ร่างบางขยับกายลงนั่งยังขอบเตียง ก่อนจะขยับเอนกายลงตะแคงงอร่างเอาไว้ ดวงตาวาวใสมองไปยังร่างที่ทอดยาวอยู่ด้านข้าง ก่อนที่เรียวปากจะขยับเหยียดออกเล็กน้อย‘จ้าวอวิ๋น นอกจากท่านจะรูปงามและบ้าอำนาจแล้ว ท่านยังเป็นบุรุษที่น่านับถือยิ่งนัก ข้ามิเสียใจสักนิดที่มอบทั้งใจข้าแก่ท่าน ข้ารักท่าน’ทุกถ้อยคำของหญิงสาวมิได้เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากแม้แต่ครึ่งคำ มันถูกพร่ำพรรณนาอยู่ภายในใจ ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะปิดลงด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานหลายวันรอยยิ้มของจ้าวอวิ๋นคลี่ออกกว้างด้วยความสุขใจ เขาจะให้เกียรตินางอันเป็นที่รักจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ศึกนี้ต่อให้ต้องเสียเลือดแทบหมดกาย เขาก็จะปกป้องหญิงสาวให้ปลอดภัย‘เพราะแบบนี้สินะ ที่น้อง ๆ ของข้าต่างพากันตกอยู่ในหลุมแห่งรัก มันทั้งหอมหวานและอันตราย แต่ข้ายอมที่จะตกลงไปในหลุมของเจ้าอย่างเต็มใจ ถงม่งเหยา’ มือหนาขยับไปยังมือบางของหญิงสาว ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มแรงบีบเพียงเล็กน้อย สองร่างต่างถ่ายทอดความรู้สึกผ่านการสัมผัสมือที่กอบกุมกัน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงแห่งการหลับใหลไปพร้อม ๆ กันด้วยรอยยิ้มอีกด้านของตัวบ้าน ร่างสูงของจ้าวหมิงเยว่ยืนกอดอกแหงนมองดวงดาวอันพร่างพ
พระชายาในท่านอ๋องเจ็ดย่อกายอย่างงดงาม ก่อนจะยืดกายขึ้นแย้มยิ้มเผยถึงความงามที่ดูอ่อนวัยกว่าอายุ สตรีสูงศักดิ์ทั้งสองยิ้มให้กันเสมือนเรื่องบาดหมางภายในนั้นมิเคยมีมาก่อน“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้า”ท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางประสานมือโค้งกายคำนับภรรยารองของผู้เป็นลุง หลิวกุ้ยเฟยยื่นมือบางออกมานอกแขนเสื้อเพียงเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้แก่ชายหนุ่มทำตัวตามสบาย“ท่านอ๋องน้อย ตามสบายเถิด มิต้องมากพิธี”ทว่า ดวงตาคู่งามกลับมองเลยไปยังชายหญิงด้านหลังของหลานชายของพระสวามี ท่านอ๋องเจ็ดมองทุกการกระทำของพี่สะใภ้รองอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงขยับไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนห่างออกไปเพียงเล็กน้อยด้านหลังพระโอรส“หลิวกุ้ยเฟย นี่คือบุตรสาวบุญธรรมของข้าเอง โม่ฟางเล่อ นางเพิ่งกลับลงจากเขาจิ้งฮั่วเมื่อมินานเพื่อเข้าวังมาทำความเคารพเสด็จพี่และเชื้อพระวงศ์ ส่วนนี่คือถงเหยียนเจี๋ย สหายรักของหยวนฟางและเป็นสามีของฟางเล่อ อย่างไรเสีย ข้าก็หวังว่าหลิวกุ้ยเฟยจะเมตตานางบ้าง”“โม่ฟางเล่อ ถวายบังคมพระนางหลิวกุ้ยเฟยเพคะ”“ถงเหยียนเจี๋ย ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระนางหลิวกุ้ยเฟย”“โม่ฟางเล่อ เจ้าช่างงดงามสูงค่ามิแตกต่างจากท่านหญิงโม่ไป๋
