รุ่งเช้าวันต่อมา ฟู่หยุนชิงรีบอาบน้ำแต่งตัว เธอทาครีมต่าง ๆ ที่อยู่ในความทรงจำของร่างเดิมเพื่อรักษาผิวให้ดี ไม่แห้งกร้านเหมือนตัวเธอเองในภพชาติก่อน
ฟู่หยุนชิงพยายามหาเสื้อผ้าที่มิดชิดที่สุดที่ร่างเดิมนำมา แต่เธอกลับพบว่าร่างเดิมนั้นมีแต่เสื้อผ้าเปิดหน้า เปิดหลังทั้งนั้น แถมรองเท้าส้นสูงที่เธอใส่เมื่อวานนี้ก็เดินยากลำบากเสียเหลือเกิน แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอมีสิ่งของให้เลือกใช้เพียงเท่านี้ ฟู่หยุนชิงจึงได้แต่สุ่มเสื้อผ้ามาสักตัวแล้วใส่รองเท้าพร้อมถือบทเตรียมลงไปทานอาหารเช้าที่ล็อบบี้โรงแรม
วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าหนาเตอะอย่างที่ร่างเดิมทำ เพราะฟู่หยุนชิงรู้สึกว่าการปล่อยให้หน้าเธอเป็นธรรมชาติสวยกว่าการแต่งหน้าเป็นไหน ๆ ฟู่หยุนชิงปิดล็อคประตูก่อนที่จะเดินไปขึ้นลิฟท์เหมือนกับเมื่อวานที่ทีมงานพาเธอมาส่ง เรื่องพวกนี้ร่างเดิมมีความทรงจำเก่าทำให้เธอไม่ลำบากในการใช้สิ่งของแปลก ๆ หลายอย่างในภพชาตินี้
เมื่อลงลิฟท์ไปถึงล็อบบี้แล้ว ฟู่หยุนชิงเห็นทีมงานไปตักอาหารมานั่งกินกันบ้างแล้ว นับว่าเธอไม่ได้ลงมาสายนัก ฟู่หยุนชิงคนเก่ามีนิสัยร่าเริง แต่เธอเป็นคนเงียบ ๆ ฟู่หยุนชิงทักทายคนที่ร่างเดิมเคยคุยด้วยตามมารยาท แล้วจึงเดินไปตักอาหารมานั่งกินเงียบ ๆ คนเดียว เธอได้แต่ยิ้มน้อย ๆ ให้กับเหล่าทีมงานที่มองเธออย่างแปลก ๆ เล็กน้อย
ฟู่หยุนชิงได้แต่คิดในใจว่าเธอจะทำอย่างไรดีไม่ให้คนอื่นสงสัย ในเมื่อเธอกับร่างเดิมนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าจะให้เธอทำตัวเหมือนร่างเดิมทั้งหมดมันคงจะเป็นการฝืนใจเธอมากเกินไป ฟู่หยุนชิงจึงคิดที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้คนอื่นไม่เพ่งเล็งมาที่เธออีก
ระหว่างทานอาหาร ฟู่หยุนชิงก็ท่องบทที่เธอนำมาด้วยไปพลาง ๆ เธอกินอาหารอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบ เนื่องจากยังไม่ใกล้ถึงเวลาถ่ายทำ ฉากของเธอจะถ่ายทำหลังจากฉากแรกจบไปก่อนในวันนี้ ฟู่หยุนชิงยังมีเวลาอีกมากนักที่จะท่องจำบทอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้เธอจะจำบททั้งหมดได้แล้วก็เถอะ แต่การเตรียมตัวไว้มากหน่อยก็ไม่เสียหลาย
บรรดาทีมงานที่มองฟู่หยุนชิงวันนี้ต่างซุบซิบกันใหญ่ พวกเขาคิดว่าฟู่หยุนชิงแตกต่างจากเมื่อวานเป็นคนละคน หลายคนต่างคิดว่าอาจเพราะเธอจมน้ำไปเมื่อวานนี้ วันนี้เธอจึงดูแปลกไปก็เป็นได้ แต่อีกหลายคนกลับกล่าวว่าไม่น่าใช่ แถมวันนี้ฟู่หยุนชิงยังไม่มานั่งกับพวกเขาอีก ปกติทุกครั้งฟู่หยุนชิงจะมานั่งกินกับทีมงาน เมื่อก่อนก่อนที่ฟู่หยุนชิงจะเข้าวงการเธอก็เคยเป็นทีมงานมาก่อน ทำให้ฟู่หยุนชิงสนิทกับทีมงานเป็นอย่างมาก แต่มาวันนี้เธอกลับทำตัวห่างเหินจากพวกเขา แล้วจะไม่ให้พวกเขาคิดว่าฟู่หยุนชิงเปลี่ยนไปได้อย่างไร
พวกเขาถกเถียงกันเสียงไม่เบานัก ฟู่หยุนชิงที่กินอาหารอยู่ไม่ไกลได้ยินที่พวกเขาพูดกัน แต่เธอไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี หากเธอยิ่งทำตัวสนิทสนมกับพวกเขาเหมือนร่างเดิม เธอกลัวว่าพวกเขาจะจับได้ว่าเธอเป็นคนอื่นไม่ใช่ร่างเดิมน่ะสิ ฟู่หยุนชิงได้แต่คิดแล้วก็หัวจะปวด ทำไมการเป็นคนร่าเริงมันถึงได้ทำตัวยากนักนะ
เหล่าทีมงานหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็พากันไปที่สถานที่ถ่ายทำในวันนี้ ซึ่งพวกเขาจะต้องไปจัดเตรียมฉากงานเลี้ยงในวังเอาไว้เสียก่อน อุปกรณ์ต่าง ๆ มีทีมงานบางส่วนขนไปไว้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว
