“พี่คะ! ได้โปรด! เจสขอโทษ ฮือ ๆ พี่ราฟปล่อยพี่ถิงถิงเถอะนะคะ เดี๋ยวพี่ถิงถิงจะช้ำเอาได้”
การยื้อกันไปมาของคนทั้งสามทำให้หลี่ถิงที่สวมรองเท้าส้นสูงเกิดพลิก ในขณะที่ราฟาเอลปล่อยมือจากหญิงสาวพอดี ทำให้หลี่ถิงหงายหลัง จนศีรษะกระแทกเข้าตรงขอบมุมโต๊ะวางแจกัน ซึ่งเป็นรูปทรงเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ด้านหลังเข้าอย่างแรง จนทำให้แจกันลายครามตกลงแตก ก่อนร่างบางของเธอจะร่วงลงสู่พื้น เศษกระเบื้องจากแจกันได้เสียบเข้าตรงท้ายทอยของหลี่ถิงโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้ป้องกันหรือหลบหลีกได้เลย
จากนั้นไม่นาน หลังจากร่างบางนอนแน่นิ่งไป เลือดค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากรอยแผลทีละน้อยกลายเป็นวงกว้าง ราฟาเอลที่มัวแต่ปัดมือของเจสซิก้าอยู่ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปรับหลี่ถิงได้ทัน ก่อนที่เธอจะล้มลงกระแทกกับพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระเบื้องซึ่งกระจายอยู่เต็มไปหมด
“กรี๊ดดดด!! พี่ถิงถิง ไม่นะ…พี่ราฟ...ฆ่าพี่ถิงถิง”
เจสซิก้ากรีดร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเลือดกระจายเป็นวงกว้างออกมาจากศีรษะของพี่สาวที่ได้นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่กับพื้นห้องตรงหน้าเธอในตอนนี้ เธอไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
ราฟาเอลรีบเอามือปิดปากหญิงสาวเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายสงบลง เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาภรรยาทันที
“ไม่นะ…ที่รัก ได้ยินผมไหม ถิงถิงตอบผมสิ”
ราฟาเอลเองก็ตกใจกับภาพของภรรยาที่นอนจมกองเลือด ร่างสูงก้าวเข้าไปย่อตัวลงใกล้ ๆ ภรรยาที่ดวงตาปิดสนิท ราฟาเอลยื่นมือไปอังที่ปลายจมูกของหลี่ถิง ซึ่งตอนนี้ลมหายใจของหลี่ถิงดูเหมือนจะแผ่วเบาและเริ่มขาดห้วง ทำใบหน้าของชายหนุ่มถึงกับซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว เพราะถ้าเกิดหลี่ถิงตายไปจริง ๆ ชีวิตที่เคยมีจะหายไปในพริบตา เจสซิก้าได้แต่ยืนตัวสั่น ในสมองคิดไปต่าง ๆ นานา เธอกำลังกลัวอยู่นั่นเอง
สติสุดท้ายของหลี่ถิง เธอรู้สึกปวดหนึบตอนที่หัวกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ แต่ความเจ็บปวดเริ่มมีมากหลังจากเธอล้มลงที่พื้น และมีบางอย่างปักเข้าไปยังท้ายทอย เพียงไม่กี่วินาทีทุกอย่างก็ดับลง เหมือนภาพฝันที่เลื่อนลอย
มิติคู่ขนาน....
