หลังจากที่หลูมู่ไป๋และหลูมู่หยานจากไป ทั้งฉีอี้ซวนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มทะยอยออกจากบริเวณนี้เช่นกัน จะเหลือก็แต่เพียงคนบางกลุ่มที่ยังคงจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่เดิม
ผู้หญิงหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับหลูมู่หยานยังคงรวมตัวกันอยู่ คนที่แต่งกายและมีภาพลักษณ์ธรรมดาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “หลูมู่หยานบ้าไปแล้วหรือ? ถึงยังอยากจะมีเรื่องกับกู่ยันรัน หรืออยากจะทะเลาะกันเพราะฉีอี้ซวน อีกครั้ง?”
“ใช่ ถ้าต้องการสู้กับกู่ยันรันจริง ๆ แล้วหากจะเทียบ ตอนนี้หลูมู่หยานก็ยังเป็นนักดาบฝึกหัด แค่นักดาบรุ่นเยาว์ ข้าได้ยินมาว่ายังมีวัตถุดิบสำหรับปรุงยาอย่างดีอยู่อีกมาก ใช่ นางยังกล้าที่จะคิดนัดแข่งต่อสู้อีก รอวันตายหรือยังไง?” หญิงที่ดูท่าทีจองหองเอ่ยขึ้น
หญิงอีกคนลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ถ้าพูดถึงตัวตนข้าคิดว่าอยู่สูงกว่า กู่ยันรันผู้ที่ทำให้พี่สาวเป็นราชินี มีปู่เป็นทหารชั้นสูงในราชสำนักและมีบิดาที่ผ่านสงครามจักรวรรดิ”
“แม้ว่าครอบครัวของกู่ยันรันจะเป็นพ่อค้า แต่น้องสาวของนางมักจะเป็นที่โปรดปรานของคนในราชสำนัก และนางยังได้รับเลือกให้เป็นขุนนางเพียงแค่สองปีหลังจากที่เข้าวัง แล้วก็ครอบครัวของนางเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในจักรวรรดิ ทว่าก็ไม่ได้ต่ำจนเกินไปแต่ก็แทบจะไม่คู่ควรกับฉีอี้ซวนเลยด้วยซ้ำ” หญิงงามอีกคนเอ่ย
หญิงอีกคนที่ดูเหมือนเป็นผู้นำกลุ่มเยาะเย้ยเอ่ย “ใช่ ตอนที่นางสู้กับกู่ยันรันเมื่อเดือนที่แล้วและได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าไม่คิดว่านางจะหาย และกลับมาหน้าด้านเร็วขนาดนี้ หรือจริง ๆ แล้วนางเป็นคนแข็งแรงเหรอ? ถึงได้สร้างปัญหาเกินสมควรขนาดนี้ ตอนที่ได้รับบาดเจ็บลู่เจียก็ยื่นมือเข้ามาช่วยแบบไม่มีเหตุผล และสุดท้ายก็กลายเป็นผู้สร้างสันติ ไม่ก็ไม่ได้ไร้สาระ”
“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าสมองของนางถูกลาเตะไปหรือเปล่า นางกล้าแม้แต่จะถอนหมั้น และนางก็ไม่กลัวที่จะเสียหน้าครอบครัวหลูในตอนนั้น”
“ปล่อยนางไปเถอะ เรามารอดูการแสดงดี ๆ กันดีกว่า”
ข่าวของหลูมู่หยานและกู่ยันรันแพร่กระจายไปทั่วสถาบันภายในวันเดียว เหล่านักเรียนต่างพากันพูดคุยถึงเรื่องนี้แทบจะทุกที่ของสถาบัน ซึ่งทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหลูมู่หยานน่าจะคิดมาดีแล้วที่จะทำให้ตัวเองถูกทำร้าย น่าจะเป็นอีกหนึ่งกลอุบายที่จะเรียกร้องความสนใจจากฉีอี้ซวน แต่ก็เป็นไปตามที่คิด ทุกคนล้วนแล้วแต่รอชมการแสดงดี ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
หลังจากที่หลูมู่ไป๋จัดการทำแผลให้หลูมู่หยานเสร็จแล้ว เขามองมายังน้องสาวด้วยความกังวล พร้อมกับเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าคิดจะสู้กับกู่ยันรัน เจ้าไม่ใช่คู่แข่งนางสักหน่อย”
“ไม่ใช่คู่แข่งนางหรอกในตอนนี้ แต่อีกสามเดือนข้างหน้าทุกอย่างมันจะจบ อย่ากังวลไปเลยท่านพี่” นางเอ่ย นับตั้งแต่หลูมู่หยานได้รับความทรงจำเก่า ๆ ในร่างเดิมพร้อมกับสัญญาว่าจะต้องมีชีวิตที่ดี นางจึงพยายามที่จะรวมตัวเองให้เข้ากับครอบครัว และทำเหมือนคนในตระกูลหลูเป็นเหมือนกับญาติพี่น้องของตัวเอง
หลูมู่ไป๋มองไปยังหลูมู่หยานด้วยความสับสน น้องสาวของเขาเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
เมื่อตอนที่หลูมู่หยานเกิด หมอดูแห่งจักรวรรดิเคยทำนายเอาไว้ว่า นางจะพบกับความเป็นและความตายตอนอายุสิบห้าปี แต่หลังจากผ่านพ้นมาได้นางจะเข้าใจอะไรมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปมาก ครอบครัวไม่ต้องแปลกใจไปเพราะมันจะเป็นโอกาสที่ดี บางทีมันอาจจะเป็นการเริ่มทำให้แข็งแกร่งขึ้น ในตอนนี้หลูมู่ไป๋อดที่จะเชื่อคำทำนายนั้นไม่ได้ แค่เมื่อดูน้องสาวของเขาในตอนนี้ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น
“แล้วคิดไว้หรือยังว่าเจ้าจะเอาชนะนางได้อย่างไร?” หลูมู่ไป๋ ถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อย