ฟู่หยุนชิงเห็นว่าทุกคนไปแล้วก็ได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้ เธอตอบคำถามทีมงานคนหนึ่งที่ถามเธอว่าจะไปพร้อมกันไหมพร้อมรอยยิ้ม ว่าเธอจะอยู่ท่องบทต่ออีกสักครู่แล้วจะรีบตามไป
ทีมงานคนนั้นได้ฟังคำตอบของฟู่หยุนชิงก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ แต่เธอก็ได้แต่พยักหน้าให้กับฟู่หยุนชิงเพื่อขอตัวไปก่อน ทีมงานคนนี้รู้สึกถึงความเย็นชาในน้ำเสียงของฟู่หยุนชิงจนเธอไม่กล้าที่จะล้อเล่นอะไรกับฟู่หยุนชิงเหมือนปกติ
ฟู่หยุนชิงที่ไม่รู้ว่าน้ำเสียงของเธอช่างเย็นชานักเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน เธอได้แต่มองทีมงานคนนั้นที่เทียวหันหลังมามองเธอบ่อย ๆ ก่อนจะจากไปอย่างกลุ้มใจ เธอจะทำอย่างไรดี ในเมื่อเธอไม่ใช่ร่างเดิม ตอนนี้หลายคนเริ่มที่จะสงสัยแล้วว่าทำไมบุคลิกเธอถึงได้เปลี่ยนไปมากเช่นนี้
ฟู่หยุนชิงกำลังหาทางแก้ตัวกับคนอื่น ๆ ได้แต่นั่งคิดสะระตะไปว่าตนเองต้องทำตัวเช่นไร ท้ายที่สุดแล้วในเมื่อคิดไม่ออก ฟู่หยุนชิงก็สะบัดความคิดต่าง ๆ ออกไป เธอมีหน้าที่ต้องแสดงให้สมบทบาทมากกว่าที่จะมาคิดถึงเรื่องคนอื่นตอนนี้
เธอไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อได้ก็จริงว่าเธอคือฟู่หยุนชิง แต่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานของเธอแต่อย่างใด
กว่าที่ฟู่หยุนชิงจะกินอาหารเสร็จก็เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง นี่เป็นเพราะเธอกินอย่างช้า ๆ เหมือนดั่งที่เคยประพฤติตนในวังหลวงตามที่เธอเคยชินนั่นเอง นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอแตกต่างจากร่างเดิม ปกติร่างเดิมเป็นคนคิดมากและมักจะตื่นสายเสมอ อีกทั้งมารยาทการกิน การเดินต่าง ๆ ของร่างเดิมก็ตรงข้ามกับเธอโดยสิ้นเชิงอีกด้วย
ฟู่หยุนชิงคนใหม่คนนี้มักจะเดินอย่างช้า ๆ เหมือนกับกำลังลอยอยู่ ด้วยความที่เธอถูกฝึกมาตั้งแต่อายุห้าขวบ การกระทำต่าง ๆ ของเธอไม่ต่างจากคุณหนูในเรือนแม้แต่น้อยและอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ด้วยเธอต้องรักษามารยาทในวังหลวงตลอดเวลา ทำให้เรื่องเหล่านี้ซึมเข้าไปในกระดูกของเธอเสียแล้ว การที่จะให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นดั่งร่างเดิม ฟู่หยุนชิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างยากเย็นนัก เธอจึงตัดสินใจที่จะคงความเป็นตัวเธอเอาไว้ดีกว่าที่จะเริ่มต้นหัดใหม่เหมือนการฝึกวรยุทธของเธอ
เมื่อคืนนี้เธอทะลวงจุดไปได้แปดจุดแล้ว ต่อไปเธอก็แค่สะสมพลังปราณในเวลาว่างเท่านั้น นี่จะทำให้เธอกลับมามีวรยุทธอีกครั้ง ส่วนเรื่องการต่อสู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวเธอ เธอไม่กังวลเลยสักนิด เธอคิดว่าหากมีใครต้องการเล่นงานเธอจริง ๆ เธอก็สามารถต่อสู้กลับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ใครใช้ให้เธอเป็นถึงแม่ทัพหญิงผู้เก่งกาจกันเล่า แต่กว่าที่พลังปราณของเธอจะกลับมาเท่าเดิม ฟู่หยุนชิงคิดว่าคงต้องใช้เวลานานหลายปีทีเดียว เนื่องจากที่นี่นั้นมีพลังปราณตามธรรมชาติไม่มากนัก ฟู่หยุนชิงได้แต่คิดว่า ขนาดสถานที่ถ่ายทำนอกเมืองเช่นนี้พลังปราณยังมีน้อยนิด แล้วถ้าเธอกลับเข้าไปในเมืองเล่า การสะสมพลังปราณของเธอจะเป็นเช่นไรกันหนอ ฟู่หยุนชิงได้แต่คิดแล้วก็กังวลจนกระทั่งทานอาหารเสร็จ
เธอนำจานไปวางไว้เหมือนคนอื่น ๆ จากนั้นจึงเดินช้า ๆ ไปยังสถานที่ถ่ายทำที่วันนี้เธอจะต้องแสดงบทบาทให้ดี
