ทันทีที่หญิงสาวก้าวเข้าสู่ประตูของสถาบันจักรพรรดิ นางก็ได้รับสายตาที่หลากหลายโดยพลัน ทั้งดูหมิ่น แสดงความน่าขยะแขยง อิจฉา และเยาะเย้ย
นางพรูถอนหายใจเบา ๆ ภายในจิต พลางคิดต่อไปว่า ‘นี่นางล้มเหลวขนาดไหน ถึงได้กลายเป็นศัตรูในสายตาของทุกคนเช่นนี้!’ นางพูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาของคนเหล่านั้น
ไม่มีความเป็นมิตรเลยจริง ๆ ให้ตายเถอะ
หญิงสาวเมินเฉยต่อสายตาไม่เป็นมิตรเหล่านั้นอย่างใจเย็น และเดินก้าวเท้าตรงไปยังห้องสมุดที่เปรียบเสมือนจุดหมายมุ่งในการเดินทางครั้งนี้
จากข้อมูลที่อยู่ในหัวสมองของนาง ห้องสมุดของสถาบันแห่งความทรงจำในจักรวรรดิก่อนหน้านี้ ส่วนมากจะรวบรวมหนังสือของทั้งจักรวรรดิเอาไว้อย่างครอบคลุมและเป็นระบบมากที่สุด รวมถึงยังมีหนังสือที่บันทึกสมุนไพรและวิญญาณต่าง ๆ ในทวีปเอาไว้อีกด้วย
ตอนนี้เองนางต้องการทราบว่าพื้นที่ในทวีปที่นางยืนอยู่ในขณะนี้มีสิ่งจำเป็นสำหรับการปรับแต่งเม็ดยาเพื่อชำระล้างไขกระดูกหรือไม่ เช่นพวก… หญ้าวิญญาณอะไรแบบนั้น
นางคือ ‘หลูมู่หยาน’ ผู้ฝึกฝนรากฐานจิตวิญญาณแห่งสวรรค์ของอาณาจักร ที่ต้องเผชิญหน้ากับสองวิญญาณที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และนางก็ดันโชคไม่ดีที่เข้าไปพัวพันกับคลื่นพายุการต่อสู้ในห้วงอากาศที่ไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วง ร่างกายถูกทำลาย ส่วนวิญญาณลอยล่องไปในท้องฟ้าอันแสนกว้างไกล
จนมาจบอยู่ที่ร่างหนึ่งร่างของผู้ที่ด้อยกว่านางในทวีปวิญญาณ…แห่งนี้
สำหรับหลูมู่หยาน ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรภพชาติที่แล้วหรือในทวีปแห่งนี้ นางต่างได้รับความเคารพจากความแข็งแกร่งทั้งสิ้น ทว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันกาลของหลูมู่หยานดูท่าทางเหลาะแหละ ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ผ่านการฝึกฝนด้านพละกำลังมานั้นสามารถเหยียบย่ำนางจนตายได้
นางจึงมีความต้องการที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นถ้าต้องการฝึกฝนอีกครั้ง หลูมู่หยานจะต้องทำการเปิดเส้นลมปราณของของร่างกายนี้ทั้งหมด มิฉะนั้นนางจะไม่สามารถดูดซับจิตวิญญาณของโลกหรือสรวงสรรค์ได้ และสิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหานั้นได้นั่นก็คือการปรับแต่งมวลไขกระดูกและพัฒนาการกำจัดร่างกายอันแสนอ่อนแอนี้
ผู้ทำลายคือผู้ที่ปิดกั้นเส้นเมอริเดียนทั่วร่างกายและไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ไม่ว่าพวกมันจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถดูดซับกลิ่นอายของสวรรค์และโลกได้ ทำได้มากสุดเพียงการบ่มเพาะเป็นดาบระดับสูงเท่านั้น
หลูมู่หยาน เดินไปจนสุดทางพลางได้ยินเสียงแว่วของคนข้างหลัง พร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวของนาง
หญิงสาวคนหนึ่งเห็นหลูมู่หยานเดินผ่านไป นางกระซิบกับเพื่อนของนางที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “นั่นหลูมู่หยานไม่ใช่เหรอ? ทำไมนางถึงกลับไปเรียนที่สถาบันอีกครั้งล่ะ”
“นางจะทำอะไรได้อีกนอกจากไล่ตามฉีอี้ซวนในชั้นเรียน เมื่อนางมาที่สถาบันจักรพรรดิ” หญิงอีกคนตอบกลับเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม
“น่าอึดอัดจริง ๆ ที่จะกลับมา ไร้ยางอายชะมัด” คำพูดจากหญิงสาวแสดงถึงความปรามาสหลูมู่หยานอย่างชัดเจน
“ถูกต้อง ฉีอี้ซวน ไม่เคยทำหน้าตาดี ๆ กับนางเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเอ่ยชื่อ ‘ฉีอี้ซวน’ จากความเดียจฉันท์กลับกลายเป็นความโหยหาเสียดื้อ ๆ
“การไล่ตามฉีอี้ซวนแบบไร้ยางอายของหลูมู่หยาน สักวันนางนั่นแหละที่จะเป็นคนทำให้ตระกูลหลูของนางอับอายไปด้วย”
“ใช่ แต่ก็นะ ทำไมหลังจากกูยานรานครั้งนั้นนางถึงไม่พิการล่ะ” หลังจากพูดจบ หญิงสาวอีกคนก็พูดเสริมขึ้นมาทันทีว่า “พัฟ! ข้าเกือบลืมไปแล้วนะ ว่านางเป็นขยะ”
“จุ๊ ๆ เงียบไว้ เดี๋ยวนางได้ยินก็จะพาลขนคนมาทุบตีผู้คนอีก ข้าจะบอกได้อย่างไรดีล่ะว่าพวกเขามีตัวตนแบบนั้น แล้วพวกขยะล่ะ? มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะจ่ายได้” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรตามแบบฉบับของนาง
หลูมู่หยานเหลือกตากลอกไปมา แต่ภารกิจในวันนี้ไม่ใช่การสนอกสนใจหรือโต้เถียงกับพวกหล่อน แต่เป็นการหาวิธีปรับปรุงหรือปรับแต่ง หรืออะไรก็ตามกับร่างปัจจุบันนี้ของนางต่างหากล่ะ
