เสียงกลองศึกดังไปทั่วสนามรบ ทหารมากมายของทั้งแคว้นเหอและแคว้นอู่ต่างสู้รบกันอย่างดุเดือดนานถึงสามวันสามคืนแล้ว พวกเขาเริ่มอ่อนล้าและหิว เพียงแต่หากพวกเขาเผลอแสดงออกว่าอ่อนแรงเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ศัตรูก็คงจะใช้จังหวะนี้สังหารพวกเขาเป็นแน่
ฟู่หยุนชิง แม่ทัพหญิงแห่งแคว้นเหอเองก็ใช่ว่าจะไม่เหนื่อยล้า ตอนนี้นางกับหยางไป่เฉียวแม่ทัพของแคว้นอู่สู้รบกันมาโดยต่างคนต่างมีบาดแผลเต็มตัวกันไปหมดแล้ว เพียงแต่พวกเขาสองคนเป็นผู้นำทัพ ต่างฝ่ายจึงต่างไม่ยอมที่จะเพลี่ยงพล้ำให้คนของตนเองหมดสิ้นกำลังใจ
รองแม่ทัพของพวกเขาก็ต่อสู้กันใกล้ ๆ กับท่านแม่ทัพของตนเอง ทั้งสองฝ่ายต่างทุ่มเทกายใจใช้วรยุทธของตนเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้รองแม่ทัพของแคว้นเหอเป็นฝ่ายได้เปรียบรองแม่ทัพของแคว้นอู่แล้ว เขามาเป็นรองแม่ทัพโดยที่ทางบ้านไม่ยินยอม แต่ด้วยความรักแว่นแคว้น เขาจึงอาสาฮ่องเต้ออกรบพร้อมกับฟู่หยุนชิงซึ่งเป็นแม่ทัพ ตัวเขาเองไม่เคยคิดเลยว่าการเป็นทหารจะต้องโหดร้ายกับศัตรูมากมายถึงขนาดนี้ เห็นได้จากการที่ต่างฝ่ายต่างตัดคอศัตรูของตนเองจนตกตายไป มีน้อยคนนักที่ตายโดยร่างยังสมบูรณ์ บางคนขาขาดแขนขาดเสียด้วยซ้ำก่อนจะถูกฆ่า เขาเห็นแล้วก็ได้แต่เร่งมือเพื่อที่จะไปช่วยแม่ทัพของเขาซึ่งดูท่าทางว่าจะอ่อนแรงแล้ว ไม่กี่กระบวนท่าที่รองแม่ทัพใช้ไป เขาสามารถโค่นศัตรูตรงหน้าได้แล้ว แต่พอหันไปมองท่านแม่ทัพที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ ในใจเขาคิดเพียงว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยนางเอาไว้ได้ รองแม่ทัพใช้กำลังภายในของตนเองจนถึงขีดสุดและวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศของตนเองไปยืนอยู่หน้าท่านแม่ทัพของเขา แต่ฝีมือของเขากับแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามต่างกันเกินไป รองแม่ทัพถูกดาบฟันจนร่างแทบขาดสะพายแล่ง ฟู่หนิงชิงเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่โกรธตนเองที่อ่อนแอ นางรับร่างของรองแม่ทัพพร้อมรอยน้ำตา จากนั้นฟู่หยุนชิงใช้วิชาทั้งหมดที่นางมีอยู่อย่างพร้อมที่จะตายไปกับศัตรูที่ฆ่าคนของนาง
แม่ทัพแคว้นอู่ที่ทุ่มเทฝีมือชั่วชีวิต ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาขวาง ตอนนี้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วจึงได้แต่ใช้พลังชีวิตที่เหลืออยู่รับกระบวนท่าอันรุนแรงของฟู่หยุนชิง นางที่กำลังโกรธมากมีหรือที่แม่ทัพแคว้นอู่จะสู้กับนางได้ เขามองรองแม่ทัพซึ่งถูกฆ่าไปก็ได้แต่ฝืนรับมือกับฟู่หนิงชิงซึ่งกำลังบ้าคลั่ง
ไม่ถึงยี่สิบกระบวนท่า แม่ทัพแคว้นอู่ก็ถูกฟู่หยุนชิงสังหาร นางตะโกนเสียงดังว่าแม่ทัพแคว้นอู่สิ้นใจแล้ว บรรดาทหารแคว้นอู่ที่ได้ยินต่างมองไปที่จุดเดียวกัน เมื่อพบว่าท่านแม่ทัพสิ้นแล้วจริง ๆ พวกเขาจึงได้แต่ล่าถอยอย่างทุลักทุเล ฟู่หยุนชิงสั่งให้ทหารฝ่ายแคว้นเหอไม่ต้องตามไป เพราะนางเห็นแล้วว่าแต่ละคนเหนื่อยล้าสายตัวแทบขาดขนาดไหน การตามพวกเขาไปยิ่งจะทำให้นางเสียคนไปมากกว่านี้ ตอนนี้กองทัพของนางเหลือน้อยเต็มทีแล้วด้วย นางต้องการรักษาชีวิตของทุกคนเอาไว้เสียก่อน
หลังจากศัตรูจากไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ฟู่หยุนชิงสั่งให้ทหารที่เหลือช่วยกันนำร่างของเพื่อนทหารไปฝังรวมกัน ส่วนตัวนางเองนั้นยกร่างของรองแม่ทัพที่ใช้ชีวิตของตนเองช่วยนางเอาไว้พร้อมน้ำตาคลอเบ้า นางไม่คิดจริง ๆ ว่าคนที่เงียบงันเช่นเขาจะใช้ชีวิตเพื่อช่วยเหลือนาง ฟู่หนิงชิงได้แต่ให้ทหารทำโลงศพอย่างดีขึ้นมาเพื่อส่งร่างเขากลับเมืองหลวง การกลับไปของทหารนางครั้งนี้รวมถึงการส่งข่าวเรื่องการศึกในครั้งนี้ให้ฮ่องเต้รับทราบด้วย ตอนนี้ชายแดนยังไม่สงบ นางไม่สามารถกลับเมืองหลวงโดยไม่มีคำสั่งจากฮ่องเต้ ฟู่หยุนชิงจัดการเรื่องราวทั้งหมดภายในสามวันโดยไม่ได้พักผ่อนดี ๆ เสียด้วยซ้ำ
บรรดาทหารของนางเห็นนางที่เป็นหญิงยังคงสั่งการพวกเขาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย พวกเขาที่เป็นชายมีหรือจะยอมเสียหน้าพักผ่อนก่อนนางกัน รองแม่ทัพกวานได้แต่เตรียมการทั้งหมดตามคำสั่งของฟู่หยุนชิง พร้อมทั้งตัวเขาเองที่จะต้องเข้าไปรายงานการศึกกับฮ่องเต้ ฟู่หยุนชิงสั่งให้เขารายงานไปตามความจริงทั้งหมด หากฝ่าบาททรงกริ้วก็ให้มาลงโทษนางแทน นางจะรอคำสั่งอยู่ที่ชายแดนแล้วจะรีบกลับไปเมืองหลวงตามที่รับสั่ง แต่ตอนนี้นางยังต้องเฝ้าระวังชายแดนและปกป้องชาวบ้านเสียก่อน
รองแม่ทัพกวานที่อายุมากแล้วได้แต่สงสารฟู่หยุนชิง เขาเองก็คิดว่าฮ่องเต้น่าจะทรงกริ้วอย่างที่นางคาดเดา แต่เขาไม่รู้หรอกว่าฝ่าบาทจะลงโทษฟู่หยุนชิงอย่างไร ครั้งนี้พวกเขาสูญเสียหนักมาก ไหนจะรองแม่ทัพหลางที่สละชีวิตปกป้องท่านแม่ทัพอีกเล่า เสนาบดีกรมอาญามีหรือจะยอมให้ลูกชายตายเปล่า เขาจะต้องเอาเรื่องท่านแม่ทัพของพวกเขาเป็นแน่ รองแม่ทัพกวานได้แต่คิดอย่างเศร้าใจ เขาทำงานกับฟู่หยุนชิงมาหลายปีจนรู้ว่ากว่าที่นางจะได้มาถึงจุดที่ได้เป็นแม่ทัพไม่ง่ายนัก นางต้องฝ่าฟันทั้งคำครหาและการไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าขุนนาง แต่เนื่องจากฝีมือวรยุทธของนางที่สูงส่งที่สุดในแคว้นเหอแห่งนี้ ฮ่องเต้จึงไม่มีทางเลือกและส่งนางมาที่ชายแดนในตอนที่แม่ทัพคนเก่าถูกสังหารไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว
ฟู่หยุนชิงหลังจากสั่งการทั้งหมดเสร็จสิ้นจึงได้เข้าไปพักผ่อนเพื่อรอข่าวจากเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันที่จะถึง ที่นี่เป็นชายแดนตะวันออกซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุด หากชายแดนแห่งนี้ถูกตีแตก แน่นอนว่าศัตรูย่อมเข้าสู่เมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย นางจึงได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชายแดนแห่งนี้โดยไม่สนใจว่าตนเองจะตกตายหรือไม่
รุ่งเช้าวันต่อมา รองแม่ทัพกวานออกเดินทางพร้อมทหารอีกสิบนายเพื่อกลับเมืองหลวง พวกเขาเดินทางได้ไม่เร็วนักเนื่องจากต้องนำโลงศพของรองแม่ทัพหลางกลับไปด้วย แต่อย่างไรระยะทางของชายแดนถึงเมืองหลวงก็เพียงแค่ใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น
ระหว่างที่ฟู่หยุนชิงรอคำสั่งของฮ่องเต้อยู่ที่ชายแดน เมืองหลวงในตอนนี้กลับไม่สงบเนื่องจากข่าวการศึกที่มาจากชายแดน โดยเฉพาะเสนาบดีกรมอาญาที่รู้ว่าลูกชายสุดที่รักของตนเองสละชีพในศึกครั้งนี้ เขาถวายฎีกาเอาผิดฟู่หยุนชิงที่ไม่ปกป้องลูกน้องของตนเอง แต่กลับให้ลูกชายของเขาเป็นคนปกป้องนางจนต้องตายไป
ฮ่องเต้ได้แต่หนักใจ ใช่ว่าเขาอยากจะลงโทษฟู่หยุนชิงที่ปกป้องชายแดนเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด เพียงแต่หากเขาไม่ลงโทษนาง ต่อไปใครจะกล้ามารับใช้เขาเล่า อีกอย่างก่อนที่นางจะได้รับตำแหน่งแม่ทัพในคราวนี้ เป็นเขาที่ฝ่าฝืนคำเตือนของบรรดาขุนนางแล้วส่งนางพร้อมทั้งหลางจวิ้นไปสู้ศึกที่ชายแดนในครั้งนี้ อีกทั้งคราวนี้แคว้นของพวกเขาสูญเสียทหารมากกว่าครึ่ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาจึงจำเป็นต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
เหล่าขุนนางที่ไม่ชอบฟู่หยุนชิงอยู่แต่เดิมต่างถวายฎีกาให้นางฆ่าตัวตายเพื่อรับความผิด ฮ่องเต้ต่อสู้กับพวกขุนนางอยู่นานถึงสามวัน กว่าที่เขาจะต้องร่างราชโองการอย่างจำใจ คราวนี้เขาได้แต่ต้องขอโทษฟู่หยุนชิงที่ต้องเอาชีวิตนางเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นขุนนางเหล่านี้คงไม่ไว้หน้าเขาแน่แล้ว
สองสัปดาห์ต่อมา แม่ทัพคนใหม่พร้อมขันทีประจำพระองค์ก็มาถึงค่ายทหารชายแดน ขันทีประกาศราชโองการให้ฟู่หยุนชิงกลับเมืองหลวงไปรับโทษที่ทำให้แคว้นเหอสูญเสียมากมายกว่าที่แม่ทัพผู้อื่นเคยรักษาชายแดนมา แม่ทัพคนใหม่นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาเป็นบุตรชายเสนาบดีที่รอโอกาสจะเป็นแม่ทัพมานานมากแล้ว ครั้งนี้เขาจึงมาที่นี่อย่างภาคภูมิใจที่ผู้หญิงอย่างฟู่หยุนชิงหลุดจากตำแหน่งเสียที เขากับนางต่อสู้กันมาตลอดหลายปีเพื่อตำแหน่งนี้ แต่ที่สุดแล้วเขาต้องเพลี่ยงพล้ำให้นางอยู่ตลอด ซึ่งสำหรับเรื่องกลศึกนั้นเขาเก่งกว่านาง ส่วนฝีมือการต่อสู้เขาด้อยกว่านางมากนัก