เดินไปไม่นานนัก ฟู่หยุนชิงก็มาถึงสถานที่ถ่ายทำ เธอถูกทีมงานเรียกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ไหนเธอจะต้องทำผมและแต่งหน้าอีก กว่าจะเสร็จก็คงจะใช้เวลามากพอสมควร ฟู่หยุนชิงได้แต่พยักหน้ายิ้มรับและเดิมตามทีมงานคนนั้นไปอย่างช้าๆ ตามความเคยชิน ทีมงานที่นำทางเธอได้แต่คิดในใจว่าฟู่หยุนชิงเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนได้อย่างไรกัน ปกติฟู่หยุนชิงจะเดินเร็ว ๆ เพื่อมาพูดคุยกับพวกเขาเรื่องต่าง ๆ บ่อย ๆ แต่วันนี้เธอกลับเดิมตามมาอย่างเรียบร้อยเหมือนกับผ้าพับไว้ จะไม่ให้เธอคิดว่าฟู่หยุนชิงเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน เดินกันไม่นานนักก็ถึงห้องแต่งตัว ฟู่หยุนชิงสอบถามว่าจะให้เธอใส่ชุดไหน ทีมงานชี้และบอกว่าวันนี้ให้เธอใส่ชุดสีเหลืองที่แขวนอยู่ ฟู่หยุนชิงพยักหน้ารับแล้วเดินไปเอาชุดที่ว่าเข้าไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งทำเพียงใช้ฉากกั้นเอาไว้เท่านั้น ซึ่งการทำเป็นฉากกั้นเช่นนี้ตัวเธอเองเคยชินไปเสียแล้วกับชาติภพก่อน นับว่าเรื่องนี้ไม่แตกต่างจากการอยู่ในภพเดิมของเธอมากนัก หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ฟู่หยุนชิงก็ไปนั่งรอให้ทีมงานมาแต่งหน้าและทำผมให้เธอ อีกไม่นานเธอจะต้องเข้าร่วมแสดงฉากใน
ผู้กำกับสั่งให้นักแสดงเริ่มฉากแรกในเวลาไม่นานนักหลังจากทุกคนซ้อมบทกันแล้ว เหล่านักแสดงทั้งนักแสดงนำและตัวประกอบแสดงในฉากก่อนเริ่มงานเลี้ยงได้อย่างไม่ผิดพลาด ไม่นานนักผู้กำกับก็พอใจกับผลงานและสั่งคัตทันที ฟู่หยุนชิงพอได้ยินเสียงคัตแล้วก็รู้ว่าตอนนี้ต้องถึงคราวเธอเข้าฉากแล้ว เธอเดินอย่างช้า ๆ เข้าไปรอก่อนเข้าฉากตามบทบาทที่เธอได้รับ เหล่านักแสดงทั้งหมดที่ต้องเข้าฉาก รวมทั้งทีมงานต่างตกตะลึงกับเพียงแค่ท่าเดินของฟู่หยุนชิง พวกเขาไม่คิดว่าฟู่หยุนชิงจะแสดงเข้าถึงบทบาทได้เสียขนาดนี้ แม้แต่ตัวนางเอกอย่างหวงเหมยหงยังไม่สามารถแสดงท่าเดินตามมารยาทได้ดีเท่ากับฟู่หยุนชิงเลย ผู้กำกับกับผู้เขียนบทที่เห็นเช่นนี้ต่างก็พยักหน้าอย่างพอใจ ผู้กำกับเห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะถ่ายฉากต่อไปแล้วจึงได้สั่งให้เริ่มการแสดงทันที เขาไม่อยากทิ้งเวลาให้เสียเปล่า ในเมื่อนักแสดงต่างพร้อมแล้วเขาก็สั่งแอคชั่น ฟู่หยุนชิงที่ได้ยินเสียงให้เริ่มการแสดง เธอเดินไปตามบทบาทที่ได้รับเข้าไปยังงานเลี้ยงซึ่งมีเหล่าขุนนางและครอบครัวมากมายมารวมกันอยู่ ต่างคนต่างเกาะกลุ่มกันเพื่อพูดคุย ยกเว้นนางที่ไม่สนิทกับใครในท
ก่อนที่จะได้ถ่ายทำฉากต่อไป เหอจิ้งเกาที่เพิ่งจะมีเวลาว่างเดินทางมาดูการแสดงอย่างไม่ได้บอกทีมงานล่วงหน้า พวกเขาต่างวิ่งวุ่นหาที่นั่งให้กับเหอจิ้งเกากันใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาต้องดูแลเทพองค์นี้ให้ดี เพราะเขาคือสปอนเซอร์ใหญ่ที่ลงทุนกับหนังเรื่องนี้นั่นเอง เหอจิ้งเกาสั่งบอดี้การ์ดไม่ให้ทุกคนวุ่นวายกับเขา เขาแค่มาดูเฉย ๆ พอทีมงานและผู้กำกับมาทักทายเหอจิ้งเกาแล้วได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็ได้แต่เดินจากไป ใครจะไม่รู้บ้างว่าเหอจิ้งเกาไม่สนิทกับใครง่าย ๆ อีกทั้งยังมีนิสัยเย็นชาไม่สนใครหน้าไหนอีกต่างหาก สิ่งที่เขาทำและลงทุนต่างได้กำไรกลับมามากมายเสียทุกครั้ง จนทำให้คู่แข่งต่างอิจฉาที่หนังและละครของเหอจิ้งเกาได้รับความนิยมมากกว่าของพวกเขา เหอจิ้งเกาจึงต้องมีบอดี้การ์ดจำนวนไม่น้อยเวลาต้องไปไหนมาไหน และวันนี้ก็เช่นกัน บอดี้การ์ดสิบคนพร้อมทั้งเลขาคนสนิทของเขาเดินทางมากันครบทีมเลยทีเดียว หลังจากนั่งแล้ว เหอจิ้งเกาก็มองไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังซ้อมการแสดงอยู่บนเวทีอย่างตั้งใจ เขากระซิบถามเลขาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เลขามองไปที่เวทีแล้วตอบกลับเจ้านายของเขาอย่างดูถูกว่า เธอเป็นแค่นักแสดงป