วันที่ร่างกายไร้ความแข็งแกร่งแบบที่ควรจะเป็นนั้นช่างน่าศร้าจริง ๆ และหลูมู่หยานเองไม่สามารถทำท่าทางไม่แยแสหรือไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนกับการโดนกลั่นแกล้งเหมือนบรรพบุรุษของนางได้
ความเป็นจริงแล้ว บรรพบุรุษของนางไม่ได้เป็นพวกเหลือทนอดกลั้นอะไรทั้งนั้น นางได้รับการสืบทอดความทรงจำและอารมณ์ทั้งหมดของบรรพบุรุษมา ในสายตาของนางนั้น บรรดาบรรพบุรุษมักตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก นางใช้วิธีงี่เง่าในการจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างกัน และถูกใครบางคนจงใจทำให้เสียหาย
ในความเป็นจริง…คนเราไม่ได้เลวเพราะชื่อเสียงเสมอไปหรอก
หลูมู่หยานรู้สึกเห็นอกเห็นใจบรรพบุรุษของนางเป็นอย่างมาก นางเกิดในครอบครัวที่คล้าย ๆ กับตระกูลหลูผู้อัจฉริยะ แต่นางก็ดันเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้หรือย่อท้อโดยกำเนิดเสียด้วยสิ
แม้ว่าพื้นหลังจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่มันก็ไม่สามารถเติมเต็มความเหงาและความไม่มั่นใจของตัวเองภายในใจของนางได้ ฉะนั้นนางจึงทำได้เพียงใช้ความเย่อหยิ่ง จองหอง โหดร้ายเพื่อปกปิดความสิ้นหวังและทิ้งการดิ้นรนเหล่านั้นเอาไว้ข้างหลัง เพื่อโลมเลียบาดแผลในใจอยู่เพียงผู้เดียว
ทว่าแผลนั้นมันเป็นบาดแผลที่ไม่อาจเลียด้วยความรักและจบลงด้วยความตายของวิญญาณที่สมัครใจตามเจตจำนง
ห้องสมุดตั้งอยู่ในป่าเมเปิลสีแดงที่อยู่ลึกเข้าไปในวิทยาลัย ภายในป่าเมเปิลสีแดงถูกก่อขึ้นเป็นรูปร่างตามธรรมชาติ มีเพียงการสวมใส่ตรานักศึกษาพิเศษของวิทยาลัยเท่านั้นที่จะทำให้ไม่หลงทางในป่าที่เต็มไปด้วยใบไม้สีแดงนี้
ใบเมเปิลขนาดใหญ่รูปทรงของมันคล้ายกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน แกว่งไกวไปตามแรงลม และดูเหมือนจะยิ่งสว่างขึ้นเมื่อเจอแสงแดด จนเกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงามในวิทยาลัยแห่งนี้
เมื่อมองไปยังสุดป่าเมเปิล ณ ที่แห่งนั้นปรากฏเป็นอาคารเก่าแก่ที่ทั้งดูลึกและยาวตั้งตระหง่านอยู่
จิตวิญญาณของหลูมู่หยานแล่นผ่านเข้ามาโดยพลัน แม้ว่าพื้นที่จะดูเป็นสถานที่ปิดและไม่ได้มีฐานที่ตั้งสำหรับฝึกจิตหรือสมาธิ แต่เพราะความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ จึงสามารถปลดปล่อยพลังแห่งจิตวิญญาณการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน แถมยังสามารถตรวจจับได้ว่าภายนอกอาคารนั้นมีพลังงานอยู่โดยรอบเพื่อปกป้องห้องสมุดแห่งนี้
ทว่าหลูมู่หยานยังค้นพบว่าในช่วงเวลาเดียวกันมีกลิ่นอายเข้มข้นของดวงวิญญาณซุกซ่อนอยู่ นั่นทำให้นางมีความคิดที่อยากจะเข้ามาเป็นผู้ดูแลที่ห้องสมุดแห่งนี้
ประตูของศาลากังชูเปิดให้เข้าได้ตลอดทั้งปี นางยื่นป้ายนักเรียนให้กับผู้ดูแลทันทีเมื่อเท้าก้าวผ่านประตูเข้ามา หลังจากลงทะเบียนใช้ห้องสมุดตามกระบวนการเสร็จสิ้น นางจึงเดินเข้าไปในห้องด้านในและเดินตามป้ายเพื่อค้นหาสำเนาของ ‘บันทึกพืชภาคพื้นทวีปเทียนหลิง’
หลูมู่หยานหยิบสำเนานั่นออกมาและพลิกดูราว ๆ สองสามหน้า จากการกวาดสายตาดูแล้ว บันทึกเล่มนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ภาพประกอบเท่านั้น แต่ยังมีการบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดอีกด้วย ใบหน้าของนางแสดงรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อนางได้เจอของที่กำลังตามหา
…จากนั้นนางจึงเดินไปบริเวณที่นั่งว่างริมขอบหน้าต่างและเริ่มอ่านบันทึกนั้นทันที
ใบของดอกบัวสีแดง ผลน้ำลายงู ผลเพลิง และหญ้ารวมวิญญาณที่ต้องใช้ในยาซีซุยซึ่งก็มีชื่อแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย
หลูมู่หยานขมวดคิ้วเล็กน้อย ตามความทรงจำของเธอ การหาหญ้ารวมวิญญาณไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถหาได้ตั้งแต่ร้านขายยาธรรมดาไปจนถึงร้านขายยาที่ดูหรูหรามีระดับ แต่ที่ยากมันคือผลเพลิงต่างหาก เพราะมันไม่ค่อยมีให้เห็นในตลาด ถ้าต้องการก็จะต้องเข้าไปในเปลวเพลิง ซึ่งสามารถพบมันได้ที่เทือกเขาไฟโลกันต์ ชายแดนของเมืองโจว
หลูมู่หยานพลิกหนังสือดูภาพประกอบพันธุ์พืชเล่มอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว พร้อมบันทึกข้อมูลของหนังสือให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ใช้มันในภายหลัง...