ฟู่หยุนชิงรับราชโองการมาจากขันทีพร้อมกับมอบสินน้ำใจให้เขา นางรู้ดีว่าจะต้องเจออะไรเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง แต่ตอนนี้จิตใจของนางยังไม่สงบจากสิ่งที่เพิ่งประสบมา ยิ่งเรื่องของรองแม่ทัพหลางที่สละชีพเพื่อนาง ยิ่งทำให้ฟู่หยุนชิงฝันร้ายมาหลายคืนแล้ว นางได้แต่ขอโทษเขาในฝันที่ไร้ฝีมือจนทำให้เขาต้องตกตายไปเช่นนี้
ขันทีเฒ่าเมื่อเห็นว่านางยังสงบนิ่งอยู่ทั้งที่ต้องกลับไปรับโทษก็ได้แต่นับถือนางซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในค่ายทหารแห่งนี้ เขารู้ดีว่ากลับไปแล้วนางต้องรับโทษอย่างไร เขาเองก็ไม่ต่างจากฮ่องเต้ที่เสียดายคนเก่งเช่นนาง หากครั้งนี้นางไม่วางแผนการรบผิดพลาดจนทำให้มีคนตกตายมากมายเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็คงไม่ลงดาบกับนาง
ฟู่หยุนชิงกลับไปเก็บสิ่งของไม่นานก็ออกมาพบขันทีเฒ่า นางแจ้งว่าพร้อมที่จะเดินทางแล้ว และให้คนไปเอาม้าศึกของนางมา ขันทีเฒ่าไม่คิดว่านางจะออกเดินทางทันทีเช่นนี้ทั้งที่พวกเขาเพิ่งมาถึง แต่ในเมื่อนางต้องการ เขาที่เป็นแค่ขันทีเฒ่าก็ได้แต่ต้องทำตามความต้องการของนาง
ขบวนเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ฟู่หนิงชิงซึ่งไม่นำพากับชีวิตตนเองแต่แรกนั้นนิ่งสงบที่สุดในขบวนเดินทางแล้ว ขันทีเฒ่ายิ่งมองนางก็ยิ่งสงสาร แต่เขาไม่รู้จะช่วยนางได้อย่างไร เพราะขนาดฝ่าบาทออกหน้าว่าจะลงโทษเพียงแค่เบาะ ๆ ซึ่งทำให้พวกขุนนางต่างไม่พอใจจนถวายฎีการ่วมกันว่าพวกเขาต้องการให้นางตายเพื่อชดใช้ความผิด รวมทั้งต่อไปจะไม่มีแม่ทัพหญิงอีก ฮ่องเต้ที่ถกเถียงกับพวกเขามานานจึงถูกมัดมือชกให้ประหารนางด้วยยาพิษเช่นนี้
เมื่อถึงวังหลวงแล้ว ฟู่หยุนชิงก็เข้าเฝ้าฝ่าบาททันที บรรดาขุนนางทั้งหลายที่รู้ข่าวตั้งแต่หน้าประตูเมืองเองก็เข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเช่นกัน พวกเขาอยากเห็นจุดจบของฟู่หยุนชิงว่าจะเป็นอย่างไร
ฮ่องเต้ได้แต่นึกเสียใจที่เขาต้องทำเช่นนี้ เขาได้แต่ฝืนให้ขันทีเฒ่าอ่านราชโองการประหารนางด้วยยาพิษอย่างเศร้าสร้อย โดยตัวฮ่องเต้เองไม่แม้แต่จะมองหน้าฟู่หยุนชิง ส่วนพวกขุนนางทั้งหลายต่างก็ยิ้มอย่างพอใจที่แคว้นของพวกเขาไม่มีผู้หญิงเป็นแม่ทัพอีกต่อไป ด้วยความคิดคร่ำครึของพวกเขาเองที่เห็นว่าฟู่หยุนชิงไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่นี้แต่แรกแล้ว
หลังจากฟังราชโองการจบ ฟู่หยุนชิงก็กล่าวน้อมรับราชโองการเสียงดังฟังชัด พร้อมทั้งรับถ้วยยามาจากนางกำนัลที่ยื่นให้นาง นางกำนัลเองก็ได้แต่น้ำตารื้นด้วยความผิดหวังที่ฝ่าบาทตัดสินโทษให้ท่านแม่ทัพต้องกลืนยาพิษเช่นนี้ ก่อนที่ฟู่หยุนชิงจะกลืนยาพิษ นางกล่าวขอพระราชทานอภัยกับฮ่องเต้ที่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง รวมทั้งกล่าวว่าทางศัตรูเองก็สูญเสียไม่น้อยเช่นเดียวกัน นางคาดว่าอีกหลายปีนับจากนี้จะยังไม่มีการรุกรานจากข้าศึกเป็นแน่ หลังพูดจบนางก็กล่าวลาฮ่องเต้และแสดงความเสียใจที่นางไม่สามารถรับใช้พระองค์ได้อีกในชาตินี้ จากนั้นนางก็กลืนยาพิษทันทีโดยที่นางมองไม่เห็นเลยว่าฮ่องเต้เองก็ได้แต่กลั้นน้ำตาที่ต้องสูญเสียคนดีมีฝีมือเช่นนางไปเช่นเดียวกัน
หลังจากฟู่หยุนชิงตายแล้ว เหล่าขุนนางต่างชื่นชมในพระปรีชาของฮ่องเต้อย่างมากมาย ฮ่องเต้ที่ไม่มีอารมณ์ฟังคำเยินยอของพวกเขาได้แต่โบกมือให้พวกเขาออกไปจากวังเสีย ส่วนศพของฟู่หยุนชิงเขาก็ให้ขันทีนำไปจัดการตามประเพณี เพราะฟู่หยุนชิงเป็นเด็กกำพร้าที่เขาเคยช่วยเอาไว้จนนางฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อที่จะตอบแทนความเมตตาของเขานั่นเอง