ยามที่หลูมู่หยานมีอาการโคม่าครึ่งตัว นางได้ยินเสียงแม่ของนางพูดถึงคำทำนายว่าบุคลิกของนางจะเปลี่ยนไป นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หลูมู่หยานค่อย ๆ เปิดเผยตัวตนของนางออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้ปิดบัง ซึ่งตระกูลหลูก็ค่อย ๆ ปรับตัวเขาหาบุตรสาว แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับหลูมู่ไป๋ แต่ในความรู้สึกของร่างเดิมนี้ยังคนใกล้ชิดกับพี่ชายคนนี้อยู่เสมอ
หลูมู่หยานแสร้งสับสน ราวกับนางกำลังนึกอะไรบางสิ่ง หลังจากการแกล้งทำแบบนั้นนางก็พูดขึ้นว่า “ท่านพี่ ในช่วงที่ข้ายังรักษาตัว ข้าฝันว่าข้าได้เดินทางไปอีกโลกหนึ่ง ในโลกนั้นวิธีการฝึกฝนก็ต่างกับที่นี่ มันเหมือนกับข้ามีประสบการณ์มาหลายพันปี ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายของกลไกของยาซีซุย ที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างในร่างกายของคนหนุ่มสาวได้
นางสังเกตเห็นความตกตกลึงของดวงตาหลูมู่ไป๋ และเอ่ยว่า “ข้าสามารถกำจัดร่างไร้ชีพจรให้สิ้นซากไปได้ ตราบใดที่กินยาชำระล้างนี้ และเส้นเอ็นที่ถูกปิดกั้นจะสามารถเปิดออกได้”
“จริงเหรอ? มันเยี่ยมมาก เจ้าทราบไหมว่าวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับยาเม็ดนี้มีอะไรบ้าง?” ดวงตาของหลูมู่ไป๋เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น
หลูมู่หยานพยักหน้า “ข้ารู้ และข้าก็จะปรับปรุงมัน วันนี้ข้าไปที่กังชูเพื่อหาข้อมูล แม้ว่าชื่อของหญ้าจิตวิญญาณของทั้งสองโลกจะมีชื่อต่างกัน แต่สรรพคุณของยาและภาพประกอบที่ข้าเห็นมันเป็นชนิดเดียวกัน”
“ในครั้งนี้ หยานเอ๋อได้รับพรให้ปลอมตัวมา หากเจ้าต้องการหญ้าจิตวิญญาณให้เจ้าจดชื่อไว้ แล้วพี่ชายของเจ้าจะช่วยเจ้าหามัน” หลู่มูไป๋แตะไปที่หัวของหลูมู่หยานด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
หลูมู่หยานไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรืออะไรในการกระทำของหลูมู่ไป๋ นางทำการจดชื่อหญ้าจิตวิญญาณที่ต้องการและส่งให้กับหลูมู่ไป๋ทันที “นี่แหละคือที่ข้าบอก ส่วนอื่น ๆ ข้าค่อนข้างโอเคแล้ว แต่ยังมีผลไม้แห่งเปลวเพลิงที่ค่อนข้างเป็นปัญหา”
หลังจากอ่านเนื้อหาทั้งหมดบนกระดาษ หลูมู่ไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผลไม้แห่งเปลวเพลิงค่อนข้างหาลำบาก แต่ไม่ต้องกังวลไปน้องข้า ข้าจะหามาให้”
“ขอบคุณท่านพี่ ข้าจะหามันให้ได้ก่อนการต่อสู้ เพราะข้าต้องปรับแต่งยาซีซุยเพื่อปรับร่างกาย จากนั้นข้าจะหาทั้งหมดมารวมกันในตอนสุดท้าย” หลูมู่หยานเอ่ย พร้อมกับแสดงความเย็นชาผ่านออกมาทางสายตา
ใบหน้าของหลูมู่ไป๋ดูซึมเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยขึ้นว่า “ช่วงนี้ดูแล้วพวกตระกูลกู่นั้นจะดูยโสเกินไป แม้แต่ป้าในวังยังถูกพวกนางสนมของตระกูลนั้นข่มเหง ถ้าไม่ใช่เพราะทางจักรวรรดิต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม และต้องการเงินจากตระกูลนั้น อาการบาดเจ็บก็คงไม่ต้องถูกปิดบังแบบนี้
ครั้งนั้นที่หลูมู่หยานได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของกู่ยันรัน หลูมู่ไป๋ต้องเดินทางไปฝึกซ้อมวิชาพอดี และมีอยู่สองประการที่ตระกูลหลูไม่ติดใจจะตามเรื่องนี้ต่อ ประการแรก ท้ายที่สุดหลูมู่หยานยังอยู่ดี และประการที่สอง หลูมู่หยานฟื้นจากอาการบาดเจ็บสาหัสและอาการโคม่าครึ่งตัวมาได้ ทำให้หลูเจียไม่ได้ติดใจจะเอาเรื่องกับตระกูลกู่
“อีกอย่าง ข้าอยากให้ท่านพี่พูดดี ๆ กับข้าตอนกลับบ้าน ไม่เช่นนั้นท่านปู่กับท่านพ่อจะคิดว่าข้าเอาแต่ใจ” หลูมู่หยานจับมือหลูมู่ไป๋สองสามครั้งพร้อมกับเอ่ยถ้อยคำขอร้อง
สำหรับเหตุผลที่นางจดจำลมหายใจของพี่ชายเอาไว้ ก็เพื่อกระตุ้นให้กู่ยันรันต่อสู้ เพราะนางต้องการใช้เขาเพื่อต่อรองกับตระกูลหลู นางทนไม่ไหวกับน้ำตานางงามอะไรนั่น
หลูมู่ไป๋พยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าทำอะไรไม่ได้จริง ๆ แต่ในช่วงเวลานี้เจ้าจะปลอดภัย ข้าคิดว่าเรื่องที่เจ้านัดประลองกับกู่ยันรันน่าจะรู้ไปทั้งเมืองหลวงแล้ว”
“ไม่ต้องกังวลท่านพี่ ข้าจะไป”
หลังจากรอให้พี่ชายเดินออกไป หลูมู่หยานก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่กำลังจะทำต่อไป
นางวางแผนที่จะเดินทางไปยังสมาคมทหารรับจ้าง เพื่อดูว่าจะมีภารกิจเดินไปยังภูเขาที่มีไฟโหมกระหน่ำหรือไม่ เพราะผลไม้แห่งเปลวเพลิงจะสามารถคงอยู่ได้เพียงสองเดือนเท่านั้น ซึ่งการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอาจจะเป็นเรื่อง แต่ก็ดีกว่ารอไปอย่างเสียเวลาโดยไม่มีความแน่นอน ฉะนั้นการเดินทางค้นหาด้วยตัวเองอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