หลังจากที่ ‘ฉีอี้ซวน’ รับเหรียญรางวัลเสร็จแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้องสมุดเพื่อหาหนังสือเสริมที่เขาต้องการ แต่เมื่อฉีอี้ซวนกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบน ‘หยูกวง’ ก็สังเกตเห็นหญิงสาวที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ทางด้านข้างขอบหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ
เด็กสาวสวมใส่ชุดสีม่วงดูเรียบง่ายและสง่างาม ผสมกับผ้าไหมสีเขียวสามพันเส้นถูกผูกด้วยริบบิ้นสีดำ แม้ใบหน้าเล็ก ๆ จะไร้ซึ่งการประทินผิวด้วยผงแป้ง แต่ก็ยังดูสวยงาม รวมไปถึงองค์ประกอบทั้งหมดบนใบหน้า และเรียวคิ้วที่แม้จะย่นเล็กน้อยแต่ก็ส่งให้เครื่องหน้าของเจ้าหล่อนยังคงไว้ด้วยความสวยงามอยู่ดี
แสงแดดอบอุ่นส่องเข้ามายังบริเวณด้านหลังของเด็กสาว เผยให้เห็นความอบอุ่นที่กระจายอยู่รอบกายภายใต้แสงอาทิตย์ เช่นเดียวกับอารมณ์ของนางที่ดูเหมือนเพิ่งได้รับการล้างบาป และถูกอนุญาตให้เข้าสู่ความสงบ สง่างาม และมีความสุข
เมื่อมองอย่างพิจารณาทำให้ฉีอี้ซวน สะดุ้งตกใจ พลางนึกขึ้นเงียบ ๆ ว่า ‘หญิงสาวที่เห็นคือหลูมู่หยานจริงหรือ?’ เพราะในความทรงจำของเขา หลูมู่หยานมักชอบแต่งกายหรูหรา แสดงมาดภูมิฐานเท่านั้น แต่นั่นเป็นเพียงแค่เสี้ยวความคิดที่เห็นผ่านดวงตาของฉีอี้ซวนก่อนที่เขาจะเปลี่ยนทิศทางไปยังชั้นที่สองแทน
หลังจากที่หลูมู่หยานได้อ่าน ‘หนังสือแห่งพืชทวีปวิญญาณสวรรค์’ ทั้งหมดแล้ว สายตาของนางยังเหลือบเห็นหนังสือบนชั้นหนังสือแนะนำทวีปแห่งสวรรค์ มือเรียวจึงพลิกดูทำให้พบกับ ‘หนังสือสัตว์ประหลาดและสัตว์ร้ายจากทวีปวิญญาณสวรรค์’ โดยบังเอิญ
นางอ่านหนังสือทุกเล่มด้วยความสนใจและบันทึกเนื้อหาทั้งหมดเอาไว้ พร้อมยืดตัวขึ้นนำหนังสือทั้งหมดที่อ่านกลับเข้าที่ และเดินออกจากห้องสมุดไปในที่สุด
เมื่อนึกถึงตำแหน่งที่พักในความทรงจำ หลูมู่หยานจึงรีบเดินออกจากป่าเมเปิลสีแดง แต่ในขณะที่นางกำลังจะเลี้ยวซ้ายเพื่อเดินไปต่อนั้น พลันก็ปรากฏเสียงยั่วยุอย่างรุนแรงดังขึ้นในหูของนาง
“โอ้ นี่ไม่ใช่คุณหลูหรอกหรือ ทำไมถึงวิ่งเร็วขนาดนี้เมื่อเห็นพวกเราล่ะยันรัน? หรือว่ากำลังกลัวที่จะพ่ายแพ่หรือเปล่า?”
หลูมู่หยานหันมองไปรอบ ๆ นางสังเกตเห็นชายสองคนและหญิงสองคนเดินออกมาจากอีกฟากของป่าเมเปิลสีแดง เมื่อลองมองจะเห็นว่าผู้หญิงที่กำลังพูดอยู่นั้นดูงดงาม โดยมีกระกระโปรงแดงตัวใหญ่ที่โอบหุ้มเรือนร่างอันร้อนแรงไว้ ด้วยใบหน้าที่แสดงความเป็นอิสตรี หากมองในแวบแรกก็คงจะดูเป็นหญิงไร้สมอง
ถัดจากนางปรากฏเป็นเด็กสาวหน้าตาสวยงาม ผิวขาวสว่าง ยิ่งมีรอยยิ้มเขิน ๆ แต่งแต้มบนใบหน้า และชุดสีเหลืองขนห่านก็ยิ่งทำให้นางดูอ่อนโยนและสง่างาม
หลูมู่หยานจำคนสองคนได้จากห้วงความคิด หญิงสาวที่อยู่ในชุดสีแดงคือ ‘เซงรู’ ลูกสาวของพ่อค้าในจักรวรรดิผู้มั่งคั่ง ส่วนหญิงสาวอีกหนึ่งคนคือ ‘กู่ยันรัน’ ที่เปรียบดังดอกไม้สีขาวดอกเล็ก ๆ ที่ทำร้ายนาง
ทว่าผู้ชายสองคนที่เดินกับผู้หญิงสองคนนั้นแลดูจะโดดเด่นกว่าหญิงสาวทั้งสอง คนหนึ่งมีใบหน้าเรียบเฉย เย็นชา รูปร่างสูงโปร่ง ประกอบกับการแต่งกายด้วยชุดสีดำที่ทำให้แสดงออกถึงเสน่ห์ของความเป็นชายผ่านความเย็นชาและเย่อหยิ่ง เขาคือ ‘ฉีอี้ซวน’…
ขณะที่อีกคนสวมชุดสีม่วงหรูหรา ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยดวงตาสีพีช มีเสน่ห์ตามแบบฉบับบุรุษเพศ และมีลักษณะไปทางโบฮีเมียน ซึ่งนั่นก็คือเจ้าชายห้าแห่งอาณาจักรหยานโจว
“อย่าพูดอย่างนั้นรูรู ข้าว่าวันนั้นมีบางอย่างผิดปกติ” กู่ยันรันดึงแขนเสื้อของเจิ้งลูเบา ๆ เสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยน
เซงรูมองอย่างโต้แย้งไม่ได้ ก่อนจะเปล่งวาจาออกมาอย่างดุเดือด “เจ้าใจดีเกินไปจะถูกคนอื่นรังแกเอาได้”
หลูมู่หยานเฝ้าดูนักแสดงทั้งสองอย่างเย็นชาและไม่ได้สนใจฉากดังกล่าวมากนัก นางเพียงเหลือบมองพวกเขาทั้งสี่ก่อนที่จะหันกลับมาและกำลังตัดสินใจจะเดินออกจากบริเวณนี้ไป
การเคลื่อนไหวของหลูมู่หยานทำให้ทั้งสี่คนดูประหลาดใจ โดยเฉพาะกู่ยันรัน หากเป็นไปตามสถานการณ์ที่ผ่านมาหลูมู่หยานคงจะพุ่งไปข้างหน้าอย่างแน่นอน และคงชี้ไปที่เซงรูพร้อมกับตะโกนใส่นางไปแล้ว ทำให้บรรยากาศดูเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งกว่านั้น เสื้อผ้าและอารมณ์ที่ถูกปลดเปลื้องทำให้ดูเหมือนจะเป็นคนละคน และจู่ ๆ ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นในใจของกู่ยัยรัน
“หลูมู่หยาน หยุดเดี๋ยวนี้!” เซงรูตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อหลูมู่หยานไม่ได้มีทีท่าจะสนใจคำพูดของนาง
ขณะเดียวกัน ฉีอี้ซวนไม่ได้คิดที่จะหยุดหลูมู่หยานแต่อย่างใด เขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดได้ว่าที่ห้องสมุดก่อนหน้านี้อารมณ์ของหลูมู่หยานดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน และนางก็หายตัวไปหลังจากที่เขาออกมา