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม แขกทั้งจากต่างแคว้นและภายใน มากันครบพร้อมของขวัญล้ำค่ามากมาย“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”เสียงลู่กงกงประกาศดังก้องไปทั่วบริเวณ ถึงการมาของฮ่องเต้โม่เหยียนเฉา บุรุษในชุดสีทองก้าวออกมาจากม่านด้านข้างก่อนจะเดินตรงไปยังที่ประทับซึ่งจัดไว้เคียงข้างฮองเฮาผู้เป็นภรรยาเอก เสียงอวยพรดังทั่วทั้งงาน มือหนายกขึ้นสูงเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง“วันนี้เป็นวันมงคลของข้าและชาวชีเป่ย สุราจอกนี้ ข้าโม่เหยียนเฉาขอคารวะทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมแสดงความยินดีแก่ข้าและองค์หญิงจากแคว้นตง องค์หญิงกั๋วเชียง”ทุกคนต่างยกจอกสุราขึ้นเป็นการตอบรับคำของฮ่องเต้แห่งชีเป่ย ก่อนจะพากันดื่มด้วยใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม“ฝ่าบาทได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ลู่กงกงขยับเข้ากระซิบข้างหูผู้เป็นนายเมื่อได้เวลาในการเริ่มพิธีแล้ว ฮ่องเต้โม่เหยียนเฉาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ก่อนจะหันไปยิ้มละมุนให้กับคู่ชีวิตซึ่งนั่งเคียงข้างแม้ในวันที่เขาจะมีสตรีอื่นเพิ่มเติม ทุกอย่างมันคือหน้าที่ มิใช่ความต้องการแม้แต่น้อย“แค่เจ้าเข้าใจ มิว่าใครก็ไม่สำคัญสำหรับข้า เหลียนเอ๋อร์”“หม่อมฉันเลือกที่จะอยู่ข้าง พระองค์ก็อย่าได้ทรงกังวลไปเพคะ ม
ร่างสูงของจ้าวอวิ๋นก้าวยาว ๆ ผ่านอุทยานหลวง เพื่อไปยังตำหนักของผู้เป็นลุงเขย“เจ้าไปไหนมา”เสียงทรงอำนาจที่เหมือนพยายามให้ดูเคร่งขรึมในความรู้สึกของคนฟัง ทว่า สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจากจ้าวอวิ๋นคือรอยยิ้มกว้าง เสมือนคำพูดหรือสีหน้าของคนพูดไม่มีผลอันใดต่อชายหนุ่มเลยสักนิดจ้าวหลานเค่อได้แต่ทอดถอนใจกับบุตรชายคนโตที่ดูจะไม่เอาไหนในสายของคนทั่วไป“ข้าแค่เบื่อหน่ายพิธีเหล่านั้น เลยหลบไปหาสุราดื่มเพียงเล็กน้อยน่าท่านพ่อ”“อวิ๋น เจ้าเป็นถึงหลานชายคนโตของฮองเฮา ไยทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ เฮ้อ…เจ้าจะทำให้ท่านอาของเจ้าเดือดร้อนเอาได้”“ท่านพ่อรู้เห็นอันใดมาเช่นนั้นรึ ไยคิดว่าข้าจะเป็นสาเหตุให้ท่านอาเดือดร้อน”“จะ…เจ้า เฮ้อ! พวกเจ้าแต่ละคนคิดจะทำให้ข้าอกแตกตายก่อนให้ได้เลยใช่ไหม”“ท่านพ่อก็ชรามากแล้ว อย่าคิดสิ่งใดให้มาก ควรรักษาชีวิตเอาไว้ให้นาน ๆ พวกข้ากำพร้าแม่แล้ว มิอยากกำพร้าพ่อไปอีกคน”พูดจบ จ้าวอวิ๋นรีบขยับถอยห่างจากผู้เป็นบิดา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้จ้าวหลานเค่อได้แต่พยายามควบคุมลมหายใจมิให้เหนื่อยหอบเพราะความโมโห“นายท่านจะคิดอะไรให้เหนื่อย อย่างไรเสีย ท่านก็บังคับอะไรพวกเรามิได้อยู่แล้ว”เ
