คุณนายโจวรู้สึกขมขื่นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่คง จื่ออินได้รับ เธอพบว่าลูกสาวของของเธอนั้นน่าสงสารเกินไป“แม่ หยุด!” โจว เชียนหยุนโพล่งขึ้น เธอไม่ต้องการให้ลูกชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเกี่ยวกับความแค้นของผู้ใหญ่คุณนายโจวดึงสติของตัวเองกลับมาและนั่งเงียบในทันทีโชคดีที่อาหยันน้อยจดจ่ออยู่กับทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวเขาในแต่ละวันที่ผ่านไป โจว เชียนหยุนรู้สึกว่าความไม่สบายใจของเธอได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เธอทนรอให้ทั้งสามคนขึ้นไปบนรถไฟความเร็วสูงไม่ไหวในที่สุด เสียงประกาศก็ดังขึ้นให้ผู้คนเริ่มเช็กอินเพื่อขึ้นไปยังรถไฟทว่า อาหยันน้อยต้องการไปห้องน้ำ ดังนั้น โจว เชียนหยุนจึงหันไปหาคุณนายโจวและพูดว่า “แม่ ดูแลสัมภาระของเราไว้นะ ฉันจะพาอาหยันน้อยไปห้องน้ำ”“รีบไปรีบมาล่ะ พวกเขาจะต้องตรวจตั๋วก่อนขึ้นรถไฟ” คุณนายโจวบอก“ค่ะ” โจว เชียนหยุนตอบขณะจูงมือลูกชายไปห้องน้ำเธอพาลูกชายไปห้องน้ำหญิงเพราะเขาเด็กเกินไปที่จะไปห้องน้ำชายคนเดียวโชคดีที่ห้องน้ำหญิงมีประตูทุกบานซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว และไม่มีใครมีปัญหากับประตูนี้เหล่านี้หลังจากที่เด็กน้อยทำธุรระของเขาเสร็จ โจว เชี
แม้ว่าเขาจะสั่งให้คนของเขาหยุดเธอไว้ แต่เขากลับต้องการเห็นเธอด้วยตาของเขาเองและถามเธอว่าเด็กคนนี้คือใคร!ทว่า เขากลับแปลกใจที่เห็นเด็กคนนี้เป็นครั้งที่สองเขาไม่คาดคิดว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กคนเดียวกันที่เขาเคยพบมาก่อนเขารู้สึกเอ็นดูและต้องการอุปถัมภ์เด็กคนนี้มาก่อน‘ฉันไม่คิดว่า... เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของเธอ!’เย่ เหวินหมิงก้มลง ดวงตาสีดำสนิทจ้องไปที่เด็กน้อยที่อยู่ข้างหน้าเขา เขามองเข้าไปในดวงตาที่คล้ายคลึงกับของเขา“หนู... ชื่ออะไร?” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“ชื่อเล่นชื่ออาหยันฮะ ส่วนชื่อเต็มของผมชื่อโจว หยัน” เด็กน้อยส่งยิ้มให้เย่ เหวินหมิงทันทีที่เขาเห็นรอยยิ้มของเด็กน้อย เย่ เหวินหมิงก็พบเหตุผลที่เขาเอ็นดูเด็กน้อย เป็นเพราะรอยยิ้มของเด็กคนนี้ดูเหมือนกับรอยยิ้มของโจว เชียนหยุน!‘โจว หยัน?’“พ่อของหนู... อยู่ที่ไหนล่ะ?” เสียงของเขาดังขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเด็กน้อยก็เริ่มบูดบึ้งขึ้นเล็กน้อยในทันที “พ่อไม่อยู่แล้ว แม่บอกว่าพ่ออยู่บนสวรรค์”‘บนสวรรค์?’ เย่ เหวินหมิงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาและเดินไปหาโจว เชียนหยุนที่ยืนหน้าซีดอยู่“เอาลูกฉัน… คืนมา