หลังจากที่เขาออกจากห้องสมุด เขาได้พบกับพวก ‘หยุนจิน’ ทั้งสามคนและออกจากป่าเมเปิลสีแดงพร้อมกัน เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบหลูมู่หยานที่นี่อีก ซึ่งวันนี้หลูมู่หยานไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มเข้ามาพูดคุยกับเขาหลังจากที่ได้เจอกัน และนั่นก็ทำให้ฉีอี้ซวนอยากเห็นแล้วว่าหลูมู่หยานต้องการที่จะทำอะไรกันแน่
เสียงนี้ยังดึงดูดความสนใจของนักเรียนที่อยู่รอบ ๆ ที่หยุดการกระทำทุกอย่าง และหันมาสนใจกับการแสดงอันดีเยี่ยมฉากนี้
ดวงตาของหลูมู่หยานฉายแววเจตนาฆ่าอย่างชัดเจนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที พร้อมหันไปมองเซงรูอย่างเย็นชาเซงรูตกตะลึงกับสายตาคู่นั้นของหลูมู่หยาน พลางคิดว่าทำไมคนไร้ค่าอย่างนางถึงได้ทำท่าทางดูน่ากลัวได้ขนาดนั้น เซงรูตัดสินใจส่ายหัวไปมาพร้อมกับสูดหายใจและแอ่นหน้าอกใหญ่โตของนางแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “หลูมู่หยาน ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ เจ้ากล้าออกไปงั้นรึ”ทว่าแววเย็นของของหลูมู่หยานนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า ผู้หญิงคนนี้มักจะมีท่าทีเขินอายกับลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของของเซงรูอย่างฉีอี้ซวน เดิมทีร่างกายร่างนี้จะหลีกทางให้กับแค่ครอบครัวของตระกูลฉีเท่านั้น แต่นั่นก็มันทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นพวกไร้สมอง หยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อย ๆ…“เจ้าจะทำอะไร? ข้าจะอยู่ถ้าข้าอยากอยู่ และจะไปก็ต่อเมื่อต้องการไป ข้ายังต้องถามความเห็นของเจ้าอีกไหม” หลูมู่หยาน กล่าวด้วยความรังเกียจที่แสดงออกผ่านทางสายตาไม่ใช่ว่านางดูถูกพ่อค้าหรืออย่างไร แต่สถานะโดยรวมของพ่อค้าในหยานโจวไม่สูงมากนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะพี่สาวของกู่ยันรันเข้าวังในฐานะนางสนมผู้สูงศักดิ์ ทำให้สถานะของพ่อค้าเริ่มดีขึ้น แน่นอนว่านางคิดว่ามั
“อะไรที่ฟังมาจากฉีอี้ซวนเพื่อมาบอกให้ข้าหยุด แต่ข้าก็ไม่หยุดล่ะ? ทุกคนคิดว่าวันนี้ข้าจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าได้อย่างไรกัน? ข้าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเหรอ? ข้าไม่ใช่คนในตระกูลฉีที่ไม่สามารถเฉิดฉายอย่างนางบำเรออะไรนั่น” หลูมู่หยานหัวเราะอย่างแผ่วเบา และถามต่อไปด้วยคำพูดที่เหยียดหยาม นางต้องการพูดคุยเพื่อให้ทุกอย่างมันจบสิ้นเสียที นางไม่ใช่คนเดิมที่จะมาใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาอีกต่อไปแล้ว“เจ้า” ใบหน้าของกู่ยันรันเปลี่ยนเป็นสีขาว นางเกลียดการนิยามตัวตนในระดับนี้ที่สุด นั่นจึงทำให้นางหวังที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งในสถาบันฝึกจักรพรรดิเพื่อกำจัดตัวตนออกไปเสียทีนอกจากนี้ นางต้องการที่จะเป็นภรรยาจริง ๆ ของฉีอี้ซวน ไม่ใช่เพียงแค่นางสนมที่ดื้อรั้น หลูมู่หยานเก่งจริง ๆ เก่งมากที่สามารถกระตุ้นความโกรธของนางได้สำเร็จ“อะไรของเจ้า? ไม่มีอะไรจะพูด? คิดว่าข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ ว่าไอ้สถาบันนางบำเรออะไรนั่นตั้งขึ้นโดยตระกูลฉีและมันกำลังจะเป็นสถาบันจักรพรรดิ? ตระกูลฉีนี่ดูผ่อนคลายจริง ๆ และพวกเขาก็ไม่ได้กลัวที่จะถูกสวมเขา” หลูมู่หยานแค่ต้องการกวนอารมณ์ของกู่ยันรันเมื่อกู่ยันรันได้ยินหลูมู่หยานพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ ใ
หลังจากที่หลูมู่ไป๋และหลูมู่หยานจากไป ทั้งฉีอี้ซวนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มทะยอยออกจากบริเวณนี้เช่นกัน จะเหลือก็แต่เพียงคนบางกลุ่มที่ยังคงจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่เดิม ผู้หญิงหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับหลูมู่หยานยังคงรวมตัวกันอยู่ คนที่แต่งกายและมีภาพลักษณ์ธรรมดาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “หลูมู่หยานบ้าไปแล้วหรือ? ถึงยังอยากจะมีเรื่องกับกู่ยันรัน หรืออยากจะทะเลาะกันเพราะฉีอี้ซวน อีกครั้ง?” “ใช่ ถ้าต้องการสู้กับกู่ยันรันจริง ๆ แล้วหากจะเทียบ ตอนนี้หลูมู่หยานก็ยังเป็นนักดาบฝึกหัด แค่นักดาบรุ่นเยาว์ ข้าได้ยินมาว่ายังมีวัตถุดิบสำหรับปรุงยาอย่างดีอยู่อีกมาก ใช่ นางยังกล้าที่จะคิดนัดแข่งต่อสู้อีก รอวันตายหรือยังไง?” หญิงที่ดูท่าทีจองหองเอ่ยขึ้น หญิงอีกคนลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ถ้าพูดถึงตัวตนข้าคิดว่าอยู่สูงกว่า กู่ยันรันผู้ที่ทำให้พี่สาวเป็นราชินี มีปู่เป็นทหารชั้นสูงในราชสำนักและมีบิดาที่ผ่านสงครามจักรวรรดิ” “แม้ว่าครอบครัวของกู่ยันรันจะเป็นพ่อค้า แต่น้องสาวของนางมักจะเป็นที่โปรดปรานของคนในราชสำนัก และนางยังได้รับเลือกให้เป็นขุนนางเพียงแค่สองปีหลังจากที่เข้าวัง แล้วก็ครอบครัวของนางเป
