เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม แขกทั้งจากต่างแคว้นและภายใน มากันครบพร้อมของขวัญล้ำค่ามากมาย“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”เสียงลู่กงกงประกาศดังก้องไปทั่วบริเวณ ถึงการมาของฮ่องเต้โม่เหยียนเฉา บุรุษในชุดสีทองก้าวออกมาจากม่านด้านข้างก่อนจะเดินตรงไปยังที่ประทับซึ่งจัดไว้เคียงข้างฮองเฮาผู้เป็นภรรยาเอก เสียงอวยพรดังทั่วทั้งงาน มือหนายกขึ้นสูงเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง“วันนี้เป็นวันมงคลของข้าและชาวชีเป่ย สุราจอกนี้ ข้าโม่เหยียนเฉาขอคารวะทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมแสดงความยินดีแก่ข้าและองค์หญิงจากแคว้นตง องค์หญิงกั๋วเชียง”ทุกคนต่างยกจอกสุราขึ้นเป็นการตอบรับคำของฮ่องเต้แห่งชีเป่ย ก่อนจะพากันดื่มด้วยใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม“ฝ่าบาทได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ลู่กงกงขยับเข้ากระซิบข้างหูผู้เป็นนายเมื่อได้เวลาในการเริ่มพิธีแล้ว ฮ่องเต้โม่เหยียนเฉาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ก่อนจะหันไปยิ้มละมุนให้กับคู่ชีวิตซึ่งนั่งเคียงข้างแม้ในวันที่เขาจะมีสตรีอื่นเพิ่มเติม ทุกอย่างมันคือหน้าที่ มิใช่ความต้องการแม้แต่น้อย“แค่เจ้าเข้าใจ มิว่าใครก็ไม่สำคัญสำหรับข้า เหลียนเอ๋อร์”“หม่อมฉันเลือกที่จะอยู่ข้าง พระองค์ก็อย่าได้ทรงกังวลไปเพคะ ม
ร่างสูงของจ้าวอวิ๋นก้าวยาว ๆ ผ่านอุทยานหลวง เพื่อไปยังตำหนักของผู้เป็นลุงเขย“เจ้าไปไหนมา”เสียงทรงอำนาจที่เหมือนพยายามให้ดูเคร่งขรึมในความรู้สึกของคนฟัง ทว่า สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจากจ้าวอวิ๋นคือรอยยิ้มกว้าง เสมือนคำพูดหรือสีหน้าของคนพูดไม่มีผลอันใดต่อชายหนุ่มเลยสักนิดจ้าวหลานเค่อได้แต่ทอดถอนใจกับบุตรชายคนโตที่ดูจะไม่เอาไหนในสายของคนทั่วไป“ข้าแค่เบื่อหน่ายพิธีเหล่านั้น เลยหลบไปหาสุราดื่มเพียงเล็กน้อยน่าท่านพ่อ”“อวิ๋น เจ้าเป็นถึงหลานชายคนโตของฮองเฮา ไยทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ เฮ้อ…เจ้าจะทำให้ท่านอาของเจ้าเดือดร้อนเอาได้”“ท่านพ่อรู้เห็นอันใดมาเช่นนั้นรึ ไยคิดว่าข้าจะเป็นสาเหตุให้ท่านอาเดือดร้อน”“จะ…เจ้า เฮ้อ! พวกเจ้าแต่ละคนคิดจะทำให้ข้าอกแตกตายก่อนให้ได้เลยใช่ไหม”“ท่านพ่อก็ชรามากแล้ว อย่าคิดสิ่งใดให้มาก ควรรักษาชีวิตเอาไว้ให้นาน ๆ พวกข้ากำพร้าแม่แล้ว มิอยากกำพร้าพ่อไปอีกคน”พูดจบ จ้าวอวิ๋นรีบขยับถอยห่างจากผู้เป็นบิดา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้จ้าวหลานเค่อได้แต่พยายามควบคุมลมหายใจมิให้เหนื่อยหอบเพราะความโมโห“นายท่านจะคิดอะไรให้เหนื่อย อย่างไรเสีย ท่านก็บังคับอะไรพวกเรามิได้อยู่แล้ว”เ