“หลี่ถิง! เจ้าอย่ายอมแพ้ จงตื่นขึ้นมา…”
เสียงที่ได้ยินช่างไพเราะยิ่งนัก มันช่วยปลอบประโลมเธอได้มากทีเดียว แต่ตอนนี้ หลี่ถิงกำลังต่อสู้อยู่ในฝันร้าย เธอพยายามที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้น เพื่อที่จะออกมาจากห้วงแห่งฝันสู่ความเป็นจริงให้ได้ ดวงตาที่อยากจะลืมขึ้นเสียที แต่ไม่อาจทำได้อย่างที่ใจต้องการ มันกดทับอึดอัดไปหมดในตอนนี้
หลี่ถิงพยายามที่จะวิ่งหนีความฝัน ซึ่งมันโหดร้ายและเป็นที่สะเทือนใจจนเกินกว่าที่เธอจะทนรับได้ไหว เรื่องราวเสมือนในละครซึ่งกำลังฉายชัดอยู่ในตอนนี้ ทำให้เธออยากกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดคลั่งแค้นเป็นที่สุด
เสียงหายใจหอบถี่ เหงื่อที่ผุดออกมาเต็มวงหน้า เปลือกตาที่พยายามขยับไปมา บอกได้ว่าคนที่นอนอยู่ กำลังต่อสู้กับฝันร้ายที่ไม่มีใคร
สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้เลย
หลี่ถิงพยายามร้องเรียกคนที่เธอกำลังยืนมองอยู่ในตอนนี้ด้วยความสงสารจับใจ มือเรียวยกขึ้นป้องปากตะโกนเรียกคนให้มาช่วย
“ใครก็ได้ช่วยผู้หญิงคนนั้นทีค่ะ”
แต่เหมือนเสียงที่เปล่งออกไปเปรียบเหมือนอากาศธาตุ ยิ่งเห็นการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของอีกฝ่ายเธอยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นเหมือนผู้หญิงคนนั้น คือพยายามที่จะต่อสู้เพื่อรักษาลมหายใจ แล้วนี่มันคือที่ไหนกัน ทำไมผู้หญิงหน้าตาสวยราวเจ้าหญิงในเทพนิยายคนนี้ถึงได้ถูกทำร้ายอย่างทารุณแบบนั้นกันนะ
เมื่อไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอ และไร้วี่แววของคนที่จะมาช่วย สองเท้าเปล่าเปลือยรีบก้าวลงในลำธารเพื่อช่วยเหลือหญิงงามให้รอดพ้นจากน้ำมือของคนร้าย แต่เมื่อมือของหลี่ถิงยื่นออกไปเพื่อสัมผัสกับคนร้ายหวังฉุดรั้งให้อีกฝ่ายปลดปล่อยหญิงสาวคนนั้น
แต่มันกลับเลยผ่านไป...ไม่อาจทำได้อย่างใจคิด!
หลี่ถิงยกสองมือขึ้นมองด้วยอาการสั่นน้อย ๆ น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ตรงหน้าเธอมีน้ำกระเซ็นแตกกระจายจากแรงดิ้นรนของหญิงสาวชุด
สีขาวคนนั้น
พอเห็นอย่างนั้น หลี่ถิงจึงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่ยอมแพ้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะดำลงไปในน้ำที่ไม่ได้ลึกมาก เคลื่อนกายเข้าไปใต้ร่างของหญิงสาวคนนั้น ก่อนจะใช้สองมือจับที่ใบหน้า
‘ทำไมถึงจับผู้หญิงคนนี้ได้’
หลี่ถิงทำได้เพียงแค่คิด เพราะตอนนี้ เธอต้องรีบช่วยผู้หญิงคนนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ดวงตาคู่งามของทั้งสองสบประสานกัน หลี่ถิงขยับใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายก่อนจะประกบริมฝีปากลงไป เพื่อต่อลมหายใจให้กับหญิงงาม
หญิงสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์นั้น มีนามว่า โม่ไป๋หลาน นางกำลังพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะให้หลุดจากมือของชิงชิงซึ่งเป็นคนสนิท และคือคนที่นางไว้วางใจมาแต่เยาว์วัย สาวใช้ข้างกายกำลังใช้สองมือกดหัวของนางให้จมลงไปในลำธารสายเล็ก ๆ ที่อยู่ในบริเวณจวนแม่ทัพสกุลหยาง
ด้วยว่าวันนี้ นางกับน้องสาวและสาวใช้คนสนิทได้ออกมานั่งเล่นพักผ่อนกัน นางจำได้แค่เพียงว่า น้องสาวได้ขอตัวไปปลดทุกข์ โดยให้นางนั่งรออยู่ที่เดิมกับชิงชิง สาวใช้ข้างกายที่กำลังเดินเก็บดอกไม้อยู่ข้างริมลำธาร โดยไป๋หลานได้นั่งจัดช่อดอกไม้รออยู่ ภายในมือของไป๋หลานมีดอกไม้หลากสีที่งดงามไม่ต่างจากคนที่กำลังถือมันอยู่ในตอนนี้ ยิ่งรอยยิ้มของนางสะกดได้ทุกสายตา แม้จะแค่เพียงแย้มออกเล็กน้อยก็ตามที
“ฮูหยินน้อย! มาดูทางนี้สิเจ้าคะ”
โม่ไป๋หลานหันไปตามเสียงเรียกของชิงชิง ก่อนจะวางช่อดอกไม้ในมือลง แล้วลุกขึ้นก้าวช้า ๆ ไปยังสาวใช้ ทุกการเคลื่อนไหวช่างดูงดงามอ่อนหวานสูงส่ง จนทำให้ใครบางคนที่แอบมองอยู่รู้สึกมิชอบใจกับความงาม
ที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินของโม่ไป๋หลาน
“อะไรหรือ? พี่ชิงชิง”
“ในน้ำนั่นเจ้าค่ะ เหมือนจะมีปลาสีเงินตัวใหญ่ มันว่ายออกไปตรงนั้นแล้วเจ้าค่ะ” ชิงชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้ผู้เป็นนายยืดคอมองตามมือของชิงชิงไป
“ไหนกันพี่ชิงชิง! ว้าย!!!…”
ตูม!
ร้องออกมาได้เพียงแค่นั้น ร่างระหงถูกกระแทกจากทางด้านหลัง พลัดตกลงไปในลำธาร
โม่ไป๋หลานกำลังจะโผล่หน้าขึ้นจากน้ำเพื่อหายใจและหวังจะขึ้นฝั่ง มือของชิงชิงที่ตามลงมาได้กดศีรษะและไหล่ของนางให้จมกลับลงไปอีกครั้ง ด้วยมิทันคาดคิดว่าคนสนิทจะทำเช่นนี้ จึงทำให้ไม่อาจโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้
โม่ไป๋หลานได้ยินเสียงของใครบางคนที่พยายามร้องเรียกนาง และตามให้คนมาช่วย หญิงสาวรับรู้ว่ามีคนวิ่งลงมายืนอยู่ใกล้กับที่นางพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด เหมือนภาพสะท้อน เท้าเปล่าเปลือยที่สองตามองเห็นเหมือนแรงใจจากที่ไกลโพ้น แม้เจ้าของเท้าบางจะมิอาจช่วยนางได้ แต่อย่างน้อยนางก็ได้รับรู้ว่ามีผู้พยายามแล้วที่จะช่วยนางอยู่
เมื่อโม่ไป๋หลานเริ่มอ่อนแรง แต่กลับมีใบหน้างดงามของหญิงสาวเจ้าของเท้าเปล่าเปลือยได้ลอยตัวอยู่ใต้ร่างของนาง พร้อมสองมือกอบกุมใบหน้าของนางเอาไว้เพียงครู่ใบหน้าหวานของหญิงสาวผู้นั้นได้ขยับเข้าใกล้ก่อนจะประกบริมฝีปากทาบที่กลีบปากของนาง พร้อมพยายามเป่าลมเข้ามา น้ำตาของโม่ไป๋หลานไหลรินผสมไปกับสายน้ำหญิงงามผู้นี้เป็นใครกัน ถึงได้พยายามช่วยมอบลมหายใจให้แก่นางเช่นนี้ที่สำคัญ ทำไมชิงชิงจึงมิรับรู้ถึงการมีอยู่ของหญิงสาวที่กำลังต่อลมหายใจให้แก่นาง ไยมีเพียงตัวนางเท่านั้นที่รับรู้และสัมผัสสตรีผู้นี้ได้ ซ้ำได้ยินเสียงของอีกฝ่ายตั้งแต่คราแรก‘หรือว่าถึงเวลาของข้าแล้ว’โม่ไป๋หลานจำคำพูดของหญิงแก่ที่วัดชิงฉุ่ยได้ดี ‘อีกมินานแม่นางจะต้องจากไปไกล รอเพียงเวลาหมุนผ่านเพื่อย้อนกลับมา รอผู้ที่ผูกด้ายแดงแก่นิ้วเจ้า ร่างกายนี้จะเป็นของผู้อื่น ที่จะมาปลดพันธนาการของเจ้าให้เป็นอิสระ’ก่อนที่นางจะเดินจากมาพร้อมความรู้สึกใจหายกับโชคชะตาของตนเอง เมื่อหันกลับไปมองหญิงชราก็หายไปเสียแล้วโม่ไป๋หลานเริ่มอ่อนแรง มิอาจดิ้นรนได้อีกต่อไปแล้ว หลี่ถิงเริ่มสำลักน้ำแล้วเช่นกัน ร่างบางกระตุกเล็กน้อย สองแขนของหญิงสาวทั้งคู
เธอจึงรีบหลับตาลงอีกครั้ง และลืมขึ้นช้า ๆ แล้วหันมองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้งอยู่หลายรอบ จนแน่ใจว่านี้เป็นเรื่องจริง ก่อนที่หลี่ถิงจะก้มลงมองฝ่ามือของตัวเองเป็นอันดับแรก ก่อนจะพลิกดูหลังมือ ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อเห็นเล็บมือที่สั้นลงและไร้สิ่งแต่งแต้มแน่นอนมันต้องมีสีสัน...ไม่ใช่แบบนี้!ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นลูบใบหน้า ไล่ลงมาตามลำคอ จนสัมผัสกับเส้นผมที่ยาวสลวย ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ของเธอเอง เพราะผมของเธอมันไม่ได้ยาวขนาดนี้ หลี่ถิงรวบดึงเส้นผมตัวเองแรง ๆ จนรู้สึกเจ็บ‘ไม่ใช่วิกผม ใจเย็นถิงถิง...เธอแค่กำลังฝันไป’“นะ…นี่มันอะไรกัน ฉันอยู่ที่ไหน”หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะสำรวจร่างกายของตัวเองในส่วนอื่น ๆ ที่ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะทุกสัดส่วนมันไม่ใช่ตัวเธอเลยสักนิดเดียวหลี่ถิงตัดสินใจก้าวลงจากเตียงเพื่อหาใครสักคนมาให้คำตอบแก่เธอ แค่เพียงหย่อนเท้าลงพื้น ร่างบางก็ลุกพรวดขึ้น เป็นเหตุให้ล้มหน้าทิ่มพื้น‘อูยยย เจ็บจัง’ หลี่ถิงนั่งแหมะอยู่กับพื้น พร้อมเอามือลูบหน้าผากเบา ๆหญิงสาวนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นใหม่ พอมั่นใจว่าลุกไหว คราวนี้เธอจึงค่อย ๆ เกาะ
หรู่อี้ยังจำเรื่องเมื่อบ่ายวันก่อนได้ดี ตอนที่นางตามผู้เป็นนายไปยังลำธารหลังจวนนั้น สิ่งที่นางเห็นคือชิงชิงได้เดินขึ้นจากลำธาร ก่อนจะเดินหายไปยังอีกด้าน โดยรอบบริเวณกลับมิพบร่างของเจ้านายที่ควรต้องนั่งหรือเดินเล่นอยู่ แถว ๆ ข้างริมลำธารเช่นทุกครั้งที่ท่านหญิงชอบทำเป็นประจำนางรีบวิ่งไปยังจุดที่ชิงชิงเดินขึ้นมา จึงได้เห็นร่างของเจ้านายคว่ำหน้าอยู่ในน้ำ หรู่อี้รีบกระโจนลงไปรวบร่างไร้สติของเจ้านายขึ้นจากน้ำ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางของท่านหญิงโม่ขึ้นฝั่งโดยไม่ได้แสดงสีหน้าว่าคนที่สิ้นสตินั้นหนักเกินไปสำหรับร่างบอบบางของนางสักนิด หรู่อี้ดูเหมือนคนที่มีกำลังมากกว่าสาวใช้ทั่วไปมากนักซึ่งความเป็นจริงแล้ว นางมิได้เป็นเพียงสาวใช้ แต่เป็นองครักษ์ที่ติดตามมาจากซานชี แต่ไม่อาจเปิดเผย