หลูมู่หยานเดินไปยังถนนอันแสนพลุกพล่านที่สุดของจักรวรรดิ เพื่อเดินทางไปยังสมาคมทหารรับจ้างของอณาจักรกวางโจวที่ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสมาคมทหารรับจ้างตั้งอยู่ทุกที่ของทวีป ซึ่งการจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงจ่ายแค่สิบเหรียญเพื่อลงทะเบียน และรับเหรียญตราประทับการเป็นทหารรับจ้างระดับต่ำได้หากต้องการสร้างทีม สิ่งแรกที่จะต้องมีนั่นก็คือเหรียญทอง ถัดมาอย่างน้อย ๆ ผู้นำจะต้องมีพื้นฐานการฝึกเป็นนักดาบที่ยิ่งใหญ่ และในแต่ละทีมที่ถูกจัดตั้งจะได้รับเหรียญตราประจำทีมระดับต่ำสุด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นทีมสุดท้ายปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นก็จะได้รับการยกระดับเหรียญตราทั้งบุคคลและทีมตลอดเส้นทางจะเห็นได้ว่ามีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงเรียงรายขายของอยู่ริมถนน และในแต่ละร้านก็จะมีพนักงานคอยวิ่งวุ่นให้บริการลูกค้า ทำให้ถนนเส้นนี้มีเสียงตะโกนหรือแม้กระทั่งเสียงสวดมนต์ทำให้ดูมีชีวิตชีวา สำหรับสินค้าที่ขายส่วนมากจะเน้นไปที่สิ่งของสำหรับทหารรับจ้าง หลูมู่หยานหันกลับมาด้วยความสนใจ แต่ของที่ขายส่วนใหญ่ไม่ใช่ของที่นางต้องการ นางจึงมองไปยังร้านขายเสื้อผ้า ซึ่งเหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็รีบกุลีกุจอเข้ามาบริกา
ในเวลานี้ชายชราและเย่เจียทั้งสามคนยังอยู่ในห้อง ชายที่มีอายุเท่ากันกับชายชรามองไปที่หลูมู่หยานด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่ของเขาถึงเชื่อหญิงสาวที่มีทักษะการฝึกฝนต่ำเช่นนี้ หลังจากนั้น สายตาเย็นชาก็เริ่มปรากฏให้เห็น พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้สนใจว่าใบหน้าของหลูมู่หยานจะสะสวยเพียงใด แต่เขาจะไม่ปล่อยให้นางหยิบยื่นความหวังและตบท้ายด้วยการมอบความผิดดหวังให้พี่ชายของพวกเขาอีกครั้งหลูมู่หยานไม่ได้สนใจสายตาของผู้อื่น นางหยิบเข็มทองที่ถูกทำขึ้นพิเศษออกมา ก่อนจะฉีดไปตามร่องรอยพลังวิญญาณที่อยู่ภายในเสื้อโค้ชของชายชรา และเจาะจุดฝังเข็มหลายบริเวณบนร่างกายส่วนบนของชายชราผู้นั้นแม้ว่าร่างกายนี้จะไม่สามารถดูดซับพลังงานที่อยู่โดยรอบได้ แต่หลังจากที่นางดูดซับได้แล้วนั้น หลูมู่หยานก็ยังหาวิธีสะสมพลังงานเหล่านั้นให้เปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณให้คงอยู่ในร่างกาย และการใช้มันทำก็สร้างความเจ็บปวดได้อย่างสาหัสเลยทีเดียว หลูมู่หยานใช้พลังวิญญาณและเข็มทองในการรักษาชายชราผู้นั้น และเชื่อว่าในครั้งนี้เขาจะไม่เจ็บปวดมากเหมือนที่ผ่านมา และนางเองก็มั่นใจทักษะทางการแพทย์ของตนเองครึ่งชั่วโมงถัดมา ใบหน้าของหลูมู่หย
หลูมู่หยานเห็นว่าจวนจะได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว แต่บุรุษทั้งสองยังคงทำทีก่อกวนไม่เลิก นางมองไปที่ฉีอี้ซวนอย่างกระวนกระวายและเย็นชาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าทำลังทำอะไร?” “เจ้า หลูมู่หยาน ตระหนักไว้ก็ดีว่าเจ้าคือผู้หญิง ทุกวันนี้เจ้าทำตัวไม่เหมือนสตรีเลย” ฉีอี้ซวนไม่ได้คาดคิดว่าหลูมู่หยานจะใจร้อนและหยาบคายกับเขาขนาดนี้ นางที่เคยบอบบางและสง่างาม พลันความทรงจำก่อน ๆ ก็แล่นขึ้นให้หัวของเขา เด็กสาวที่น่ารักคนที่คอยวิ่งไล่ตามและเรียกเขาว่า “ท่านพี่ฉี” เมื่อยังวัยเยาว์ทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้เมื่อเห็นว่าฉีอี้ซวนเริ่มไม่ได้สติ หลูมู่หยานจึงกล่าวด้วยวาจาเหน็บแนมว่า “เจ้าเป็นใคร? ดูเหมือนสตรีหรือ? หรือมีอะไรหรือไม่?” นางเอ่ยก่อนจะเดินอ้อมไปทางอื่นและเดินจากไป โดยที่ไม่รอให้ฉีอี้ซวนตอบกลับแม้แต่ประโยคเดียว นัยน์ตาของฉีอี้ซวนแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยต่อหยุนจินผู้ซึ่งกำลังประหลาดใจยืนอยู่กับที่ และมองผู้มี่สวมใส่ชุดสีม่วงจากไปช้า ๆ หลูมู่หยานเอ่ยเอ็ดฉีอี้ซวนเงียบ ๆ ระหว่างที่กำลังเดิน ชายคนนี้พูดจาและทำเหมือนกับนางเป็นเพียงแค่อาหาร ความรู้สึกของหลูมู่หยานที่มีต่อฉีอี้ซวนค่อนข้างซับซ้อนและเต็มไปด
เช้าวันรุ่งขึ้น หลูมู่หยานเดินทางไปที่สมาคมทหารรับจ้างก่อนเวลาเปิด ในเวลานั้นเย่ชิงหานและคนอื่น ๆ มาถึงกันแล้ว“วันนี้แม่นางหลูตรงเวลาดีนะ” เย่ชิงหานเอ่ย พร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ขณะมองไปที่หญิงสาวชุดสีม่วงที่เพิ่งมาถึงหลูมู่หยานเดินเข้ามา ยักไหล่และเอ่ยว่า “ข้าเกรงว่าท่านจะไม่รอ หากข้าสาย”“เจ้าคือหมอของเรา แม้ว่าเจ้าจะไม่รอคนอื่น แต่คนอื่นก็ยังรอเจ้าอยู่ดี” เย่ชิงหาน ยิ้มทั้งสองคุยกันอีกสองสามคำ ตอนนี้ทีมก็พร้อมเดินทางแล้ว พวกเขาขี่มอนสเตอร์ระดับหนึ่งบนหลังม้า เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทางเย่ชิงหานและพรรคพวกของเขามีทั้งหมดหกคน ยกเว้นเย่ชิงหาน ส่วนหลูมู่หยานรู้จักเพียงลู่เหล่าเท่านั้น เขายังคงติดตามหญิงสาวรูปงามและชายหนุ่มสามคน รวมไปถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่ดูเหมือนทหารรับจ้างทวีปที่หลูมู่หยานอยู่เรียกว่า ‘เทียนหลิง’ ประกอบไปด้วยสี่แคว้นทางตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และแคว้นเล็ก ๆ อีกนับไม่ถ้วน โดยในแต่ละแคว้นก็จะมีประเทศน้อยใหญ่ตั้งอยู่ในนั้น ซึ่งโจวเหยียนนับเป็นอีกประเทศที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดในแถบภาคตะวันออก และหนึ่งในสิบสถานที่ที่อันตรายที่สุดของเทียนหลิงอยู่ในอณาเขตของโจ
