เยว่ซิงตามมาดูเหตุการณ์ต่างๆ พอเห็นว่าซือซินอี๋ลอยไปตามสายน้ำในจุดที่พ้นภัย นางค่อยโล่งใจ ซึ่งก่อนหน้านั้น นางกับฝ่ายแคว้นตาโจวร่วมมือกันยิงธนูเพื่อเร่งเร้าให้ทั้งคู่ หาทางใกล้ชิดกัน แม้อันตรายหากได้ผลดีเยี่ยม “นางกำนัลเยว่... ครั้งนี้นับว่าเจ้าสร้างผลงานชั้นเลิศ แม่ทัพของพวกเราขาดสตรีอุ่นเตียงมานานเหลือเกิน อีกทั้งเขาได้กินเนื้อหงส์เช่นนี้ วาสนานั้นนับว่าดีเกินใคร” รองแม่ทัพและสหายเจิ้งคังเอ่ย “ทั้งหมดนี้เพราะ ชิงอ๋องต้องการหาบุรุษที่เหมาะสมกับองค์หญิงเก้า และฝ่ายแคว้นต้าโจวเสนอบุรุษที่เพียบพร้อมที่สุด ทั้งยังยึดมั่นในความรัก เรื่องนี้นับว่าเป็นความเหมาะสม” “พวกเราย่อมมีนายหญิงคนใหม่ที่สูงศักดิ์เร็ววัน ขอบน้ำใจนางกำนัลเยว่” รองแม่ทัพเอ่ยจบ เขาก็ไปเตรียมรอการกับมาของเจิ้งคัง ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยชายหญิงคู่นี้ ย่อมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คงราวๆ สามคืนสามวันเป็นอย่างต่ำ ซือซินอี๋กินตื่นเช้าอีกวัน แน่นอนนางกับเจิ้งคังร่วมรักกันยาวนาน เป็นเวลามากกว่าสามคืนสามวัน เจิ้งคังต้องการเช่นนั้น เขาจะได้คุยโม้ปันเส้าเฟิงได้ว่า
ฉัน...ไม่ใช่สิ รู้สึกเขินที่ต้องใช้คำพรรคนั้น ด้วยข้ามาอยู่ที่โลกจีนโบราณซึ่งเข้าใจว่าเป็นนิยายเรื่องหนึ่งมาพักใหญ่แล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พบว่า ความสุขคือการลงมือทำด้วยตนเองอย่างกล้าหาญ แต่เดิมนั้น ชีวิตตัวละครนามว่า ไป๋ลู่เถียน คือนางร้ายและสมควรจากไปตั้งนานแล้ว ทว่าจนตอนนี้นางมีลูกชายสามคน เป็นฝาแฝด และให้กำเนิดเด็กหญิงแสนน่ารัก ลู่เฟิง อันเป็นชื่อที่ข้ากับบิดาของนางช่วยกันตั้ง โดยผสมชื่อทั้งคู่เข้าด้วยกัน ลู่เฟิง เป็น วิหคน้อยที่งดงามสมวัย ทั้งยังเป็นที่รักของพี่ชาย ยามนี้เหล่าพี่ชายทั้งสาม ต่างแย่งกันปกป้องน้องสาว ส่วนซือหม่าปั่นผู้เป็นสามีข้า เกือบสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เขายังหล่อเหลาและหนุ่มแน่นในแบบฉบับที่ข้าหลงรักได้ทุกวัน เพียงแต่ผมเปลี่ยนสีเท่านั้น จากดำขลับปีกอีกา ถูกแซมด้วยสีขาวซึ่งมีเสน่ห์อีกแบบทว่าอย่างเดียวที่ข้ากังวลใจ คือสีหน้าเขามักเครียดทุกครั้งยามเหล่าองค์หญิงน้อยเชิญ ลู่เฟิงไปเล่นสนุกในวังหลวง เนื่องจากมันเป็นแผนของเหล่าพระสนมนั่นเอง ด้วยอยากให้ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเขาเข้าวัง เพื่อเหล่าองค์ชายทั้งในสกุลและต่างสกุลได้ยลโฉม