โจว เชียนหยุนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะขึ้นรถตามเย่ เหวินหมิงไปจากนั้นโทรศัพท์ของโจว เชียนหยุนก็ดังขึ้น เธอมองดูหมายเลขผู้โทรเข้าและเห็นว่าเป็นแม่ของเธอทันทีที่เธอหยิบมันขึ้นมา เธอก็ได้ยินเสียงกังวลใจของคุณนายโจวรอดผ่านออกมาจากโทรศัพท์ “หยุน ลูกอยู่ที่ไหน? เขาเช็กอินกันจะเสร็จหมดแล้วนะ”“อาหยันน้อยกับฉันคงไปตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะแม่ แม่ไปหาโรงแรมเล็ก ๆ พักรอก่อนได้ไหม?” โจว เชียนหยุนพูด“เกิดอะไรขึ้น?” คุณนายโจวถามโจว เชียนหยุนเงยหน้าขึ้นสบตากับเย่ เหวินหมิง แล้วพบว่ามีรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของเขา ราวกับว่าเขากำลังรอดูว่าเธอจะตอบอย่างไร อาหยันน้อยที่นั่งอยู่ระหว่างพวกเขา เงยหน้าขึ้นมองไปที่เธอเขามีดวงตาที่คล้ายคลึงกับพ่อ และตอนนี้พวกเขากลับดูเหมือนกันมากยิ่งขึ้น“อาหยันน้อยและฉันอยู่กับเย่ เหวินหมิง” โจว เชียนหยุนพูดด้วยท่าทีสงบเสียงตื่นตระหนกของคุณนายโจวดังขึ้น “เขา... เขาเจออาหยันน้อยแล้วเหรอ? แล้วเขา... กับลูก…”คุณนายโจวพูดติดอ่างอย่างช่วยไม่ได้“ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ ฉันจะจัดการเอง” จากนั้น โจว เชียนหยุนจึงวางสาย“เธอจะจัดการเหรอ? ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเธอจะจัดการเร
เขารู้สึกจุกในอกอย่างบอกไม่ถูก!ทันใดนั้น รถยนต์ก็แล่นมาจอดอยู่หน้าโรงแรม เย่ เหวินหมิงออกไปก่อน และโจว เชียนหยุนก็เดินจับมืออาหยันน้อยตามชายชุดสูทเข้าไปห้องที่เย่ เหวินหมิงพักอยู่นั้นเป็นห้องชุดสุดหรูของโรงแรมนี่เป็นครั้งแรกที่อาหยันได้เข้ามาในห้องสุดหรูแบบนี้ เขารู้สึกประหลาดใจกับทุกอย่างที่นี่ แม้แต่จอโทรศัพท์แอลซีดี ขนาด 70 นิ้ว ก็ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างทว่า หลังจากได้ผจญภัยมาทั้งวัน เด็กน้อยก็เริ่มง่วงนอนเขาควรจะได้งีบหลับหลังอาหารกลางวัน แต่ก่อนหน้านั้นเขาตื่นเต้นกับรถไฟความเร็วสูงจนนอนไม่หลับ ทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึงโรงแรม เด็กชายก็ผล็อยหลับไปทันทีโจว เชียนหยุนมองดูลูกชายที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนและพูดกับเย่ เหวินหมิงว่า “อาหยันน้อยนอนในห้องนี้ได้ไหม? ถ้าคุณอยากจะคุยอะไรกับฉัน เราก็ย้ายไปคุยกันในห้องอื่น ฉันไม่อยากให้เขาได้ยินในเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน”ดวงตาของเย่ เหวินหมิงเขม็งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้น เขาจึงออกจากห้องไปโดยไม่ปริปากพูดอะไรโจว เชียนหยุนเดินไปข้างเตียงและวางเด็กน้อยลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะห่มผ้าห่มให้เขา เธอเอื้อมมือไปจับแก้มของ