เทพแห่งดวงชะตาที่เมตตาสงสารโชคชะตาของฟู่หยุนชิงที่ทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดีแล้ว แต่กลับถูกเหล่าขุนนางที่ไม่ยอมรับนางถวายฎีกาให้สังหารนางอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ เทพแห่งดวงชะตาจึงฝืนกฎของตนเองช่วยนำวิญญาณของฟู่หยุนชิงไปที่อีกภพหนึ่งซึ่งมีคนชื่อเดียวกับนางเพิ่งเสียชีวิตลงเช่นกัน ฟู่หยุนชิงที่เป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วได้แต่แปลกใจที่ได้ยินเสียงเหมือนผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดกับนางแต่นางมองไม่เห็นตัวเขา เขาบอกนางว่าจะพานางไปยังภพอื่นและยังขอให้นางใช้ชีวิตใหม่ในภพนั้นให้ดี อย่าได้คิดถึงเรื่องราวในภพนี้อีกเลย จากนั้นเสียงนั้นก็หายไปพร้อมกับสติของนาง ฟู่หยุนชิง นักแสดงปลายแถวที่จับพลัดจับผลูได้มาเป็นนักแสดงสมทบเพราะคนเก่าบาดเจ็บก็ซุ่มซ่ามจนตกลงไปในสระน้ำลึกสองเมตรทั้งที่ตัวเองว่ายน้ำไม่เป็นจนเธอต้องตายลง เธอได้แต่มองร่างไร้วิญญาณของตนเองที่ถูกคนช่วยขึ้นมาพร้อมกับปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เธออย่างดี เธอรู้ดีว่าเธอหมดบุญในชาตินี้แล้วจึงไม่ได้เสียใจอะไร อย่างไรในภพนี้เธอก็ไม่มีครอบครัวให้กังวลแต่แรกแล้ว เธอต้องปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่ยังเด็ก การตายของเธอครั้งนี้ทำให้เธอหลุดพ้นจากชีวิตที่ต้อ
รุ่งเช้าวันต่อมา ฟู่หยุนชิงรีบอาบน้ำแต่งตัว เธอทาครีมต่าง ๆ ที่อยู่ในความทรงจำของร่างเดิมเพื่อรักษาผิวให้ดี ไม่แห้งกร้านเหมือนตัวเธอเองในภพชาติก่อน ฟู่หยุนชิงพยายามหาเสื้อผ้าที่มิดชิดที่สุดที่ร่างเดิมนำมา แต่เธอกลับพบว่าร่างเดิมนั้นมีแต่เสื้อผ้าเปิดหน้า เปิดหลังทั้งนั้น แถมรองเท้าส้นสูงที่เธอใส่เมื่อวานนี้ก็เดินยากลำบากเสียเหลือเกิน แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอมีสิ่งของให้เลือกใช้เพียงเท่านี้ ฟู่หยุนชิงจึงได้แต่สุ่มเสื้อผ้ามาสักตัวแล้วใส่รองเท้าพร้อมถือบทเตรียมลงไปทานอาหารเช้าที่ล็อบบี้โรงแรม วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าหนาเตอะอย่างที่ร่างเดิมทำ เพราะฟู่หยุนชิงรู้สึกว่าการปล่อยให้หน้าเธอเป็นธรรมชาติสวยกว่าการแต่งหน้าเป็นไหน ๆ ฟู่หยุนชิงปิดล็อคประตูก่อนที่จะเดินไปขึ้นลิฟท์เหมือนกับเมื่อวานที่ทีมงานพาเธอมาส่ง เรื่องพวกนี้ร่างเดิมมีความทรงจำเก่าทำให้เธอไม่ลำบากในการใช้สิ่งของแปลก ๆ หลายอย่างในภพชาตินี้ เมื่อลงลิฟท์ไปถึงล็อบบี้แล้ว ฟู่หยุนชิงเห็นทีมงานไปตักอาหารมานั่งกินกันบ้างแล้ว นับว่าเธอไม่ได้ลงมาสายนัก ฟู่หยุนชิงคนเก่ามีนิสัยร่าเริง แต่เธอเป็นคนเงียบ ๆ ฟู่หยุนชิงท
เดินไปไม่นานนัก ฟู่หยุนชิงก็มาถึงสถานที่ถ่ายทำ เธอถูกทีมงานเรียกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ไหนเธอจะต้องทำผมและแต่งหน้าอีก กว่าจะเสร็จก็คงจะใช้เวลามากพอสมควร ฟู่หยุนชิงได้แต่พยักหน้ายิ้มรับและเดิมตามทีมงานคนนั้นไปอย่างช้าๆ ตามความเคยชิน ทีมงานที่นำทางเธอได้แต่คิดในใจว่าฟู่หยุนชิงเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนได้อย่างไรกัน ปกติฟู่หยุนชิงจะเดินเร็ว ๆ เพื่อมาพูดคุยกับพวกเขาเรื่องต่าง ๆ บ่อย ๆ แต่วันนี้เธอกลับเดิมตามมาอย่างเรียบร้อยเหมือนกับผ้าพับไว้ จะไม่ให้เธอคิดว่าฟู่หยุนชิงเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน เดินกันไม่นานนักก็ถึงห้องแต่งตัว ฟู่หยุนชิงสอบถามว่าจะให้เธอใส่ชุดไหน ทีมงานชี้และบอกว่าวันนี้ให้เธอใส่ชุดสีเหลืองที่แขวนอยู่ ฟู่หยุนชิงพยักหน้ารับแล้วเดินไปเอาชุดที่ว่าเข้าไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งทำเพียงใช้ฉากกั้นเอาไว้เท่านั้น ซึ่งการทำเป็นฉากกั้นเช่นนี้ตัวเธอเองเคยชินไปเสียแล้วกับชาติภพก่อน นับว่าเรื่องนี้ไม่แตกต่างจากการอยู่ในภพเดิมของเธอมากนัก หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ฟู่หยุนชิงก็ไปนั่งรอให้ทีมงานมาแต่งหน้าและทำผมให้เธอ อีกไม่นานเธอจะต้องเข้าร่วมแสดงฉากใน
