ดวงตาของหลูมู่หยานฉายแววเจตนาฆ่าอย่างชัดเจนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที พร้อมหันไปมองเซงรูอย่างเย็นชา
เซงรูตกตะลึงกับสายตาคู่นั้นของหลูมู่หยาน พลางคิดว่าทำไมคนไร้ค่าอย่างนางถึงได้ทำท่าทางดูน่ากลัวได้ขนาดนั้น เซงรูตัดสินใจส่ายหัวไปมาพร้อมกับสูดหายใจและแอ่นหน้าอกใหญ่โตของนางแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “หลูมู่หยาน ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ เจ้ากล้าออกไปงั้นรึ”
ทว่าแววเย็นของของหลูมู่หยานนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า ผู้หญิงคนนี้มักจะมีท่าทีเขินอายกับลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของของเซงรูอย่างฉีอี้ซวน เดิมทีร่างกายร่างนี้จะหลีกทางให้กับแค่ครอบครัวของตระกูลฉีเท่านั้น แต่นั่นก็มันทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นพวกไร้สมอง หยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อย ๆ…
“เจ้าจะทำอะไร? ข้าจะอยู่ถ้าข้าอยากอยู่ และจะไปก็ต่อเมื่อต้องการไป ข้ายังต้องถามความเห็นของเจ้าอีกไหม” หลูมู่หยาน กล่าวด้วยความรังเกียจที่แสดงออกผ่านทางสายตา
ไม่ใช่ว่านางดูถูกพ่อค้าหรืออย่างไร แต่สถานะโดยรวมของพ่อค้าในหยานโจวไม่สูงมากนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะพี่สาวของกู่ยันรันเข้าวังในฐานะนางสนมผู้สูงศักดิ์ ทำให้สถานะของพ่อค้าเริ่มดีขึ้น แน่นอนว่านางคิดว่ามันควรจะเป็นกลยุทธ์ยอมจำนนโดยเจตนาของจักรพรรดิ
“เจ้า...” นี่เป็นครั้งแรกที่เซงรูได้ยินหลูมู่หยานพูดจาแข็งข้อกับนาง ทำให้เซงรูไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางหลายชั้นก็ยิ่งเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของหัวขโมยที่อยู่ข้าง ๆ เซงรูรู้สึกโกรธจัด พร้อมกับชักดาบเล่มยาวของนางออกมาและเจาะกลุ่มควันของหลูมู่หยาน
…วันนี้คงจะต้องสอนอะไรบางอย่างให้แก่นางบ้างแล้ว
หลูมู่หยานเห็นเซงรูแทงนางด้วยดาบ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย้ยเหยียด แม้ว่าเซงรูจะเป็นนักดาบที่มีพื้นฐานระดับกลาง แต่ก็ยังสูงกว่าร่างเดิมของนางหนึ่งระดับ แต่หลูมู่หยานก็มีเทคนิคเฉพาะตน เนื่องจากในช่วงพักฟื้นที่ผ่านมานางฝึกอย่างหนักเพื่อให้ร่างกายที่อ่อนแอนี้แข็งแรงขึ้น จึงทำให้การหลบหลีกการโจมตีนั้นง่ายขึ้นมาก
เมื่อเห็นว่าดาบของเซงรูกำลังจะเจาะหน้าอกของหลูมู่หยาน ฉีอี้ซวนก็เริ่มขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้หยุดอะไรเพราะเขารู้ดีว่าเซงรูไม่มีความกล้าที่จะลอบสังหารหลูมู่หยานขนาดนั้น
กู่ยันรันแสดงความกังวลผ่านบนใบหน้า แต่ภายในใจของนางกลับมีความสุข เมื่อหลูมู่หยานถามถึงสิ่งนั้น แล้วสถานะอันสูงส่งของนางล่ะ? หากไม่ใช่เพราะพี่สาวของนางได้เตือนเอาไว้ว่าอย่ายั่วโมโหหลูมู่หยาน นางเองก็คงจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกำจัดสิ่งไร้ค่าที่แสนจะดื้อรั้นนี้ออกไป
และเมื่อทุกคนคิดว่าหลูมู่หยานกำลังจะถูกแทง จู่ ๆ นางก็เอนหลังและเขย่งเท้าหลบการโจมตีของเซงรูทันที
พลันดวงตาของหลูมู่หยานก็ฉายแววเย็นชาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเตะเข้าที่หน้าท้องของเซงรูทันที ในยามนี้เซงรูกอดหน้าท้องของหลูมู่หยาน หลูมู่หยานจึงคว้าข้อมือของเซงรู พร้อมกับรัดมันไปในทิศทางของนาง และดึงเซงรูขึ้นเมื่อเข้าใกล้ พร้อมกับใช้เข่ากระแทกเข้าไปที่กลางอกของเซงรูทันที
“อัก!”
เซงรูผู้ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการกระทำของหลูมู่หยาน
การเคลื่อนไหวที่น่าตกใจของหลูมู่หยานทำให้ฝูงชนที่เฝ้าดูตกตะลึง ‘เจ้าขยะนี่มีทักษะขนาดนั้นเชียวหรือ? หรือแค่โชคดี’
“หยุดนะ!”
