หลิง อี้หรานรับโทรศัพท์จากคุณนายโจว แล้วได้ยินกับเสียงผิดหวังของเธอ “อี้หราน เอ่อ… หยุนกับอาหยันน้อยถูกเย่ เหวินหมิงพาตัวไป ตอนนี้… เราจะทำยังไงดี? เธอบอกฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ยิ่ง… ยิ่งฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งกังวลมากขึ้น เธอ... ไม่รับโทรศัพท์เลย!”หลิง อี้หรานตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เกิดอะไรขึ้นคะ? พวกคุณยังอยู่ในเมืองเฉินหรือเปล่า?”“ใช่ เรากำลังจะเช็กอิน แต่หยุนพาอาหยันไปห้องน้ำ ฉันนั่งรอพวกเขา แต่พวกเขาไม่กลับมาเสียที ฉันเลยโทรไปและหยุน เลยรู้ว่าเธออยู่กับเย่ เหวินหมิง...”คุณนายโจวหายใจหอบขณะพูดอธิบายหลิง อี้หรานปลอบคุณนายโจว โดยพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณป้า ฉันจะช่วยหาทางออกและติดต่อคุณป้าไปอีกที”หลิง อี้หรานขมวดคิ้วหลังจากวางสาย เธอคิดว่าถ้าพี่โจวย้ายไปเมืองจีแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นแต่เย่ เหวินหมิงกลับพาพี่โจวและอาหยันน้อยไปก่อน!‘เขาจะพาพี่โจวและอาหยันน้อยไปที่ไหน? พวกเขาอยู่นอกเมืองหรือเปล่า? หรือพวกเขายังอยู่ในเมืองเฉิน?’‘ฉันต้องตามหาพี่โจวและอาหยันน้อยยังไงดี? ฉันควรจะโทรหาตำรวจดีไหม?’‘แต่ว่าพี่โจวก็อยู่กับอาหยัน และพวกเขายังหายไปไม่ถึง 24 ชั่วโม
ผู้บริหารระดับสูงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพูดปิดการนำเสนอข้อมูล ก่อนที่จะเหลือบมองดูอี้ จิ่นหลีอย่างระมัดระวัง โดยกลัวว่าการนำเสนอของเขาจะไม่ได้มาตรฐานบรรยากาศในห้องประชุมเริ่มตึงเครียดมากขึ้นทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทุกคนในห้องประชุมต่างมองไปที่โทรศัพท์สองเครื่องที่วางอยู่ตรงหน้าอี้ จิ่นหลีผู้บริหารระดับสูงของอี้ กรุ๊ปรู้ว่านายน้อยอี้มีโทรศัพท์สองเครื่อง เครื่องแรกคือโทรศัพท์รุ่นลิมิเต็ดระดับไฮเอนด์ที่มีราคามากกว่า 100,000 ดอลลาร์ ในขณะที่อีกรุ่นหนึ่งเป็นโทรศัพท์ราคาถูกที่ผู้คนสามารถหาได้ทุกที่ในเมืองนายน้อยอี้มักจะทะนุถนอมโทรศัพท์ราคาถูกเครื่องนั้น แม้ว่ามันจะไม่เคยส่งเสียงดังเลยก็ตามทว่า ตอนนี้กลับมีสายเรียกเข้าในโทรศัพท์เครื่องราคาถูกพวกเขาเห็นท่าทางการแสดงออกของนายน้อยอี้ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันขณะที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและตอบรับต่อหน้าทุกคน ครู่ต่อมา พวกเขาได้ยินนายน้อยอี้พูดว่า “เธอกำลังขอร้องฉันเหรอ... ได้ ส่งรูปถ่ายของพวกเขาและตำแหน่งที่อยู่ล่าสุดของพวกเขามาให้ฉัน ฉันจะให้คนตรวจสอบให้”ทุกคนในห้องประชุมรู้สึกประหลาดใจ‘ขอร้อง? นายน้อยอี้เคยสนใจใครที่ไหน? อย่