เพราะนางได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องเจ็ดให้ปิดเป็นความลับ เพื่อคอยดูแลผู้เป็นนายอยู่ห่าง ๆ ด้วยเหตุผลบางประการที่นางเองก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกันหรู่อี้เร่งช่วยเหลือผู้เป็นนายให้กลับมาหายใจอีกครั้ง น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมานองหน้า เพียงแค่ลับตานางมิถึงครึ่งชั่วยาม ไม่คิดว่าคนใกล้ตัวจะเป็นคนลงมือหากไม่เป็นเพราะนางติดตามท่านหญิงม
แต่เพราะนางติดที่สามีจึงจำต้องทนนิ่งไว้ จะให้นางเกรี้ยวกราดเช่นสตรีไร้การอบรม นางก็มิอาจทำได้เช่นกัน อีกอย่าง บุตรชายก็ยังรักษาระยะที่เหมาะสมในการพบปะพูดคุยกับจีกวานฮวาอยู่มาก ซึ่งมันยังไม่ถึงขั้นต้องตักเตือนหรือห้ามปรามกัน และเป็นนางเองที่คอยบอกมิให้สะใภ้รักยอมรับจีกวานฮวามาเป็นอนุของบุตรชายนางเป็นสตรีคนหนึ่ง ไยจะมิรู้ว่าหากจีกวานฮวาแต่งเข้ามาในจวน ลูกสะใภ้ของนางต้องเจ็บปวดแค่ไหน“ซานหลาง แทนที่เจ้าจะเอาเวลามาปลอบขวัญผู้อื่นอยู่แบบนี้ เจ้าต้องให้แม่บอกหรือไม่ ว่าสิ่งที่ลูกสมควรทำตอนนี้คืออะไร และต้องอยู่ที่ไหน”เมื่อถูกมองด้วยหางตาเสมือนการดูหมิ่นกลาย ๆ จากมารดาของชายหนุ่ม ทำให้จีกวานฮวาจำต้องหลบไปอยู่ด้านหลังของหยางซานหลางด้วยท่าทางหวาดกลัว ยิ่งเพิ่มความมิพอใจให้แก่ฮูหยินใหญ่แห่งสกุลหยาง‘หึ! มารยาเจ้าใช้ได้แค่กับผู้อื่น ยกเว้นคนเช่นข้า จีกวานฮวา’หลิวเจินเจินคิดอยู่ในใจ พร้อมกับพยายามข่มกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองที่มีต่อหญิงสาวเอาไว้ให้ลึกที่สุด“ท่านแม่ เมื่อไหร่จะเลิกเข้าข้างไป๋หลานสักที ท่านมักเชื่อการเสแสร้งของนางเหมือนคนตาบอดยิ่งนัก” หยางซานหลางตัดพ้อมารดาอยู่ในที“ใช่ ลูกรัก แม่ม
หลิวเจินเจินประกาศเปิดศึกกับบุตรชายอย่างชัดเจน จีกวานฮวารู้สึกอิจฉาโม่ไป๋หลานยิ่งนัก ที่มารดาของชายหนุ่มปกป้องญาติผู้พี่ของนางอย่างออกนอกหน้า จนกล้าต่อกรกับชายหนุ่ม“ท่านแม่ นางคือคนผิดนะขอรับ โม่ไป๋หลาน เจ้าปากกล้าเกินไปแล้ว ข้าคือสามีของเจ้า ไยถึงกล้าต่อคำกับข้า ซ้ำต่อหน้าบ่าวไพร่อีกด้วย”หยางซานหลางรู้สึกเหมือนถูกมารดาและภรรยารุมกล่าวหาว่าเขาคือคนที่ไร้ซึ่งเหตุผลอยู่กลาย ๆ“สามีของข้าน่ะหรือ! แน่ใจนะ...ว่าเป็นท่านจริง ๆ หากใช่ ไยจึงปรักปรำภรรยาตนเองเช่นนี้เล่า สงสัยข้าฝันไป ว่าตนเองยังไร้ซึ่งคู่ครอง หรือนี่มิใช่เรื่องจริงกัน อย่างว่าคนใกล้ตาย มักสับสนกับเรื่อง…สามีภรรยาอะไรแบบนี้! ข้าตื่นมาอยู่ในห้องเพียงลำพัง เลยเข้าใจว่ายังไม่มีสามี เพราะมีด้วยหรือที่คนแต่งงานกันแล้ว เมื่อเจ็บป่วยก็ไร้การเหลียวแลกันเช่นนี้”หลี่ถิงทำตาโต ยกมือข้างที่มิได้ถูกแม่สามีเกาะกุมขึ้นปิดปากตนเอง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากฮูหยินหยาง นางชอบใจในการกระทำของสะใภ้รักเป็นอย่างมาก ไป๋หลานสมควรลุกขึ้นมารักษาสิทธิ์ในฐานะภรรยาของบุตรชายได้แล้วสองสามีภรรยายืนประจันหน้ากัน และมันน่าแปลกมากกว่านั้น คือฮูหยินน้อยของบ้านมิคิ