หลูมู่หยานอยากกลับบ้าน พลันก็คิดได้ว่าหากกลับไปตอนนี้จะต้องถูกถามเรื่องการต่อสู้เป็นแน่ บางทีอาจจะทำให้ท่านแม่ต้องเสียน้ำตา นางจึงตัดสินใจไม่กลับไปที่บ้านเพื่อรอให้หลูมู่ไป๋กลับมาก่อนจะตัดสินใจกลับทีหลัง
ณ สถานที่ที่นางอยู่ตอนนี้ค่อนข้างเงียบสงบ มีลานเล็ก ๆ ที่เป็นสถานที่ที่ทางจักรวรรดิจัดไว้ให้เป็นพิเศษแยกออกไป เพื่อใช้เป็นสถานที่พำนักของผู้ที่มีบุญ สถานที่แห่งนี้มีสัญลักษณ์ระบุตัวตนเอาไว้ชัดเจน แปลว่าเงินก็ไม่สามารถช่วยได้ ฉะนั้นหลูมู่หยานผู้ที่มีพลังต่ำจะสามารถอยู่ในลานอื่น ๆ ได้ และยังสามารถกระตุ้นความริษยาของทั้งกู่ยันรัน และเซงรูได้อีกด้วย
หลังจากที่หลูมู่หยานเริ่มสำรวจชานอื่น ๆ แล้ว นางล้มตัวลงนอนและผล็อยหลับไปจากความเหนื่อยล้า ร่างกายของนางยังต้องทำอะไรอีกมาก ทำให้นางต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อที่จะต้องเก็บแรงเดินทางไปยังสมาคมทหารรับจ้างในวันรุ่งขึ้น
หลูมู่หยานเดินไปยังถนนอันแสนพลุกพล่านที่สุดของจักรวรรดิ เพื่อเดินทางไปยังสมาคมทหารรับจ้างของอณาจักรกวางโจวที่ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสมาคมทหารรับจ้างตั้งอยู่ทุกที่ของทวีป ซึ่งการจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงจ่ายแค่สิบเหรียญเพื่อลงทะเบียน และรับเหรียญตราประทับการเป็นทหารรับจ้างระดับต่ำได้หากต้องการสร้างทีม สิ่งแรกที่จะต้องมีนั่นก็คือเหรียญทอง ถัดมาอย่างน้อย ๆ ผู้นำจะต้องมีพื้นฐานการฝึกเป็นนักดาบที่ยิ่งใหญ่ และในแต่ละทีมที่ถูกจัดตั้งจะได้รับเหรียญตราประจำทีมระดับต่ำสุด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นทีมสุดท้ายปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นก็จะได้รับการยกระดับเหรียญตราทั้งบุคคลและทีมตลอดเส้นทางจะเห็นได้ว่ามีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงเรียงรายขายของอยู่ริมถนน และในแต่ละร้านก็จะมีพนักงานคอยวิ่งวุ่นให้บริการลูกค้า ทำให้ถนนเส้นนี้มีเสียงตะโกนหรือแม้กระทั่งเสียงสวดมนต์ทำให้ดูมีชีวิตชีวา สำหรับสินค้าที่ขายส่วนมากจะเน้นไปที่สิ่งของสำหรับทหารรับจ้าง หลูมู่หยานหันกลับมาด้วยความสนใจ แต่ของที่ขายส่วนใหญ่ไม่ใช่ของที่นางต้องการ นางจึงมองไปยังร้านขายเสื้อผ้า ซึ่งเหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็รีบกุลีกุจอเข้ามาบริกา
ในเวลานี้ชายชราและเย่เจียทั้งสามคนยังอยู่ในห้อง ชายที่มีอายุเท่ากันกับชายชรามองไปที่หลูมู่หยานด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ของเขาถึงเชื่อหญิงสาวที่มีทักษะการฝึกฝนต่ำเช่นนี้ หลังจากนั้น สายตาเย็นชาก็เริ่มปรากฏให้เห็น พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่าใบหน้าของหลูมู่หยานจะสะสวยเพียงใด แต่เขาจะไม่ปล่อยให้นางหยิบยื่นความหวังและตบท้ายด้วยการมอบความผิดดหวังให้พี่ชายของพวกเขาอีกครั้งหลูมู่หยานไม่ได้สนใจสายตาของผู้อื่น นางหยิบเข็มทองที่ถูกทำขึ้นพิเศษออกมา ก่อนจะฉีดไปตามร่องรอยพลังวิญญาณที่อยู่ภายในเสื้อโค้ชของชายชรา และเจาะจุดฝังเข็มหลายบริเวณบนร่างกายส่วนบนของชายชราผู้นั้นแม้ว่าร่างกายนี้จะไม่สามารถดูดซับพลังงานที่อยู่โดยรอบได้ แต่หลังจากที่นางดูดซับได้แล้วนั้น หลูมู่หยานก็ยังหาวิธีสะสมพลังงานเหล่านั้นให้เปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณให้คงอยู่ในร่างกาย และการใช้มันทำก็สร้างความเจ็บปวดได้อย่างสาหัสเลยทีเดียว หลูมู่หยานใช้พลังวิญญาณและเข็มทองในการรักษาชายชราผู้นั้น และเชื่อว่าในครั้งนี้เขาจะไม่เจ็บปวดมากเหมือนที่ผ่านมา และนางเองก็มั่นใจทักษะทางการแพทย์ของตนเองครึ่งชั่วโมงถัดมา ใบหน้าของหลูมู่หย