หลิง อี้หรานเม้มปาก ถอนหายใจและถามขึ้นว่า “เขาอยู่ไหนคะ?”“ถ้าคุณต้องการพบนายน้อยอี้ เชิญคุณหลิงลงมาที่ชั้นล่างได้เลยครับ ผมจะพาคุณไปหานายน้อยอี้เอง” เกา ฉงหมิงบอกหลิง อี้หรานตกใจและไม่คิดว่าเกา ฉงหมิงจะรออยู่ชั้นล่าง ‘อี้ จิ่นหลี… ต้องการให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม?’‘เขารู้อยู่แก่ใจว่าเธอจะขอร้องเขาให้พาพี่โจวกับอาหยันออกมา ดังนั้น เขาจึงสั่งให้เกา ฉงหมิงมารออยู่ที่ชั้นล่างใช่ไหม?’ทันใดนั้น หลิง อี้หรานก็รู้สึกถึงตาข่ายบางอย่างที่ครอบงำตัวเธอไว้ จนเธอไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้!“เข้าใจแล้วค่ะ” หลิง อี้หรานพูดก่อนจะวางโทรศัพท์เมื่อเธอกลับมาที่โต๊ะทำงาน เพื่อนร่วมงานของเธอก็เริ่มทยอยออกจากสำนักงานเพราะเป็นเวลาเลิกงานแล้ว หลิง อี้หรานเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและออกจากบริษัทไป เมื่อเธอลงมาที่ชั้นล่าง เธอเหลือบเห็นรถสีเทาจอดอยู่ตรงข้ามกับตึก ทันใดนั้น เกา ฉงหมิงก็ก้าวออกมาหลิง อี้หรานเดินเข้าไปหาเขา เกา ฉงหมิงจึงเปิดประตูเบาะหลังให้เธอ “คุณหลิง เชิญครับ”เธอขึ้นรถไปกับเกา ฉงหมิง จากนั้นรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆไม่ไกลนัก หลายคนที่แอบซุ่มดูเริ่มทยอยออกมาจากตัวอาคาร หลังจากเห็นฉา
หลิง อี้หรานตกใจกับคำว่า ‘จองทั้งร้าน’ แม้ว่าตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจตระกูลอื่นในเมืองเฉินจะต้องการจองร้านอาหารทั้งร้านเช่นนี้ แต่ร้านอาหารก็ไม่เคยยินยอมมีเพียงไม่กี่คนในเมืองเฉินเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอี้ จิ่นหลีถึงต้องลงทุนจองร้านอาหารทั้งร้านแบบนี้ด้วยเธอเดินตามเกา ฉงหมิงไปที่ชั้นสามและเห็นอี้ จิ่นหลีกำลังมองดูเมนูในมือ เขานั่งอยู่ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะ มันเป็นเพียงโต๊ะตัวเดียวในห้องโถงใหญ่ ทันทีที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เธอดวงตาสีเข้มเป็นประกายในขณะที่ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างสดใส ท่าทางของเขาในตอนนี้อาจทำให้ใครหลายคนอาจประทับใจได้ เป็นรอยยิ้มที่ยากจะลืมเลือน‘นี่คือสิ่งที่พวกเขาเคยพูดกันว่าแค่สบตาเพียงครั้งเดียวก็จดจำไปชั่วนิรันดร์ใช่ไหม?’หลิง อี้หรานสูดหายใจเข้าและเดินไปหาอี้ จิ่นหลี “ฉันมาแล้ว ฉันต้องการให้คุณช่วยพี่โจวกับอาหยันน้อยจากเย่ เหวินหมิง ได้ไหม?”อี้ จิ่นหลียิ้มอย่างอ่อนโยน “นั่งลงก่อน”หลิง อี้หรานเม้มปาก ขณะที่เกา ฉงหมิงดึงเก้าอี้ของเธอออกมาเธอลังเลก่อนจะนั่งลง จากนั้น อี้ จิ่นหลีก็ยื่นเมนูให้เธอและพูดว่า