เขาสาบานว่าจะไม่ยอมให้ใครจากตระกูลโจวมาทำร้ายเขา! แต่เธอกลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ“เราจะได้รู้กันจากผลตรวจดีเอ็นเอ” เย่ เหวินหมิงระงับความเจ็บปวดในหัวใจของเขาไว้อย่างไร้ร่องรอย“ไม่ เขาไม่ใช่ลูกของคุณ!” โจว เชียนหยุนรีบโพล่งขึ้น“การตรวจดีเอ็นเอนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ถ้าเขาเป็นลูกชายของฉัน เขาก็ควรได้รับการยอมรับจากตระกูลทางสายเลือดและกลับไปหาตระกูลเย่!” เย่ เหวินหมิงพูดอย่างเย็นชาใบหน้าของโจว เชียนหยุนซีดเผือด พร้อมกับเสียงโหยหวน “ไม่!” ที่เล็ดลอดออกมาจากปากของเธอเสียงของเธอเว้าวอนมากจนเย่ เหวินหมิงตกตะลึง“เขาเป็นเด็กที่คุณไม่ต้องการ ทำไมคุณถึงอยากให้เขากลับไปหาตระกูลเย่? ไม่มีใครในตระกูลเย่ต้องการเขาทั้งนั้น!” โจว เชียนหยุนอย่างโกรธเคือง อาหยันเป็นทุกอย่างของเธอ!“เลือดของฉันอยู่ในตัวเขา และฉันจะไม่ปล่อยให้ลูกของฉันพลัดพรากจากกัน” เขาพูดเธอเงียบลงพร้อมกับร่างที่สั่นเทาของเธอ ใบหน้าซีดเซียวที่ดูสิ้นหวังกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเขากลับรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม!“คุณอยากให้เขาไปเป็นลูกของคง จื่ออินเหรอ? คุณจะพรากเขาไปจากฉันใช่ไหม?
หลิง อี้หรานรับโทรศัพท์จากคุณนายโจว แล้วได้ยินกับเสียงผิดหวังของเธอ “อี้หราน เอ่อ… หยุนกับอาหยันน้อยถูกเย่ เหวินหมิงพาตัวไป ตอนนี้… เราจะทำยังไงดี? เธอบอกฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ยิ่ง… ยิ่งฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งกังวลมากขึ้น เธอ... ไม่รับโทรศัพท์เลย!”หลิง อี้หรานตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เกิดอะไรขึ้นคะ? พวกคุณยังอยู่ในเมืองเฉินหรือเปล่า?”“ใช่ เรากำลังจะเช็กอิน แต่หยุนพาอาหยันไปห้องน้ำ ฉันนั่งรอพวกเขา แต่พวกเขาไม่กลับมาเสียที ฉันเลยโทรไปและหยุน เลยรู้ว่าเธออยู่กับเย่ เหวินหมิง...”คุณนายโจวหายใจหอบขณะพูดอธิบายหลิง อี้หรานปลอบคุณนายโจว โดยพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณป้า ฉันจะช่วยหาทางออกและติดต่อคุณป้าไปอีกที”หลิง อี้หรานขมวดคิ้วหลังจากวางสาย เธอคิดว่าถ้าพี่โจวย้ายไปเมืองจีแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นแต่เย่ เหวินหมิงกลับพาพี่โจวและอาหยันน้อยไปก่อน!‘เขาจะพาพี่โจวและอาหยันน้อยไปที่ไหน? พวกเขาอยู่นอกเมืองหรือเปล่า? หรือพวกเขายังอยู่ในเมืองเฉิน?’‘ฉันต้องตามหาพี่โจวและอาหยันน้อยยังไงดี? ฉันควรจะโทรหาตำรวจดีไหม?’‘แต่ว่าพี่โจวก็อยู่กับอาหยัน และพวกเขายังหายไปไม่ถึง 24 ชั่วโม