กู่ยันรันหัวเราะเบา ๆ แต่ก็นางกระวนกระวายว่าหลูมู่หยานจะประเคนเข่าให้เซงรูอีกสองสามที แต่ก็นะ ฉีอี้ซวนจะได้เกลียดมันมากขึ้นยังไงล่ะ
หลูมู่หยานไม่สนใจเสียงตะโกนของกู่ยันรันแม้แต่น้อย นางยกเท้าขึ้นแล้วเตะไปที่เซงรูจนร่วงลงกับพื้น
เซงรูล้มหลังจากที่ถูกเตะ พลางหูก็ฟังคำเยาะเย้ยของทุกคนที่อยู่รอบ ๆ บริเวณ นางกรีดร้องออกมาเหมือนคนไร้สติไม่ว่าร่างกายของนางจะเจ็บปวดเพียงใด พร้อมทั้งเหวี่ยงดาบเล่มยาวไปที่หลูมู่หยานอีกครั้ง แต่คราวนี้เซงรูเรียนรู้ที่ใช้ความฉลาดในการใช้กลพิทักษ์ที่หลูมู่หยานเคยได้ใช้ไปเมื่อครู่
หลูมู่หยานเยาะเย้ยเหยียดหยันเซงรูว่า ‘เจ้ามันโง่ ไม่แปลกใจที่ถูกกู่ยันรันหลอกใช้’
หลูมู่หยานใช้หลัวยานบูโดยตรงเพื่อหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย และพุ่งไปที่ด้านข้างของเซงรูแล้วคว้าตัวเอาไว้ทำให้ดาบของเซงรูหล่นร่วงลงพื้น จากนั้นจับข้อมือของเซงรูด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างตบเข้าที่ใบหน้าของเซงรูทันที
เพียะ!
ทุกคนต่างรู้สึกเจ็บปวดแทนตอนที่เห็นหลูมู่หยานตบไปที่ใบหน้าของเซงรู ด้วยมือซ้ายทีขวาที
ฉีอี้ซวนเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไปกันใหญ่ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันพร้อมกับเอ่ยพูดอย่างเย็นชาว่า
“หลูมู่หยาน เจ้าได้พอแล้ว”
หลูมู่หยานรู้สึกว่าการถูกทิ้งเป็นสิ่งที่ทำกันได้ง่าย ๆ เห็นได้จากการที่พลังของนางจากที่เคยมีมากมายราวกับผู้มีวิชาจนมาถึงตอนนี้ที่ไม่ต่างอะไรกับพวกขยะไร้ค่า เดือนที่ผ่านมานอกจากความกังวลเกี่ยวกับครอบครัวแล้วยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกเสียใจมาก ๆ นั่นก็คือเซงรูที่เริ่มคิดจะกำจัดนาง แต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรถึงขนาดทำให้นางต้องมารู้สึกหดหู่ใจ แต่ฉีอี้ซวน ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันสามารถทำให้นางหยุดได้ ทำไมกันนะ?
แม้ว่านางจะได้รับอารมณ์ความรู้สึกจากร่างเดิมมา แต่นางก็ยังสามารถบังคับให้ละทิ้งความรักอันแรงกล้าที่ไม่ได้เป็นของนางได้ หลูมู่หยานมองไปทางฉีอี้ซวนโดยตรงอย่างไม่มีความกลัวเกรงและตบเซงรูอีกครั้ง
“พัฟ! อี้ซวน หลูมู่หยานไม่ไว้หน้าเจ้าเลย น่าสนใจจริง” ดวงตาของหยุนจินเหมือนดอกพีชที่เบ่งบานแสดงความรู้สึกสนุกสนาน วันนี้เขารู้สึกว่าหลูมู่หยานเปลี่ยนไปตั้งแต่แรกเห็น แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่เขารู้สึกมันจะน่าสนใจขนาดนี้
ใบหน้าของฉีอี้ซวนเปลี่ยนเป็นสีดำ และเอ่ยพูดอย่างหมดความอดทน “หลูมู่หยาน อย่าทำแบบนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากข้า ปล่อยเซงรูไปซะ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวเริ่มลุกโชนในใจหลูมู่หยานให้โหมกระหน่ำมากขึ้น นางหยุดการกระทำทุกสิ่งชั่วคราว
ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันคิดว่าหลูมู่หยานจะปล่อยเซงรูเพื่อขอโทษฉีอี้ซวน นางเหลือบสายตามองไล่เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และพูดด้วยความเหยียดหยามว่า “เจ้าคาดหวังอะไรกับต้นหอมนี่กัน ดูมันสิ ตอนนี้เขาไม่สนใจจะเล่นกับนางด้วยซ้ำ ดูตัวเองเอาเถอะ ว่าต้องเปลือยทั้งอก สะโพก บั้นท้ายอะไรต่อมิอะไร และหนุ่มหล่อเสื้อม่วงคนนั้นก็ไม่ได้ยืนข้าง ๆ นางหรอก ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าตาบอดหรือเปล่าที่เห็นเจ้า”
คำพูดของนางทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกใจไปตาม ๆ กัน อะไรคือการเปลือยอก ต้องการแต่ไม่มีบั้นท้าย? แล้วผู้ชายจะต้องการไปทำไม? มันมีคำอธิบายอะไรหรือไม่? หรือนี่จะเป็นเพียงการดูหมิ่นฉีอี้ซวน?!
"ฮ่าฮ่า..." หยุนจินอดไม่ได้ที่จะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา เป็นเรื่องยากที่จะเห็นเรื่องตลกของฉีอี้ซวน ตอนนี้ในใจเขามีความสุขมาก และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย
เขามีความสุขมากในใจและยิ้มอย่างพอใจ เมื่อมองไปที่หลูมู่หยาน เขาก็พอใจเช่นกัน
ใบหน้าของฉีอี้ซวนเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าร่างกายของเขากลับปล่อยไอเย็นออกมา เขาไม่คิดว่าหลูมู่หยานที่เคยเชื่อฟังเขาจะหักหลังเขาด้วยวิธีนี้ ฉีอี้ซวนรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องสนใจผู้หญิงงี่เง่าคนนี้ แต่ภายในใจของเขาไม่พอใจอย่างมากที่หลูมู่หยานมีท่าทีกับเขาแบบนี้
กู่ยันรันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และคิดว่าหลูมู่หยานนั้นโง่เง่าแค่ไหนที่จะใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจจากฉีอี้ซวน ขยะแบบนี้มีแต่จะผลักให้เขาออกไปมากกว่า
ส่วนกู่ยันรันพูดกับหลูมู่หยานด้วยท่าทางที่แสดงความยุติธรรม “หลูมู่หยาน เจ้าทำเกินไป เซงรูไม่ได้ทำร้ายเจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงทำให้นางขายหน้าขนาดนี้?”