รัชศก กู้อิน ปีที่สิบสอง เมืองหรูฉาง แคว้นต้าโจว คืนนี้ซือหม่าปัน หรือ ปันเส้าเฟิง ผู้ซึ่งโสดมานานหลายปี เขามึนศีรษะอยู่สักหน่อย นั่นเป็นเพราะแม่ทัพเจิ้ง เพื่อนเก่ากลับมาจากเมืองหน้าด่าน มีความประสงค์อยากดื่มฉลองพร้อมพูดคุยถึงความหลังสมัยที่พวกเขาออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน หลายปีที่ผ่านมา เจิ้งคัง ผู้เป็นแม่ทัพเมืองหน้าด่านไม่คิดกลับเมืองหลวง สาเหตุคือ นานแล้วเขาปฏิเสธการสมรสกับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ซึ่งไท่ซางหวงเป็นผู้แนะนำให้ กระทั่งหลานชายของเขากำลังจะรับตำแหน่งสำคัญในศาลหลักเมืองหรูฉาง ซึ่งมีฝ่ายรัชทายาทคอยให้การสนับสนุน เหตุนี้เจิ้งคังจึงเดินทางไกลนับพันลี้ มาร่วมแสดงความยินดี นอกจากกลับบ้านเกิดมาเยี่ยมครอบครัวแล้ว เจิ้งคังยังหอบหิ้วสาวงามมาหลายคน ซึ่งดูเหมือนว่าหนึ่งในนั้นคือสตรีที่อยู่ในห้องรับรองโอ่โถง ณ โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมืองนี้และนางกำลังบ้าบิ่นถึงขั้นกล้าปีนขึ้นเตียงปันเส้าเฟิง แต่น่าประหลาดใจ สตรีนางนั้นทั้งที่ต้องมารับแขกที่เป็นขุนนางชั้นสูง แต่กลับครองสติแทบไม่ได้ เพราะดื่มสุรามามิน้อย มิหนำซ้ำดูเหมือนต้องพิษราคะ
แม้จะเป็นแผนการของไป๋ลู่เถียนที่หวังว่าพลีกายและส่ายสะโพกยั่ว ๆ บด ๆ หวังให้ซือหม่าปันหลงใหลในกามา เพื่อภายหน้าจะได้ก้าวขึ้นเป็นสตรีข้างกายเขา ทว่าพอถึงบทบาทยามเขาปรารถนาโจนจ้วงความใหญ่โตเข้าสู่กลีบสวาท เรื่องที่ชวนให้ตื่นตระหนกก็เกิดขึ้น หลังจากนางเรียนรู้การใช้ปากกับกลางกายเขาพักใหญ่ ไป๋ลู่เถียนก็ถูกปรับท่าทางให้เป็นฝ่ายนอนราบไปบนพื้น สองขาถูกจับแยกให้กว้างก่อนที่ปันเส้าเฟิงจะสำรวจทุกซอกทุกมุมบนเรือนกายอย่างพึงใจ “ความฉ่ำหวานในเนื้อนุ่มนิ่มนี้นับว่าดี ส่วนของข้ามีน้ำหล่อลื่นชุ่มตลอดลำนับว่าพอเหมาะ เพียงแต่กลีบเจ้าคับแน่นเหลือเกิน ทั้งยังบริสุทธิ์มาก อาจต้องเจ็บและบอบช้ำสักหน่อย หากข้าพามะเส็งยักษ์เข้าไปบุกทะลวงอย่างลึกซึ้ง!” ไป๋ลู่เถียนขัดเขินเหลือเกิน เขาชมนางไม่พอ ยังแทงนิ้วเข้าใส่ความตอดรัดไม่หยุดด้วย ฝ่ายนางก็หาได้ออมแรงที่จะเอาอกเอาใจเขาสักนิด นอกเหนือจากนั้นนางยังขับน้ำใส ๆ ออกมาจนชุ่มนิ้วเขา “ดูสิ แม้แต่นิ้วข้า เจ้ายังดูดมันเข้าไป แล้วบีบรัดได้ถึงใจเพียงนี้ อ่า!” เขาบอกนาง แล้วครางเสียงทุ้ม ๆ สลับการหายใจที่ถี่ต่ำ ยา