ชายหนุ่มหยุดเท้ามิห่างจากร่างในชุดคลุมสีดำ ซึ่งตอนนี้ ร่างนั้นยืนอยู่กลางลานกว้าง แสงจากพระจันทร์เต็มดวงส่องลงมาให้เห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือผู้ใด“ดึกดื่นเช่นนี้ แม่นางอี้เหมยมิควรออกมาเดินเล่นเลยนะ”“ควรเป็นข้าที่จะต้องถามเจ้ามากกว่า ว่าไยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มิใช่ต้องตามคณะของคุณชายเยว่เข้าสู่เมืองหลวงหรอกรึ”“ข้าแค่ออกมาเดินชมจันทร์ยามราตรีเท่านั้น อ้อ! ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าแม่นางอี้เหมยเองก็ชื่นชอบการเดินเล่นยามค่ำคืน”“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักข้าดีทีเดียวนะ แต่ว่า…”พรึ่บ! เพียงพริบตา ชายหนุ่มก็ตกอยู่กลางวงล้อมของผู้มาใหม่อีกห้าคน รวมหญิงสาวตรงหน้าด้วยแล้วก็คือหกต่อหนึ่ง ทว่า ร่างสูงกลับยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีตื่นกลัว มือหนาไม่แม้จะขยับเพื่อจับอาวุธของตนเองเลยด้วยซ้ำไป ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามทุกคนต่างพากันรู้สึกเสมือนถูกหยามเกียรติโดยมิรู้ตัวอย่างไรอย่างนั้น“น่าเสียดายที่เจ้าต้องไปชมจันทร์ในยมโลกแทน”“ดูเหมือนแม่นางจะมั่นใจมากเลยนะว่าข้าจะได้ไปท่องเที่ยวยังยมโลก”“ปากดีไปเถอะ จัดการซะ ข้ารีบ” อี้เหมยสะบัดเสียงสั่งคนของนางทั้งห้าทว่า ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะไม่สะทกสะท้าน ยังคงเอ่ยถามอย
“เจ้าจะเป็นใครข้ามิสนใจ เพราะเจ้าต้องตายด้วยมือข้า หรู่อี้”“ราชสีห์มิคำรามไปทั่วเฉกเช่นสุนัขที่ดีแต่เห่าหอน” หรู่อี้ยั่วยุอีกฝ่ายด้วยภาษิตสอนใจ“แล้วเจ้าจะรู้ว่าราชสีห์กับสุนัข ผู้ใดจะกำชัย”อี้เหมยพุ่งเข้าโจมตีในระยะประชิด นางทำมือเสมือนกรงเล็บของอินทรี พุ่งเข้าใส่หรู่อี้ เป้าหมายคือหัวใจของอีกฝ่ายหมับ! หรู่อี้เอนกายไปด้านหลังเพียงเล็กน้อย แล้วคว้าจับข้อมือของอี้เหมยเอาไว้ได้ทันก่อนจะถึงเป้าหมาย มือบอบบางทว่าหยาบกร้านเพิ่มแรงบีบจนอีกฝ่ายเริ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยว ต่างจากสีหน้าและแววตาของนางที่นิ่งเฉย ทว่า แววตานั้นฉายรังสีแห่งการสังหารออกมาอย่างชัดเจนเวลานี้ หญิงสาวทั้งสองยืนอยู่ในลักษณะอาวุธยกประชิดกัน มืออีกข้างก็กำลังยื้อยุดกันอย่างหนัก ฟิ้ว! “อ๊ะ!”หรู่อี้รีบสะบัดตัวให้ออกห่างจากอี้เหมย เมื่ออยู่ ๆ มีอาวุธลับพุ่งตรงมาทางนาง และจะเป็นใครไปมิได้หากไม่ใช่จากคนของอีกฝ่าย และตอนนี้ดูเหมือนทางนั้นก็ดุเดือดมิใช่น้อย คนของพี่ชายนางนั้นมิใช่แค่นักรบกล้าในสงคราม แต่เป็นเงาแห่งวังหลวง จะกำจัดชายหนุ่มนั้นมิง่ายอย่างที่ใจคิดแน่นอนแต่นางก็ไม่ควรรั้งรอให้นานกว่านี้ เก่งปานใดก็พลาดพลั้งได้เช