ชายหนุ่มหยุดเท้ามิห่างจากร่างในชุดคลุมสีดำ ซึ่งตอนนี้ ร่างนั้นยืนอยู่กลางลานกว้าง แสงจากพระจันทร์เต็มดวงส่องลงมาให้เห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือผู้ใด“ดึกดื่นเช่นนี้ แม่นางอี้เหมยมิควรออกมาเดินเล่นเลยนะ”“ควรเป็นข้าที่จะต้องถามเจ้ามากกว่า ว่าไยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มิใช่ต้องตามคณะของคุณชายเยว่เข้าสู่เมืองหลวงหรอกรึ”“ข้าแค่ออกมาเดินชมจันทร์ยามราตรีเท่านั้น อ้อ! ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าแม่นางอี้เหมยเองก็ชื่นชอบการเดินเล่นยามค่ำคืน”“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักข้าดีทีเดียวนะ แต่ว่า…”พรึ่บ! เพียงพริบตา ชายหนุ่มก็ตกอยู่กลางวงล้อมของผู้มาใหม่อีกห้าคน รวมหญิงสาวตรงหน้าด้วยแล้วก็คือหกต่อหนึ่ง ทว่า ร่างสูงกลับยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีตื่นกลัว มือหนาไม่แม้จะขยับเพื่อจับอาวุธของตนเองเลยด้วยซ้ำไป ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามทุกคนต่างพากันรู้สึกเสมือนถูกหยามเกียรติโดยมิรู้ตัวอย่างไรอย่างนั้น“น่าเสียดายที่เจ้าต้องไปชมจันทร์ในยมโลกแทน”“ดูเหมือนแม่นางจะมั่นใจมากเลยนะว่าข้าจะได้ไปท่องเที่ยวยังยมโลก”“ปากดีไปเถอะ จัดการซะ ข้ารีบ” อี้เหมยสะบัดเสียงสั่งคนของนางทั้งห้าทว่า ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะไม่สะทกสะท้าน ยังคงเอ่ยถามอย
“เจ้าจะเป็นใครข้ามิสนใจ เพราะเจ้าต้องตายด้วยมือข้า หรู่อี้”“ราชสีห์มิคำรามไปทั่วเฉกเช่นสุนัขที่ดีแต่เห่าหอน” หรู่อี้ยั่วยุอีกฝ่ายด้วยภาษิตสอนใจ“แล้วเจ้าจะรู้ว่าราชสีห์กับสุนัข ผู้ใดจะกำชัย”อี้เหมยพุ่งเข้าโจมตีในระยะประชิด นางทำมือเสมือนกรงเล็บของอินทรี พุ่งเข้าใส่หรู่อี้ เป้าหมายคือหัวใจของอีกฝ่ายหมับ! หรู่อี้เอนกายไปด้านหลังเพียงเล็กน้อย แล้วคว้าจับข้อมือของอี้เหมยเอาไว้ได้ทันก่อนจะถึงเป้าหมาย มือบอบบางทว่าหยาบกร้านเพิ่มแรงบีบจนอีกฝ่ายเริ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยว ต่างจากสีหน้าและแววตาของนางที่นิ่งเฉย ทว่า แววตานั้นฉายรังสีแห่งการสังหารออกมาอย่างชัดเจนเวลานี้ หญิงสาวทั้งสองยืนอยู่ในลักษณะอาวุธยกประชิดกัน มืออีกข้างก็กำลังยื้อยุดกันอย่างหนัก ฟิ้ว! “อ๊ะ!”หรู่อี้รีบสะบัดตัวให้ออกห่างจากอี้เหมย เมื่ออยู่ ๆ มีอาวุธลับพุ่งตรงมาทางนาง และจะเป็นใครไปมิได้หากไม่ใช่จากคนของอีกฝ่าย และตอนนี้ดูเหมือนทางนั้นก็ดุเดือดมิใช่น้อย คนของพี่ชายนางนั้นมิใช่แค่นักรบกล้าในสงคราม แต่เป็นเงาแห่งวังหลวง จะกำจัดชายหนุ่มนั้นมิง่ายอย่างที่ใจคิดแน่นอนแต่นางก็ไม่ควรรั้งรอให้นานกว่านี้ เก่งปานใดก็พลาดพลั้งได้เช