ขณะที่ไป๋ลู่เถียนก้าวไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ ฝ่ายแม่บ้านเหอที่มาเป็นธุระให้แก่อี้ฟานหันไปสนใจคนเล่านิทาน พร้อมอีกฝั่งหนึ่งมีการแจกกระดาษที่มีการเขียนบรรยายถึงคนผู้นั้นพร้อมรูปวาด เพื่อตามหาสตรีปริศนาผู้ขโมยหัวใจปันเส้าเฟิงไป เมื่อสถานการณ์ตอนนี้ถูกกล่าวถึงในวงกว้าง ฝ่ายไป๋ลู่เถียนก็อมยิ้มบาง ๆ บนสีหน้า นางเล่นเล่ห์กลเล็กน้อย อีกอย่างใบหน้าที่แท้จริงของไป๋ลู่เถียนในชาติภพนี้ ต้องยอมรับว่ามีตำหนิอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นแม้งามอยู่มาก แต่เมื่อเปิดเปลือยผิวที่แท้จริงไม่ได้พอกแป้งไว้ ก็เห็นว่าผิวเป็นด่างขาววงใหญ่หลายวง จนคนทั่วไปคงไม่อยากมองนางมากนัก และนี่คืออีกหนึ่งสาเหตุที่นางถูกอดีตชายหนุ่มบ้านเดียวกันเจิ้งเสี่ยวหยวนปฏิเสธ และไปคบหากับลูกสาวขุนนางใหญ่เฉินมี่ แต่ก็นั่นแหละ นิยายเรื่องเดิม บทที่เขียนไว้ก่อนหน้านั้น ทั้งคู่เป็นพระเอกและนางเอกในเรื่องที่ออกแนวผัวโฉดเมียชั่ว และปากบอกทุกคนว่า ทำทุกสิ่งเพื่อเรียกร้องคุณธรรม ส่วนไป๋ลู่เถียนคือนางร้ายที่แสนจะอาภัพ แม้สวยหยาดเยิ้มแต่ดันโง่ ดังนั้นชีวิตจึงมีแต่ไฟแค้นสุ่มอก ทำสิ่งใดมักย้อนกลับมาเป็นผลร้ายใส่ตนเองและครอบครัว อ
จากนั้นก็ชี้มือไปยังรูปภาพของสตรีที่ปันเส้าเฟิงอยากพบหน้าในยามนี้ แม้ไม่ถึงกลับพลิกแผ่นดินตามหา ทว่าการที่เขาจ้างนักเล่านิทาน กล่าวถึงเรื่องสตรีที่อุ่นเตียงด้วย และวาดภาพนางให้คนทั้งเมืองหลวงเห็น นับว่าเป็นเรื่องดี ตามประสงค์ที่ไป๋ลู่เถียนได้วางแผน เหอชิงก้าวไปยังป้ายที่ถูกติดประกาศไว้ มองแล้วมองอีก ก็ให้ฉงนใจ กระทั่งหันหน้ากลับมา และเห็นไป๋ลู่เถียนยิ่งสังหรณ์ใจแปลก ๆ “เฮ้อ สตรีคนใดกันงามหยาดเยิ้มได้เพียงนั้น เสียแต่คนวาด คงเติมแต่งมากไปสักหน่อย ปากเอย คิ้วเอย ดูแล้วราวกับนางฟ้า นางสวรรค์ ไม่เห็นเหมือนคนเดินดิน!” แม่บ้านว่าและคิดในใจ หากไม่เอ่ยออกมาภาพดังกล่าวละม้ายคล้ายไป๋ลู่เถียนมากถึงสามส่วนเลยทีเดียว ผิดแต่สตรีตรงหน้าซึ่งอี้ฟานอยากพบหน้ายังเป็นสาวน้อย ดูซื่อและบริสุทธิ์เกินกว่าจะเป็นหญิงงามร่านสวาทดั่งในรูปภาพ ซึ่งผู้คนกล่าวขานกันว่านางปรนเปรอความสาวและบ้าบิ่นถึงขั้นมีความสามารถทำให้ปันเส้าเฟิงบอกรักไปถึงห้ารอบในคืนเดียว! ไป๋ลู่เถียนใช้เวลานั่งรถม้าเกือบหนึ่งชั่วยาม เส้นทางที่ออกจากเมืองหรูฉางนับว่าคดเคี้ยว สองข้างทางมีแต่ป่าเขา ตัวน
ไป๋ลู่เถียนมาทราบภายหลังว่า เป็นญาติของนางร่วมมือกับขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงจ้างวานมือสังหาร ด้วยต้องการฆ่านางให้ตาย จากนั้นสมบัติสกุลไป๋จะได้ตกเป็นของคนพวกนั้น เมื่อไป๋ลู่เถียนเหลือตัวคนเดียวนางก็หวังพึ่งเจิ้งเสี่ยวหยวน ซึ่งเหมือนขอนไม้กลางแม่น้ำให้นางไขว่คว้ายึดเพื่อเอาชีวิตรอด ทว่าสัญญาหมั้นหมายที่มารดาของเจิ้งเสี่ยวหยวนเคยให้ไว้กับปู่ของไป๋ลู่เถียนกลับไร้ความหมาย เมื่อนางตามหาเขาพบ ชายหนุ่มหาได้แสดงความยินดี