‘แล้วฉันได้ครอบครองพื้นที่ในหัวใจของเธอบ้างไหม?’‘ความรู้สึกไม่สบายใจแบบนี้มันคือความรู้สึกหึงหวงใช่ไหม?’“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เธอจะมาหาฉันไหม?” เขาถามขณะจ้องมองเธอเธอเงียบและไม่พูดอะไร แต่การเงียบของเธอนั้นคือคำถามแล้วบรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นโชคดีที่พนักงานเริ่มนำอาหารมาเสิร์ฟอาหารชั้นเลิศปรากฏอยู่บนโต๊ะอาหาร ราวกับภาพถ่ายในนิตยสารอาหารทว่า หลิง อี้หรานไม่รู้สึกอยากอาหารสักนิด ทั้งหมดที่เธอนึกถึงมีเพียงพี่โจวและอาหยันน้อยเท่านั้น‘ถ้าเย่ เหวินหมิงต้องการพรากอาหยันน้อยไป...’ หลิง อี้หรานนึกถึงครั้งล่าสุดที่โจว เชียนหยุนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บ‘เย่ เหวินหมิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหยันน้อยมีตัวตนอยู่ พี่โจวไม่อยากเกี่ยวข้องกับเย่ เหวินหมิงจนทำร้ายตัวเอง แล้วครั้งนี้...’หลิง อี้หรานไม่อยากจะจินตนาการต่อไป“กินสิ” เสียงเย็นชาของอี้ จิ่นหลีดังขึ้น นิ้วยาวหยิบตะเกียบที่อยู่ข้างหน้าก่อนจะคีบอาหารไปใส่ในชามของหลิง อี้หราน “ลองดูสิ อร่อยมาก”หลิง อี้หรานพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณช่วยพาพี่โจวกับอาหยันน้อยออกไปก่อนได้ไหม? อี้ จิ่นหลี ฉันขอร้องล่ะ ได้ไหม? ฉันก
เขาเคยพูดว่าสักวันหนึ่งเธอจะขอร้องเพื่อเป็นพี่สาวของเขาอีกครั้งแน่นอนว่าทุกสิ่งที่เขาพูดย่อมเป็นจริง!เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ฉัน… ฉันจะเป็นพี่สาวของคุณ เพราะงั้นคุณช่วยพี่โจวกับอาหยันน้อยจากเย่ เหวินหมิงได้ไหม? จากนั้นส่งคนมาปกป้องพวกเขา อย่างน้อย... เย่ เหวินหมิงก็ไม่สามารถแตะต้องตัวพวกเขาได้!”มันเป็นการตัดสินใจของเธอ หนทางเดียวที่เธอจะสามารถปกป้องพี่โจวกับอาหยันน้อยได้ คือการตกลงยินยอมเป็นพี่สาวของอี้ จิ่นหลี่ ถ้าเธอปกป้องพวกเขาได้ เธอก็เต็มใจที่จะทำมันพี่โจวยื่นมือมาช่วยเธอทุกครั้งที่เธอมีปัญหา ในขณะที่อาหยันน้อย... บริสุทธิ์มากจนเธอรู้สึกอยากปกป้องเขา!“แน่นอน” เขาพูดพร้อมกับยกยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา กดหมายเลขของเกา ฉงหมิงและสั่งงานเขา จากนั้นเขาก็มองไปที่หลิง อี้หราน “พอใจหรือยัง?”“จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะรู้ว่าพี่โจวกับอาหยันน้อยออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว?” เธอถาม“คงไม่นานมาก พอแล้ว มากินข้าวกันเถอะพี่สาว” เขาพูดอย่างอ่อนโยนและยิ้มให้เธอเหมือนเคยหลิง อี้หรานตัวสั่นและหยิบตะเกียบของเธอขึ้นมาอย่างแข็งทื่ออาหารเหล่านี้อร่อยแต่เธอกลับพบว่ามันจืดชืด เพราะเธอ