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเชิงเขา เทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ มีหนามล้อมรอบเป็นวงกลมตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า หากจะเข้าไปด้านในต้องทิ้งม้าเอาไว้ด้านนอก และใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น “ม้าวายุมาได้เพียงเท่านี้ เราต้องเดินเท้าเข้าไป” เย่ชิงหานหันหลังลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าที่สง่างามพร้อมกับหน้ารับ ก่อนทำแบบเดียวกัน ไม่นานเย่ชิงหานก็เป่านกหวีดทำให้ม้าทั้งเจ็ดอันตรธานหายไป “ม้าวายุเหล่านี้ค่อนข้างมีจิตวิญญาณ พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของท่านหรือ?” หลูมู่หยานไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเหล่าสัตว์วิญญาณในทวีปนี้มากนัก นางรู้แค่เพียงขั้นพื้นฐานที่ได้จากห้องเรียนสัตว์ชั้นสูงเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่เข้ากับสัตว์ทุกตัวบนโลก เย่ชิงหานอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สัตว์ประหลาดระดับที่หนึ่ง ไม่มีค่าของสัตว์เลี้ยงวิญญาณ อาจารย์ด้านอสูรวิญญาณของพวกเรามองไปที่ระดับพลังวิญญาณ และทำข้อตกลงกับสัตว์วิญญาณ”“เช่น ผู้รับใช้วิญญาณสามารถทำข้อตกลงกับสัตว์เลี้ยงวิญญาณได้หนึ่งตัว แต่การทำข้อตกลงสามารถทำสูงสุดได้เพียงสิบตัวเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ด้านอสูรจะไม่ทำข้อตกลงกับกับสัตว์อสูรเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียโควต
หมิงซิ่วไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ลอบมองเขา หากแต่ดวงตาฟีนิกซ์ที่ยาวเรียวภายใต้หน้ากากทำให้หลูมู่หยานมองลึกลงไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็หายวับอย่างรวดเร็วจนคนอื่นไม่สามารถสังเกตได้ทัน เขาหยุดพูด ก่อนจะหายตัวไปเหล่าเย่ที่รอให้หมิงซิ่วจากไป ค่อย ๆ เดินมาหาหลูมู่หยานด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” “ขอบคุณท่านเหล่าเย่ที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร” หลูมู่หยานยิ้มตอบ พร้อมกับส่ายหัวไปมา หลูมู่หยานรู้สึกถึงแรงสั่นที่มาจากอสูรน้อยในมือของนางที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของนางกลับนิ่งเรียบ ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าเย่ทั้งที่ยังยิ้มว่า “เหล่าเย่ ข้าคงต้องไปก่อน ข้ามีอะไรต้องทำต่อ” “ตกลง เจ้าทำเถิด” เหล่าเย่สังเกตเห็นอสูรร้ายตัวเล็กในมือของนางอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เขาจึงค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาด้วยความเสียดาย หลูมู่หยานพยักหน้า จากนั้นจึงหยิบนกหวีดที่คล้องคอไว้ขึ้นเป่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ม้าอาชาตัวสีขาวสว่างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคน นางกล่าวลาหยุนหลัน และคนอื่น ๆ ก่อนจะขึ้นไปที่หลังม้าพร้อมกับอสูรกลืนกินวิญญาณ และออกจากหอการค้าหมิงเหมิงเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ใบหน้
ทันใดนั้นก็มีพลังที่นุ่มนวลจำนวนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ห่อหุ้มไปด้วยก้อนกรวดที่ถูกรัศมีดาบของชายชราในชุดดำบดขยี้ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งทีละชิ้น แค่เพียงครู่เดียวรอยแตกที่พื้นบลูสโตนใต้ดินก็เริ่มสมาน และกลับคืนสู่สภาพเดิม“แม่นาง เจ้าเป็นหนี้บุญคุณต่อเทพอีกแล้ว” เสียงของบุรุษที่ฟังแล้วเหมือนจะมีความเป็นผู้ใหญ่ดังแว่วผ่านโสตประสาทของหลูมู่หยานราวกับสายลม ความเฉยเมยระหว่างคิ้วและดวงตาของหลูมู่หยานเริ่มถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วมือนั้นเป็นฝ่ามือของบุรุษผู้มากไปด้วยเสน่ห์ … หมิงซิ่ว! เมื่อมองไปยังฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง นางรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นคลื่นของการทำสมาธิ และความรู้สึกไว้วางใจก็เกิดขึ้นในใจของนางอย่างอธิบายไม่ได้ หลูมู่หยานหันกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้กล้าหาญรูปร่างสูงโปร่ง และสวมหน้ากากสีเงินที่กำลังเดินเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวเอง ชุดสีแดงของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม และพลังที่แผ่กระจายออกมารอบตัวของเขาก็เผยให้เห็นโดยธรรมชาติ และเมื่อเทียบกับบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนอื่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันของเขา เหมือนกับหิ่งห้อยที่ไม่สามารถเทียบกับเฮาเยว่ได้