หญิงสาวโยนสิ่งที่อยู่ในมือลงสู่พื้นดินตรงหน้าอี้เหมย ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา“เจ้าคิดเช่นไรกับสิ่งนี้”สายตาของหรู่อี้มิได้มองไปยังสิ่งที่โยนลงพื้น ทว่ากลับจ้องมองอี้เหมยที่บัดนี้มิอาจควบคุมอาการสั่นสะท้านเอาไว้ได้แม้แต่น้อยริมฝีปากบางสั่นระริกเมื่อมองไปยังสิ่งที่หรู่อี้นำมา มันคือศีรษะของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนางรู้จักดีว่าเขาคือใคร‘ท่านมิเคยเห็นข้าเป็นลูกเลยหรืออย่างไรท่านพ่อ’ นางตัดพ้ออยู่ภายในใจ“อยากทำอะไรก็เชิญ”ใบหน้างามของอี้เหมยเชิดขึ้นสูงด้วยรู้ดีว่า อย่างไรเสีย คืนนี้ นางก็มิอาจรอดไปได้ จะบอกความจริงหรือไม่ ผลก็ออกมามิต่างกันอยู่ดี“ข้ามิชอบตีงูให้หลังหัก เพราะมันอาจแว้งกัดเราได้ทุกเมื่อ ข้าจะเมตตาเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน” เอ่ยจบจึงโน้มใบหน้าไปใกล้กับอีกฝ่าย โดยมืออีกข้างของอี้เหมยที่ยังเป็นอิสระถูกหรู่อี้รวบจับเอาไว้เพื่อป้องกันตัว ด้วยคนเช่นอี้เหมยมีพิษสงรอบกาย“อ๊ะ!”อี้เหมยอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อรู้สึกเหมือนแมลงเล็ก ๆ กัดเข้ายังข้อมือข้างที่ถูกจับเอาไว้ ดวงตามีน้ำคลอหน่วย นางรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนเอง ความเมตตานั้นหามิได้จากแววตาคนเช่นหรู่อี้ ในสนามรบหากปล่
ลานสำหรับงานเลี้ยงบรรยากาศภายในงานดูรื่นเริง ทั้งการร่ายรำอันงดงามของนางรำหลวง รวมทั้งการแสดงจากบรรดาคุณหนูสกุลใหญ่ที่ต่างอวดประชันความสามารถเพื่อให้ถูกตาต้องใจของชายหนุ่มที่มาร่วมงานทว่าในงานเลี้ยงคงจะหาใครโดดเด่นเทียบเท่าธิดาบุญธรรมจวนชินอ๋องมิได้เลยจริง ๆ ท่านหญิงโม่ฟางเล่อ แม้จะสวมอาภรณ์มิได้หรูหราอันใดมากมาย ทว่า สีและรูปแบบของตัวชุด รวมทั้งเครื่องประดับแม้จะน้อยชิ้น แต่กลับงดงามดั่งเทพธิดา ความงามที่มีอยู่แล้วบวกเข้ากับการแต่งกายอันลงตัว ยิ่งเป็นการขับเน้นความงามเหนือสตรีในงานหยางซานหลางยืนนิ่งในอีกมุม มองท่านหญิงโม่ด้วยสายตาอันว่างเปล่า ซึ่งเวลานี้ เขารอคอยใครอีกคนมากกว่า ในใจลึก ๆ รู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน ว่าคนที่รออยู่นั้นจะมิเชื่อฟังสิ่งที่เขาเป็นกังวลหลิวกุ้ยเฟยก้าวเข้าสู่ในงานพร้อมด้วยกั๋วเต๋อเฟย ความงามของทั้งคู่แตกต่างกันมากทีเดียว สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือ หลิวกุ้ยเฟยแม้จะอายุมากแล้ว ทว่า ความอ่อนเยาว์กลับยังคงอยู่ แตกต่างจากกั๋วเต๋อเฟยที่งดงามสดใสด้วยยังอยู่ในวัยสาว แต่ถึงอย่างไร ความงามสง่าของดอกไม้ในวังก็ยังคงน่าชื่นชมกว่าที่อื่นอย่างแน่นอน“ฝ่าบาทเสด็จ”ฮ
