ใบหน้าของหวา ลี่ฟางเต็มไปด้วยความอับอาย สิ่งที่อี้ จิ่นหลีกล่าวกับเธอก็เหมือนกับการตบหน้า!น้าคนเล็กรู้สึกรำคาญอย่างเห็นได้ชัด เธอบ่นกับหลิง อี้หรานว่า “นี่ อี้หราน ลี่ฟางมีเจตนาดีนะ ทำไมแฟนของเธอถึงได้หยิ่งผยองขนาดนี้ เขาเป็นแขกของเราก็จริง แต่เราต้องบูชาเขาเหมือนเขาเป็นเจ้านายเลยเหรอ?”หลิง อี้หรานกล่าวเบา ๆ ว่า “แฟนฉันค่อนข้างขี้อาย เขาเลยรักษาระยะห่างจากคนที่เขาไม่ค่อยรู้จัก”น้าคนเล็กกับหวา ลี่ฟางแทบจะสำลักน้ำลายขี้อาย?!ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ดูเขินอายเลยสักนิดผู้ชายคนนี้จ้องมองอย่างเฉื่อยชาอีกครั้ง พวกเขารู้สึกถึงหัวใจที่เริ่มเต้นเร็ว ราวกับว่าพวกเขากลัวการจ้องมองของชายคนนี้น้าคนเล็กเม้มริมฝีปากและไม่กล่าวอะไรอีก ในทางกลับกัน หวา ลี่ฟางกลับไร้สามัญสำนึกและถามอย่างประชดประชัน ว่าหลิง อี้หรานกับอี้ จิ่นหลี พบเจอกันได้อย่างไร ตัวตนที่แท้จริงของอี้ จิ่นหลี คือใคร, เขาทำงานอะไร, ภูมิหลังครอบครัวของเขา และอื่น ๆไม่ต้องสงสัยเลย หลิง อี้หรานสามารถปล่อยคำถามเหล่านั้นให้ครุมเครือต่อไปทำให้หวา ลี่ฟางพบว่าตัวเองถามคำถามที่ดูไร้สาระอยู่ แต่เพราะมีอี้ จิ่นหลีอยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงไม่กล
“แม่ว่าไงนะแม่? อี้หรานพาแฟนมาวันนี้ เราจะกลั่นแกล้งเธอได้ยังไง? แถมเรายังต้องเรียกแฟนเธอว่าคุณอีก” น้าคนเล็กฉวยโอกาสเย้าแหย่คุณยายรู้สึกประหลาดใจ “แฟน? อี้หรานมีแฟนแล้วเหรอ? เร็วเข้า ให้ฉันได้พบเขาหน่อยสิ!”“หนูจะไปพาเขามาที่นี่” หลิง อี้หรานกล่าวขณะที่เธอลุกขึ้นและเดินออกจากห้องน้าคนเล็กกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “แม่จะดีใจอะไรนักหนา? แฟนของอี้หรานดูเหมือนเด็กเล่นของเล่น เขาอาจจะเป็นคนหลอกลวงก็ได้!”จริง ๆ แล้ว เธอไม่ต้องการให้หลานสาวของเธอหาแฟนที่ดีกว่าลูกสาวของเธอ“พอแล้ว อี้หรานเป็นเด็กที่รอบคอบ เธอไม่ใช่คนที่จะหัวเสียได้ง่ายเพราะคำพูดของใครบางคน ฉันจะดูเองว่าเขาเป็นคนหลอกลวงหรือไม่!” คุณยายของหลิง อี้หรานกล่าวน้าคนเล็กเม้มริมฝีปากของเธอ คุณยายมองไปที่อี้ จิ่นหลี ขณะที่หลิง อี้หรานพาเขาเข้าไปในห้อง เธอกล่าวทักด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเป็นแฟนของอี้หรานใช่ไหม คุณชื่ออะไรล่ะ?”หลิง อี้หรานกำลังจะช่วยอี้ จิ่นหลี แนะนำตัวเอง แต่คนหลังกลับเปิดปากก่อนและตอบว่า “นามสกุลของผมคือ อี้ คุณเรียกผมว่า จิน ก็ได้ครับคุณยาย”น้ำเสียงของอี้ จิ่นหลีเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้หลิง อี้หรานปร
อี้ จิ่นหลี ก้มลงเล็กน้อยและกระซิบที่หูของหลิง อี้หราน “ไม่เร็วเหรอ?”“...” หลิง อี้หรานรู้สึกเขินอาย เธอจะสามารถตอบคำถามได้ยังไง?คุณยายของเธอถอนหายใจ จับมือของเธอมากุมไว้ แล้วกล่าวว่า “หลานต้องรีบหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นยายอาจจะไปงานแต่งของหลานไม่ทัน”หลิง อี้หรานตกใจมากเมื่อยายของเธอจับมือเธอไว้ เธอรู้ว่ามือของยายผอมซูบลงกว่าเมื่อก่อน หลิง อี้หรานสามารถสัมผัสถึงกระดูกข้อมือของคุณยายได้อย่างชัดเจนจากการที่คุณยายเอามือโอบเธอไว้ราวกับว่ามีเพียงผิวหนังบาง ๆ หุ้มกระดูกของเธอไว้ แต่ไม่มีเนื้อคุณยาย… ผอมซูบกว่าที่เธอคิดหลิง อี้หรานรู้สึกขมขื่นในใจ ใบหน้าของเธอพลันแสดงออกถึงความโศกเศร้า“นี่ ทำไมเธอถึงเศร้าอีกแล้วล่ะ?” คุณยายตีหลังมือของหลิง อี้หรานเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ยายรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าหลานสบายดีและมีคนดูแลหลานได้ ยายคงหาเหตุผลให้ตัวเองได้ถ้าได้เจอแม่ของหลานอยู่ที่นั่น”“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะคุณยาย!” หลิง อี้หรานกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ หลิง อี้หรานเป็นคนเชื่อในโชคลาง แต่เธอกลัวว่าคุณยายของเธอจะจากไปจริง ๆ มีเพียงคุณยายเท่านั้นเพียงคนเดียวที่ห่วงใยเธอในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน!