หลูมู่หยานหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมาเช็ดมือของนาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองไปที่กู่ยันรันพร้อมกับยิ้มเยาะติดตลกและเอ่ยขึ้นว่า “เจ็บไหมที่เห็นดาบของนางแทงเข้าที่หน้าอกข้า? ตั้งแต่เจ้าและเซงรูเป็นเพื่อนสนิทกันมา ทำไมไม่ออกมาและหยุดมันตอนที่ข้ากำลังทำ แต่กลับรอให้มันจบแล้วค่อยออกมาขอความเป็นธรรมเนี่ยนะ? มันสายไปหน่อยนะ แล้วยิ่งกว่านั้น เรื่องของผู้หญิงคนนี้กลับกลายเป็นเรื่องของเจ้าเหรอ อะไร? เจ้าเป็นคนแบบไหนกัน?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลูมู่หยาน เซงรูเงยหน้าและมองทางกู่ยันรัน นางฉายร่องรอยของความโกรธแค้นออกมาทางแววตา
กู่ยันรันไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอกับหลูมู่หยานหลังจากที่ไม่พบกันเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือน นอกจากความคิดที่ว่านางดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วนั้น นางยังดูฉลาด จัดการกับความอับอายขายหน้าที่ได้รับจากเซงรูได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังผลักความขัดแย้งมาที่ตัวนางได้อีก
นางไม่กลัวว่าเซงรูจะเกลียดนาง แต่เพราะนางยังต้องการผู้หญิงโง่ ๆ คนนี้มาทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังเพื่อทำในสิ่งที่นางไม่สามารถทำได้อย่างออกนอกหน้า
“หลูมู่หยาน เจ้ามีเหตุผลที่จะทำร้ายใครแบบนี้หรือ ข้าไม่ได้ห้ามเพราะว่าเห็นอี้ซวนบอกให้หยุดหรอกนะ แต่ใครจะคิดว่าวันนี้เจ้าจะกล้าตบหน้านาง”
กู่ยันรันพูดด้วยเสียงเบา ๆ อย่างกระอักกระอ่วน ราวกับกำลังคิดอะไรเกี่ยวกับหลูมู่หยานอยู่อย่างนั้น “ถ้าข้าหยุด ข้าจะทำร้ายเจ้าโดยไม่ตั้งใจ และข้าก็จะทำร้ายความสามัคคีของครอบครัวหลู ในเวลานั้น ซึ่งผลลัพธ์นั้นร้ายแรงมาก”
หลูมู่เหยียนเยาะยิ้ม หญิงคนนี้ดูเป็นคนที่จริจัง นางชี้นิ้วใส่อีกครั้ง พร้อมกับประโยคสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำ
“อะไรที่ฟังมาจากฉีอี้ซวนเพื่อมาบอกให้ข้าหยุด แต่ข้าก็ไม่หยุดล่ะ? ทุกคนคิดว่าวันนี้ข้าจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าได้อย่างไรกัน? ข้าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเหรอ? ข้าไม่ใช่คนในตระกูลฉีที่ไม่สามารถเฉิดฉายอย่างนางบำเรออะไรนั่น” หลูมู่หยานหัวเราะอย่างแผ่วเบา และถามต่อไปด้วยคำพูดที่เหยียดหยาม นางต้องการพูดคุยเพื่อให้ทุกอย่างมันจบสิ้นเสียที นางไม่ใช่คนเดิมที่จะมาใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาอีกต่อไปแล้ว“เจ้า” ใบหน้าของกู่ยันรันเปลี่ยนเป็นสีขาว นางเกลียดการนิยามตัวตนในระดับนี้ที่สุด นั่นจึงทำให้นางหวังที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งในสถาบันฝึกจักรพรรดิเพื่อกำจัดตัวตนออกไปเสียทีนอกจากนี้ นางต้องการที่จะเป็นภรรยาจริง ๆ ของฉีอี้ซวน ไม่ใช่เพียงแค่นางสนมที่ดื้อรั้น หลูมู่หยานเก่งจริง ๆ เก่งมากที่สามารถกระตุ้นความโกรธของนางได้สำเร็จ“อะไรของเจ้า? ไม่มีอะไรจะพูด? คิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ ว่าไอ้สถาบันนางบำเรออะไรนั่นตั้งขึ้นโดยตระกูลฉีและมันกำลังจะเป็นสถาบันจักรพรรดิ? ตระกูลฉีนี่ดูผ่อนคลายจริง ๆ และพวกเขาก็ไม่ได้กลัวที่จะถูกสวมเขา” หลูมู่หยานแค่ต้องการกวนอารมณ์ของกู่ยันรันเมื่อกู่ยันรันได้ยินหลูมู่หยานพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ ใ
หลังจากที่หลูมู่ไป๋และหลูมู่หยานจากไป ทั้งฉีอี้ซวนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มทะยอยออกจากบริเวณนี้เช่นกัน จะเหลือก็แต่เพียงคนบางกลุ่มที่ยังคงจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่เดิม ผู้หญิงหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับหลูมู่หยานยังคงรวมตัวกันอยู่ คนที่แต่งกายและมีภาพลักษณ์ธรรมดาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “หลูมู่หยานบ้าไปแล้วหรือ? ถึงยังอยากจะมีเรื่องกับกู่ยันรัน หรืออยากจะทะเลาะกันเพราะฉีอี้ซวน อีกครั้ง?” “ใช่ ถ้าต้องการสู้กับกู่ยันรันจริง ๆ แล้วหากจะเทียบ ตอนนี้หลูมู่หยานก็ยังเป็นนักดาบฝึกหัด แค่นักดาบรุ่นเยาว์ ข้าได้ยินมาว่ายังมีวัตถุดิบสำหรับปรุงยาอย่างดีอยู่อีกมาก ใช่ นางยังกล้าที่จะคิดนัดแข่งต่อสู้อีก รอวันตายหรือยังไง?” หญิงที่ดูท่าทีจองหองเอ่ยขึ้น หญิงอีกคนลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ถ้าพูดถึงตัวตนข้าคิดว่าอยู่สูงกว่า กู่ยันรันผู้ที่ทำให้พี่สาวเป็นราชินี มีปู่เป็นทหารชั้นสูงในราชสำนักและมีบิดาที่ผ่านสงครามจักรวรรดิ” “แม้ว่าครอบครัวของกู่ยันรันจะเป็นพ่อค้า แต่น้องสาวของนางมักจะเป็นที่โปรดปรานของคนในราชสำนัก และนางยังได้รับเลือกให้เป็นขุนนางเพียงแค่สองปีหลังจากที่เข้าวัง แล้วก็ครอบครัวของนางเป