ชายผู้ทำหน้าที่อารักขาเอ่ยขึ้นมาบ้าง เมื่อมันชัดเจนแล้วว่าผู้มาเยือน ต้องการที่จะประมือกับเขาแต่ผู้เดียว มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับผู้เป็นนายหญิงสาวแม้จะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างกับการเอ่ยแทรกของผู้ติดตาม แต่นางจะใช้อารมณ์ในเวลาเช่นนี้มิไดเป็นอันขาด แม้ความภักดีจะมีมากจากชายหนุ่ม แต่นางมิอาจคาดเดาจิตใจของผู้คนได้“ข้าพร้อมชี้แนะแนวทางแก่เจ้า น้องชาย”“เช่นนั้นอย่าเสียเวลากันอีกต่อไปเลย พี่ชาย”เอ่ยจบ ชายหนุ่มได้ก้าวออกจากศาลา ตรงไปยังผู้มาเยือนด้วยความองอาจ แสงจากคบเพลิงที่ถูกจุดเอาไว้ด้านอกศาลานั้น แม้จะมีมิมากแต่ก็ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน ว่าผู้มาเยือนนั้นสูงสง่ามิแพ้กันเลยทีเดียวถึงวัยจะมากกว่ากันอยู่พอสมควรก็ตามทีหมิงจงเป่าอยากที่จะจบปัญหาทางนี้ให้โดยเร็ว ด้วยใจของเขานั้นพะวงหาและห่วงใยศิษย์ผู้น้องจนแทบจะพุ่งเข้าหายชายหนุ่มเสียเองในคราแรก ติดที่ตรงใครอีกคนกำลังรั้งรอที่จะจบปัญหากับหญิงสาวผู้เป็นนายของชายหนุ่มอยู่ เขาจำต้องอดทนรอเมื่อยืนประจันหน้าแล้ว ทั้งคู่ต่างประสานมือให้แก่กัน นับว่าเป็นการต่อสู้ด้วยเกียรติของบุรุษอย่างแท้จริง หญิงสาวเพียงยืนมองการต่อสู้ด้วยความรู้สึกเฉยชา เพราะจากที่
เหลียนฮัวพยายามที่จะข่มกลั้นน้ำตาและความรวดร้าวภายในเอาไว้ให้มิด แต่เหมือนจะเป็นการพยายามที่ไม่เป็นผลสำเร็จเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางยังไม่อาจควบคุมอาการสั่นสะท้านเอาไว้ได้เลย หญิงสาวหยุดนิ่งกับที่แทนการลงมือต่อชายหนุ่ม รอยยิ้มละมุนส่งให้แก่ชายอันเป็นที่รักเฉกเช่นอดีตที่ผ่านมาสำหรับนางในตอนนี้ ต่อให้พยายามต่อสู้กับชายหนุ่มไปจนถึงฟ้าสางก็คงไม่อาจรู้ผลแพ้ชนะอยู่ดี ร่างบางอยู่ห่างจากชายหนุ่มมากพอสมควรก่อนเอ่ยออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจ“ข้ารักท่าน หมิงเยว่”คำพูดสุดท้ายที่เปล่งออกมาจากปาก ก่อนที่หญิงสาวจะใช้ความว่องไว กรีดมีดสั้นในมือเข้าที่ลำคอของตนเอง พร้อมรอยยิ้มงดงามที่สุดเท่าที่นางจะทำได้เพื่อคนที่นางรัก มิว่าจะเป็นพี่ชายที่กำลังดำเนินตามแผนการ หรือจะเป็นชายที่นางรักสุดหัวใจที่ยืนอยู่ตรงหน้า“ไม่…! เด็กโง่ เจ้าทำอันใดลงไป”จ้าวหมิงเยว่พุ่งเข้ารับร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอด มิให้กายนางกระแทกลงสู่พื้น ไร้คำพูดจากปากของหญิงสาว มีเพียงรอยยิ้มและเลือดที่ไหลรินออกจากปากและบาดแผล ชายหนุ่มพยายามห้ามเลือดเพื่อยื้อลมหายใจของนางทั้งการสกัดจุด ทั้งกดปากแผลเอาไว้หมับ! มือบางคว้าจับมือหนาเอาไว้ ก่อนจะนำม
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้