หวงเหมยหงที่แสดงเป็นนางเอกของเรื่องนี้นั้นเพิ่งจะมองเห็นเหอจิ้งเกาหลังจากที่ผู้กำกับสั่งคัต เธอรีบปรี่เข้าไปเพื่อทักทายเขาทันที“สวัสดีค่ะคุณเหอ ไม่คิดว่าวันนี้คุณจะมาดูเหมยหงแสดงเลยนะคะ” หวงเหมยหงได้แต่พูดเข้าข้างตนเอง ทั้งที่ความจริงแล้วเหอจิ้งเกามาดูภาพรวมทั้งหมดของหนังว่าถ่ายทำไปถึงไหนแล้วต่างหาก ยิ่งพอเขาได้ฟังผู้หญิงที่เขาไม่รู้จักตรงหน้าพูดจาเหมือนกับว่าเขาสนใจเธอก็ยิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เขาตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาไปถึงกระดูก“อย่าหลงตัวเองให้มันมากนัก คุณเป็นใครผมยังไม่รู้จักสักนิด แต่กลับมาพูดจาเหมือนตัวเองสวยมากจนผมต้องมาดูคุณเนี่ยนะ ทีหน้าทีหลังรู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูหัวตัวเองก่อนที่จะเข้ามาทักทายคนอื่นแบบนี้ด้วยก็แล้วกัน และผมของเตือนไว้ก่อนว่าผู้หญิงแบบคุณผมเจอมาเยอะแล้ว ผมรังเกียจคนที่ชอบใช้ทางลัดในการทำงานมากที่สุด หากคุณไม่อยากถูกถอดออกจากบทนางเอกก็รีบไปให้ไกลจากผมซะ!!!” บรรดาบอดี้การ์ดและเลขาได้แต่มองผู้หญิงไม่เจียมตัวตรงหน้าพวกเขา ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ยังทำเป็นน้ำตาคลออีกต่างหาก นี่เธอคิดว่าการเสแสร้งแบบนี้จะทำให้เจ้านายของพวกเขาใจอ่อนเหร
เหอจิ้งเกาเห็นการแสดงของหวงเหมยหงก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน เขาบอกให้ผู้กำกับถ่ายฉากร่ายรำของเธอใหม่จนกว่าเขาจะพอใจ ฟู่หยุนชิงที่เข้าฉากอยู่ได้แต่แปลกใจว่าชายแปลกหน้าคนนี้สามารถสั่งผู้กำกับได้ด้วยเหรอ? ทำให้เธออยากรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะในความทรงจำของร่างเดิมไม่รู้ว่าผู้ชายที่ดูเย็นชาและโหดร้ายเช่นนี้เป็นใครมาจากไหน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอจึงละสายตาไปหลังจากเหลือบมองเขาแว่บหนึ่ง กว่าที่หวงเหมยหงจะผ่านฉากร่ายรำไปได้ก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ผู้กำกับได้แต่พรูลมหายใจอย่างโล่งอกที่ผ่านฉากนี้ไปได้เสียที ไม่เช่นนั้นฉากจบงานเลี้ยงก็จะไม่เกิดขึ้นเสียที ซึ่งในบทนี้ฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้หวงเหมยหงกับรัชทายาทที่แสดงเป็นพระเอกเรื่องนี้ หลังจากให้ทุกคนพักสิบนาทีแล้ว ผู้กำกับก็เรียกทุกคนมาเข้าฉากอีกครั้ง คราวนี้การถ่ายทำเป็นไปอย่างไหลลื่น หวงเหมยหงแสดงได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเพราะเธอกลัวว่าจะถูกทำให้ขายหน้าอีกกระมัง ความตั้งใจและสมาธิของเธอจึงแสดงออกมาได้อย่างเต็มร้อยเช่นนี้ ฟู่หยุนชิงเองก็แสดงได้อย่างดีไม่ต่างจากนักแสดงคนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งกว่าที่จ