หลูมู่หยานเดินไปยังถนนอันแสนพลุกพล่านที่สุดของจักรวรรดิ เพื่อเดินทางไปยังสมาคมทหารรับจ้างของอณาจักรกวางโจวที่ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสมาคมทหารรับจ้างตั้งอยู่ทุกที่ของทวีป ซึ่งการจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงจ่ายแค่สิบเหรียญเพื่อลงทะเบียน และรับเหรียญตราประทับการเป็นทหารรับจ้างระดับต่ำได้หากต้องการสร้างทีม สิ่งแรกที่จะต้องมีนั่นก็คือเหรียญทอง ถัดมาอย่างน้อย ๆ ผู้นำจะต้องมีพื้นฐานการฝึกเป็นนักดาบที่ยิ่งใหญ่ และในแต่ละทีมที่ถูกจัดตั้งจะได้รับเหรียญตราประจำทีมระดับต่ำสุด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นทีมสุดท้ายปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นก็จะได้รับการยกระดับเหรียญตราทั้งบุคคลและทีมตลอดเส้นทางจะเห็นได้ว่ามีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงเรียงรายขายของอยู่ริมถนน และในแต่ละร้านก็จะมีพนักงานคอยวิ่งวุ่นให้บริการลูกค้า ทำให้ถนนเส้นนี้มีเสียงตะโกนหรือแม้กระทั่งเสียงสวดมนต์ทำให้ดูมีชีวิตชีวา สำหรับสินค้าที่ขายส่วนมากจะเน้นไปที่สิ่งของสำหรับทหารรับจ้าง หลูมู่หยานหันกลับมาด้วยความสนใจ แต่ของที่ขายส่วนใหญ่ไม่ใช่ของที่นางต้องการ นางจึงมองไปยังร้านขายเสื้อผ้า ซึ่งเหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็รีบกุลีกุจอเข้ามาบริกา
ในเวลานี้ชายชราและเย่เจียทั้งสามคนยังอยู่ในห้อง ชายที่มีอายุเท่ากันกับชายชรามองไปที่หลูมู่หยานด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ของเขาถึงเชื่อหญิงสาวที่มีทักษะการฝึกฝนต่ำเช่นนี้ หลังจากนั้น สายตาเย็นชาก็เริ่มปรากฏให้เห็น พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่าใบหน้าของหลูมู่หยานจะสะสวยเพียงใด แต่เขาจะไม่ปล่อยให้นางหยิบยื่นความหวังและตบท้ายด้วยการมอบความผิดดหวังให้พี่ชายของพวกเขาอีกครั้งหลูมู่หยานไม่ได้สนใจสายตาของผู้อื่น นางหยิบเข็มทองที่ถูกทำขึ้นพิเศษออกมา ก่อนจะฉีดไปตามร่องรอยพลังวิญญาณที่อยู่ภายในเสื้อโค้ชของชายชรา และเจาะจุดฝังเข็มหลายบริเวณบนร่างกายส่วนบนของชายชราผู้นั้นแม้ว่าร่างกายนี้จะไม่สามารถดูดซับพลังงานที่อยู่โดยรอบได้ แต่หลังจากที่นางดูดซับได้แล้วนั้น หลูมู่หยานก็ยังหาวิธีสะสมพลังงานเหล่านั้นให้เปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณให้คงอยู่ในร่างกาย และการใช้มันทำก็สร้างความเจ็บปวดได้อย่างสาหัสเลยทีเดียว หลูมู่หยานใช้พลังวิญญาณและเข็มทองในการรักษาชายชราผู้นั้น และเชื่อว่าในครั้งนี้เขาจะไม่เจ็บปวดมากเหมือนที่ผ่านมา และนางเองก็มั่นใจทักษะทางการแพทย์ของตนเองครึ่งชั่วโมงถัดมา ใบหน้าของหลูมู่หย
หลูมู่หยานเห็นว่าจวนจะได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว แต่บุรุษทั้งสองยังคงทำทีก่อกวนไม่เลิก นางมองไปที่ฉีอี้ซวนอย่างกระวนกระวายและเย็นชาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าทำลังทำอะไร?” “เจ้า หลูมู่หยาน ตระหนักไว้ก็ดีว่าเจ้าคือผู้หญิง ทุกวันนี้เจ้าทำตัวไม่เหมือนสตรีเลย” ฉีอี้ซวนไม่ได้คาดคิดว่าหลูมู่หยานจะใจร้อนและหยาบคายกับเขาขนาดนี้ นางที่เคยบอบบางและสง่างาม พลันความทรงจำก่อน ๆ ก็แล่นขึ้นให้หัวของเขา เด็กสาวที่น่ารักคนที่คอยวิ่งไล่ตามและเรียกเขาว่า “ท่านพี่ฉี” เมื่อยังวัยเยาว์ทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้เมื่อเห็นว่าฉีอี้ซวนเริ่มไม่ได้สติ หลูมู่หยานจึงกล่าวด้วยวาจาเหน็บแนมว่า “เจ้าเป็นใคร? ดูเหมือนสตรีหรือ? หรือมีอะไรหรือไม่?” นางเอ่ยก่อนจะเดินอ้อมไปทางอื่นและเดินจากไป โดยที่ไม่รอให้ฉีอี้ซวนตอบกลับแม้แต่ประโยคเดียว นัยน์ตาของฉีอี้ซวนแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยต่อหยุนจินผู้ซึ่งกำลังประหลาดใจยืนอยู่กับที่ และมองผู้มี่สวมใส่ชุดสีม่วงจากไปช้า ๆ หลูมู่หยานเอ่ยเอ็ดฉีอี้ซวนเงียบ ๆ ระหว่างที่กำลังเดิน ชายคนนี้พูดจาและทำเหมือนกับนางเป็นเพียงแค่อาหาร ความรู้สึกของหลูมู่หยานที่มีต่อฉีอี้ซวนค่อนข้างซับซ้อนและเต็มไปด