ผู้กำกับสั่งให้นักแสดงเริ่มฉากแรกในเวลาไม่นานนักหลังจากทุกคนซ้อมบทกันแล้ว เหล่านักแสดงทั้งนักแสดงนำและตัวประกอบแสดงในฉากก่อนเริ่มงานเลี้ยงได้อย่างไม่ผิดพลาด ไม่นานนักผู้กำกับก็พอใจกับผลงานและสั่งคัตทันที ฟู่หยุนชิงพอได้ยินเสียงคัตแล้วก็รู้ว่าตอนนี้ต้องถึงคราวเธอเข้าฉากแล้ว เธอเดินอย่างช้า ๆ เข้าไปรอก่อนเข้าฉากตามบทบาทที่เธอได้รับ เหล่านักแสดงทั้งหมดที่ต้องเข้าฉาก รวมทั้งทีมงานต่างตกตะลึงกับเพียงแค่ท่าเดินของฟู่หยุนชิง พวกเขาไม่คิดว่าฟู่หยุนชิงจะแสดงเข้าถึงบทบาทได้เสียขนาดนี้ แม้แต่ตัวนางเอกอย่างหวงเหมยหงยังไม่สามารถแสดงท่าเดินตามมารยาทได้ดีเท่ากับฟู่หยุนชิงเลย ผู้กำกับกับผู้เขียนบทที่เห็นเช่นนี้ต่างก็พยักหน้าอย่างพอใจ ผู้กำกับเห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะถ่ายฉากต่อไปแล้วจึงได้สั่งให้เริ่มการแสดงทันที เขาไม่อยากทิ้งเวลาให้เสียเปล่า ในเมื่อนักแสดงต่างพร้อมแล้วเขาก็สั่งแอคชั่น ฟู่หยุนชิงที่ได้ยินเสียงให้เริ่มการแสดง เธอเดินไปตามบทบาทที่ได้รับเข้าไปยังงานเลี้ยงซึ่งมีเหล่าขุนนางและครอบครัวมากมายมารวมกันอยู่ ต่างคนต่างเกาะกลุ่มกันเพื่อพูดคุย ยกเว้นนางที่ไม่สนิทกับใครในท
ก่อนที่จะได้ถ่ายทำฉากต่อไป เหอจิ้งเกาที่เพิ่งจะมีเวลาว่างเดินทางมาดูการแสดงอย่างไม่ได้บอกทีมงานล่วงหน้า พวกเขาต่างวิ่งวุ่นหาที่นั่งให้กับเหอจิ้งเกากันใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาต้องดูแลเทพองค์นี้ให้ดี เพราะเขาคือสปอนเซอร์ใหญ่ที่ลงทุนกับหนังเรื่องนี้นั่นเอง เหอจิ้งเกาสั่งบอดี้การ์ดไม่ให้ทุกคนวุ่นวายกับเขา เขาแค่มาดูเฉย ๆ พอทีมงานและผู้กำกับมาทักทายเหอจิ้งเกาแล้วได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็ได้แต่เดินจากไป ใครจะไม่รู้บ้างว่าเหอจิ้งเกาไม่สนิทกับใครง่าย ๆ อีกทั้งยังมีนิสัยเย็นชาไม่สนใครหน้าไหนอีกต่างหาก สิ่งที่เขาทำและลงทุนต่างได้กำไรกลับมามากมายเสียทุกครั้ง จนทำให้คู่แข่งต่างอิจฉาที่หนังและละครของเหอจิ้งเกาได้รับความนิยมมากกว่าของพวกเขา เหอจิ้งเกาจึงต้องมีบอดี้การ์ดจำนวนไม่น้อยเวลาต้องไปไหนมาไหน และวันนี้ก็เช่นกัน บอดี้การ์ดสิบคนพร้อมทั้งเลขาคนสนิทของเขาเดินทางมากันครบทีมเลยทีเดียว หลังจากนั่งแล้ว เหอจิ้งเกาก็มองไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังซ้อมการแสดงอยู่บนเวทีอย่างตั้งใจ เขากระซิบถามเลขาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เลขามองไปที่เวทีแล้วตอบกลับเจ้านายของเขาอย่างดูถูกว่า เธอเป็นแค่นักแสดงป
หวงเหมยหงที่แสดงเป็นนางเอกของเรื่องนี้นั้นเพิ่งจะมองเห็นเหอจิ้งเกาหลังจากที่ผู้กำกับสั่งคัต เธอรีบปรี่เข้าไปเพื่อทักทายเขาทันที“สวัสดีค่ะคุณเหอ ไม่คิดว่าวันนี้คุณจะมาดูเหมยหงแสดงเลยนะคะ” หวงเหมยหงได้แต่พูดเข้าข้างตนเอง ทั้งที่ความจริงแล้วเหอจิ้งเกามาดูภาพรวมทั้งหมดของหนังว่าถ่ายทำไปถึงไหนแล้วต่างหาก ยิ่งพอเขาได้ฟังผู้หญิงที่เขาไม่รู้จักตรงหน้าพูดจาเหมือนกับว่าเขาสนใจเธอก็ยิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เขาตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาไปถึงกระดูก“อย่าหลงตัวเองให้มันมากนัก คุณเป็นใครผมยังไม่รู้จักสักนิด แต่กลับมาพูดจาเหมือนตัวเองสวยมากจนผมต้องมาดูคุณเนี่ยนะ ทีหน้าทีหลังรู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูหัวตัวเองก่อนที่จะเข้ามาทักทายคนอื่นแบบนี้ด้วยก็แล้วกัน และผมของเตือนไว้ก่อนว่าผู้หญิงแบบคุณผมเจอมาเยอะแล้ว ผมรังเกียจคนที่ชอบใช้ทางลัดในการทำงานมากที่สุด หากคุณไม่อยากถูกถอดออกจากบทนางเอกก็รีบไปให้ไกลจากผมซะ!!!” บรรดาบอดี้การ์ดและเลขาได้แต่มองผู้หญิงไม่เจียมตัวตรงหน้าพวกเขา ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ยังทำเป็นน้ำตาคลออีกต่างหาก นี่เธอคิดว่าการเสแสร้งแบบนี้จะทำให้เจ้านายของพวกเขาใจอ่อนเหร