หลังจากเพิ่มพลังปรานทั้งคืน ฟู่หยุนชิงก็ไม่รู้สึกง่วงนอนแม้แต่นิดเดียว ร่างกายเธอเริ่มเบาเหมือนใกล้จะก้าวข้ามขั้นแรกของลมปรานแล้วในอีกไม่ช้า ฟู่หยุนชิงเก็บเสื้อผ้าและของใช้ต่าง ๆ ลงกระเป๋าจนหมด จากนั้นเธอไปอาบน้ำและเลือกใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดที่สุดพร้อมกับรองเท้าส้นสูงซึ่งเธอไม่มีรองเท้าอื่นให้ใส่อีกแล้ว เงินในบัญชีของร่างเดิมก็เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอไม่รู้เลยว่าราคาสินค้าของภพนี้จะแพงมากน้อยเพียงใดกับรองเท้าคู่ใหม่หนึ่งคู่ ฟู่หยุนชิงจึงคิดว่าเก็บเงินเอาไว้เป็นค่ารถดีกว่า ฟู่หยุนชิงตรวจสอบสิ่งของกันลืมอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องพักเพื่อไปกินอาหารเช้าที่ล็อบบี้แล้วค่อยเช็คเอ้าท์หลังอาหาร อย่างไรอาหารฟรีก็จำเป็นสำหรับเธอในตอนนี้ แน่นอนว่าฟู่หยุนชิงเลือกแต่อาหารที่อยู่ในความทรงจำของร่างเดิมเท่านั้น ดีกว่าที่เธอจะทดลองกินอาหารอื่นที่เธอไม่รู้จักจนไม่สบายเอาได้ อีกเพียงสองวันเธอก็ต้องกลับมาที่สตูดิโออีกเพื่อเดินทางไกลแล้ว เธอจะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุดเสียก่อน ฟู่หยุนชิงเห็นทีมงานหลายคนยิ้มทักทายให้ เธอก็ทักทายทุกคนกลับพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ของเธอ จากนั้นจึงไป
มื้อค่ำวันนี้ฟู่หยุนชิงไม่คิดที่จะกินเหมือนกับร่างเดิมที่งดอาหารมื้อเย็นเพื่อรักษารูปร่างของเธอเช่นกัน ฟู่หยุนชิงทดลองดูดพลังปรานลองดูว่าจะสามารถทำให้เธอตัดผ่านขั้นแรกของลมปรานได้หรือไม่ ไม่นานนักเธอก็ได้คำตอบว่าที่นี่มีพลังปรานน้อยเช่นเดียวกับที่โรงแรมที่เธอพัก ฟู่หยุนชิงคิดว่ายังเหลือเวลาอีกสองวันเธอต้องตัดผ่านขั้นหนึ่งได้แน่ อย่างไรขั้นแรกก็ใช้ลมปรานได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันจะช่วยให้เธอสามารถใช้วิชาตัวเบาของเธอได้ ซึ่งหากตัดผ่านได้ทันเวลา เธอก็จะสามารถดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้นไปอีก คืนนั้นทั้งคืนฟู่หยุนชิงจึงเดินลมปรานโดยไม่หลับไม่นอนเช่นเคย เธอรู้สึกว่าอีกไม่นานนักเธอก็จะสามารถทะลวงผ่านขั้นแรกได้แล้ว ฟู่หยุนชิงยังคงนั่งขัดสมาธิเดินลมปรานไปทั่วร่างกายอย่างไม่ย่อท้อ กระทั่งผ่านไปหนึ่งคืนเธอก็ยังตัดผ่านไม่ได้ ฟู่หยุนชิงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้เธอต้องออกไปซื้ออาหารมาไว้กินแล้ว ก่อนที่ร้านอาหารราคาถูกตามความทรงจำของร่างเดิมจะปิดเสียก่อนในช่วงสาย เธอนั่งบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนที่จะลุกไปหาเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปซื้ออาหาร พอเปิดประตูตู้เธอถึงกับหมดอา
ฟู่หยุนชิงนั่งรอไม่นานนักรถเมล์ของเธอก็มาถึงตรงเวลา เธอเดินขึ้นไปรอรถจอดที่ป้ายก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปพร้อมทั้งจ่ายเงินลงกล่องแล้วไปหาที่นั่งใกล้ประตูเหมือนเช่นเคย โชคดีที่รถเมล์รอบแรกมักจะมีคนขึ้นไม่มากนัก ทำให้ฟู่หยุนชิงเลือกนั่งข้างหน้าต่างด้านหน้าซึ่งเป็นที่นั่งเดี่ยวได้อย่างสบายใจ ถึงจะบอกว่ามีคนขึ้นไม่มากนัก แต่รถเมล์ก็จอดแทบจะทุกป้ายเลยทีเดียว โชคดีที่เธอตัดสินใจออกมาก่อนล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นกว่าที่เธอจะไปถึงสตูดิโอคงสายมากแล้ว ฟู่หยุนชิงไม่อยากให้คนอื่นตำหนิจึงได้ออกมาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ กว่าสองชั่วโมงที่ฟู่หยุนชิงจะถึงที่หมาย เธอไปยืนรอที่หน้าประตูเพื่อลงป้ายใกล้กับโรงแรมที่เคยพักอยู่ ไม่นานนักรถเมล์ก็จอดสนิท ฟู่หยุนชิงก้าวลงจากรถแล้วเดินไปที่หน้าสตูดิโอ ตอนนี้เธอยังไม่เห็นคนอื่นมาถึงเนื่องจากยังเช้าอยู่ ฟู่หยุนชิงหาที่นั่งรอแถวนั้นอย่างไม่คิดมาก เธอยังนั่งเดินลมปราณรอไปพลาง ๆ ดีกว่าที่เธอจะนั่งอย่างเสียเวลาไปเปล่า ๆ หลังจากนั่งรออยู่เกือบชั่วโมงครึ่ง ก็เริ่มมีทีมงานมาถึง ฟู่หยุนชิงที่รู้สึกได้ว่ามีคนมาจึงได้ลืมตาขึ้นและยิ้มทักทายทีมงาน ทีมงา
กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ฟู่หยุนชิงเดินเลือกซื้อสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ เธอยังสอบถามพวกอาหยงว่าอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหมเธอจะได้ซื้อให้พวกเขาด้วย ซึ่งอาหยงกับอาเหว่ยก็บอกว่าพวกเขาไม่มีอะไรอยากได้ ให้ฟู่หยุนชิงจ่ายแค่สินค้าที่เธอเลือกมาเท่านั้นก็พอ ฟู่หยุนชิงจึงพยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไรมากมายนัก หลังจ่ายค่าสินค้าจำนวนไม่น้อยซึ่งส่วนใหญ่เป็นนมและอาหารบำรุงของคุณแม่ตั้งครรภ์เสร็จแล้ว ฟู่หยุนชิงก็เดินนำพวกเขาลงไปยังชั้นล่างเพื่อซื้อชุดคลุมท้องราคาไม่แพงสำหรับใส่ในอนาคต จริงอยู่ว่าตอนนี้ท้องของเธอยังไม่ป่องออกมา แต่เธอคิดว่าการเตรียมการเอาไว้ก่อนนั้นย่อมดีกว่าแน่นอน ฟู่หยุนชิงเลือกซื้อชุดคลุมท้องมาได้สามสี่ตัวในราคาไม่ถึงหนึ่งพันเหรียญเธอก็ดีใจไม่น้อย แม้เนื้อผ้าจะไม่ดีเท่าเสื้อผ้าแบรนด์ที่เธอเคยซื้อก็ไม่เป็นไร อย่างไรเธอแค่ใส่ได้ก็เพียงพอแล้ว หลังจ่ายเงินและรับถุงมาถือเอง ฟู่หยุนชิงก็ชวนอาหยงกับอาเหว่ยกลับห้องพักทันที ตอนนี้เธอไม่มีอะไรที่อยากซ
อาหยงที่รับสายของฟู่หยุนชิงได้แต่กังวลว่าเธอเป็นอะไรมากหรือไม่ถึงกับต้องให้พวกเขาพาไปโรงพยาบาล อาเหว่ยรีบลงไปด้านล่างเพื่อสตาร์ทรถรออาหยงที่ขึ้นไปรับฟู่หยุนชิงที่ห้อง ไม่นานนักอาเหว่ยก็เห็นฟู่หยุนชิงที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยมีอาหยงเดินตามด้วยสีหน้ากังวลเช่นกัน ทุกคนขึ้นรถแล้ว อาเหว่ยก็ไม่รอช้า เขารีบค้นหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วตอนรอฟู่หยุนชิง เขาจึงออกรถไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พักของฟู่หยุนชิงนัก อาหยงรีบไปเปิดประตูให้กับฟู่หยุนชิง ก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินตามหลังฟู่หยุนชิงเข้าไปในโรงพยาบาล ด้านอาเหว่ยก็รีบเอารถไปจอดก่อนจะตามพวกเขาเข้าไปในโรงพยาบาลทีหลัง ฟู่หยุนชิงไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเคาเตอร์เพื่อบอกว่าเธอต้องการมาตรวจการตั้งครรภ์ทันที อาหยงได้ยินเข้าถึงกับตกใจ เขาก็ลืมไปว่าเธอกับเจ้านายเขามีอะไรกันตั้งแต่เกือบสองเดือนก่อนแล้ว เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าฟู่หยุนชิงจะ
ฟู่หยุนชิงหลังจากเข้าห้องแล้วก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบาย ๆ เหมือนปกติของเธอ ก่อนที่ฟู่หยุนชิงจะขึ้นไปนอนพักที่เตียงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเมื่อคืนนี้กว่าที่เธอจะหมดฤทธิ์ยาก็เกือบจะเช้าแล้ว ถึงแม้เธอจะมีพลังลมปราณแต่การพักผ่อนอย่างถูกต้องก็ยังคงจำเป็นอยู่ บอดี้การ์ดทั้งสองเองก็ไปตรวจสอบห้องพักแล้วเห็นว่าพอจะอยู่ได้ พวกเขาคิดว่าฟู่หยุนชิงไม่น่าจะออกไปไหนอีกจึงพากันออกไปหาซื้อเสื้อผ้าเพิ่มเติม รวมทั้งอาหารที่ฟู่หยุนชิงยังไม่ได้กินตั้งแต่เช้าด้วย พวกเขาเองก็ไม่มีฝีมือการทำอาหารเหมือนเจ้านาย จึงได้แต่ซื้อสิ่งของจำเป็นมาไว้อุ่นให้กับฟู่หยุนชิงกินในช่วงเย็นแทน พวกเขารู้แต่แรกว่าฟู่หยุนชิงน่าจะนอนพักผ่อนเป็นแน่เพราะเมื่อคืนนี้กว่าเสียงในห้องจะหยุดไปก็เกือบเช้าแล้ว กว่าที่อาหยงกับอาเหว่ยจะซื้อของใช้จำเป็นกลับมาก็เป็นเวลาบ่ายกว่าแล้ว ฟู่หยุนชิงที่นอนเต็มอิ่มและท้องร้องจ๊อก ๆ ได้แต่ลุกขึ้นมาเพื่อที่จะออกไปซื้อของกินเธอนึกถึงบอดี้