จ้าวอวิ๋นคว้าร่างบางที่ล้มลงต่อหน้าเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะระเบิดพลังออกมาจนถึงขีดสุดด้วยอาการคลุ้มคลั่ง เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ของชายหนุ่ม ทำให้ร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้าหา แตกกระจายออก สิ้นใจในทันที ร่างสูงกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้แน่น“ข้ารักท่าน จ้าวอวิ๋น ข้าระ…ระ…อึก!”“ข้ารักเจ้า ถงม่งเหยา ข้ารักเจ้า ได้ยินหรือไม่ เจ้าอย่าได้บังอาจทอดทิ้งข้าไปเช่นนี้ ม่งเอ๋อร์ อย่าทำกับข้าเยี่ยงนี้ อ๊ากกก!”ถงเหยียนเจี๋ยชาไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียว ร่างสูงพุ่งเข้าหาหยางซานซินเสมือนคนเสียสติ เพราะคนเช่นหยางซานซินที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น มันพรากดวงใจของเขาไปเช่นนี้มิได้ น้ำตาของชายหนุ่มไหลเป็นทาง ยิ่งเมื่อนึกถึงอ้อมกอดและรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นน้องสาว ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยเปรียบดั่งพยัคฆ์บาดเจ็บที่สู้จนตัวตายเลยทีเดียวหย่งฉีพุ่งเข้าสังหารทหารที่ยังหลงเหลืออยู่รอบกายของจ้าวอวิ๋นและร่างของหญิงสาวในอ้อมแขน ร่างสูงสั่นสะท้านไปจนถึงกระดูก เขาบกพร่องต่อหน้าที่จนได้ ปกป้องนายหญิงน้อยมิได้ เขาไม่สมควรมีลมหายใจอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำจ้าวอวิ๋นพยายามโรยยาตามบาดแผลของ
“เจ้าจะยอมแพ้มิได้ โม่คัง เจ้าคือหนึ่งในสายเลือดสกุลจ้าว จงให้หัวใจนำพาพละกำลังในกาย เข้าใจหรือไม่ พี่อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจะต้องปลอดภัยน้องรัก พี่จะมิให้สิ่งใดพรากเจ้าไปจากพวกเราอีกแล้ว”ทุกถ้อยคำที่จ้าวอวิ๋นเอ่ยออกมานั้นเสมือนเสียงกระซิบอันไกลโพ้นสำหรับโม่คัง น้ำตาของบุรุษผู้เป็นนักรบไหลอาบสองแก้ม แม้จะมีลมหายใจกลับมาได้จากสิ่งที่หยางซานซินกระทำต่อเขาเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ก็ใช่ว่าร่างกายที่เห็นนี้จะเป็นปกติสมบรูณ์ไม่ และตอนนี้ มันกำลังส่งผลต่อตัวเขาในยามคับขัน“เพื่อข้า พี่คัง! ทำเพื่ออี้เอ๋อร์สักครั้งเถิด!”หรู่อี้ที่รับมืออยู่กับหยางซานซินตะโกนก้องเรียกสติของชายหนุ่ม จ้าวอวิ๋นขบกรามแน่น เขาทำได้เพียงกวัดแกว่งป้องกันทหารที่พยายามโจมตีเขา ซึ่งมันมิน่าเป็นห่วงเท่าหญิงสาวผู้ที่ปกป้องเขากับน้องชายในตอนนี้เลย ร่างของหรู่อี้โชกไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่นางกลับมิปริปากร้องโอดครวญแม้แต่น้อย ทุกถ้อยคำมีเพียงโม่คังเท่านั้นถงม่งเหยาพยายามอย่างมากที่จะฝ่าวงล้อมศัตรูเข้าช่วยเหลือหรู่อี้ ทว่า ตัวนางเองยังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรูเช่นกัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดคลอหน่วยตาของใครหลายคน พวกเขาจะเก่ง