หลูมู่หยานเห็นว่าจวนจะได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว แต่บุรุษทั้งสองยังคงทำทีก่อกวนไม่เลิก นางมองไปที่ฉีอี้ซวนอย่างกระวนกระวายและเย็นชาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าทำลังทำอะไร?” “เจ้า หลูมู่หยาน ตระหนักไว้ก็ดีว่าเจ้าคือผู้หญิง ทุกวันนี้เจ้าทำตัวไม่เหมือนสตรีเลย” ฉีอี้ซวนไม่ได้คาดคิดว่าหลูมู่หยานจะใจร้อนและหยาบคายกับเขาขนาดนี้ นางที่เคยบอบบางและสง่างาม พลันความทรงจำก่อน ๆ ก็แล่นขึ้นให้หัวของเขา เด็กสาวที่น่ารักคนที่คอยวิ่งไล่ตามและเรียกเขาว่า “ท่านพี่ฉี” เมื่อยังวัยเยาว์ทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้เมื่อเห็นว่าฉีอี้ซวนเริ่มไม่ได้สติ หลูมู่หยานจึงกล่าวด้วยวาจาเหน็บแนมว่า “เจ้าเป็นใคร? ดูเหมือนสตรีหรือ? หรือมีอะไรหรือไม่?” นางเอ่ยก่อนจะเดินอ้อมไปทางอื่นและเดินจากไป โดยที่ไม่รอให้ฉีอี้ซวนตอบกลับแม้แต่ประโยคเดียว นัยน์ตาของฉีอี้ซวนแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยต่อหยุนจินผู้ซึ่งกำลังประหลาดใจยืนอยู่กับที่ และมองผู้มี่สวมใส่ชุดสีม่วงจากไปช้า ๆ หลูมู่หยานเอ่ยเอ็ดฉีอี้ซวนเงียบ ๆ ระหว่างที่กำลังเดิน ชายคนนี้พูดจาและทำเหมือนกับนางเป็นเพียงแค่อาหาร ความรู้สึกของหลูมู่หยานที่มีต่อฉีอี้ซวนค่อนข้างซับซ้อนและเต็มไปด
เช้าวันรุ่งขึ้น หลูมู่หยานเดินทางไปที่สมาคมทหารรับจ้างก่อนเวลาเปิด ในเวลานั้นเย่ชิงหานและคนอื่น ๆ มาถึงกันแล้ว“วันนี้แม่นางหลูตรงเวลาดีนะ” เย่ชิงหานเอ่ย พร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ขณะมองไปที่หญิงสาวชุดสีม่วงที่เพิ่งมาถึงหลูมู่หยานเดินเข้ามา ยักไหล่และเอ่ยว่า “ข้าเกรงว่าท่านจะไม่รอ หากข้าสาย”“เจ้าคือหมอของเรา แม้ว่าเจ้าจะไม่รอคนอื่น แต่คนอื่นก็ยังรอเจ้าอยู่ดี” เย่ชิงหาน ยิ้มทั้งสองคุยกันอีกสองสามคำ ตอนนี้ทีมก็พร้อมเดินทางแล้ว พวกเขาขี่มอนสเตอร์ระดับหนึ่งบนหลังม้า เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทางเย่ชิงหานและพรรคพวกของเขามีทั้งหมดหกคน ยกเว้นเย่ชิงหาน ส่วนหลูมู่หยานรู้จักเพียงลู่เหล่าเท่านั้น เขายังคงติดตามหญิงสาวรูปงามและชายหนุ่มสามคน รวมไปถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่ดูเหมือนทหารรับจ้างทวีปที่หลูมู่หยานอยู่เรียกว่า ‘เทียนหลิง’ ประกอบไปด้วยสี่แคว้นทางตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และแคว้นเล็ก ๆ อีกนับไม่ถ้วน โดยในแต่ละแคว้นก็จะมีประเทศน้อยใหญ่ตั้งอยู่ในนั้น ซึ่งโจวเหยียนนับเป็นอีกประเทศที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดในแถบภาคตะวันออก และหนึ่งในสิบสถานที่ที่อันตรายที่สุดของเทียนหลิงอยู่ในอณาเขตของโจ
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเชิงเขา เทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ มีหนามล้อมรอบเป็นวงกลมตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า หากจะเข้าไปด้านในต้องทิ้งม้าเอาไว้ด้านนอก และใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น “ม้าวายุมาได้เพียงเท่านี้ เราต้องเดินเท้าเข้าไป” เย่ชิงหานหันหลังลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าที่สง่างามพร้อมกับหน้ารับ ก่อนทำแบบเดียวกัน ไม่นานเย่ชิงหานก็เป่านกหวีดทำให้ม้าทั้งเจ็ดอันตรธานหายไป “ม้าวายุเหล่านี้ค่อนข้างมีจิตวิญญาณ พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของท่านหรือ?” หลูมู่หยานไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเหล่าสัตว์วิญญาณในทวีปนี้มากนัก นางรู้แค่เพียงขั้นพื้นฐานที่ได้จากห้องเรียนสัตว์ชั้นสูงเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่เข้ากับสัตว์ทุกตัวบนโลก เย่ชิงหานอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สัตว์ประหลาดระดับที่หนึ่ง ไม่มีค่าของสัตว์เลี้ยงวิญญาณ อาจารย์ด้านอสูรวิญญาณของพวกเรามองไปที่ระดับพลังวิญญาณ และทำข้อตกลงกับสัตว์วิญญาณ”“เช่น ผู้รับใช้วิญญาณสามารถทำข้อตกลงกับสัตว์เลี้ยงวิญญาณได้หนึ่งตัว แต่การทำข้อตกลงสามารถทำสูงสุดได้เพียงสิบตัวเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ด้านอสูรจะไม่ทำข้อตกลงกับกับสัตว์อสูรเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียโควต
กลุ่มคนที่กำลังเดินไปตามทางไม่พบปีศาจทั้งระดับสูงหรือต่ำ แต่ก็ต้องหลบเลี่ยงไปก่อนเพราะคำเตือนจากเย่ชิงหาน อีกครึ่งวันต่อมา พวกเขาทั้งหมดรีบไปยังบริเวณด้านนอกของเทือกเขาแห่งเพลิงอัคคี ณ บริเวณนั้นมีป่าหนาทึบอยู่ด้านหน้า และหลังจากที่เดินไปได้สักพัก พลันหูก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล ทำให้เย่ชิงหานและอีกหลายคนตื่นตัว“นายน้อย เราจะไปที่นั่นกันไหม” ลู่เหล่าทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า และเอ่ยถามเย่ชิงหานอย่างระมัดระวังดวงตาของเย่ชิงหานเต็มไปด้วยความสุขุมและลึกล้ำ เขาเริ่มทำสมาธิข่มจิตให้นิ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ไป ไปดู” ภายหลังคำพูดของนายน้อย ทัพก็เริ่มเคลื่อนตัว เพื่อเร่งไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ เมื่อพ้นช่วงที่เป็นป่าทึบก็จะเริ่มเป็นลานโล่ง ณ เวลานี้ชายสามคนถูกล้อมรอบไปด้วยปีศาจขนปุยระดับที่สองและสาม โดยมีชายสองคนนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น หนึ่งในนั้นเริ่มหายใจโรยริน ดูแล้วน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส “พวกข้ากำลังเจอปัญหาช่วยข้าที พวกข้าจะขอบคุณมาก” ชายคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ตะโกนขอความช่วยเหลือทันที เมื่อเห็นเย่ชิงหานและทัพของเขา“พวกเจ้าจัดการซะ” เย่ชิงหานเอ่ย เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้
หลังจากที่หลูมู่หยานเอ่ยกับเย่ชิงหานเสร็จสิ้น นางใช้ชุนบุเพื่อมุ่งหน้าไปทางที่ราชาปีศาจหมูขนแดงซังเถาเปรียบเสมือนแบบเรียนที่ต้องทดลองทำด้วยตนเอง ซึ่งนางเคยได้รับมันแล้วในโลกของการบ่มเพาะที่เป็นอมตะ หลังจากฝึกแล้วร่างกายจะรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนและโปร่งใสราวกับสายลม รวมไปถึงมีความยืดหยุ่นและมีความเร็วมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหนี หรือเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างการต่อสู้ กล่าวคือมันจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยชีวิตได้ณ เวลานี้ หมูขนแดงเหมาซิที่กำลังนอนอยู่บนโขดหิน สังเกตเห็นเงาสีม่วงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พลันดวงตาของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง และมันก็เริ่มปล่อยลมร้อนระอุออกมาผ่านจมูก พร้อมกับยืนขึ้นเตะก้อนหินขนาดใหญ่ให้พุ่งโจมตีหลูมู่หยานทันที เมื่อเห็นว่าราชาหมูขนแดงกำลังเข้ามาใกล้ หลูมู่หยานเริ่มแสดงความเจ้าเล่ห์ผ่านดวงตา นางยื่นมือข้างซ้ายออกไปพร้อมกับโบกมือไหว ๆ ทำให้ลูกบอลกระดาษกระแทกเข้าที่งวงของมันทันที ทันใดนั้นลูกบอลกระดาษก็แตกเป็นแป้งขาว กระจายไปตามขนและเข้าไปในรูจมูกของมันทันใดนั้นเอง ตัวราชาปีศาจหมูขนแดงเริ่มแข็งทื่อ ก่อนจะล้มลงชักอยู่ที่พื้น ริมฝีปากของหลูมู่หยานยิ้มเ
ถ้ำของสัตว์แห่งเพลิงซ่อนอยู่ที่ภูเขาที่มอดดับแล้วในเทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีที่อยู่ในส่วนที่ลึกและห่างไกลภูเขาไฟแห่งนั้นล้อมรอบด้วยพื้นที่รกร้าง ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิต ส่วนนี้พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นของสัตว์ร้ายแห่งเพลิง แม้แต่ปีศาจชนิดอื่นก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป หากไม่ได้รับอนุญาตณ บริเวณนี้คือสถานที่ที่ซ่อนตัวของสัตว์ร้ายแห่งเพลิง หลายคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แผ่กระจาย บ่งบอกได้ถึงการเป็นปีศาจระดับที่ห้าได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของเย่ชิงหานแสดงความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นภาพที่หาดูไม่ง่าย เขาบอกกับผู้ร่วมทัพว่า “ข้ากับลู่เหล่าจะจัดการมันก่อน แล้วพวกที่เหลือค่อยตามมาสมทบ หากมีใครได้รับบาดเจ็บ มู่หยานจะเป็นคนทำแผลให้” “ขอรับนายน้อย”“ดี!”“มู่หยาน เจ้ายังมีผงยาที่ใช้กำจัดปีศาจหมูขนแดงอยู่หรือไม่?” เย่ชิงหานมองไปยังหลูมู่หยานอย่างมีความหวังหลูมู่หยานหยิบถุงกระดาษเล็ก ๆ ออกมาและยื่นสิ่งนั้นให้กับเย่ชิงหาน “ยานี้สามารถทำให้ปีศาจระกับสี่หยุดได้ประมาณแปดหรือเก้าลมหายใจ ทว่าสำหรับปีศาจระดับที่ห้า อาจทำได้เพียงลมหายใจเดียวเท่านั้น” “ไม่เป็นไรหากต้องใช้ถึงสามค