รุ่งเช้าวันต่อมา ฟู่หยุนชิงที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของเหอจิ้งเการู้สึกได้ว่าตัวเองร่างกายเปลือยเปล่าก็ได้แต่นึกถึงวิธีการช่วยของเขาเมื่อคืนนี้ เธอรู้ดีว่าเขาทะนุถนอมเธอมากขนาดไหน ทำให้เช้านี้เธอไม่ถึงกับเจ็บมากมายนักกับครั้งแรกของเธอ เหอจิ้งเการู้สึกว่าคนในอ้อมแขนตื่นแล้วเขาจึงลืมตาขึ้นแล้วจ้องมองเธอด้วยตาเป็นประกาย เมื่อคืนนี้จะบอกว่าเขาช่วยเธอด้วยความเต็มใจก็ไม่ผิดนัก เขาไม่คิดว่าฟู่หยุนชิงจะบริสุทธิ์อยู่จริง ๆ จนกระทั่งเมื่อคืนนี้เขาได้พิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นของเขาคนเดียว ทำให้เหอจิ้งเกายิ่งรู้สึกหวงคนตัวเล็กในอ้อมแขนมากขึ้นไปอีก ฟู่หยุนชิงเงยหน้าขึ้นมองเหอจิ้งเกา พอเธอเห็นว่าเขาตื่นแล้วจึงได้แต่ดิ้นอยากออกจากอ้อมแขนของเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ใช่ว่าเธอไม่อาย แต่เพราะเป็นเขาคนที่เธอเชื่อใจ ฟู่หยุนชิงจึงได้ปล่อยตัวให้เขาอย่างเต็มใจเมื่อคืนนี้ แต่ตอนนี้ฟู่หยุนชิงต้องตื่นจากฝันแล้ว เธอไม่กล้าคิดว่าจะได้อะไรจากเรื่องนี้
คนของผู้ร่วมทุนร่างท้วมเห็นฟู่หยุนชิงลุกจากโต๊ะจึงรีบตามเธอไปที่หน้าห้องน้ำทันที ส่วนเหอจิ้งเกาที่เดินมาหาฟู่หยุนชิงจากโต๊ะแล้วไม่เจอก็ได้แต่ร้อนรนและสอบถามคนในโต๊ะว่าฟู่หยุนชิงไปไหน พอรู้ว่าเธอไปที่ห้องน้ำ เขาและบอดี้การ์ดก็รีบตามไปทันที ระหว่างทางเหอจิ้งเกายังบอกให้บอดี้การ์ดเรียกบอดี้การ์ดที่รออยู่ฟร้อนหน้าโรงแรมจองห้องสวีทที่ดีที่สุดเอาไว้ก่อน เมื่อเหอจิ้งเกาไปถึงหน้าห้องน้ำหญิงเขาก็เห็นคนของผู้ร่วมทุนร่างท้วมกำลังยื้อยุดอยู่กับฟู่หยุนชิง ฟู่หยุนชิงที่ถูกฤทธิ์ยาจนไร้เรี่ยวแรงได้แต่ฝืนตัวต่อสู้กับชายแปลกหน้าที่อยู่ ๆ ก็มาจับแขนของเธอแล้วบอกว่าจะพาเธอไปหาหมอ ฟู่หยุนชิงมองหน้าชายร่างใหญ่ที่กำลังดึงแขนเธออยู่มีหรือจะเชื่อ เธอจำได้ว่าชายคนนี้เป็นคนของผู้ร่วมทุนร่างท้วมที่กระซิบกันตอนเธอไปแนะนำตัว ฟู่หยุนชิงรู้ได้ทันทีว่าคงเป็นชายคนนั้นที่สั่งคนของเขาวางยาเธอ เธอพยายามกัดฟันต่อสู้กับชายร่างใหญ่เพื่อจะสลัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม ฟู่หยุนชิงมีใจต่อสู้แต่กลับไร้เรี่ยวแรง
วันต่อมาฟู่หยุนชิงทานอาหารเช้าและเที่ยงตรงเวลา ก่อนที่เธอจะเริ่มแต่งตัวหลังจากทานอาหารเที่ยงไปได้สองชั่วโมง ฟู่หยุนชิงไม่อยากเร่งรีบมากเกินไป การที่เธอจะไปถึงงานสายสักหน่อยก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะนี่เป็นเพียงงานเลี้ยงของทีมงานเท่านั้น เธอไม่คิดที่จะไปเลียแข้งเลียขาใครแต่แรก อย่างไรการทำงานของเธอแต่ละงานจะต้องได้มาด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่าการได้รับบทมาด้วยหนทางอื่น กว่าที่ฟู่หยุนชิงจะแต่งตัว แต่งหน้าและทำผมเสร็จก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ฟู่หยุนชิงไม่ลืมที่จะถ่ายรูปตัวเองแล้วโพสต์ลงเว่ยป๋อพร้อมกับข้อความว่าเธอกำลังจะเดินทางไปงานเลี้ยงให้กับเหล่าผู้ติดตามได้ดู หลังปิดเว่ยป๋อแล้ว ฟู่หยุนชิงสำรวจของในกระเป๋าสีขาวของเธอว่าลืมอะไรหรือไม่ เมื่อพบว่าเธอไม่ลืมสิ่งใดแล้ว ฟู่หยุนชิงก็ออกจากห้องเพื่อไปหาแท็กซี่ที่ป้ายรถเมล์เช่นเคย ฟู่หยุนชิงรออยู่ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็มีแท็กซี่ว่างผ่านมาพอดี เธอเดินไปโบกแท็กซี่แล้วบอกจุดหมายปลายทาง ก่อนจะเข้าไป
