเท่านั้น ลิ้นของชายหนุ่มได้สอดล่วงล้ำ เข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกด้วย หรู่อี้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เมื่อถูกรุกราน นางยังมิเคยต้องมือบุรุษใดมาก่อนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ กับความใสซื่อและอ่อนประสบการณ์ของคนในอ้อมแขน หรู่อี้ถึงกับน้ำตาซึม ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่แก้มนวล ชายหนุ่มรู้สึกได้กับน้ำอุ่น ๆ สัมผัสใบหน้าของตนซึ่งแนบชิดกับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก“นี่อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าเล่นลิ้นสาวน้อย”
‘มิเจียมตนเลยเมี่ยวจ้าน’ หญิงสาวพร่ำบ่นตนเองอยู่ภายในใจ“เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือเมี่ยวจ้าน ว่าตนเองมีความผิดเรื่องใดบ้าง”โม่หยวนฟางยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน และยังคงพูดจา ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากขึ้นอีก เขารู้ตั้งแต่คนของเขาส่งสัญญาณมาก่อนแล้วว่า พวกนางมาถึงหอร้อยราตรีแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยให้หญิงคณิกาผู้นั้นรุกหนัก โดยยอมหญิงงามผู้นั้นขึ้นคร่อมบนตัว เสมือนเขาเป็นม้าและคณิกาคนงามเป็นผู้ขี่ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เมี่ยวจ้านปรากฏตัวขึ้น ด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่การกระทำกลับมินิ่งเสมือนใบหน้า สร้างความพอใจให้แกเขายิ่งนัก สิ่งที่ชอบในตัวนางคือ ความตรงไปตรงมา นางชัดเจนเสมอในสิ่งที่ลงมือกระทำ สมแล้วที่เป็นถึงรัชทายาทแห่งจิ้งหนาน‘ข้าอยากเห็นขุนพลผู้เกรียงไกร พ่ายต่อใจตนเองนัก’“เจ้าเห็นร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของพี่จนหมดสิ้นแล้ว มิเว้นแม้แต่ส่วนลับ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ”โม่หยวนฟางพูดด้วยน้ำเสียง เหมือนกำลังจะร้องไห้ พร้อมใบหน้าเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด“ห๊ะ! ขะ…ข้าหรือ” เมี่ยวจ้านอุทานออกมา ด้วยความตกใจปนสับสนโม่หยวนฟางเริ่มตีหน้าเศร้า เอามือลูบตามเนื้อตัวของตน เพื่อแสดงให้หญิ