“ข้าพูดไปจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อคนที่ไร้ความเป็นธรรมอย่างท่านเป็นผู้ชี้ชะตาผู้คนในจวน และนั่นรวมถึงตัวข้าด้วย ที่ถูกท่านกล่าวหาในสิ่งที่ข้าไม่ได้กระทำ หากข้าพูดออกมาก็ไม่พ้นคำตัดสินจากท่านว่าข้าคือผู้ผิดอยู่วันยังค่ำ สู้ปล่อยให้พวกท่านเก็บไปคิดเล่น ๆ กันต่อเองมิดีกว่าหรือ”“โม่ไป๋หลาน ตัวเจ้าไม่ได้มาฟังการสอบสวน มาถึงก็พูดจาให้ร้ายใส่ความผู้อื่น แล้วยังพูดเหมือนตัวข้าไม่มีความเป็นธรรมต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”“ข้าคือผู้ถูกกระทำ ย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด แล้วมีสักคำแล้วหรือที่ข้าพาดพิงถึงใคร ส่วนที่กล่าวหาว่าข้าทำให้ท่านดูเหมือนคนไม่มีความเป็นธรรม คงไม่ต้องให้ข้าบอกหรอกนะ ว่าจริงหรือไม่ และไม่มีสิ่งใดที่คนอย่างข้าต้องการจากสามีเช่นท่าน แม่ทัพหยางซานหลาง”หยางซานหลางกำลังปะทะกับภรรยา ซึ่งไม่รู้ว่านางไปกินยาตัวไหนผิดมา ถึงได้หาญกล้าต่อกรกับคนเช่นเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนนางจะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูดจีกวานฮวาเห็นท่าไม่ดีจึงได้เดินเข้าไปหาญาติผู้พี่ของตน หวังปลอบโยนให้นางอารมณ์เย็นลง จะได้ไม่ต้องมีปากเสียงกันกับผู้เป็นพี่เขย ซึ่งมันพ่วงความอับอายมาสู่ตัวนางอย่าง
จีกวานฮวาแอบกำหมัดแน่นภายใต้แขนเสื้อ นางคือผู้แพ้อย่างนั้นหรือในวันนี้ ทุก ๆ ครั้งนางคือคนที่ชนะมาโดยตลอด ส่วนทหารและบ่าวไพร่ที่มาอยู่ดูการตัดสินได้หายไปจากลานฝึกอย่างรวดเร็วเช่นกัน“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านแม่” หลี่ถิงก็เล่นบทนางเอกแสนดี สะใภ้ผู้เพียบพร้อมได้เช่นกัน ก่อนจะแสร้งทิ้งน้ำหนักลงไปทางแม่สามีเล็กน้อยหลิวเจินเจินโอบประคองหญิงสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะก้าวพ้นประตูลานฝึก ฮูหยินใหญ่แห่งจวนสกุลหยางได้หยุดลงก่อนจะเอี้ยวตัวเล็กน้อยหันกลับไปยังบุตรชายและญาติของลูกสะใภ้“อ้อ! ลืมไป คุณหนูจีกวานฮวาเองก็รีบกลับบ้านได้แล้วนะ ก่อนที่มันจะค่ำมืดเอา หลานเอ๋อร์มีซานหลางคอยดูแลอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้า เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าระหว่างสามีกับญาติ ข้าคิดว่าคนเป็นสามีย่อมดีต่อความรู้สึกมากกว่า จริงหรือไม่ หน้าที่ในการปรนนิบัติซานหลางก็เป็นของภรรยาเขา ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”หยางฮูหยินกล่าวทิ้งท้ายด้วยคำพูดเหน็บแหนม ซึ่งทำให้คนฟังแทบกรีดร้องออกมาด้วยความอับอายและเจ็บแค้นเลยทีเดียวหยางซานหลางมองตามร่างภรรยา ด้วยสายตาที่แปลกกว่าที่เคย โม่ไป๋หลานคนนี้ติดจะก้าวร้าว แต่ทุกคำของนางช่างมีน้ำหนักที่สาม