มิหนำซ้ำยังบอกว่าเขากำลังจะเข้าพิธีมงคลกับเฉินมี่ ลูกสาวเจ้ากรมโยธา และมันคือสมรสพระราชทาน ! “อาเถียน ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้าจับใจ ทว่าเมื่อสิบปีก่อน หลังจากเดินทาง ออกจากเมืองเจ้อตงเกิดเหตุร้ายมากมาย รวมถึงเหตุน้ำท่วมใหญ่ ครอบครัวเล็ก ๆ ของข้าแทบไม่หลงเหลือสิ่งใด กระทั่งต้องไปอาศัยเรือนนอกของเจ้ากรมโยธาเพื่อรักษาชีวิต ตัวข้าป่วยหนักอยู่เกือบครึ่งปีและได้รับการดูแลจากคุณหนูเฉิน น้ำใจนางชาตินี้ข้าย่อมตอบแทนได้หมด” “ฮึ แล้วแม่นางน้อยบ้านนอกที่ในอดีตคอยหุงหาอาหาร และปรนนิบัติทั้งแม่ของท่านและตัวท่านยามลี้ภัยสงครามมา เงินสักอีแปะก็ไม่เหลือ
“แม่นางเถียน... เจ้าไม่สบายหรอกหรือ” ถึงอี้ฟานจะเป็นชายนิสัยแย่ อารมณ์ร้าย ทว่าพอเห็นไป๋ลู่เถียนแสดงสมบทบาทว่าไร้เรี่ยวแรง เขาจึงไม่อาจเพิกเฉย ซึ่งอีกฝ่ายเป็นชายสูงเพรียว ไม่ล่ำสัน แต่มีกล้ามเนื้อสมตัว และที่สำคัญแม้เขาจะเป็นตัวร้าย หากเป็นชายที่หล่อเหลาที่สุดในนิยายเรื่องนี้! “ที่นี่แดดแรง พักข้างในกันเถิด” นางเชิญชวนเขา พร้อมบีบท่อนแขนกำยำ บีบแล้วปล่อย แสดงอย่างแนบเนียนเหมือนคนกำลังเพ้อ และต้องการความช่วยเหลือจากบุรุษผู้นี้ “ชายหญิงไฉนจะอยู่กันเพียงลำพังได้” เขาถามน้ำเสียงแจ้งชัดว่ากำลังประหม่า ทั้งออกตัวว่าไม่อยากใกล้ชิดนางจนเกินไป ซึ่งนางอยากหัวร่อนัก ยามนี้อี้ฟานยังคิดว่า ตนเป็นสุภาพบุรุษอีกหรือ อีกอย่าง เขาแค่มองนางที่เปลือกนอก นั่นเป็นเพราะนางมีผิวด่างขาว หากเป็นหญิงงามและสกุลสูงศักดิ์ อี้ฟานย่อมต้องรวบหัวรวบหางนางโดยเร็ว นอกจากนั้นการที่เขาหายไปในวันนัดพบกันที่หอเซียนเมารักนางรู้ว่า เขาได้จ้างสำนักข่าวสืบข้อมูลของไป๋ลู่เถียน กระทั่งมั่นใจว่านางมิใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า อีกทั้งมีทรัพย์สมบัติมากพอจะทำให้อี้ฟานพลิกชะตาชีวิตอันบ
ฉัน...ไม่ใช่สิ รู้สึกเขินที่ต้องใช้คำพรรคนั้น ด้วยข้ามาอยู่ที่โลกจีนโบราณซึ่งเข้าใจว่าเป็นนิยายเรื่องหนึ่งมาพักใหญ่แล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พบว่า ความสุขคือการลงมือทำด้วยตนเองอย่างกล้าหาญ แต่เดิมนั้น ชีวิตตัวละครนามว่า ไป๋ลู่เถียน คือนางร้ายและสมควรจากไปตั้งนานแล้ว ทว่าจนตอนนี้นางมีลูกชายสามคน เป็นฝาแฝด และให้กำเนิดเด็กหญิงแสนน่ารัก ลู่เฟิง อันเป็นชื่อที่ข้ากับบิดาของนางช่วยกันตั้ง โดยผสมชื่อทั้งคู่เข้าด้วยกัน ลู่เฟิง เป็น วิหคน้อยที่งดงามสมวัย ทั้งยังเป็นที่รักของพี่ชาย ยามนี้เหล่าพี่ชายทั้งสาม ต่างแย่งกันปกป้องน้องสาว ส่วนซือหม่าปั่นผู้เป็นสามีข้า เกือบสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เขายังหล่อเหลาและหนุ่มแน่นในแบบฉบับที่ข้าหลงรักได้ทุกวัน เพียงแต่ผมเปลี่ยนสีเท่านั้น จากดำขลับปีกอีกา ถูกแซมด้วยสีขาวซึ่งมีเสน่ห์อีกแบบทว่าอย่างเดียวที่ข้ากังวลใจ คือสีหน้าเขามักเครียดทุกครั้งยามเหล่าองค์หญิงน้อยเชิญ ลู่เฟิงไปเล่นสนุกในวังหลวง เนื่องจากมันเป็นแผนของเหล่าพระสนมนั่นเอง ด้วยอยากให้ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเขาเข้าวัง เพื่อเหล่าองค์ชายทั้งในสกุลและต่างสกุลได้ยลโฉม
เยว่ซิงตามมาดูเหตุการณ์ต่างๆ พอเห็นว่าซือซินอี๋ลอยไปตามสายน้ำในจุดที่พ้นภัย นางค่อยโล่งใจ ซึ่งก่อนหน้านั้น นางกับฝ่ายแคว้นตาโจวร่วมมือกันยิงธนูเพื่อเร่งเร้าให้ทั้งคู่ หาทางใกล้ชิดกัน แม้อันตรายหากได้ผลดีเยี่ยม “นางกำนัลเยว่... ครั้งนี้นับว่าเจ้าสร้างผลงานชั้นเลิศ แม่ทัพของพวกเราขาดสตรีอุ่นเตียงมานานเหลือเกิน อีกทั้งเขาได้กินเนื้อหงส์เช่นนี้ วาสนานั้นนับว่าดีเกินใคร” รองแม่ทัพและสหายเจิ้งคังเอ่ย “ทั้งหมดนี้เพราะ ชิงอ๋องต้องการหาบุรุษที่เหมาะสมกับองค์หญิงเก้า และฝ่ายแคว้นต้าโจวเสนอบุรุษที่เพียบพร้อมที่สุด ทั้งยังยึดมั่นในความรัก เรื่องนี้นับว่าเป็นความเหมาะสม” “พวกเราย่อมมีนายหญิงคนใหม่ที่สูงศักดิ์เร็ววัน ขอบน้ำใจนางกำนัลเยว่” รองแม่ทัพเอ่ยจบ เขาก็ไปเตรียมรอการกับมาของเจิ้งคัง ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยชายหญิงคู่นี้ ย่อมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คงราวๆ สามคืนสามวันเป็นอย่างต่ำ ซือซินอี๋กินตื่นเช้าอีกวัน แน่นอนนางกับเจิ้งคังร่วมรักกันยาวนาน เป็นเวลามากกว่าสามคืนสามวัน เจิ้งคังต้องการเช่นนั้น เขาจะได้คุยโม้ปันเส้าเฟิงได้ว่า
จากนั้น เจิ้งคังเลือกที่จะควบม้าออกจากกลุ่มของเขา และแจ้งทุกคนว่า หากใครพบซือซินอี๋ก่อนจงล้อมนางไว้ อย่าได้แตะต้องหรือล่วงเกินเด็ดขาด โดยเรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับห้ามมิให้ผู้ใดแพร่งพราย เขากลัวจะมีเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงนางนั่นเอง แม่ทัพหนุ่มควบม้าสลับการสืบหาล่องลอยองค์หญิงอยู่เกือบสองวัน ในที่สุดเขาก็พบหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่กำลังนอนบนหินริมแม่น้ำกว้าง ปล่อยใจชื่นชมบรรยากาศด้วยความสุข แต่หนุ่มน้อยคนดังกล่าว ผิวออกจะนวลเนียน ใบหน้ากระจ่างใส อีกทั้งริมฝีปากแดงสดยั่วยวนน่าจูบอย่างที่สุด ยิ่งกว่านั้นยังมีหน้าอกอวบๆ ดึงดูดสายตา และหากเขาใจกล้าพอที่จะจับเป้ากางเกงอีกฝ่ายคงไม่พบงวงช้างอันใด