เธอมองเขาด้วยความประหลาดใจ “คุณจะย้ายมาที่นี่เหรอ?”“มีอะไรหรือเปล่า? เราก็เคยอยู่ด้วยกันมาก่อนไม่ใช่เหรอ?” เขาถามกึ่งขบขัน‘แต่มันจะเหมือนเดิมได้ยังไง?’ หลิง อี้หรานเม้มริมฝีปากบางเข้าด้วยกัน เธอไม่รู้จะตอบอะไรจนเวลาผ่านไปสักพัก “หรือว่าพี่ไม่อยากอยู่กับผมเหรอ พี่สาว?” เขาถามขณะก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ แก้มขอเธอลมหายใจของเขารดโรยรินอยู่บนใบหน้าของเธอ ใบหน้าของเขาเป็นเหมือนกันผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตอนนี้เธออยู่ใกล้เขามากจนสามารถมองเห็นขนตาของเขาได้เธอต้องการเบือนหน้าหนีเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของเขาทว่า เรียวนิ้วยาวกลับจับคางของเธอเอาไว้เพื่อบังคับให้เธอมองมาที่เขา“เป็นอะไรไป? ตอบยากนักเหรอ?” น้ำเสียงของเขาเย็นชา ดวงตาสีดำนิลจ้องมาที่เธอ ราวกับต้องการมองทะลุผ่านเข้ามาในตัวเธอ “เธอเสียใจเหรอ? เสียใจที่ต้องตอบตกลงเพราะโจว เชียนหยุนใช่ไหม?”“ฉัน… จะไม่เสียใจ ฉันแค่ไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลง… รวดเร็วแบบคุณ อี้ จิ่นหลี ฉันแค่อยากให้คุณให้เวลาฉันทำความคุ้นเคยอีกครั้ง ได้ไหม?” หลิง อี้หรานพูดอย่างขมขื่นน้ำเสียงของเธอแทบจะอ้อนวอน ในขณะที่แววตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ “ถ้านี่เป็นคำขอของเธอ
โจว เชียนหยุนจำได้ว่าหลิง อี้หรานเคยเล่าให้เธอฟังว่าเธอพบอี้ จิ่นหลีได้อย่างไร ดังนั้นเธอจึงรู้เรื่องนี้มาบ้างย้อนกลับไปในตอนนั้น เธอคร่ำครวญว่าโชคชะตานำพาคนสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาอยู่ด้วยกันได้อย่างปาฏิหาริย์แต่ว่าตอนนี้เธอกลับเริ่มสงสัยว่าชะตากรรมดังกล่าวอาจเป็นความหายนะหรือไม่“เธอไม่จำเป็นต้องทนทรมานเพื่อฉันแบบนี้!” โจว เชียนหยุนพูดด้วยความรู้สึกผิด“มันไม่ใช่เกี่ยวกับพี่ พี่โจว พี่ไม่ต้องรู้สึกผิด อี้ จิ่นหลีพยายามทำให้ฉันกลายเป็นพี่สาวของเขาอีกครั้ง ต่อให้ไม่ใช่เพราะพี่ แต่ก็คงเป็นเพราะเรื่องอื่นอยู่ดี” หลิง อี้หรานพูดตราบใดที่อี้ จิ่นหลีตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่างแล้ว เขามักจะทำมันให้สำเร็จต่อให้เธอปฏิเสธเขาได้ครั้งหรือสองครั้ง แต่เธอจะหนีจากเขาไปได้สักกี่หน? บางทีการปฏิเสธของเธออาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเกมเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกท้าทายมากยิ่งขึ้น“แต่ว่า...” โจว เชียนหยุนอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้“พี่โจว อย่างน้อยพี่กับอาหยันน้อยก็สามารถอยู่ในเมืองเฉินได้ต่อไปโดยไม่ต้องกังวลอะไร ฉันเป็นอดีตนักโทษที่ได้รับการล้างมลทินให้ชื่อของตัวเองแล้วก็จริง แต่ฉันเป็นเพียงผู้ช่วยทนายตั