อุทยานหลวงโม่คังพร้อมด้วยชูถงยืนนิ่งมองไปยังบุรุษต่างวัยอีกสองคน ซึ่งมิได้มีแค่เท่าที่เห็น ทว่าเขาสองคนตกอยู่กลางวงล้อมของทหารกบฏนับสิบเลยทีเดียว ทั้งคู่ลอบสบตากันเป็นระยะ“เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ชูถง ว่าคนอย่างเจ้ามันภักดีต่อโม่เหยียนเฉา ยากที่จะร่วมมือกับข้าหักหลังนายเจ้าได้”“แล้วอย่างไร…ที่ข้าช่วยเจ้าในวันนั้น ก็เพื่อให้มีวันนี้อย่างไรเล่า หากเจ้าตายไป แล้วใครจะพาข้ากลับเมืองหลวง…”ราชครูหลิวกำหมัดแน่น แต่ยังเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดออกมา เขารู้มาโดยตลอดว่าชูถงมิได้ต้องการที่จะร่วมมือตั้งแต่แรก การที่ยอมให้ร่วมในขบวนการ เพียงเพราะเรื่องของบุตรสาวและหลานชายที่ตายไปแล้วเท่านั้น หากจะกำจัดเสนาบดีผู้นี้เสียก็ย่อมทำได้ แต่ด้วยเจียงไห่เป็นเมืองที่ญาติผู้พี่มีอำนาจ เขาจะลงมืออันใดย่อมมิมีทางรอดพ้นสายตาคนเช่นหลิวไห่เป็นแน่“ฮา ๆ ไหน ๆ วันนี้ ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้ว หนี้แค้นทั้งหมดก็มาชำระกันให้เสร็จสิ้นเถิด”“กับข้าสินะ”ในที่สุด โม่คังก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเมื่อคำว่าหนี้แค้นหลุดออกจากปากของอีกฝ่าย เขาไม่สนว่า ตอนนี้ หยางซานซินจะจดจำได้หรือไม่ว่าแท้จริงเขาคือใคร สนเพียงแค่วันนี้จะชำ
เลือดสีดำคล้ำพุ่งออกจากปากของพี่น้องสกุลโม่ ทำให้จ้าวเหลียนและมู่ตานขยับเข้าประชิดร่างของสามีตนเองด้วยความเป็นห่วง เวลานี้กลับกลายเป็นพวกนางเสียเองที่ตกอยู่สภาวะเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เวลาคับขันเช่นนี้ ผู้ทรยศคือองครักษ์และทหารในวัง ย่อมไม่แปลกที่พวกนางจะไร้คนปกป้องฉึก! ฉับ! “อ๊ากก!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของศัตรูเรียกสายตาคนทั้งสี่ให้หันมอง ร่างสูงตระหง่านของบุตรเขยสกุลโม่ยืนหน้านิ่งไร้ความรู้สึก ทุกก้าวของชายหนุ่มนั้นดูเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็งจากแดนเหนือก็มิปาน อาวุธในมือที่กวัดแกว่งออกไปทุกครานั้นจะต้องได้ดื่มเลือดของศัตรูถงเหยียนเจี๋ยในเวลานี้ยากที่ใครจะคาดเดาว่าเขารู้สึกเช่นไร ด้วยข้างกายของชายหนุ่มนั้นไม่มีภรรยาอยู่เคียง ความเยือกเย็นของเขาน้อยคนที่จะได้เห็น ไอสังหารพวยพุ่งออกมาจนจิ้งอ๋องถึงกับถอยร่นไปด้านหลัง เลือดที่หยดตามปลายอาวุธเสมือนการข่มขวัญศัตรู ชายหนุ่มมิได้หันมองไปยังครอบครัวของพ่อตา แต่ดวงตาเย็นชาจ้องมองอยู่ที่จิ้งอ๋องแต่ผู้เดียว“ผู้ใดที่คิดทำให้ภรรยาของข้าเศร้าหมอง มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”“ฮา ๆ ยามใดกันที่ข้าไปทำภรรยาของเจ้าเศร้าหมอง”จิ้งอ๋อ