หญิงสาวโยนสิ่งที่อยู่ในมือลงสู่พื้นดินตรงหน้าอี้เหมย ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา“เจ้าคิดเช่นไรกับสิ่งนี้”สายตาของหรู่อี้มิได้มองไปยังสิ่งที่โยนลงพื้น ทว่ากลับจ้องมองอี้เหมยที่บัดนี้มิอาจควบคุมอาการสั่นสะท้านเอาไว้ได้แม้แต่น้อยริมฝีปากบางสั่นระริกเมื่อมองไปยังสิ่งที่หรู่อี้นำมา มันคือศีรษะของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนางรู้จักดีว่าเขาคือใคร‘ท่านมิเคยเห็นข้าเป็นลูกเลยหรืออย่างไรท่านพ่อ’ นางตัดพ้ออยู่ภายในใจ“อยากทำอะไรก็เชิญ”ใบหน้างามของอี้เหมยเชิดขึ้นสูงด้วยรู้ดีว่า อย่างไรเสีย คืนนี้ นางก็มิอาจรอดไปได้ จะบอกความจริงหรือไม่ ผลก็ออกมามิต่างกันอยู่ดี“ข้ามิชอบตีงูให้หลังหัก เพราะมันอาจแว้งกัดเราได้ทุกเมื่อ ข้าจะเมตตาเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน” เอ่ยจบจึงโน้มใบหน้าไปใกล้กับอีกฝ่าย โดยมืออีกข้างของอี้เหมยที่ยังเป็นอิสระถูกหรู่อี้รวบจับเอาไว้เพื่อป้องกันตัว ด้วยคนเช่นอี้เหมยมีพิษสงรอบกาย“อ๊ะ!”อี้เหมยอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อรู้สึกเหมือนแมลงเล็ก ๆ กัดเข้ายังข้อมือข้างที่ถูกจับเอาไว้ ดวงตามีน้ำคลอหน่วย นางรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนเอง ความเมตตานั้นหามิได้จากแววตาคนเช่นหรู่อี้ ในสนามรบหากปล่
ลานสำหรับงานเลี้ยงบรรยากาศภายในงานดูรื่นเริง ทั้งการร่ายรำอันงดงามของนางรำหลวง รวมทั้งการแสดงจากบรรดาคุณหนูสกุลใหญ่ที่ต่างอวดประชันความสามารถเพื่อให้ถูกตาต้องใจของชายหนุ่มที่มาร่วมงานทว่าในงานเลี้ยงคงจะหาใครโดดเด่นเทียบเท่าธิดาบุญธรรมจวนชินอ๋องมิได้เลยจริง ๆ ท่านหญิงโม่ฟางเล่อ แม้จะสวมอาภรณ์มิได้หรูหราอันใดมากมาย ทว่า สีและรูปแบบของตัวชุด รวมทั้งเครื่องประดับแม้จะน้อยชิ้น แต่กลับงดงามดั่งเทพธิดา ความงามที่มีอยู่แล้วบวกเข้ากับการแต่งกายอันลงตัว ยิ่งเป็นการขับเน้นความงามเหนือสตรีในงานหยางซานหลางยืนนิ่งในอีกมุม มองท่านหญิงโม่ด้วยสายตาอันว่างเปล่า ซึ่งเวลานี้ เขารอคอยใครอีกคนมากกว่า ในใจลึก ๆ รู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน ว่าคนที่รออยู่นั้นจะมิเชื่อฟังสิ่งที่เขาเป็นกังวลหลิวกุ้ยเฟยก้าวเข้าสู่ในงานพร้อมด้วยกั๋วเต๋อเฟย ความงามของทั้งคู่แตกต่างกันมากทีเดียว สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือ หลิวกุ้ยเฟยแม้จะอายุมากแล้ว ทว่า ความอ่อนเยาว์กลับยังคงอยู่ แตกต่างจากกั๋วเต๋อเฟยที่งดงามสดใสด้วยยังอยู่ในวัยสาว แต่ถึงอย่างไร ความงามสง่าของดอกไม้ในวังก็ยังคงน่าชื่นชมกว่าที่อื่นอย่างแน่นอน“ฝ่าบาทเสด็จ”ฮ
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้