หลี่ถิงรีบหลบหลังเสาทันที ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเดินมาหาตน แล้วหาเรื่องแบบเมื่อกลางวัน‘ฉันยังไม่พร้อมทะเลาะกับใครตอนนี้’หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกทันที เมื่อร่างสูงของหยางซานหลางได้หายเข้าไปภายในห้องซึ่งอยู่ฝั่งขวามือของห้องเธอ ด้วยลักษณะของเรือนหลังนี้เป็นรูปทรงตัวยู โดยห้องของเธอจัดอยู่ตรงกลางที่เป็นส่วนของตัวยูนั่นเอง‘ไหนในหนังสือนิยายหรือละครบอกว่าสามีภรรยาในยุคโบราณ เขาจะแยกอยู่คนละหลังนี่! ยิ่งสามีไม่รักก็มิสมควรนอนหลังเดียวกัน แต่ทำไมสามีของโม่ไป๋หลานถึงได้มาอยู่ที่นี่’“หลบทำไม! หรือคิดว่าข้าจะไปหาเจ้ากัน ถึงมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ตรงนี้ เพื่อเฝ้ารอข้าอย่างนั้นใช่ไหม คิดว่าข้าจะหลงกลมารยาของสตรีใจสกปรกอย่างเจ้าหรืออย่างไรกัน”หยางซานหลางปรากฏตัวขึ้นอีกด้านของเสาต้นใหญ่ที่หลี่ถิงหลบอยู่ พร้อมน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน“ว้าย! ท่านคิดจะทำอะไรข้าอย่างนั้นหรือ ไยถึงได้มาเงียบ ๆ เช่นนี้”หลี่ถิงหวีดร้องด้วยความตกใจ จนดวงตามืดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดประชดอีกฝ่าย ที่ยังยืนนิ่งมองเธออยู่“อย่าใส่ความข้าเพียงเพราะอับอายกับความคิดของตนเอง ไป๋หลาน มีหรือว่าข้าจะมิรู้ว่าเจ้าออกมายืนทำอะไรตรงนี้ ถ้าไม่ใช่มาร
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ
ส่วนด้านนอกรถม้า สองแม่ทัพสกุลหยางแทบไร้การพูดคุยกันเช่นในอดีต หยางซานซินยังคงทำตัวเป็นปกติ ทว่า สิ่งที่แตกต่างก็ฉายชัดออกมาอยู่นั่นเอง เมื่อเขาดูจะไม่ใยดีบุตรชายซึ่งอยู่บนหลังอาชาเคียงข้างเขาอยู่ในขณะนี้ฝั่งหยางซานหลางก็ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย จากคนที่นิ่งขรึมมาตลอด บัดนี้เรียกได้ว่าตลอดทั้งร่างของชายหนุ่มนั้นปลดปล่อยแต่เพียงรังสีแห่งการฆ่าฟัน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ มิแสดงตัวตนของเขาออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้มากถึงเพียงนี้แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพทั้งสองจะสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมด ทว่าก็ไร้ซึ่งคำถามจากทุกคน เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้นำ“ซานหลาง เจ้าจงเว้นระยะห่างกับพระนางกุ้ยเฟยให้มากขึ้นอีกสักหน่อยก็ดีนะ”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงความนัยที่ทำให้ผู้ฟังขุ่นเคืองใจอยู่มากทีเดียว หยางซานหลางชำเลืองมองผู้ที่บัดนี้เขาต้องเรียกว่าบิดาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองตรง ๆ ตามเส้นทางอันยาวเหยียดพร้อมรอยยิ้มยังมุมปาก“ขอรับท่านพ่อ แต่ถ้าจะให้ดี ท่านพ่อเองก็ควรระวังใจของตนเองเอาไว้ให้มากเช่นกัน