เหอจิ้งเกาเห็นการแสดงของหวงเหมยหงก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน เขาบอกให้ผู้กำกับถ่ายฉากร่ายรำของเธอใหม่จนกว่าเขาจะพอใจ ฟู่หยุนชิงที่เข้าฉากอยู่ได้แต่แปลกใจว่าชายแปลกหน้าคนนี้สามารถสั่งผู้กำกับได้ด้วยเหรอ? ทำให้เธออยากรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะในความทรงจำของร่างเดิมไม่รู้ว่าผู้ชายที่ดูเย็นชาและโหดร้ายเช่นนี้เป็นใครมาจากไหน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอจึงละสายตาไปหลังจากเหลือบมองเขาแว่บหนึ่ง กว่าที่หวงเหมยหงจะผ่านฉากร่ายรำไปได้ก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ผู้กำกับได้แต่พรูลมหายใจอย่างโล่งอกที่ผ่านฉากนี้ไปได้เสียที ไม่เช่นนั้นฉากจบงานเลี้ยงก็จะไม่เกิดขึ้นเสียที ซึ่งในบทนี้ฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้หวงเหมยหงกับรัชทายาทที่แสดงเป็นพระเอกเรื่องนี้ หลังจากให้ทุกคนพักสิบนาทีแล้ว ผู้กำกับก็เรียกทุกคนมาเข้าฉากอีกครั้ง คราวนี้การถ่ายทำเป็นไปอย่างไหลลื่น หวงเหมยหงแสดงได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเพราะเธอกลัวว่าจะถูกทำให้ขายหน้าอีกกระมัง ความตั้งใจและสมาธิของเธอจึงแสดงออกมาได้อย่างเต็มร้อยเช่นนี้ ฟู่หยุนชิงเองก็แสดงได้อย่างดีไม่ต่างจากนักแสดงคนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งกว่าที่จ
หลังจากเพิ่มพลังปรานทั้งคืน ฟู่หยุนชิงก็ไม่รู้สึกง่วงนอนแม้แต่นิดเดียว ร่างกายเธอเริ่มเบาเหมือนใกล้จะก้าวข้ามขั้นแรกของลมปรานแล้วในอีกไม่ช้า ฟู่หยุนชิงเก็บเสื้อผ้าและของใช้ต่าง ๆ ลงกระเป๋าจนหมด จากนั้นเธอไปอาบน้ำและเลือกใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดที่สุดพร้อมกับรองเท้าส้นสูงซึ่งเธอไม่มีรองเท้าอื่นให้ใส่อีกแล้ว เงินในบัญชีของร่างเดิมก็เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอไม่รู้เลยว่าราคาสินค้าของภพนี้จะแพงมากน้อยเพียงใดกับรองเท้าคู่ใหม่หนึ่งคู่ ฟู่หยุนชิงจึงคิดว่าเก็บเงินเอาไว้เป็นค่ารถดีกว่า ฟู่หยุนชิงตรวจสอบสิ่งของกันลืมอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องพักเพื่อไปกินอาหารเช้าที่ล็อบบี้แล้วค่อยเช็คเอ้าท์หลังอาหาร อย่างไรอาหารฟรีก็จำเป็นสำหรับเธอในตอนนี้ แน่นอนว่าฟู่หยุนชิงเลือกแต่อาหารที่อยู่ในความทรงจำของร่างเดิมเท่านั้น ดีกว่าที่เธอจะทดลองกินอาหารอื่นที่เธอไม่รู้จักจนไม่สบายเอาได้ อีกเพียงสองวันเธอก็ต้องกลับมาที่สตูดิโออีกเพื่อเดินทางไกลแล้ว เธอจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุดเสียก่อน ฟู่หยุนชิงเห็นทีมงานหลายคนยิ้มทักทายให้ เธอก็ทักทายทุกคนกลับพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ของเธอ จากนั้นจึงไป
ระหว่างทางไปยังบริษัท เลขารายงานเรื่องเมื่อวานให้กับเหอจิ้งเกาทราบทุกอย่าง อีกทั้งวันนี้เขาจะไปหาทนายของบริษัทเพื่อให้ทำเรื่องแจ้งความและส่งฟ้องหวงเหมยหงและลี่ลี่อีกครั้งหนึ่ง“คุณทำได้ดีมาก รอสิ้นปีผมจะเพิ่มโบนัสให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกที ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับการช่วยรักษาชื่อเสียงภรรยาของผมก็แล้วกัน”“ขอบคุณครับเจ้านาย” เลขากับบอดี้การ์ดที่ช่วยเหลืองานเมื่อวานนี้ไม่คิดว่าพวกเขาจะได้รับรางวัลในการทำงานครั้งนี้ด้วย นับว่าเจ้านายใจดีมากขึ้นตั้งแต่มีครอบครัว พวกเขาที่ได้รับเงินเดือนไม่น้อยต่างก็ดีใจที่เจ้านายมีความสุขและเผื่อแผ่ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้พวกเขาเช่นนี้ ฟู่หยุนชิงที่อยู่บ้านกับเหอเสี่ยวหมิงวันนี้ เธอเรียกอาหยงกับอาเหว่ยมาสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่สามีทำให้เธออยู่เบื้องหลัง เธอแน่ใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที
เหอจิ้งเกาใช้เวลาไม่นานในการซื้อของ เขาอยากรีบกลับไปทำอาหารให้ฟู่หยุนชิงจะแย่แล้ว บอดี้การ์ดเองก็รีบขับรถกลับบ้านให้เจ้านายตามที่พวกเขาเห็นว่าเจ้านายดูเร่งรีบไม่น้อย เมื่อถึงบ้านแล้ว เหอจิ้งเกาก็เห็นพ่อบ้านมายืนรออยู่แล้ว บอดี้การ์ดช่วยถือวัตถุดิบอาหารเข้าไปยังห้องครัวให้กับเหอจิ้งเกา เขาบอกพ่อบ้านว่ามื้อเย็นเขาจะทำอาหารเอง ให้แม่บ้านทำอาหารให้กับพวกบอดี้การ์ดกับพวกเขาก็พอ พ่อบ้านรับคำเหอจิ้งเกาแล้วเดินไปบอกกับแม่บ้านทั้งสองคนให้ไปทำอาหารที่ครัวของอีกตึกหนึ่งซึ่งพวกเขาอาศัยอยู่ คราแรกแม่บ้านทั้งสองคิดว่าเจ้านายไม่พอใจอาหารของพวกเธอก็พากันตกใจไม่น้อย แต่พอพ่อบ้านบอกว่าเจ้านายอยากทำอาหารให้นายหญิงด้วยตัวเองเท่านั้น พวกเธอจึงได้เบาใจลง พวกเธอไม่อยากหางานใหม่เพราะอายุที่มากแล้วและที่นี่ก็ให้ค่าตอบแทนสูงมากอย่างน่าตกใจแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการต้องพักที่นี่และทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ช่วยกันทั้งสี่คน  
หวงเหมยหงกับลี่ลี่ที่ถูกเหอจิ้งเกาจัดการไม่ให้มีงานในวงการก่อนหน้านี้พอได้ข่าวเรื่องเหอจิ้งเกากับฟู่หยุนชิงก็ได้แต่คิดอิจฉาและแค้นใจที่เหอจิ้งเกาทำกับพวกเธอแบบนี้ ทั้งสองคนไม่อยากให้พวกเขาอยู่กันอย่างมีความสุขง่าย ๆ จึงได้จ้างโกสต์เพื่อแพร่ข่าวว่าฟู่หยุนชิงวางยาเหอจิ้งเกาจนต้องรับผิดชอบในปีนั้น แถมยังสร้างข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ของฟู่หยุนชิงมากมายอีกด้วย เลขาที่ให้คนคอยติดตามข่าวอยู่ตลอดรู้ในทันทีที่มีข่าวแพร่ออกมา เขารีบแจ้งให้เจ้านายทราบอย่างเร่งด่วนว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง“ให้คนสืบว่าใครเป็นคนทำ และปิดข่าวอย่าให้ฟู่หยุนชิงรู้ เดี๋ยวเธอจะไม่สบายใจ”“ได้ครับเจ้านาย แล้วถ้ารู้ตัวคนทำแล้วจะให้ทำยังไงต่อไปดีครับ”“ค้นหาเรื่องราวของคนทำที่ทำเรื่องสกปรกออกมาให้หมด แล้วส่งให้สำนักข่าวทุกสำนัก รวมทั้งให้คนกระจายข่าวออกไปตามสื่อโซเชียลด้วย หลังจากได้หลักฐานว่าใครเป็นคนสร้างข่าวเสีย
หลังทานอาหารเสร็จแล้ว เหอจิ้งเกาให้พ่อบ้านพาเขาไปดูห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เขากับฟู่หยุนชิงและเหอเสี่ยวหมิง พ่อบ้านรีบรับคำและเดินนำเจ้านายทั้งสามไปอย่างช้า ๆ เขารู้มาก่อนแล้วว่านายหญิงกำลังท้องอยู่จึงไม่กล้าเดินเร็วเกินไปนักด้วยกลัวจะเกิดอุบัติเหตุ ถึงแม้ว่าเจ้านายจะจับมือนายหญิงอยู่ก็เถอะ เขาก็ควรจะต้องระวังเอาไว้ให้มากจะดีที่สุด พ่อบ้านพาทุกคนไปดูห้องใหญ่ของเหอจิ้งเกากับฟู่หยุนชิงก่อนที่ปีกซ้ายชั้นสองของบ้าน ห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำกว้างขวางในตัว รวมทั้งยังมีตู้เสื้อผ้าแบบบิวอินที่กว้างพอ ๆ กับห้องอีกห้องหนึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำและมีประตูเปิดเข้าไปได้ อีกด้านหนึ่งของห้องมีระเบียงกว้าง โต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อนชมวิวทิวทัศน์ด้านหลังบ้านซึ่งมองเห็นทะเลสาบและสวนดอกไม้อยู่ ฟู่หยุนชิงกับเหอเสี่ยวหมิงที่เห็นทุกอย่างตามที่พ่อบ้านอธิบายก็พอใจมากกับห้องที่เขาเลือกให้เธอและเหอจิ้งเกา หลังจากที่สำรวจดูคร่าว ๆ แล้ว ฟู่หยุนชิงจึงบอกพ่อบ้า
เลขารีบลงจากรถมาแนะนำชื่อของพ่อบ้าน แม่บ้านทั้งสองคนและคนสวนให้กับเหอจิ้งเกา ฟู่หยุนชิงและเหอเสี่ยวหมิงรู้จัก เหอจิ้งเกาทำเพียงพยักหน้าให้กับทั้งสี่คน ส่วนฟู่หยุนชิงเองก็ทำเพียงแค่มองพวกเขาด้วยสายตานิ่งเรียบเท่านั้น เหอเสี่ยวหมิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเหอจิ้งเกาได้แต่กระซิบถามพ่อของเขาว่าเขาจะต้องเรียกคนเหล่านี้ว่าอย่างไร“ลูกก็เรียกคุณลุงพ่อบ้าน คุณป้าแม่บ้านกับคุณอาคนสวนสิครับ ตกลงไหม?”“ตกลงครับพ่อ สวัสดีครับลุงพ่อบ้าน ป้าแม่บ้านกับอาคนสวน ผมชื่อเหอเสี่ยวหมิงเป็นลูกชายของคุณพ่อกับคุณแม่ครับ” เหอเสี่ยวหมิงแนะนำตัวเองอย่างน่ารักให้กับผู้อาวุโสกว่าที่ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเพียงลูกจ้างของเหอจิ้งเกา แต่เขาก็สอนลูกให้รู้จักเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่า ฟู่หยุนชิงได้แต่ลูบหัวของลูกด้วยความรัก เธอดีใจที่เหอจิ้งเกาไม่สอนให้ลูกถือตัวว่าร่ำรวยจนไม่เห็นหัวใคร ยิ่งอยู่กับเหอจิ้งเกานานเข้า ฟู่หยุนชิงก็พบแต่ข้อดีของเขามากขึ้นทุก