หมิงซิ่วไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ลอบมองเขา หากแต่ดวงตาฟีนิกซ์ที่ยาวเรียวภายใต้หน้ากากทำให้หลูมู่หยานมองลึกลงไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็หายวับอย่างรวดเร็วจนคนอื่นไม่สามารถสังเกตได้ทัน เขาหยุดพูด ก่อนจะหายตัวไปเหล่าเย่ที่รอให้หมิงซิ่วจากไป ค่อย ๆ เดินมาหาหลูมู่หยานด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” “ขอบคุณท่านเหล่าเย่ที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร” หลูมู่หยานยิ้มตอบ พร้อมกับส่ายหัวไปมา หลูมู่หยานรู้สึกถึงแรงสั่นที่มาจากอสูรน้อยในมือของนางที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของนางกลับนิ่งเรียบ ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าเย่ทั้งที่ยังยิ้มว่า “เหล่าเย่ ข้าคงต้องไปก่อน ข้ามีอะไรต้องทำต่อ” “ตกลง เจ้าทำเถิด” เหล่าเย่สังเกตเห็นอสูรร้ายตัวเล็กในมือของนางอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เขาจึงค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาด้วยความเสียดาย หลูมู่หยานพยักหน้า จากนั้นจึงหยิบนกหวีดที่คล้องคอไว้ขึ้นเป่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ม้าอาชาตัวสีขาวสว่างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคน นางกล่าวลาหยุนหลัน และคนอื่น ๆ ก่อนจะขึ้นไปที่หลังม้าพร้อมกับอสูรกลืนกินวิญญาณ และออกจากหอการค้าหมิงเหมิงเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ใบหน้
ทันใดนั้นก็มีพลังที่นุ่มนวลจำนวนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ห่อหุ้มไปด้วยก้อนกรวดที่ถูกรัศมีดาบของชายชราในชุดดำบดขยี้ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งทีละชิ้น แค่เพียงครู่เดียวรอยแตกที่พื้นบลูสโตนใต้ดินก็เริ่มสมาน และกลับคืนสู่สภาพเดิม“แม่นาง เจ้าเป็นหนี้บุญคุณต่อเทพอีกแล้ว” เสียงของบุรุษที่ฟังแล้วเหมือนจะมีความเป็นผู้ใหญ่ดังแว่วผ่านโสตประสาทของหลูมู่หยานราวกับสายลม ความเฉยเมยระหว่างคิ้วและดวงตาของหลูมู่หยานเริ่มถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วมือนั้นเป็นฝ่ามือของบุรุษผู้มากไปด้วยเสน่ห์ … หมิงซิ่ว! เมื่อมองไปยังฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง นางรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นคลื่นของการทำสมาธิ และความรู้สึกไว้วางใจก็เกิดขึ้นในใจของนางอย่างอธิบายไม่ได้ หลูมู่หยานหันกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้กล้าหาญรูปร่างสูงโปร่ง และสวมหน้ากากสีเงินที่กำลังเดินเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวเอง ชุดสีแดงของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม และพลังที่แผ่กระจายออกมารอบตัวของเขาก็เผยให้เห็นโดยธรรมชาติ และเมื่อเทียบกับบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนอื่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันของเขา เหมือนกับหิ่งห้อยที่ไม่สามารถเทียบกับเฮาเยว่ได้
ชายชราชุดดำก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะยกฮั่วหยุนเตียวจากพื้นด้วยมือของเขา พร้อมกับแสยะรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา เขายังคงท่องคาถายอมจำนนอสูรร้ายอย่างเงียบ ๆ ในปากและหลังจากท่องเสร็จเขาก็ใช้ดาบลมของหยุนลี่กรีดไปที่นิ้วชี้ และหยดเลือดสีแดงลงที่ขนของเสี่ยวซูหลูมู่หยานคลี่ยิ้มเบา ๆ กอดอก พร้อมกับมองไปที่ชายชราที่กำลังทำการแสดงด้วยท่าทีเย้ยหยันชายชราผู้นี้ยังคงต้องการที่จะปราบอสูรร้ายกลืนกินวิญญาณด้วยวิธีนี้ ช่างเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อเสียจริงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็พบว่าเลือดที่เขาหยดไปนั้น ไม่สามารถเข้ากับร่างกายของอสูรกลืนกินวิญญาณได้ เขาตกใจ และสายตาของเขาก็เริ่มนิ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องรางสีแดงออกมาจากแหวนจักรวาล โดยที่ปากยังคงพึมพำท่องคาถาอย่างเงียบ ๆ และแตะเครื่องรางสีแดงด้วยมือของเขา ก่อนที่มันจะตกใส่ร่างของอสูรร้ายจากนั้นชายชราก็ได้สร้างผนึกที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งขึ้นในอากาศ พร้อมกับบังคับให้เข้าสู่ก้องสำนึกของสัตว์ร้าย จากนั้นก็ได้หยดเลือดลงบนหน้าผากของมันอีกสองสามหยด ดวงตาของมันประกายแสงราวกับมีดาวนับล้าน และนี่คือสัญญาณนักฆ่าในฐานะปรมจารย์อสูรวิญญาณ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะยังสามารถจั
หลังจากที่หลูมู่หยานเสร็จสิ้นกับการพูดคุยกับเหล่าเย่ นางก็รีบไปพบหยุนหลันทันที และเมื่อนางออกจากประตูของหอการค้า นางสังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำ และชายชราในชุดสีดำผอมแห้งหยุดอยู่ตรงหน้าหยุนหลัน ก่อนที่นางจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าสองคนนี้เป็นใคร?“มู่หยาน ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์นายพล” หยุนหลันพูด ก่อนจะเดินมาหาหลูมู่หยานที่ยืนอยู่ย้อนหลับไปเมื่อครู่ ราชาแห่งเจิ้นซีได้เอ่ยถามพวกเขาถึงผู้ที่ครอบครองฮั่วหยุนเตียว พวกเขาจึงพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อเก็บมันไว้เป็นความลับ ทว่ากู่ยันรันกลับพูดออกไปเสียหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงต้องไปส่งหลูมู่หยานที่คฤหาสน์นายพล“ตกลง” หลูมู่หยานยิ้ม และพยักหน้าแม้ว่าหลูมู่หยานจะตกลงออกไปแบบนั้น แต่นางสัมผัสได้ว่าการที่นางจะเดินทางกลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ “ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยเล่า” หวังเจิ้นซีเอ่ย ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดหยุนหลันเอาไว้ เขาจะปล่อยให้คน ๆ นั้นออกไปได้อย่างไรหวังเจิ้นซีมองไปยังหลูมู่หยานที่สวมใส่ชุดสีม่วง ผมยาวม้วนขึ้นเป็นมวยแบบธรรมชาติ ดวงตานิ่งเรียบ ประกอบกับใบหน้าที่สวยงามน่าเย้ายวนแม้ว่าอายุยังน้อยหลูมู่ห
ราคาของการประมูลของซีซุยตันทำให้คนที่อยู่ในห้องประมูลส่วนตัวหมายเลขเก้าต้องตกใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจับจ้องไปทางหลูมู่หยานแทบจะเป็นสายตาเดียว เพราะตอนนี้นางจะกลายเป็นสตรีผู้ร่ำรวย ต่อให้พวกเขากลับบ้านไปได้ช่วงหนึ่ง ก็ไม่สามารถหาเหรียญทองคำจำนวนมหาศาลนี้ได้หยุนจินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ดูเหมือนจะทำกำไรถึงสามร้อยล้านเหรียญทองเลยนะ” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของหยุนจิน หยุนหลัวก็อดมองว่าเขางี่เง่าไม่ได้ เขาอิจฉาที่ลูกพี่ลูกน้องเขาผู้นี้ได้ยามูลค่าสามร้อยล้านเหรียญไปครอบครอง เสี่ยวเซียงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองหยุนจินด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะเขาเองก็อยากจะได้ยาเม็ดไขกระดูกเหมือนกันหลังจากการประมูลซีซุยตันในวันนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้อาณาจักรแห่งอัคคี และประเทศอื่น ๆ ในทวีปวิญญาณสวรรค์ เพราะการจะได้มาซึ่งยาเม็ดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากดวงตาของกู่ยันรันเต็มไปด้วยเจตนาปองร้ายและอาฆาตแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงเปลี่ยนไปได้เพียงระยะเวลาแค่ไม่ถึงสามเดือน และนางก็ดีกว่าหลูมู่หยานทุกเรื่อง เว้นพื้นฐานครอบครัว แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับยาซีซุยนั่นนางเกลียด เกลียดหลูมู่หยานขณะ
หลังจากนั้นก็ยังคงมีการประมูลรายการสินค้าอีกหลายอย่างจากหอการค้าหมิงเหมิง ซึ่งซีซุยตันยังไม่ได้เข้าร่วมประมูลโดยตรงหลูมู่หยานยังได้เก็บภาพดอกไม้ลิงสีม่วงที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่งจีตัน รวมไปถึงการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งเครื่องมือจิตวิญญาณ ชุดเกราะวิญญาณ แต่นางไม่ได้ต้องการ เพราะรวม ๆ แล้วนางเองได้ประโยชน์มากมายจากการประมูลในครั้งนี้ ณ ห้องประมูลส่วนตัว แขกที่เข้าร่วมการประชุมมักจะเก็บภาพรายการประมูลที่พวกเขาชื่นชอบ ขณะที่เม็ดยาซีซุยไม่ได้รับความสนใจมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของมันที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรหลังจากที่รายการสินค้าทั้งหมดถูกประมูลแล้ว หนี่จุนก็ได้คลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “การประมูลต่อไปคือรายการสุดท้ายที่ค่อนข้างหนักเป็นพิเศษของหอการค้าหมิงเหมิง และเราก็เพิ่งได้รับเกียรติจากเหล่าเย่ ผู้รับผิดชอบการประมูลโจวกั๋วขึ้นมาเป็นประธาน” เมื่อจบคำพูดของหนี่จุน ผู้เข้าร่วมการประมูลที่อยู่ข้างล่างก็ต่างพากันส่งเสียงวุ่นวายรายการประมูลใดกันที่จะสามารถรบกวนเหล่าเย่ได้ เพราะเขาไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สะกัดระดับกลางอีกด้วย นั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่เข