จ้าวอวิ๋นคว้าร่างบางที่ล้มลงต่อหน้าเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะระเบิดพลังออกมาจนถึงขีดสุดด้วยอาการคลุ้มคลั่ง เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหา แตกกระจายออก สิ้นใจในทันที ร่างสูงกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น“ข้ารักท่าน จ้าวอวิ๋น ข้าระ…ระ…อึก!”“ข้ารักเจ้า ถงม่งเหยา ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่ เจ้าอย่าได้บังอาจทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ ม่งเอ๋อร์ อย่าทำกับข้าเยี่ยงนี้ อ๊ากกก!”ถงเหยียนเจี๋ยชาไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียว ร่างสูงพุ่งเข้าหาหยางซานซินเสมือนคนเสียสติ เพราะคนเช่นหยางซานซินที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น มันพรากดวงใจของเขาไปเช่นนี้มิได้ น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทาง ยิ่งเมื่อนึกถึงอ้อมกอดและรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นน้องสาว ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยเปรียบดั่งพยัคฆ์บาดเจ็บที่สู้จนตัวตายเลยทีเดียวหย่งฉีพุ่งเข้าสังหารทหารที่ยังหลงเหลืออยู่รอบกายของจ้าวอวิ๋นและร่างของหญิงสาวในอ้อมแขน ร่างสูงสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก เขาบกพร่องต่อหน้าที่จนได้ ปกป้องนายหญิงน้อยมิได้ เขาไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำจ้าวอวิ๋นพยายามโรยยาตามบาดแผลของ
“เจ้าจะยอมแพ้มิได้ โม่คัง เจ้าคือหนึ่งในสายเลือดสกุลจ้าว จงให้หัวใจนำพาพละกำลังในกาย เข้าใจหรือไม่ พี่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะต้องปลอดภัยน้องรัก พี่จะมิให้สิ่งใดพรากเจ้าไปจากพวกเราอีกแล้ว”ทุกถ้อยคำที่จ้าวอวิ๋นเอ่ยออกมานั้นเสมือนเสียงกระซิบอันไกลโพ้นสำหรับโม่คัง น้ำตาของบุรุษผู้เป็นนักรบไหลอาบสองแก้ม แม้จะมีลมหายใจกลับมาได้จากสิ่งที่หยางซานซินกระทำต่อเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ก็ใช่ว่าร่างกายที่เห็นนี้จะเป็นปกติสมบรูณ์ไม่ และตอนนี้ มันกำลังส่งผลต่อตัวเขาในยามคับขัน“เพื่อข้า พี่คัง! ทำเพื่ออี้เอ๋อร์สักครั้งเถิด!”หรู่อี้ที่รับมืออยู่กับหยางซานซินตะโกนก้องเรียกสติของชายหนุ่ม จ้าวอวิ๋นขบกรามแน่น เขาทำได้เพียงกวัดแกว่งป้องกันทหารที่พยายามโจมตีเขา ซึ่งมันมิน่าเป็นห่วงเท่าหญิงสาวผู้ที่ปกป้องเขากับน้องชายในตอนนี้เลย ร่างของหรู่อี้โชกไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่นางกลับมิปริปากร้องโอดครวญแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำมีเพียงโม่คังเท่านั้นถงม่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าช่วยเหลือหรู่อี้ ทว่า ตัวนางเองยังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูเช่นกัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดคลอหน่วยตาของใครหลายคน พวกเขาจะเก่ง