‘คำว่าแพ้มีให้แก่คนอ่อนแอเท่านั้น และมันมิใช่ข้า’“ทูลพระนางเต๋อเฟย ลู่กงกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”กั๋วเต๋อเฟยเหลือบขึ้นมองคนสนิท ก่อนจะพยักหน้าให้กับอี้ถิง หญิงสาวย่อกายให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะหมุนกายออกไปยังห้องด้านนอก เพื่อทำตามประสงค์ของเจ้าของตำหนักเมื่อมีผู้มาเยือน การเดินหมากของนางก็จำต้องยุติลง มือวางสะบัดมือเพียงครั้ง ผ้าผืนบางที่วางอยู่บนโต๊ะได้ปลิวสะบัดก่อนจะคลุมลงยังกระดานหมากบนโต๊ะ เสมือนมีคนจับวางก็มิปาน ร่างระหงลุกขึ้นก้าวเดินออกไปยังห้องรับรองชั้นนอกลู่กงกงรีบโค้งกายลงต่ำ เมื่อเจ้าของตำหนักเดินนวยนาดออกมาจากหลังม่านไข่มุก“ลู่เฟย ถวายบังคมพระนางเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”“ตามสบายลู่กงกง วันนี้มาพบข้า ท่านคงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ว่ามาเถิด”“ทูลพระนาง กระหม่อมนำพระบัญชาของฝ่าบาทมาแจ้งแก่พระนางพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งถึงข้ารึ”ใบหน้างามซับสีเลือดในทันที เมื่อนึกถึงบุรุษผู้องอาจผู้เป็นพระสวามีของนาง แม้ทรงมีพระชนม์มายุมากแล้ว ทว่ากลับยังคงความหล่อเหล่าเฉกเช่นวัยหนุ่มสาวก็มิปาน จากแต่เดิมที่นางท่องจำว่าเพราะหน้าที่กับการสมรสในต่างแดนครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่านางปรารถนาที่จะเคียงคู่
วังหลวงบุรุษในชุดมังกรเดินวนไปมาเสมือนพยัคฆ์ติดบ่วง โดยมีร่างงามของสตรีในชุดสีแดงเพลิงปักลวดลายหงส์นั่งมองคนที่เดินไปมาด้วยความนึกขัน“จะทรงเดินอีกนานรึไม่เพคะ ฝ่าบาท”“จะให้ข้านิ่งนอนใจได้อย่างไรกันฮองเฮา ผู้อาวุโสมิรู้พากันสนุกสนานอยู่ที่ใดกัน ตอนนี้ กองทัพเคลื่อนพลสู่เมืองหลวงด้วยวิธีที่แยบยลนัก หึ ๆ เป็นข้าเอง ผิดที่ข้าฮองเฮา ข้าชักนำศึกเข้าเมืองเร็วเกินไป”ร่างสูงก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ข้างฮองเฮา โดยที่พระนางยังคงสนใจในตำราหลังจากอีกฝ่ายนั่งลง“หากเป็นท่านผู้อาวุโสก็จะทำเช่นพระองค์เพคะ อย่าทรงโทษพระองค์เองไปเลยเพคะ ไม่ว่าอย่างไร คนพวกนั้นก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่ดี การเดินเกมในบางครั้ง การปล่อยให้ศัตรูล่วงล้ำเข้ามาบ้างก็อาจเป็นผลดี”“ข้าไม่ถัดการวางแผนเช่นเจ้านี่ ภรรยาข้า หึ ๆ”“แต่ทรงเป็นนักรักที่เก่งกาจใช่ไหมเพคะ”“ฮา ๆ วางใจเถอะฮองเฮา จะไม่มีสตรีใดมาแทนที่เจ้าได้”เมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือนได้ก้าวเข้าสู่ห้องชั้นนอก สองสามีภรรยาจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นหยอกล้อกันแทนห้องโถงรับรอง ตำหนักเหลียน“ลู่กงกง ท่านมาตามหาฝ่าบาทหรือเจ้าคะ”“เชียงเชียง เจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก ฝ่าบาททรงมาแอบอยู่