ชายชราชุดดำก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะยกฮั่วหยุนเตียวจากพื้นด้วยมือของเขา พร้อมกับแสยะรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา เขายังคงท่องคาถายอมจำนนอสูรร้ายอย่างเงียบ ๆ ในปากและหลังจากท่องเสร็จเขาก็ใช้ดาบลมของหยุนลี่กรีดไปที่นิ้วชี้ และหยดเลือดสีแดงลงที่ขนของเสี่ยวซูหลูมู่หยานคลี่ยิ้มเบา ๆ กอดอก พร้อมกับมองไปที่ชายชราที่กำลังทำการแสดงด้วยท่าทีเย้ยหยันชายชราผู้นี้ยังคงต้องการที่จะปราบอสูรร้ายกลืนกินวิญญาณด้วยวิธีนี้ ช่างเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อเสียจริงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็พบว่าเลือดที่เขาหยดไปนั้น ไม่สามารถเข้ากับร่างกายของอสูรกลืนกินวิญญาณได้ เขาตกใจ และสายตาของเขาก็เริ่มนิ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องรางสีแดงออกมาจากแหวนจักรวาล โดยที่ปากยังคงพึมพำท่องคาถาอย่างเงียบ ๆ และแตะเครื่องรางสีแดงด้วยมือของเขา ก่อนที่มันจะตกใส่ร่างของอสูรร้ายจากนั้นชายชราก็ได้สร้างผนึกที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งขึ้นในอากาศ พร้อมกับบังคับให้เข้าสู่ก้องสำนึกของสัตว์ร้าย จากนั้นก็ได้หยดเลือดลงบนหน้าผากของมันอีกสองสามหยด ดวงตาของมันประกายแสงราวกับมีดาวนับล้าน และนี่คือสัญญาณนักฆ่าในฐานะปรมจารย์อสูรวิญญาณ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะยังสามารถจั
หลังจากที่หลูมู่หยานเสร็จสิ้นกับการพูดคุยกับเหล่าเย่ นางก็รีบไปพบหยุนหลันทันที และเมื่อนางออกจากประตูของหอการค้า นางสังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำ และชายชราในชุดสีดำผอมแห้งหยุดอยู่ตรงหน้าหยุนหลัน ก่อนที่นางจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าสองคนนี้เป็นใคร?“มู่หยาน ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์นายพล” หยุนหลันพูด ก่อนจะเดินมาหาหลูมู่หยานที่ยืนอยู่ย้อนหลับไปเมื่อครู่ ราชาแห่งเจิ้นซีได้เอ่ยถามพวกเขาถึงผู้ที่ครอบครองฮั่วหยุนเตียว พวกเขาจึงพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อเก็บมันไว้เป็นความลับ ทว่ากู่ยันรันกลับพูดออกไปเสียหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงต้องไปส่งหลูมู่หยานที่คฤหาสน์นายพล“ตกลง” หลูมู่หยานยิ้ม และพยักหน้าแม้ว่าหลูมู่หยานจะตกลงออกไปแบบนั้น แต่นางสัมผัสได้ว่าการที่นางจะเดินทางกลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ “ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยเล่า” หวังเจิ้นซีเอ่ย ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดหยุนหลันเอาไว้ เขาจะปล่อยให้คน ๆ นั้นออกไปได้อย่างไรหวังเจิ้นซีมองไปยังหลูมู่หยานที่สวมใส่ชุดสีม่วง ผมยาวม้วนขึ้นเป็นมวยแบบธรรมชาติ ดวงตานิ่งเรียบ ประกอบกับใบหน้าที่สวยงามน่าเย้ายวนแม้ว่าอายุยังน้อยหลูมู่ห
ราคาของการประมูลของซีซุยตันทำให้คนที่อยู่ในห้องประมูลส่วนตัวหมายเลขเก้าต้องตกใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจับจ้องไปทางหลูมู่หยานแทบจะเป็นสายตาเดียว เพราะตอนนี้นางจะกลายเป็นสตรีผู้ร่ำรวย ต่อให้พวกเขากลับบ้านไปได้ช่วงหนึ่ง ก็ไม่สามารถหาเหรียญทองคำจำนวนมหาศาลนี้ได้หยุนจินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ดูเหมือนจะทำกำไรถึงสามร้อยล้านเหรียญทองเลยนะ” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของหยุนจิน หยุนหลัวก็อดมองว่าเขางี่เง่าไม่ได้ เขาอิจฉาที่ลูกพี่ลูกน้องเขาผู้นี้ได้ยามูลค่าสามร้อยล้านเหรียญไปครอบครอง เสี่ยวเซียงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองหยุนจินด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะเขาเองก็อยากจะได้ยาเม็ดไขกระดูกเหมือนกันหลังจากการประมูลซีซุยตันในวันนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้อาณาจักรแห่งอัคคี และประเทศอื่น ๆ ในทวีปวิญญาณสวรรค์ เพราะการจะได้มาซึ่งยาเม็ดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากดวงตาของกู่ยันรันเต็มไปด้วยเจตนาปองร้ายและอาฆาตแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงเปลี่ยนไปได้เพียงระยะเวลาแค่ไม่ถึงสามเดือน และนางก็ดีกว่าหลูมู่หยานทุกเรื่อง เว้นพื้นฐานครอบครัว แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับยาซีซุยนั่นนางเกลียด เกลียดหลูมู่หยานขณะ
หลังจากนั้นก็ยังคงมีการประมูลรายการสินค้าอีกหลายอย่างจากหอการค้าหมิงเหมิง ซึ่งซีซุยตันยังไม่ได้เข้าร่วมประมูลโดยตรงหลูมู่หยานยังได้เก็บภาพดอกไม้ลิงสีม่วงที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่งจีตัน รวมไปถึงการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งเครื่องมือจิตวิญญาณ ชุดเกราะวิญญาณ แต่นางไม่ได้ต้องการ เพราะรวม ๆ แล้วนางเองได้ประโยชน์มากมายจากการประมูลในครั้งนี้ ณ ห้องประมูลส่วนตัว แขกที่เข้าร่วมการประชุมมักจะเก็บภาพรายการประมูลที่พวกเขาชื่นชอบ ขณะที่เม็ดยาซีซุยไม่ได้รับความสนใจมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของมันที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรหลังจากที่รายการสินค้าทั้งหมดถูกประมูลแล้ว หนี่จุนก็ได้คลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “การประมูลต่อไปคือรายการสุดท้ายที่ค่อนข้างหนักเป็นพิเศษของหอการค้าหมิงเหมิง และเราก็เพิ่งได้รับเกียรติจากเหล่าเย่ ผู้รับผิดชอบการประมูลโจวกั๋วขึ้นมาเป็นประธาน” เมื่อจบคำพูดของหนี่จุน ผู้เข้าร่วมการประมูลที่อยู่ข้างล่างก็ต่างพากันส่งเสียงวุ่นวายรายการประมูลใดกันที่จะสามารถรบกวนเหล่าเย่ได้ เพราะเขาไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สะกัดระดับกลางอีกด้วย นั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่เข