ผู้บริหารระดับสูงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพูดปิดการนำเสนอข้อมูล ก่อนที่จะเหลือบมองดูอี้ จิ่นหลีอย่างระมัดระวัง โดยกลัวว่าการนำเสนอของเขาจะไม่ได้มาตรฐานบรรยากาศในห้องประชุมเริ่มตึงเครียดมากขึ้นทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทุกคนในห้องประชุมต่างมองไปที่โทรศัพท์สองเครื่องที่วางอยู่ตรงหน้าอี้ จิ่นหลีผู้บริหารระดับสูงของอี้ กรุ๊ปรู้ว่านายน้อยอี้มีโทรศัพท์สองเครื่อง เครื่องแรกคือโทรศัพท์รุ่นลิมิเต็ดระดับไฮเอนด์ที่มีราคามากกว่า 100,000 ดอลลาร์ ในขณะที่อีกรุ่นหนึ่งเป็นโทรศัพท์ราคาถูกที่ผู้คนสามารถหาได้ทุกที่ในเมืองนายน้อยอี้มักจะทะนุถนอมโทรศัพท์ราคาถูกเครื่องนั้น แม้ว่ามันจะไม่เคยส่งเสียงดังเลยก็ตามทว่า ตอนนี้กลับมีสายเรียกเข้าในโทรศัพท์เครื่องราคาถูกพวกเขาเห็นท่าทางการแสดงออกของนายน้อยอี้ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันขณะที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและตอบรับต่อหน้าทุกคน ครู่ต่อมา พวกเขาได้ยินนายน้อยอี้พูดว่า “เธอกำลังขอร้องฉันเหรอ... ได้ ส่งรูปถ่ายของพวกเขาและตำแหน่งที่อยู่ล่าสุดของพวกเขามาให้ฉัน ฉันจะให้คนตรวจสอบให้”ทุกคนในห้องประชุมรู้สึกประหลาดใจ‘ขอร้อง? นายน้อยอี้เคยสนใจใครที่ไหน? อย่
หลิง อี้หรานเม้มปาก ถอนหายใจและถามขึ้นว่า “เขาอยู่ไหนคะ?”“ถ้าคุณต้องการพบนายน้อยอี้ เชิญคุณหลิงลงมาที่ชั้นล่างได้เลยครับ ผมจะพาคุณไปหานายน้อยอี้เอง” เกา ฉงหมิงบอกหลิง อี้หรานตกใจและไม่คิดว่าเกา ฉงหมิงจะรออยู่ชั้นล่าง ‘อี้ จิ่นหลี… ต้องการให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม?’‘เขารู้อยู่แก่ใจว่าเธอจะขอร้องเขาให้พาพี่โจวกับอาหยันออกมา ดังนั้น เขาจึงสั่งให้เกา ฉงหมิงมารออยู่ที่ชั้นล่างใช่ไหม?’ทันใดนั้น หลิง อี้หรานก็รู้สึกถึงตาข่ายบางอย่างที่ครอบงำตัวเธอไว้ จนเธอไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้!“เข้าใจแล้วค่ะ” หลิง อี้หรานพูดก่อนจะวางโทรศัพท์เมื่อเธอกลับมาที่โต๊ะทำงาน เพื่อนร่วมงานของเธอก็เริ่มทยอยออกจากสำนักงานเพราะเป็นเวลาเลิกงานแล้ว หลิง อี้หรานเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและออกจากบริษัทไป เมื่อเธอลงมาที่ชั้นล่าง เธอเหลือบเห็นรถสีเทาจอดอยู่ตรงข้ามกับตึก ทันใดนั้น เกา ฉงหมิงก็ก้าวออกมาหลิง อี้หรานเดินเข้าไปหาเขา เกา ฉงหมิงจึงเปิดประตูเบาะหลังให้เธอ “คุณหลิง เชิญครับ”เธอขึ้นรถไปกับเกา ฉงหมิง จากนั้นรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆไม่ไกลนัก หลายคนที่แอบซุ่มดูเริ่มทยอยออกมาจากตัวอาคาร หลังจากเห็นฉา
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค