ตอนที่42.ยี่สิบลี้ห่างจากประตูเมืองเส้นทางทิศเหนือคณะของโม่หยวนฟาง ทำการหยุดพักอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นสาเหตุให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่กำหนด แม้ร่างกายของท่านอ๋องน้อยจะดีขึ้นบ้าง แต่ยังมิควรถูกกระทบกระเทือนใด ๆ อีกในช่วงเวลานี้ ทำให้หน้าที่ในการนำคณะเดินทางครั้งนี้ตกมาอยู่ที่ผู้เป็นน้องเขยอย่างถงเหยียนเจี๋ย และคนของจ้าวอวิ๋น โดยได้รับการคุ้มกันอีกชั้นจากมิตรต่างแคว้นชาวจิ้งหนาน“ท่านพ่อ ลูกผิดต่อท่านพ่อยิ่งนัก” เมื่อมีโอกาส เมี่ยวจ้านก็ไม่รั้งรอจะเอ่ยกับพระบิดา“เจ้ามิผิดอันใดเลยลูกรัก พ่อมิใช่เด็กอ่อนเดียงสาที่จะมิรู้ว่าเจ้าทำไปเพราะเหตุผลอันใด”ฮ่องเต้แห่งจิ้งหนานตบลงยังบ่าของพระธิดาประหนึ่งนางคือบุรุษก็มิปาน ทำให้คนอื่น ๆ ในคณะจากชีเป่ยต่างพากันมองสิ่งที่สองพ่อลูกกระทำ ก่อนจะพากันหันไปยังรถม้าที่มีคนเจ็บเช่นโม่หยวนฟางอยู่ด้านในชายหนุ่มจะรู้หรือไม่ว่าบิดาของหญิงคนรักนั้นมิใช่ธรรมดาอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน และดูเหมือนชายหนุ่มเองก็รู้ตัวอยู่เช่นกันว่าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดในอนาคต“ท่านพี่ แน่ใจรึเจ้าคะ ว่าพี่เมี่ยวจ้านจะมิสังหารท่านอ๋องน้อยหากวันใดเกิดความแคลงใจกัน”ถงม่งเหยาเอ่ยถามผู้เป็
“เจ้ากำลังจะเชิญชวนคนเหล่านั้นมาเยี่ยมเยียนสินะ”“แค่เพียงเย้าแหย่เองนะเจ้าคะ อย่างไรเสีย คนพวกนั้นก็ต้องมาตรวจดูว่าท่านพี่หยวนฟางบาดเจ็บจริงหรือไม่ เราแค่เบี่ยงเบนสายตาเสียหน่อยจะเป็นไรไปเล่าเจ้าคะ”ฝ่ายสามีมีรอยยิ้มน้อย ๆ ขณะส่ายหน้าเบา ๆ “ซุกซนเกินไปแล้ว ภรรยาข้า”“เพราะข้ารู้ดีว่า ท่านพี่ไม่มีทางให้อันใดเกิดขึ้นกับข้าอย่างแน่นอน จริงหรือไม่เจ้าคะ”โม่ฟางเล่อยิ้มจนดวงตาคู่งามหยีจนแทบปิด ยิ่งทำให้ถงเหยียนเจี๋ยถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาบ้างเช่นกัน ด้วยความเอ็นดูในภรรยานักหนา“พี่สัญญาต่อเจ้า เล่อเล่อ ว่าตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจ จะไม่มีสิ่งใดแตะต้องเจ้าได้แม้แต่ปลายเส้นขน จงรู้ไว้ว่า เพียงเจ้าเจ็บเล็กน้อย ใจพี่นั้นเจ็บกว่าเจ้าหลายเท่านัก”“ปากหวานเหลือเกินนะเจ้าคะ สามีข้า”เสียงหัวเราะเบา ๆ ของสองสามีภรรยา และการหยอกเย้าของทั้งคู่นั้นมิอาจหลุดรอดจากสายตาของผู้คนที่รถม้าผ่านวิ่งผ่านไป ด้วยม่านผืนบางปลิวสะบัดเปิดให้เห็นได้โดยมิต้องใช้ความพยายามใด ๆ เพื่อจะมองเข้าไปด้านในขบวนรถม้าทั้งสามคันผ่านไปพร้อมทั้งทิ้งความสงสัยให้แก่ชาวเมือง และเริ่มการกระจายข่าวด้วยต่างแข่งขันกันออกความคิดเห็น
ตำหนักหลิวกุ้ยเฟยร่างระหงนั่งหวีผมอยู่อยู่บนเตียงนอน ดวงตากลับเหม่อลอยเสมือนไร้จุดหมาย ใจของนางนั้นยังมีบาดแผลใหญ่อยู่ภายใน จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อบัดนี้ สิ่งที่วาดฝันเอาไว้ได้สูญสลายไปแล้ว การแย่งชิงเป็นเรื่องของผู้อื่น แต่สำหรับนาง การแก้แค้นคือเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จพรึ่บ! ร่างในชุดดำปรากฏกายจากหน้าต่างอีกด้าน ก่อนจะก้าวตรงมานั่งลงเก้าอี้ตรงหน้าเจ้าของห้อง ดวงตาคมสบเข้ากับแววตาไหวระริกของคนตรงหน้า“ใบหน้านี้เป็นเพียงสิ่งลวงตา แต่เรื่องที่ข้ามาหาเจ้าที่นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องรับรู้และเชื่อฟัง”“ฮึ! ไยข้าต้องทำตามด้วยเล่า ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา คนเช่นเจ้าก็เอาแต่หลบอยู่แต่ในคอกม้า”“เจ้ารู้เหตุผลดีกว่าผู้ใด อย่าให้ข้าต้องมานั่งสาธยายเรื่องในอดีต”“มีเรื่องใด เจ้าถึงกล้ามาสั่งข้าเช่นนี้”“ห้ามให้เจ้าทำสิ่งใดเป็นอันขาดเมื่อโม่ไป๋หลานปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยง”ขวับ! ใบหน้างามหันกลับมามองหน้าของชายหนุ่มในทันที ดวงตาที่เคยไหวระริกแปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ด้วยไฟแห่งความแค้น“นางมาเมืองหลวงเช่นนั้นรึ หึ ๆ ข้ามิต้องเสียแรงตามหาให้ยากสินะ”“เจ้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดอีกหรืออย่างไรกัน”
ร่างบางขยับกายลงนั่งยังขอบเตียง ก่อนจะขยับเอนกายลงตะแคงงอร่างเอาไว้ ดวงตาวาวใสมองไปยังร่างที่ทอดยาวอยู่ด้านข้าง ก่อนที่เรียวปากจะขยับเหยียดออกเล็กน้อย‘จ้าวอวิ๋น นอกจากท่านจะรูปงามและบ้าอำนาจแล้ว ท่านยังเป็นบุรุษที่น่านับถือยิ่งนัก ข้ามิเสียใจสักนิดที่มอบทั้งใจข้าแก่ท่าน ข้ารักท่าน’ทุกถ้อยคำของหญิงสาวมิได้เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากแม้แต่ครึ่งคำ มันถูกพร่ำพรรณนาอยู่ภายในใจ ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะปิดลงด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานหลายวันรอยยิ้มของจ้าวอวิ๋นคลี่ออกกว้างด้วยความสุขใจ เขาจะให้เกียรตินางอันเป็นที่รักจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ศึกนี้ต่อให้ต้องเสียเลือดแทบหมดกาย เขาก็จะปกป้องหญิงสาวให้ปลอดภัย‘เพราะแบบนี้สินะ ที่น้อง ๆ ของข้าต่างพากันตกอยู่ในหลุมแห่งรัก มันทั้งหอมหวานและอันตราย แต่ข้ายอมที่จะตกลงไปในหลุมของเจ้าอย่างเต็มใจ ถงม่งเหยา’ มือหนาขยับไปยังมือบางของหญิงสาว ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มแรงบีบเพียงเล็กน้อย สองร่างต่างถ่ายทอดความรู้สึกผ่านการสัมผัสมือที่กอบกุมกัน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงแห่งการหลับใหลไปพร้อม ๆ กันด้วยรอยยิ้มอีกด้านของตัวบ้าน ร่างสูงของจ้าวหมิงเยว่ยืนกอดอกแหงนมองดวงดาวอันพร่างพ
พระชายาในท่านอ๋องเจ็ดย่อกายอย่างงดงาม ก่อนจะยืดกายขึ้นแย้มยิ้มเผยถึงความงามที่ดูอ่อนวัยกว่าอายุ สตรีสูงศักดิ์ทั้งสองยิ้มให้กันเสมือนเรื่องบาดหมางภายในนั้นมิเคยมีมาก่อน“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้า”ท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางประสานมือโค้งกายคำนับภรรยารองของผู้เป็นลุง หลิวกุ้ยเฟยยื่นมือบางออกมานอกแขนเสื้อเพียงเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้แก่ชายหนุ่มทำตัวตามสบาย“ท่านอ๋องน้อย ตามสบายเถิด มิต้องมากพิธี”ทว่า ดวงตาคู่งามกลับมองเลยไปยังชายหญิงด้านหลังของหลานชายของพระสวามี ท่านอ๋องเจ็ดมองทุกการกระทำของพี่สะใภ้รองอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงขยับไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนห่างออกไปเพียงเล็กน้อยด้านหลังพระโอรส“หลิวกุ้ยเฟย นี่คือบุตรสาวบุญธรรมของข้าเอง โม่ฟางเล่อ นางเพิ่งกลับลงจากเขาจิ้งฮั่วเมื่อมินานเพื่อเข้าวังมาทำความเคารพเสด็จพี่และเชื้อพระวงศ์ ส่วนนี่คือถงเหยียนเจี๋ย สหายรักของหยวนฟางและเป็นสามีของฟางเล่อ อย่างไรเสีย ข้าก็หวังว่าหลิวกุ้ยเฟยจะเมตตานางบ้าง”“โม่ฟางเล่อ ถวายบังคมพระนางหลิวกุ้ยเฟยเพคะ”“ถงเหยียนเจี๋ย ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระนางหลิวกุ้ยเฟย”“โม่ฟางเล่อ เจ้าช่างงดงามสูงค่ามิแตกต่างจากท่านหญิงโม่ไป๋
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม แขกทั้งจากต่างแคว้นและภายใน มากันครบพร้อมของขวัญล้ำค่ามากมาย“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”เสียงลู่กงกงประกาศดังก้องไปทั่วบริเวณ ถึงการมาของฮ่องเต้โม่เหยียนเฉา บุรุษในชุดสีทองก้าวออกมาจากม่านด้านข้างก่อนจะเดินตรงไปยังที่ประทับซึ่งจัดไว้เคียงข้างฮองเฮาผู้เป็นภรรยาเอก เสียงอวยพรดังทั่วทั้งงาน มือหนายกขึ้นสูงเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง“วันนี้เป็นวันมงคลของข้าและชาวชีเป่ย สุราจอกนี้ ข้าโม่เหยียนเฉาขอคารวะทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมแสดงความยินดีแก่ข้าและองค์หญิงจากแคว้นตง องค์หญิงกั๋วเชียง”ทุกคนต่างยกจอกสุราขึ้นเป็นการตอบรับคำของฮ่องเต้แห่งชีเป่ย ก่อนจะพากันดื่มด้วยใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม“ฝ่าบาทได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ลู่กงกงขยับเข้ากระซิบข้างหูผู้เป็นนายเมื่อได้เวลาในการเริ่มพิธีแล้ว ฮ่องเต้โม่เหยียนเฉาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ก่อนจะหันไปยิ้มละมุนให้กับคู่ชีวิตซึ่งนั่งเคียงข้างแม้ในวันที่เขาจะมีสตรีอื่นเพิ่มเติม ทุกอย่างมันคือหน้าที่ มิใช่ความต้องการแม้แต่น้อย“แค่เจ้าเข้าใจ มิว่าใครก็ไม่สำคัญสำหรับข้า เหลียนเอ๋อร์”“หม่อมฉันเลือกที่จะอยู่ข้าง พระองค์ก็อย่าได้ทรงกังวลไปเพคะ ม
ร่างสูงของจ้าวอวิ๋นก้าวยาว ๆ ผ่านอุทยานหลวง เพื่อไปยังตำหนักของผู้เป็นลุงเขย“เจ้าไปไหนมา”เสียงทรงอำนาจที่เหมือนพยายามให้ดูเคร่งขรึมในความรู้สึกของคนฟัง ทว่า สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจากจ้าวอวิ๋นคือรอยยิ้มกว้าง เสมือนคำพูดหรือสีหน้าของคนพูดไม่มีผลอันใดต่อชายหนุ่มเลยสักนิดจ้าวหลานเค่อได้แต่ทอดถอนใจกับบุตรชายคนโตที่ดูจะไม่เอาไหนในสายของคนทั่วไป“ข้าแค่เบื่อหน่ายพิธีเหล่านั้น เลยหลบไปหาสุราดื่มเพียงเล็กน้อยน่าท่านพ่อ”“อวิ๋น เจ้าเป็นถึงหลานชายคนโตของฮองเฮา ไยทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ เฮ้อ…เจ้าจะทำให้ท่านอาของเจ้าเดือดร้อนเอาได้”“ท่านพ่อรู้เห็นอันใดมาเช่นนั้นรึ ไยคิดว่าข้าจะเป็นสาเหตุให้ท่านอาเดือดร้อน”“จะ…เจ้า เฮ้อ! พวกเจ้าแต่ละคนคิดจะทำให้ข้าอกแตกตายก่อนให้ได้เลยใช่ไหม”“ท่านพ่อก็ชรามากแล้ว อย่าคิดสิ่งใดให้มาก ควรรักษาชีวิตเอาไว้ให้นาน ๆ พวกข้ากำพร้าแม่แล้ว มิอยากกำพร้าพ่อไปอีกคน”พูดจบ จ้าวอวิ๋นรีบขยับถอยห่างจากผู้เป็นบิดา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้จ้าวหลานเค่อได้แต่พยายามควบคุมลมหายใจมิให้เหนื่อยหอบเพราะความโมโห“นายท่านจะคิดอะไรให้เหนื่อย อย่างไรเสีย ท่านก็บังคับอะไรพวกเรามิได้อยู่แล้ว”เ