เช้าวันรุ่งขึ้น หลูมู่หยานเดินทางไปที่สมาคมทหารรับจ้างก่อนเวลาเปิด ในเวลานั้นเย่ชิงหานและคนอื่น ๆ มาถึงกันแล้ว“วันนี้แม่นางหลูตรงเวลาดีนะ” เย่ชิงหานเอ่ย พร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ขณะมองไปที่หญิงสาวชุดสีม่วงที่เพิ่งมาถึงหลูมู่หยานเดินเข้ามา ยักไหล่และเอ่ยว่า “ข้าเกรงว่าท่านจะไม่รอ หากข้าสาย”“เจ้าคือหมอของเรา แม้ว่าเจ้าจะไม่รอคนอื่น แต่คนอื่นก็ยังรอเจ้าอยู่ดี” เย่ชิงหาน ยิ้มทั้งสองคุยกันอีกสองสามคำ ตอนนี้ทีมก็พร้อมเดินทางแล้ว พวกเขาขี่มอนสเตอร์ระดับหนึ่งบนหลังม้า เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทางเย่ชิงหานและพรรคพวกของเขามีทั้งหมดหกคน ยกเว้นเย่ชิงหาน ส่วนหลูมู่หยานรู้จักเพียงลู่เหล่าเท่านั้น เขายังคงติดตามหญิงสาวรูปงามและชายหนุ่มสามคน รวมไปถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่ดูเหมือนทหารรับจ้างทวีปที่หลูมู่หยานอยู่เรียกว่า ‘เทียนหลิง’ ประกอบไปด้วยสี่แคว้นทางตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และแคว้นเล็ก ๆ อีกนับไม่ถ้วน โดยในแต่ละแคว้นก็จะมีประเทศน้อยใหญ่ตั้งอยู่ในนั้น ซึ่งโจวเหยียนนับเป็นอีกประเทศที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดในแถบภาคตะวันออก และหนึ่งในสิบสถานที่ที่อันตรายที่สุดของเทียนหลิงอยู่ในอณาเขตของโจ
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเชิงเขา เทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ มีหนามล้อมรอบเป็นวงกลมตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า หากจะเข้าไปด้านในต้องทิ้งม้าเอาไว้ด้านนอก และใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น “ม้าวายุมาได้เพียงเท่านี้ เราต้องเดินเท้าเข้าไป” เย่ชิงหานหันหลังลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าที่สง่างามพร้อมกับหน้ารับ ก่อนทำแบบเดียวกัน ไม่นานเย่ชิงหานก็เป่านกหวีดทำให้ม้าทั้งเจ็ดอันตรธานหายไป “ม้าวายุเหล่านี้ค่อนข้างมีจิตวิญญาณ พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของท่านหรือ?” หลูมู่หยานไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเหล่าสัตว์วิญญาณในทวีปนี้มากนัก นางรู้แค่เพียงขั้นพื้นฐานที่ได้จากห้องเรียนสัตว์ชั้นสูงเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่เข้ากับสัตว์ทุกตัวบนโลก เย่ชิงหานอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สัตว์ประหลาดระดับที่หนึ่ง ไม่มีค่าของสัตว์เลี้ยงวิญญาณ อาจารย์ด้านอสูรวิญญาณของพวกเรามองไปที่ระดับพลังวิญญาณ และทำข้อตกลงกับสัตว์วิญญาณ”“เช่น ผู้รับใช้วิญญาณสามารถทำข้อตกลงกับสัตว์เลี้ยงวิญญาณได้หนึ่งตัว แต่การทำข้อตกลงสามารถทำสูงสุดได้เพียงสิบตัวเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ด้านอสูรจะไม่ทำข้อตกลงกับกับสัตว์อสูรเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียโควต
กลุ่มคนที่กำลังเดินไปตามทางไม่พบปีศาจทั้งระดับสูงหรือต่ำ แต่ก็ต้องหลบเลี่ยงไปก่อนเพราะคำเตือนจากเย่ชิงหาน อีกครึ่งวันต่อมา พวกเขาทั้งหมดรีบไปยังบริเวณด้านนอกของเทือกเขาแห่งเพลิงอัคคี ณ บริเวณนั้นมีป่าหนาทึบอยู่ด้านหน้า และหลังจากที่เดินไปได้สักพัก พลันหูก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล ทำให้เย่ชิงหานและอีกหลายคนตื่นตัว“นายน้อย เราจะไปที่นั่นกันไหม” ลู่เหล่าทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า และเอ่ยถามเย่ชิงหานอย่างระมัดระวังดวงตาของเย่ชิงหานเต็มไปด้วยความสุขุมและลึกล้ำ เขาเริ่มทำสมาธิข่มจิตให้นิ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ไป ไปดู” ภายหลังคำพูดของนายน้อย ทัพก็เริ่มเคลื่อนตัว เพื่อเร่งไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ เมื่อพ้นช่วงที่เป็นป่าทึบก็จะเริ่มเป็นลานโล่ง ณ เวลานี้ชายสามคนถูกล้อมรอบไปด้วยปีศาจขนปุยระดับที่สองและสาม โดยมีชายสองคนนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น หนึ่งในนั้นเริ่มหายใจโรยริน ดูแล้วน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส “พวกข้ากำลังเจอปัญหาช่วยข้าที พวกข้าจะขอบคุณมาก” ชายคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ตะโกนขอความช่วยเหลือทันที เมื่อเห็นเย่ชิงหานและทัพของเขา“พวกเจ้าจัดการซะ” เย่ชิงหานเอ่ย เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้