หากจะเป็นกลีบฉ่ำๆ อย่างแน่นอน แม่ทัพหนุ่มหัวเราะหึๆ สตรีผู้หนึ่งชอบความสนุกเป็นที่ตั้ง รักความสำราญใจและอิสระ โดยไม่รู้ว่าผลที่ตามมาผู้อื่นต้องลำบากสิ่งใดบ้าง หากไม่สั่งสอนสักหน่อย คงไม่ใช่เจิ้งคังผู้นี้ ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากม้า สืบเท้าไปหานางช้าๆ “ข้าอยากดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่” ทั้งที่อยากกำร
ซือซินอี๋ องค์หญิงเก้าแคว้นชิง นางกำนัลเยว่ซิง ขันทีเจียง (เจียงกง) เจิ้นเหริน แฝดคนโต เจิ้นห่าว แฝดคนกลาง เจิ้นหนาน แฝดคนสุดท้อง ลู่เฟิง ลูกสาวคนสวยของไป๋ลู่เถียนและปันเส้าเฟิง **************************“ลิ้นสากร้อนของท่านช่างเกเร...”“แล้วลิ้นเรียวเล็กสีชมพูขององค์หญิงเล่าเอาชนะบุรุษแห่งแคว้นต้าโจวได้หรือไม่”ได้ยินอย่างนั้น ซือซินอี๋ก็ไม่รอช้าถูกท้าทายเช่นนี้อย่างไรนางก็ต้องกุมชัยชนะอยู่เหนือแม่ทัพเจิ้ง!*************************ตอนพิเศษเร้ารักองค์หญิงต่างแคว้นซือซินอี๋ คือโฉมงามแคว้นชิง ทว่านางหัวรั้นอวดดี ทั้งยังนิยมแต่งตัวเป็นบุรุษ วันดีคืนนี้ก็ทำตัวเสเพลแอบดูสตรีอาบน้ำ หากสิ่งนั้นยังน้อยไป เพราะการถ้ำมองคู่รักเข้าหอคืนแรกคือสิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและซ่านสยิวใจที่สุด ดูด้วยสองตาไม่พอ ยังสั่งวาดภาพ และจดบันทึกเรื่องราวเอาไว้ด้วย ยิ่งได้เห็นเหล่าหญิงงามที่นุ่มนิ่ม เอวบางขยับท่าทางโลดโผน แล้วรุกไล่ข่มเหงบุรุษ หรือส่งเสียงครางระงมราวกั
***แนะนำก่อนอ่านเรื่อง ในตอนพิเศษนี้ คือเหตุการณ์หลังจากปันเส้าเฟิงและไป๋ลู่เถียนอยู่ในจวนปันอย่างสามีภรรยา และมีสามแฝดเป็นพยานรักไป๋ลู่เถียนรับรู้ได้ว่าปันเส้าเฟิงกำลังพยายามทำบางอย่างด้วยต้องการเอาใจนาง แต่ให้ตายเถิด มันจั๊กจี้เป็นบ้า ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่ใช่การเล่นปูไต่ หากเขากำลังใช้นิ้วยาวๆ สำรวจน่อง ไล่ไปยังต้นขาเรียวและอีกนิดเดียวคงแทรกเข้าสู่พื้นที่หวานจัดของนางอ๊ะ ความหวามใจนี้ เกินที่นางจะระงับความซ่านสยิวของเนื้อสาวที่ฉ่ำแฉะได้อีกต่อ และนางหมายใจอยากให้ทั้งนิ้วยาวๆ ของเขา และขาที่สามอุ่นจัดซึ่งอยู่ในร่มผ้าเผด็จศึกนางเสียที กระนั้นนางก็เอ่ยปากตรงข้ามความรู้สึกของตน“ตาเฒ่า ท่านหยุดลามกกับเมียเด็กสักวันได้หรือไม่” ช่วงหลังมานี้ ไป๋ลู่เถียนติดใช้คำร่วมสมัยของยุคปัจจุบัน และปันเส้าเฟิงย่อมไม่ถือสา เขาสนุกกับถ้อยคำของนาง อีกทั้งยังมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ พลอยทำให้ปันเส้าเฟิงได้ย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง และเหนืออื่นใดเขารักเมียเด็ก หลงเมีย และรู้ว่าอีกไม่นานนางคงตั้งครรภ์ แล้วให้กำเนิดเด็กๆ ที่น่ารักมาเป็นเพื่อนเล่นเหล่าพี่ชายซึ่งอยู่ในวัยซุกซนทั้งสามคน “มิได้ เป้าเป่
เมื่อเมื่อก้าวเข้ามาในเรือนก็เห็นจู่ซินเพิ่งอาบน้ำเรียบร้อย นางอาจไม่ใช่สตรีงดงามล่มเมือง ทว่ากิริยาน่ารักน่าชม เหนืออื่นใดนางอวบอัด มีเนื้อหนังให้น่าสัมผัสไปหมด เมื่อดวงตาเรียวรีมองเห็นผู้เป็นสามียืนอยู่กลางห้องโถง พร้อมวัตถุดิบในมือ จู่ซินจึงยิ้มดีใจ สำหรับนางอี้ฟานเป็นบุรุษที่น่าสงสาร เขาพยายามเป็นคนดีเสมอ ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้มีโอกาสนักสำหรับชายคนนี้ กระทั่งมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน อี้ฟานค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัย แม้ไม่ได้ดีขึ้นทันตาเห็น แต่ก็เป็นชายที่นางอยากใช้ชีวิตด้วย ที่สำคัญอี้ฟานไม่เคยทำร้ายนาง ไม่มีการตบตี ด่าทอ อาจพูดน้อย รักสันโดษ และไม่ค่อยร่าเริงก็เท่านั้น “ทำอาหารกินกันดีหรือไม่ เผื่อเจ้าจะหิว” อี้ฟานกล่าวทำลายบรรยากาศที่ร้อนรุ่มในห้องโถงของเรือน “ท่านพี่...” จู่ซินไม่ได้อยากทำตัวเป็นสตรีตามตรอกหอนางโลม หรือพวกอนุที่ชอบยั่วเย้าสามี เพื่อให้เขารักและหลง แต่ยามนี้นางอดใจไม่ไหว ด้วยชายหนุ่มไม่ได้สวมเสื้อ เปลือยกายท่อนบน เป้ากางเกงเขาก็ตุงจัด หากนางคาดการณ์ไม่ผิด สิ่งที่อยู่ข้างในคงอยากโผล่ออกมาสูดอากาศเต็มที่แล้ว “อาซิน...ไปอาบ
ในตอนพิเศษนี้ ผู้อ่าน สามารถอ่านแยกจากเล่มหลักได้เรือนบรรพชน ตำบลเสออี้ เมืองฉวน แคว้นต้าโจว อี้ฟานรู้สึกว่า เขาร้อนรุ่มในร่างกาย ด้วยยาที่จู่ซินนำมาต้มเพื่อให้เขาดื่ม ส่งผลให้ขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ยิ่งกว่านั้นร่างกายที่เคยอ่อนเพลีย เรี่ยวแรงซึ่งหดหายไปค่อย ๆ คืนมา เขาจึงมีกำลังวังชากว่าเดิม สุขภาพดีเป็นลำดับ เรียกว่าแข็งขันจนเหมือนทหารที่ฝึกฝนตนในค่ายอยู่ทุกคืนวัน ดังนั้น ยามรุ่งเช้าจึงต้องรีบตื่นเพื่อชำระร่างกายในลำธาร บางคืนก็ข่มใจ อดกลั้นอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความต้องการต่อเรือนร่างของจู่ซิน ภรรยาแสนดีซึ่งดูแลเขามาร่วมปีสองแล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น อนิจจาอี้ฟานรู้สึกว่า ตนไม่เหมาะสมกับนาง ทั้งละอายต่อจู่ซิน ที่พาอีกฝ่ายมาลำบากห่างจากบ้านเกิดนับพันลี้ ‘ท่านพี่ฟาน ข้ายินยอมเป็นภรรยาของท่าน’ คืนที่นางกับเขาดื่มเหล้ามงคลด้วยกัน นี่คือถ้อยคำที่จู่ซินบอกเขาพร้อมหยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม นางไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ หากรู้สึกมีความสุขที่กล้าก้าวออกจากเรือนใหญ่ที่ไร้ความรักต่อนาง ด้วยจู่ซินเป็นเพียงลูกอนุ ถึงอย่างน