ทั้งสองคนเป็นสมาชิกราชวงศ์ และพื้นฐานครอบครัวท่านแม่ของหยุนจินก็แข็งแกร่งมาก หากหลูมู่หยานให้ยาซีซุยแก่พวกเขา และบุคคลที่มีอำนาจระดับสูงของราชวงศ์ก็จะไม่ทำให้นางอับอายอย่างแน่นอน“เอาเถิด ท่านป้าก็รักข้าเหมือนลูกตัวเองมาตั้งข้ายังเด็ก เราเป็นญาติกันแค่ยาเม็ดเดียวอย่าให้มันรบกวนเลย” หลูมู่หยานเอ่ย พร้อมกับคลี่ยิ้มออกเล็กน้อยหยุนหลันแสดงความขอบคุณต่อลูกพี่ลูกน้องผ่านทางใบหน้า เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลูมู่หยาน ลูกพี่ลูกน้องที่พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับกลายเป็นคนที่ใจกว้างและกล้าเช่นนี้ นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านแม่ของเขาเห็นเป็นแน่“ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้ายินดี ยาซีซุยตันนี้สำคัญมากสำหรับข้า และข้าจะเขียนความรู้สึกนี้ลงไปในวงแหวน หากมู่หยานมีอะไรให้ข้าช่วยในอนาคต บอกข้าได้” หยุนหลันสัญญาด้วยรอยยิ้ม “ตกลง” หลูมู่หยานตอบกลับ“หลูมู่หยาน หยุนหลันเป็นญาติของเจ้า มันก็ชัดเจนที่เจ้าจะให้เขา แต่ทำไมเจ้าถึงให้มันแก่ข้า?” หยุนจินไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงต้องการให้ยาเม็ดนี้กับเขา เป็นเพราะเขาให้เหรียญสนับสนุนนางงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้“ครั้งที่แล้วที่ข้าได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้สีขาวดอกเล็ก ๆ นั่น ก
จากการยืนยันของเหล่าเย่ สายตาของผู้คนในห้องที่มองหลูมู่หยานก็เปลี่ยนไป แม้แต่คนที่ติดตามเหล่าเย่ก็มองมาที่ขวดยาสีขาวอย่างไม่วางตาเหล่าเย่ใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองไปที่หลูมู่หยานด้วยรอยยิ้ม และถามว่า “แม่นางหลู เจ้ากำลังกำหนดราคาสำหรับซีซุยตันหรือไม่?” “ข้าไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่ข้าเชื่อว่าหอการค้าหมิงเหมิงจะช่วยให้ข้าขายได้ในราคาดี ฉะนั้นโปรดให้ท่านเหล่าเย่เรียกราคาเริ่มต้น” หลูมู่หยานแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนต่อหอการค้าหมิงเหมิง เหล่าเย่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ “ในกรณีนี้ ชายชราจะได้ตั้งราคาให้กับแม่นาง” “ปัญหาของเหล่าเย่คือเริ่มอายุมากขึ้น” หลูมู่หยานตอบกลับอย่างสุภาพ เหล่าเย่ยิ้มและพยักหน้า ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่คิดอยู่ในใจ “แม่นางหลู เจ้ายังมียาไขกระดูกนี้อีกหรือไม่?” เดิมทีเหล่าเย่เพียงแค่ต้องการถามถึงที่มาของซีซุยตัน ว่าหลูมู่หยานได้มาจากที่ใด ไม่ว่าเขาจะรู้จะจักนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งกาจแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงต่อต้าน เพราะนักเล่นแร่แปรธาตุส่วนมากมักมีนิสัยแปลก ๆ และไม่ชอบให้ผู้อื่นถาม ฉะนั้นเขาจึงอยากที่จะผูกมิตรกับหลูมู่หยานให้ดีเสียก่อน คนอื่น ๆ ก็เริ่มมองมาที่หลูมู่หยาน
บนห้องแห่งความลับชั้นสามของหอการค้าหมิงเหมิง มีบุรุษชุดแดงสวมหน้ากากสีเงินนั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน และมีคนสองคนยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อคอยรายงานสถาณการณ์ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น บุรุษชุดแดงหยักหน้าให้หญิงสาวทรงเสน่ห์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินไปเปิดประตู “ผู้พิทักษ์หลาน” เจ้าของร้านหลู่ตะโกนออกมาด้วยความเคารพ และสตรีผู้นั้นก็เหลือบมองมาที่เขาขณะที่ยังยืนอยู่ข้างบุรุษผู้นั้น“องค์รัชทายาท!” เจ้าของร้านหลู่เดินเข้าไปที่ห้องลับ และก็พบว่าไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสสองคนเท่านั้นที่นั่งอยู่ แต่ยังมีองค์รัชทายาทอยู่ในห้องด้วย เจ้าของร้านหลู่จึงก้มลงเพื่อแสดงความเคารพ “อะไรจะเร่งด่วนปานนั้น” หมิงซิ่วเอ่ยอยากเฉื่อยชา“เมื่อครู่นี้แขกผู้มีเกียรติห้องประมูลส่วนตัวที่เก้า หยิบยาออกมาเพื่อให้ทางหอการค้าของเราทำการประมูล แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเราไม่เคยเห็นยาเม็ดนี้มาก่อน พวกเขาเลยตัดสินไปก่อนว่าเป็นเพียงยาระดับสองเท่านั้น” เจ้าของร้านหลู่นำขวดยาสีขาวออกมา “แขกผู้มีเกียรติผู้นั้นบอกว่ายาเม็ดนี้เรียกว่าซีซุยตัน แม้ว่ายาจะอยู่ในระดับที่สอง แต่ผลลัพธ์ของมันไม่น้อยกว่าระดับที่สาม”