หมิงซิ่วไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ลอบมองเขา หากแต่ดวงตาฟีนิกซ์ที่ยาวเรียวภายใต้หน้ากากทำให้หลูมู่หยานมองลึกลงไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็หายวับอย่างรวดเร็วจนคนอื่นไม่สามารถสังเกตได้ทัน เขาหยุดพูด ก่อนจะหายตัวไปเหล่าเย่ที่รอให้หมิงซิ่วจากไป ค่อย ๆ เดินมาหาหลูมู่หยานด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” “ขอบคุณท่านเหล่าเย่ที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร” หลูมู่หยานยิ้มตอบ พร้อมกับส่ายหัวไปมา หลูมู่หยานรู้สึกถึงแรงสั่นที่มาจากอสูรน้อยในมือของนางที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของนางกลับนิ่งเรียบ ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าเย่ทั้งที่ยังยิ้มว่า “เหล่าเย่ ข้าคงต้องไปก่อน ข้ามีอะไรต้องทำต่อ” “ตกลง เจ้าทำเถิด” เหล่าเย่สังเกตเห็นอสูรร้ายตัวเล็กในมือของนางอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เขาจึงค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาด้วยความเสียดาย หลูมู่หยานพยักหน้า จากนั้นจึงหยิบนกหวีดที่คล้องคอไว้ขึ้นเป่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ม้าอาชาตัวสีขาวสว่างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคน นางกล่าวลาหยุนหลัน และคนอื่น ๆ ก่อนจะขึ้นไปที่หลังม้าพร้อมกับอสูรกลืนกินวิญญาณ และออกจากหอการค้าหมิงเหมิงเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ใบหน้
ทันใดนั้นก็มีพลังที่นุ่มนวลจำนวนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ห่อหุ้มไปด้วยก้อนกรวดที่ถูกรัศมีดาบของชายชราในชุดดำบดขยี้ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งทีละชิ้น แค่เพียงครู่เดียวรอยแตกที่พื้นบลูสโตนใต้ดินก็เริ่มสมาน และกลับคืนสู่สภาพเดิม“แม่นาง เจ้าเป็นหนี้บุญคุณต่อเทพอีกแล้ว” เสียงของบุรุษที่ฟังแล้วเหมือนจะมีความเป็นผู้ใหญ่ดังแว่วผ่านโสตประสาทของหลูมู่หยานราวกับสายลม ความเฉยเมยระหว่างคิ้วและดวงตาของหลูมู่หยานเริ่มถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วมือนั้นเป็นฝ่ามือของบุรุษผู้มากไปด้วยเสน่ห์ … หมิงซิ่ว! เมื่อมองไปยังฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง นางรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นคลื่นของการทำสมาธิ และความรู้สึกไว้วางใจก็เกิดขึ้นในใจของนางอย่างอธิบายไม่ได้ หลูมู่หยานหันกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้กล้าหาญรูปร่างสูงโปร่ง และสวมหน้ากากสีเงินที่กำลังเดินเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวเอง ชุดสีแดงของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม และพลังที่แผ่กระจายออกมารอบตัวของเขาก็เผยให้เห็นโดยธรรมชาติ และเมื่อเทียบกับบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนอื่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันของเขา เหมือนกับหิ่งห้อยที่ไม่สามารถเทียบกับเฮาเยว่ได้
ชายชราชุดดำก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะยกฮั่วหยุนเตียวจากพื้นด้วยมือของเขา พร้อมกับแสยะรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา เขายังคงท่องคาถายอมจำนนอสูรร้ายอย่างเงียบ ๆ ในปากและหลังจากท่องเสร็จเขาก็ใช้ดาบลมของหยุนลี่กรีดไปที่นิ้วชี้ และหยดเลือดสีแดงลงที่ขนของเสี่ยวซูหลูมู่หยานคลี่ยิ้มเบา ๆ กอดอก พร้อมกับมองไปที่ชายชราที่กำลังทำการแสดงด้วยท่าทีเย้ยหยันชายชราผู้นี้ยังคงต้องการที่จะปราบอสูรร้ายกลืนกินวิญญาณด้วยวิธีนี้ ช่างเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อเสียจริงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็พบว่าเลือดที่เขาหยดไปนั้น ไม่สามารถเข้ากับร่างกายของอสูรกลืนกินวิญญาณได้ เขาตกใจ และสายตาของเขาก็เริ่มนิ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องรางสีแดงออกมาจากแหวนจักรวาล โดยที่ปากยังคงพึมพำท่องคาถาอย่างเงียบ ๆ และแตะเครื่องรางสีแดงด้วยมือของเขา ก่อนที่มันจะตกใส่ร่างของอสูรร้ายจากนั้นชายชราก็ได้สร้างผนึกที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งขึ้นในอากาศ พร้อมกับบังคับให้เข้าสู่ก้องสำนึกของสัตว์ร้าย จากนั้นก็ได้หยดเลือดลงบนหน้าผากของมันอีกสองสามหยด ดวงตาของมันประกายแสงราวกับมีดาวนับล้าน และนี่คือสัญญาณนักฆ่าในฐานะปรมจารย์อสูรวิญญาณ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะยังสามารถจั
หลังจากที่หลูมู่หยานเสร็จสิ้นกับการพูดคุยกับเหล่าเย่ นางก็รีบไปพบหยุนหลันทันที และเมื่อนางออกจากประตูของหอการค้า นางสังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำ และชายชราในชุดสีดำผอมแห้งหยุดอยู่ตรงหน้าหยุนหลัน ก่อนที่นางจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าสองคนนี้เป็นใคร?“มู่หยาน ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์นายพล” หยุนหลันพูด ก่อนจะเดินมาหาหลูมู่หยานที่ยืนอยู่ย้อนหลับไปเมื่อครู่ ราชาแห่งเจิ้นซีได้เอ่ยถามพวกเขาถึงผู้ที่ครอบครองฮั่วหยุนเตียว พวกเขาจึงพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อเก็บมันไว้เป็นความลับ ทว่ากู่ยันรันกลับพูดออกไปเสียหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงต้องไปส่งหลูมู่หยานที่คฤหาสน์นายพล“ตกลง” หลูมู่หยานยิ้ม และพยักหน้าแม้ว่าหลูมู่หยานจะตกลงออกไปแบบนั้น แต่นางสัมผัสได้ว่าการที่นางจะเดินทางกลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ “ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยเล่า” หวังเจิ้นซีเอ่ย ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดหยุนหลันเอาไว้ เขาจะปล่อยให้คน ๆ นั้นออกไปได้อย่างไรหวังเจิ้นซีมองไปยังหลูมู่หยานที่สวมใส่ชุดสีม่วง ผมยาวม้วนขึ้นเป็นมวยแบบธรรมชาติ ดวงตานิ่งเรียบ ประกอบกับใบหน้าที่สวยงามน่าเย้ายวนแม้ว่าอายุยังน้อยหลูมู่ห
ราคาของการประมูลของซีซุยตันทำให้คนที่อยู่ในห้องประมูลส่วนตัวหมายเลขเก้าต้องตกใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจับจ้องไปทางหลูมู่หยานแทบจะเป็นสายตาเดียว เพราะตอนนี้นางจะกลายเป็นสตรีผู้ร่ำรวย ต่อให้พวกเขากลับบ้านไปได้ช่วงหนึ่ง ก็ไม่สามารถหาเหรียญทองคำจำนวนมหาศาลนี้ได้หยุนจินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ดูเหมือนจะทำกำไรถึงสามร้อยล้านเหรียญทองเลยนะ” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของหยุนจิน หยุนหลัวก็อดมองว่าเขางี่เง่าไม่ได้ เขาอิจฉาที่ลูกพี่ลูกน้องเขาผู้นี้ได้ยามูลค่าสามร้อยล้านเหรียญไปครอบครอง เสี่ยวเซียงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองหยุนจินด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะเขาเองก็อยากจะได้ยาเม็ดไขกระดูกเหมือนกันหลังจากการประมูลซีซุยตันในวันนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้อาณาจักรแห่งอัคคี และประเทศอื่น ๆ ในทวีปวิญญาณสวรรค์ เพราะการจะได้มาซึ่งยาเม็ดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากดวงตาของกู่ยันรันเต็มไปด้วยเจตนาปองร้ายและอาฆาตแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงเปลี่ยนไปได้เพียงระยะเวลาแค่ไม่ถึงสามเดือน และนางก็ดีกว่าหลูมู่หยานทุกเรื่อง เว้นพื้นฐานครอบครัว แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับยาซีซุยนั่นนางเกลียด เกลียดหลูมู่หยานขณะ
หลังจากนั้นก็ยังคงมีการประมูลรายการสินค้าอีกหลายอย่างจากหอการค้าหมิงเหมิง ซึ่งซีซุยตันยังไม่ได้เข้าร่วมประมูลโดยตรงหลูมู่หยานยังได้เก็บภาพดอกไม้ลิงสีม่วงที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่งจีตัน รวมไปถึงการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งเครื่องมือจิตวิญญาณ ชุดเกราะวิญญาณ แต่นางไม่ได้ต้องการ เพราะรวม ๆ แล้วนางเองได้ประโยชน์มากมายจากการประมูลในครั้งนี้ ณ ห้องประมูลส่วนตัว แขกที่เข้าร่วมการประชุมมักจะเก็บภาพรายการประมูลที่พวกเขาชื่นชอบ ขณะที่เม็ดยาซีซุยไม่ได้รับความสนใจมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของมันที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรหลังจากที่รายการสินค้าทั้งหมดถูกประมูลแล้ว หนี่จุนก็ได้คลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “การประมูลต่อไปคือรายการสุดท้ายที่ค่อนข้างหนักเป็นพิเศษของหอการค้าหมิงเหมิง และเราก็เพิ่งได้รับเกียรติจากเหล่าเย่ ผู้รับผิดชอบการประมูลโจวกั๋วขึ้นมาเป็นประธาน” เมื่อจบคำพูดของหนี่จุน ผู้เข้าร่วมการประมูลที่อยู่ข้างล่างก็ต่างพากันส่งเสียงวุ่นวายรายการประมูลใดกันที่จะสามารถรบกวนเหล่าเย่ได้ เพราะเขาไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สะกัดระดับกลางอีกด้วย นั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่เข