เสียงพูดคุยกันดังอย่างอึงอล ซึ่งล้วนเป็นความทึ่งและอยากรู้ว่า เด็กน้อยจะเขียนสิ่งใด ฝ่ายเจิ้งคังเห็นความคึกครื้นนั้นก็อยากได้ความสนุกมากขึ้น จึงมีการพนันเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรื่องที่จะเกิดขึ้น ปันเส้าเฟิงหรี่ตามองสหายรุ่นน้อง แต่ไม่ได้ห้ามปราม ด้วยเป็นช่วงเวลาแห่งสุขโดยแท้ อึดใจต่อมา มือเล็ก ๆ ก็ใช้พู่กันที่จับไว้ วาดตัวอักษรลงบนผืนผ้าและภาพดังกล่าวใครจะเชื่อตาตนเอง อายุเพียงเท่านั้นก็เป็นอัจฉริยะทางด้านตัวอักษร ลายเส้นพลิ้วไหว หากหนักแน่น มั่นคง ทั้งยังเหมือนสื่ออารมณ์ให้ผู้คนที่ได้ชมยิ้มตาม “ฝู 福 (fú)” อักษรตัวแรก เขียนเสร็จเรียบร้อย ปันเส้าเฟิงก็ยกมันให้ทุกคนดู “ความสุขหรือ...” สมแล้วที่เป็นนายน้อยเหริน เจิ้งคังเป็นคนกล่าว ฝ่ายไป๋ลู่เถียนอุ้มลูกชายคนกลางของนาง และพาเขามาอยู่ใกล้ ๆ น้องชาย และเจิ้นห่าว ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่ต้องอ้าปากค้าง “ฝู...ความสุข!” เมื่อคนโตเขียนตัวอักษรได้ คนกลางก็กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น ทรงพลัง และน้องชายคนเล็กที่วัน
งานเลี้ยงรับขวัญสามแฝดในปีที่สอง คือเรื่องรื่นเริงระดับแคว้นต้าโจว มีของขวัญมากมายจากเมืองต่าง ๆ ที่ส่งมาถึงจวนปัน ทั้งที่ไป๋ลู่เถียนออกปากว่า อย่าได้ฟุ่มเฟือย นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เด็ก ๆ ลืมตาขึ้นมาดูโลก นางตระหนักได้ว่า มีผู้คนลำบากว่าตนมากมายยิ่งนักแน่ละ ถึงนางจะเป็นนางร้ายของเรื่องนี้ ที่ได้มีชีวิตสุขสบายครองคู่กับผู้ชายที่เป็นตัวละครลับอย่างปันเส้าเฟิง แต่นางไม่ลืมว่าการช่วยเหลือผู้อื่น คือการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเอง “สิ่งใดเป็นของกินได้ ให้จัดเตรียมไว้เพื่อบริจาค สิ่งใดเป็นเครื่องนุ่งห่ม ให้คัดแยกเพื่อส่งต่อแก่เด็ก ๆ ที่ยากไร้” ไป๋ลู่เถียนบอกบ่าวรับใช้ และเหลียงซานดูแลเรื่องนี้อยู่อย่างใกล้ชิด “พวกเครื่องประดับ และของมีค่าต่าง ๆ ล่ะเจ้าคะ” เหอชิงเอ่ยถาม “ส่งเข้าคลังของจวนปัน สิ่งใดแลกเป็นอาหารหรือข้าวสารได้ ก็จัดการเสีย และข้าจำเป็นต้องมีทุนสำหรับสร้างโรงผลิตสมุนไพรด้วย” ไป๋ลู่เถียนกล่าวไม่ทันจบประโยคดี ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามาพลอยให้นางต้องขบขัน เพราะปันเส้าเฟิงอุ้มเด็ก ๆ ไว้สองแขน คนหนึ่งจ้ำม่ำตาโต ถือพู่กัน แล้วใช้จิ้มไปท