ชายหนุ่มหยุดเท้ามิห่างจากร่างในชุดคลุมสีดำ ซึ่งตอนนี้ ร่างนั้นยืนอยู่กลางลานกว้าง แสงจากพระจันทร์เต็มดวงส่องลงมาให้เห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือผู้ใด“ดึกดื่นเช่นนี้ แม่นางอี้เหมยมิควรออกมาเดินเล่นเลยนะ”“ควรเป็นข้าที่จะต้องถามเจ้ามากกว่า ว่าไยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มิใช่ต้องตามคณะของคุณชายเยว่เข้าสู่เมืองหลวงหรอกรึ”“ข้าแค่ออกมาเดินชมจันทร์ยามราตรีเท่านั้น อ้อ! ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าแม่นางอี้เหมยเองก็ชื่นชอบการเดินเล่นยามค่ำคืน”“ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักข้าดีทีเดียวนะ แต่ว่า…”พรึ่บ! เพียงพริบตา ชายหนุ่มก็ตกอยู่กลางวงล้อมของผู้มาใหม่อีกห้าคน รวมหญิงสาวตรงหน้าด้วยแล้วก็คือหกต่อหนึ่ง ทว่า ร่างสูงกลับยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีตื่นกลัว มือหนาไม่แม้จะขยับเพื่อจับอาวุธของตนเองเลยด้วยซ้ำไป ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามทุกคนต่างพากันรู้สึกเสมือนถูกหยามเกียรติโดยมิรู้ตัวอย่างไรอย่างนั้น“น่าเสียดายที่เจ้าต้องไปชมจันทร์ในยมโลกแทน”“ดูเหมือนแม่นางจะมั่นใจมากเลยนะว่าข้าจะได้ไปท่องเที่ยวยังยมโลก”“ปากดีไปเถอะ จัดการซะ ข้ารีบ” อี้เหมยสะบัดเสียงสั่งคนของนางทั้งห้าทว่า ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะไม่สะทกสะท้าน ยังคงเอ่ยถามอย
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักเก่าฮองเฮาจ้าวเหลียนร่างสูงนอนเหยียดยาวโดยรอบกายนั้นมีหินร้อนวางไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น ไอเย็นของโม่คังแม้จะถูกสกัดเอาไว้โดยผู้เป็นอาจารย์ แต่ยังมิใช่ว่าภายในของเขาจะกลับมาเป็นปกติ จนถึงเวลานี้ โม่คังยังไร้วี่แววจะรู้สึกตัว และสิ่งที่ทุกคนนั้นเป็นกังวลกว่าคือหากโม่คังตื่นขึ้นมาพบว่าหรู่อี้หายไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างตอนนี้ ภายในตำหนักทุกห้องมีคนเจ็บที่ยังไร้ซึ่งสติกันแทบทุกคน ยกเว้นเพียงโม่ฟางเล่อที่ออกติดตามสามีเดินทางไปยังเกาะดอกเหมย เพื่อส่งร่างของถงม่งเหยาตามคำขอของจ้าวอวิ๋น การสูญเสียของสองพี่น้องสกุลจ้าวทำให้โม่เหยียนเฉาและจ้าวเหลียนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าสิ่งใดที่หลานชายขอมา เขายินดีที่จะมอบให้ทั้งสองสามีภรรยานั่งเฝ้าบุตรชายเพียงคนเดียว ตอนนี้ ผมของโม่คังจากดำสลวยกลับกลายเป็นขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายที่เคยมีสีเลือด ตอนนี้ขาวซีดไร้สีสัน จ้าวเหลียนกุมมือของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในตอนนี้นอกจากการตื่นของโม่คัง“อี้เอ๋อร์”โม่เหยียนเฉาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อคำแรกที่บุตรชายของเขาเอ่ยออกมาทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทนั้นคือชื่อของคู่หมั้