ทั้งสองคนเป็นสมาชิกราชวงศ์ และพื้นฐานครอบครัวท่านแม่ของหยุนจินก็แข็งแกร่งมาก หากหลูมู่หยานให้ยาซีซุยแก่พวกเขา และบุคคลที่มีอำนาจระดับสูงของราชวงศ์ก็จะไม่ทำให้นางอับอายอย่างแน่นอน“เอาเถิด ท่านป้าก็รักข้าเหมือนลูกตัวเองมาตั้งข้ายังเด็ก เราเป็นญาติกันแค่ยาเม็ดเดียวอย่าให้มันรบกวนเลย” หลูมู่หยานเอ่ย พร้อมกับคลี่ยิ้มออกเล็กน้อยหยุนหลันแสดงความขอบคุณต่อลูกพี่ลูกน้องผ่านทางใบหน้า เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลูมู่หยาน ลูกพี่ลูกน้องที่พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับกลายเป็นคนที่ใจกว้างและกล้าเช่นนี้ นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านแม่ของเขาเห็นเป็นแน่“ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้ายินดี ยาซีซุยตันนี้สำคัญมากสำหรับข้า และข้าจะเขียนความรู้สึกนี้ลงไปในวงแหวน หากมู่หยานมีอะไรให้ข้าช่วยในอนาคต บอกข้าได้” หยุนหลันสัญญาด้วยรอยยิ้ม “ตกลง” หลูมู่หยานตอบกลับ“หลูมู่หยาน หยุนหลันเป็นญาติของเจ้า มันก็ชัดเจนที่เจ้าจะให้เขา แต่ทำไมเจ้าถึงให้มันแก่ข้า?” หยุนจินไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงต้องการให้ยาเม็ดนี้กับเขา เป็นเพราะเขาให้เหรียญสนับสนุนนางงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้“ครั้งที่แล้วที่ข้าได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้สีขาวดอกเล็ก ๆ นั่น ก
จากการยืนยันของเหล่าเย่ สายตาของผู้คนในห้องที่มองหลูมู่หยานก็เปลี่ยนไป แม้แต่คนที่ติดตามเหล่าเย่ก็มองมาที่ขวดยาสีขาวอย่างไม่วางตาเหล่าเย่ใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองไปที่หลูมู่หยานด้วยรอยยิ้ม และถามว่า “แม่นางหลู เจ้ากำลังกำหนดราคาสำหรับซีซุยตันหรือไม่?” “ข้าไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ข้าเชื่อว่าหอการค้าหมิงเหมิงจะช่วยให้ข้าขายได้ในราคาดี ฉะนั้นโปรดให้ท่านเหล่าเย่เรียกราคาเริ่มต้น” หลูมู่หยานแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนต่อหอการค้าหมิงเหมิง เหล่าเย่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ “ในกรณีนี้ ชายชราจะได้ตั้งราคาให้กับแม่นาง” “ปัญหาของเหล่าเย่คือเริ่มอายุมากขึ้น” หลูมู่หยานตอบกลับอย่างสุภาพ เหล่าเย่ยิ้มและพยักหน้า ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่คิดอยู่ในใจ “แม่นางหลู เจ้ายังมียาไขกระดูกนี้อีกหรือไม่?” เดิมทีเหล่าเย่เพียงแค่ต้องการถามถึงที่มาของซีซุยตัน ว่าหลูมู่หยานได้มาจากที่ใด ไม่ว่าเขาจะรู้จะจักนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งกาจแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงต่อต้าน เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุส่วนมากมักมีนิสัยแปลก ๆ และไม่ชอบให้ผู้อื่นถาม ฉะนั้นเขาจึงอยากที่จะผูกมิตรกับหลูมู่หยานให้ดีเสียก่อน คนอื่น ๆ ก็เริ่มมองมาที่หลูมู่หยาน
บนห้องแห่งความลับชั้นสามของหอการค้าหมิงเหมิง มีบุรุษชุดแดงสวมหน้ากากสีเงินนั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน และมีคนสองคนยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อคอยรายงานสถาณการณ์ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น บุรุษชุดแดงหยักหน้าให้หญิงสาวทรงเสน่ห์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินไปเปิดประตู “ผู้พิทักษ์หลาน” เจ้าของร้านหลู่ตะโกนออกมาด้วยความเคารพ และสตรีผู้นั้นก็เหลือบมองมาที่เขาขณะที่ยังยืนอยู่ข้างบุรุษผู้นั้น“องค์รัชทายาท!” เจ้าของร้านหลู่เดินเข้าไปที่ห้องลับ และก็พบว่าไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสสองคนเท่านั้นที่นั่งอยู่ แต่ยังมีองค์รัชทายาทอยู่ในห้องด้วย เจ้าของร้านหลู่จึงก้มลงเพื่อแสดงความเคารพ “อะไรจะเร่งด่วนปานนั้น” หมิงซิ่วเอ่ยอยากเฉื่อยชา“เมื่อครู่นี้แขกผู้มีเกียรติห้องประมูลส่วนตัวที่เก้า หยิบยาออกมาเพื่อให้ทางหอการค้าของเราทำการประมูล แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเราไม่เคยเห็นยาเม็ดนี้มาก่อน พวกเขาเลยตัดสินไปก่อนว่าเป็นเพียงยาระดับสองเท่านั้น” เจ้าของร้านหลู่นำขวดยาสีขาวออกมา “แขกผู้มีเกียรติผู้นั้นบอกว่ายาเม็ดนี้เรียกว่าซีซุยตัน แม้ว่ายาจะอยู่ในระดับที่สอง แต่ผลลัพธ์ของมันไม่น้อยกว่าระดับที่สาม”