เหอจิ้งเกาที่ทำอาหารเสร็จแล้วก็เรียกสองแม่ลูกมาทานข้าว ฟู่หยุนชิงจึงได้บอกลาเหล่าผู้ติดตามในเว่ยป๋อว่าเธอต้องไปทานอาหารเย็นแล้ว และฟู่หยุนชิงยังบอกให้พวกเขาไปทานอาหารด้วยเช่นเดียวกันก่อนจะปิดเว่ยป๋อแล้วลุกขึ้นเดินจูงมือลูกชายไปที่ห้องครัว“รีบนั่งกันเร็วเข้า วันนี้ผมทำของชอบคุณกับลูกเยอะแยะเลย”“ขอบคุณมากนะคะ”“ขอบคุณครับพ่อ” สองแม่ลูกรีบนั่งตรงที่ประจำของตัวเอง เหอเสี่ยวหมิงปีนเก้าอี้ขึ้นไปอย่างชำนาญ เหอจิ้งเกาเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ดีใจที่เจ้าตัวเล็กสามารถดูแลตัวเองได้แล้วในอายุเพียงเท่านี้ ระหว่างทานข้าว ฟู่หยุนชิงขออนุญาตเหอจิ้งเกาถ่ายกิจวัตรประจำวันหลังจากย้ายบ้านใหม่ทางเว่ยป๋อ เธออยากอวดพัฒนาการของลูกชายและลูกในท้องให้เหล่าแฟนคลับได้เห็นบ้างหลังจากข่าวออกไปแล้ว“ได้สิ คุณถ่าย
หลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้ว ช่วงบ่าย เหอจิ้งเกาก็พาลูกกับภรรยาไปซื้อเสื้อผ้าครอบครัวต่อทันที แน่นอนว่าผู้จัดการแนะนำร้านที่ชั้นสองให้กับเหอจิ้งเกา ซึ่งมีเสื้อผ้าแบรนด์ชั้นนำมากมายจัดจำหน่ายอยู่ เหอจิ้งเอาจึงพาทุกคนเดินลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นดังกล่าว เสียงเล็ก ๆ ของเหอเสี่ยวหมิงแสดงออกว่าดีใจที่จะได้เลือกเสื้อผ้าเองสักที หลังจากที่เขาจะต้องสวมเสื้อผ้าที่พ่อเลือกให้เท่านั้น“นี่ลูกไม่ชอบชุดที่พ่อเลือกให้หรือยังไง หืม?”“ก็ผมโตแล้วนี่ครับ พ่อยังจะให้ผมใส่ชุดนอนพวกหมี หมู วัว กระต่าย พวกนั้นอีกเหรอครับ ขอชุดนอนแบบธรรมดาเหมือนที่พ่อใส่บ้างสิครับ” ฟู่หยุนชิงพอฟังลูกชายบอกว่าตัวเองโตแล้วก็ถึงกับหัวเราะเบา ๆ เจ้าตัวเล็กนี่นะที่โตแล้วยังให้พ่ออุ้มอยู่เลย“ถ้าลูกโตแล้วก็ต้องนอนคนเดียวได้แล้วนะเสี่ยวหมิง ลูกยังอยากโตแล้วอยู่หรือเปล่าล่ะ? อีกอย่างแม่ก็เห็นว่าชุดนอนที่พ่อเลือกให้ก็น่ารักสมวัยกับลูกแล้วนะ”“โธ่ แ
ฟู่หยุนชิงปรายตามองคนถามอย่างเย็นชา เธอไม่คิดว่าจะต้องตอบคำถามซ้ำกับสามีเช่นนี้“ฉันเองก็พบกับเขาครั้งแรกในกองถ่ายที่เขาว่านั่นแหละค่ะ และเราก็ได้ร่วมงานกันในรายการแข่งขันการเอาตัวรอดอย่างที่ทุกคนเคยดูรายการนี้ไปแล้ว ฉันเองก็ไม่คิดว่าคนรวย ๆ อย่างเขาจะมีความสามารถมากจนน่าประทับใจอย่างในรายการเช่นกัน แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่าเขาจะสนใจนักแสดงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันจนถึงกับขอแต่งงานเอาดื้อ ๆ เมื่อห้าปีก่อนเช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจเขา ฉันที่ตัวคนเดียวในตอนนั้นจึงตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมากเช่นกัน และฉันก็ไม่ได้คิดผิดที่แต่งงานกับเขา เขาดูแลฉันและลูกดีมากมาตลอดตั้งแต่เริ่มตั้งท้องเสี่ยวหมิงจนกระทั่งถึงทุกวันนี้” จากเสียงที่เย็นชาในตอนแรก แต่พอพูดถึงสามีของตัวเองนั้น น้ำเสียงของฟู่หยุนชิงก็ดูอบอุ่นมากขึ้นเป็นเท่าตัว ทำเอานักข่าวทั้งหลายต่างกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน ด้วยพวกเขาตามอารมณ์ของเธอไม่ทันนั่นเอง
ขบวนของเหอจิ้งเกาที่กำลังเดินเข้าไปยังเวทีที่มีโต๊ะแถลงข่าวตั้งอยู่นั้น ต่างได้รับความสนใจจากผู้คนที่มารวมตัวดูเรื่องสนุก รวมทั้งเหล่านักข่าวที่ต่างพากันถ่ายรูปพวกเขาเอาไว้ แม้ว่าจะเห็นแต่บอดี้การ์ดเป็นส่วนใหญ่ก็เถอะ อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็สามารถเก็บภาพเอาไว้ได้ก่อนที่เหอจิ้งเกา ฟู่หยุนชิงและเหอเสี่ยวหมิงจะขึ้นไปนั่งบนโต๊ะแถลงข่าว โดยเหอจิ้งเกาวางเหอเสี่ยวหมิงเอาไว้ตรงกลาง ส่วนเขากับฟู่หยุนชิงก็นั่งประกบลูกชายพร้อมทั้งบอกให้เหอเสี่ยวหมิงอย่ามองแฟลชกล้องที่กำลังถ่ายพวกเขาอยู่เพื่อป้องกันดวงตาน้อย ๆ ของลูกพวกเขา เลขาของเหอจิ้งเกานำไมค์จากทีมงานมากล่าวทักทายเหล่านักข่าว ก่อนที่เหอจิ้งเกาจะเริ่มทำการแถลงข่าวพร้อมกับฟู่หยุนชิง“สวัสดีนักข่าวทุกสำนักที่สนใจเรื่องราวของท่านประธานของเรา วันนี้ท่านประธานและครอบครัวจึงถือโอกาสมาแถลงข่าวให้กับสื่อมวลชนทุกท่าน พร้อมทั้งแขกที่มารอฟังอยู่รอบ ๆ เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างท่านประธานกับนายหญิง เชิญท่านประธานกล่า