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฟู่หยุนชิงได้รับโทรศัพท์จากทีมงานเพื่อแจ้งสถานที่เลี้ยงฉลองรายได้หนังที่ตอนนี้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศแล้วด้วยรายได้มากกว่าห้าร้อยล้านเหรียญ ฟู่หยุนชิงที่ทราบว่ารายได้หนังที่เธอแสดงได้มากถึงขนาดนี้ก็ถึงกับเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ฟัง ทีมงานได้แต่เตือนฟู่หยุนชิงว่าอย่าลืมเวลานัดงานเลี้ยงซึ่งจะถูกจัดขึ้นในวันมะรืนนี้ที่โรงแรมกลางเมืองอีกเช่นเคย ฟู่หยุนชิงตอบรับคำเชิญและบอกว่าไปถึงแล้วเธอจะโทรหาทีมงานเอง หลังนัดแนะกันแล้วทั้งคู่ต่างวางสายไป ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ฟู่หยุนชิงไม่ได้ตามข่าวเรื่องหนังของตัวเองมากนัก มีเพียงเหล่าแฟนคลับที่บอกเธอว่ารายได้เปิดตัวหนังวันแรกก็เกือบหนึ่งร้อยล้านเหรียญแล้ว ฟู่หยุนชิงจึงไม่ได้ตามต่อว่าหนังของเธอจะมีรายได้เพิ่มอีกมากแค่ไหนภายในหนึ่งสัปดาห์ ฟู่หยุนชิงมัวแต่สนุกอยู่กับการฝึกฝนร่างกายของเธอให้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าตอนที่ไปติดเกาะร้าง เธอรู้ดีว่าร่างเดิมไม่ชอบออกกำลังกายจึงทำให้ร่างกายนี้อ่อนแอไม่น้อย แน่นอนว่าระหว่
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ฟู่หยุนชิงนำถุงต่าง ๆ ที่ได้รับจากแฟนคลับมาเปิดดู เธอยังถ่ายรูปการ์ดและสิ่งของที่แฟนคลับให้มาเอาไว้ทุกอันก่อนจะโพสต์รูปทั้งหมดลงในหน้าหลักเว่ยป๋อของเธอพร้อมคำขอบคุณอีกครั้ง ฟู่หยุนชิงไล่ดูรูปภาพที่เหล่าแฟนคลับแชร์มาให้เธอในเว่ยป๋อ เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะถ่ายภาพแทบจะทุกมุมตอนเธออยู่บนเวทีและด้านล่างหลังจากหนังฉายจบจนกระทั่งเธอได้ถ่ายรูปกับพวกเขาทุกคน ชาวเน็ตที่ไม่ได้ไปในเว่ยป๋อก็ได้แต่ชื่นชมฟู่หยุนชิงมากยิ่งขึ้นไปอีกที่เธอเป็นกันเองกับเหล่าแฟนคลับ ไม่เหมือนกับนักแสดงคนอื่นที่ต้องให้บอดี้การ์ดหรือทีมงานคอยกันเหล่าแฟนคลับเอาไว้ พวกเขาจะทำแค่ยื่นมือมาให้ลายเซ็นหรือทำเพียงแค่ยืนโพสต์ท่าให้แฟนคลับถ่ายรูปเท่านั้น แต่ในรูปที่แฟนคลับที่ไปงานเมื่อวานนี้นั้น มีรูปคู่ระหว่างฟู่หยุนชิงกับทุกคนที่ไปอย่างครบถ้วน ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว ทำเอาคนอื่น ๆ ได้แต่อิจฉาที่พวกเขาได้ใกล้ชิดกับฟู่หยุนชิงตัวจริง
สองชั่วโมงต่อมาหลังจากการฉายหนังจบลง เหล่านักข่าวและอินฟลูเอ็นเซอร์ทั้งหลายต่างปรบมือให้กับนักแสดงและทีมงานอย่างล้มหลาม พวกเขาดูหนังเรื่องนี้ซึ่งทั้งนักแสดงและผู้กำกับต่างทำออกมาได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เพราะส่วนใหญ่แล้วหนังบู๊พีเรียดส่วนมากมักจะทำได้ไม่เหมือนจริงถึงขนาดนี้ ยิ่งฉากต่อสู้ของฟู่หยุนชิงด้วยแล้ว ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าสมแล้วที่เหอจิ้งเกากับผู้กำกับจะชื่นชมเธอมากตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ดูหนังเต็มเรื่องเสียอีก นักข่าวต่างอยากสัมภาษณ์ฟู่หยุนชิงกันทั้งนั้น พวกเขาขอทีมงานซึ่งทางทีมงานเองก็อนุญาตให้สัมภาษณ์ได้หลังจากทุกคนออกจากโรงหนังไปที่สถานที่ที่จัดเตรียมการสัมภาษณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เหล่าแฟนคลับของฟู่หยุนชิงเองก็เตรียมตัวรอฟู่หยุนชิงอยู่บริเวณที่พวกเขาเห็นทีมงานจัดเตรียมพื้นที่เพื่อให้สัมภาษณ์เช่นกัน พวกเขาอยากใกล้ชิดกับนักแสดงที่พวกเขาชื่นชอบมากขึ้นเท่านั้นจึงได้อดทนรอกันอยู่เช่นนี้ ส่วนแฟนคลับของนักแสดงคนอื่นท