ทั้งสองคนเป็นสมาชิกราชวงศ์ และพื้นฐานครอบครัวท่านแม่ของหยุนจินก็แข็งแกร่งมาก หากหลูมู่หยานให้ยาซีซุยแก่พวกเขา และบุคคลที่มีอำนาจระดับสูงของราชวงศ์ก็จะไม่ทำให้นางอับอายอย่างแน่นอน“เอาเถิด ท่านป้าก็รักข้าเหมือนลูกตัวเองมาตั้งข้ายังเด็ก เราเป็นญาติกันแค่ยาเม็ดเดียวอย่าให้มันรบกวนเลย” หลูมู่หยานเอ่ย พร้อมกับคลี่ยิ้มออกเล็กน้อยหยุนหลันแสดงความขอบคุณต่อลูกพี่ลูกน้องผ่านทางใบหน้า เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลูมู่หยาน ลูกพี่ลูกน้องที่พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับกลายเป็นคนที่ใจกว้างและกล้าเช่นนี้ นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านแม่ของเขาเห็นเป็นแน่“ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้ายินดี ยาซีซุยตันนี้สำคัญมากสำหรับข้า และข้าจะเขียนความรู้สึกนี้ลงไปในวงแหวน หากมู่หยานมีอะไรให้ข้าช่วยในอนาคต บอกข้าได้” หยุนหลันสัญญาด้วยรอยยิ้ม “ตกลง” หลูมู่หยานตอบกลับ“หลูมู่หยาน หยุนหลันเป็นญาติของเจ้า มันก็ชัดเจนที่เจ้าจะให้เขา แต่ทำไมเจ้าถึงให้มันแก่ข้า?” หยุนจินไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงต้องการให้ยาเม็ดนี้กับเขา เป็นเพราะเขาให้เหรียญสนับสนุนนางงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้“ครั้งที่แล้วที่ข้าได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้สีขาวดอกเล็ก ๆ นั่น ก
จากการยืนยันของเหล่าเย่ สายตาของผู้คนในห้องที่มองหลูมู่หยานก็เปลี่ยนไป แม้แต่คนที่ติดตามเหล่าเย่ก็มองมาที่ขวดยาสีขาวอย่างไม่วางตาเหล่าเย่ใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองไปที่หลูมู่หยานด้วยรอยยิ้ม และถามว่า “แม่นางหลู เจ้ากำลังกำหนดราคาสำหรับซีซุยตันหรือไม่?” “ข้าไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ข้าเชื่อว่าหอการค้าหมิงเหมิงจะช่วยให้ข้าขายได้ในราคาดี ฉะนั้นโปรดให้ท่านเหล่าเย่เรียกราคาเริ่มต้น” หลูมู่หยานแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนต่อหอการค้าหมิงเหมิง เหล่าเย่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ “ในกรณีนี้ ชายชราจะได้ตั้งราคาให้กับแม่นาง” “ปัญหาของเหล่าเย่คือเริ่มอายุมากขึ้น” หลูมู่หยานตอบกลับอย่างสุภาพ เหล่าเย่ยิ้มและพยักหน้า ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่คิดอยู่ในใจ “แม่นางหลู เจ้ายังมียาไขกระดูกนี้อีกหรือไม่?” เดิมทีเหล่าเย่เพียงแค่ต้องการถามถึงที่มาของซีซุยตัน ว่าหลูมู่หยานได้มาจากที่ใด ไม่ว่าเขาจะรู้จะจักนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งกาจแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงต่อต้าน เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุส่วนมากมักมีนิสัยแปลก ๆ และไม่ชอบให้ผู้อื่นถาม ฉะนั้นเขาจึงอยากที่จะผูกมิตรกับหลูมู่หยานให้ดีเสียก่อน คนอื่น ๆ ก็เริ่มมองมาที่หลูมู่หยาน
บนห้องแห่งความลับชั้นสามของหอการค้าหมิงเหมิง มีบุรุษชุดแดงสวมหน้ากากสีเงินนั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน และมีคนสองคนยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อคอยรายงานสถาณการณ์ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น บุรุษชุดแดงหยักหน้าให้หญิงสาวทรงเสน่ห์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินไปเปิดประตู “ผู้พิทักษ์หลาน” เจ้าของร้านหลู่ตะโกนออกมาด้วยความเคารพ และสตรีผู้นั้นก็เหลือบมองมาที่เขาขณะที่ยังยืนอยู่ข้างบุรุษผู้นั้น“องค์รัชทายาท!” เจ้าของร้านหลู่เดินเข้าไปที่ห้องลับ และก็พบว่าไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสสองคนเท่านั้นที่นั่งอยู่ แต่ยังมีองค์รัชทายาทอยู่ในห้องด้วย เจ้าของร้านหลู่จึงก้มลงเพื่อแสดงความเคารพ “อะไรจะเร่งด่วนปานนั้น” หมิงซิ่วเอ่ยอยากเฉื่อยชา“เมื่อครู่นี้แขกผู้มีเกียรติห้องประมูลส่วนตัวที่เก้า หยิบยาออกมาเพื่อให้ทางหอการค้าของเราทำการประมูล แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเราไม่เคยเห็นยาเม็ดนี้มาก่อน พวกเขาเลยตัดสินไปก่อนว่าเป็นเพียงยาระดับสองเท่านั้น” เจ้าของร้านหลู่นำขวดยาสีขาวออกมา “แขกผู้มีเกียรติผู้นั้นบอกว่ายาเม็ดนี้เรียกว่าซีซุยตัน แม้ว่ายาจะอยู่ในระดับที่สอง แต่ผลลัพธ์ของมันไม่น้อยกว่าระดับที่สาม”