“ดีจัง โชคดีที่ตอนนี้พี่ดูเปลี่ยนไปแล้ว” อี้ จิ่นหลีพึมพำ เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าเหมือนกับหลิง อี้หรานอย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งสองดูเหมือนกันมากเมื่อตอนเป็น... เด็กอี้ จิ่นหลีกระพริบตาเล็กน้อยและหลับตาลง ขนตายาวของเขาปกคลุมไปด้วยความคิดและการวิเคราะห์สิ่งที่เขาเห็นในขณะนี้...…อี้ จิ่นหลีกับหลิง อี้หรานอยู่ทานอาหารเย็น เมื่อถึงเวลาค่ำ คุณตาของหลิง อี้หราน คุณตาลู่ก็กลับมา แต่เขาไม่แยแสหลิง อี้หรานและทำท่าทางเฉยเมยกับอี้ จิ่นหลี หลิง อี้หรานไม่แปลกใจกับท่าทีของคุณตา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางของคุณตาของเธอที่มีต่ออี้ จิ่นหลี เธอมองด้วยความกังวลเพราะสถานะของอี้ จิ่นหลี มีคนเพียงไม่กี่คนที่กล้าปฏิบัติต่อเขาแบบนั้นอี้ จิ่นหลีเพียงส่งยิ้มให้หลิง อี้หรานราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงความกังวลของเธอ เขามองดูราวกับบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องกังวลหลิง อี้หรานรู้สึกโล่งใจระหว่างกินอาหารมื้อเย็น คุณยายของเธอค่อนข้างมีความสุขและมีความอยากอาหารมากกว่าปกติขณะกินอาหารกัน หวา ลี่ฟางอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “คุณตา รู้หรือไม่คะว่าอี้หรานลาออกจากศูนย์บริการสุขาภ
“ได้สิ หลิง อี้หรานเป็นคนกตัญญูที่สุดเลย” คุณยายพูดด้วยรอยยิ้มกตัญญู? ใบหน้าของหลิง อี้หรานเศร้าเล็กน้อย ถ้าเธอเป็นคนกตัญญูจริง ๆ เธอจะให้คุณยายอยู่ข้าง ๆ เธอและดูแลคุณยายแต่ตอนนี้เธออาศัยอยู่กับจิน ถ้าเธอต้องการดูแลยายและให้คุณยายมาอยู่ด้วยกัน เธอจะต้องคุยกับจินล่วงหน้าและได้รับอนุญาตจากเขาก่อน“ถ้าคุณยายไม่ว่าอะไร คุณยายให้อี้หรานพาไปที่เมืองเฉินได้นะครับ เธอจะได้ดูแลคุณได้ คุณยาย” เสียงของอี้ จิ่นหลี ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยหลิง อี้หรานรู้สึกตกใจและมองไปที่อี้ จิ่นหลี ด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้คุณยายดูแปลกใจ เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเป็นคนน่ารัก แต่ฉันเคยอาศัยอยู่ที่นี่ และนอกจากนี้ฉันยังมีลูกชายและลูกสาวอยู่ที่นี่ ถ้าฉันปล่อยให้หลานสาวดูแลฉัน คนคงจะเริ่มนินทาฉัน ถ้าอาการดีขึ้น ฉันจะไปเยี่ยมคุณที่เมืองเฉินแล้วกันนะ”คุณยายหันไปหาหลิง อี้หรานอีกครั้ง “เอาล่ะ หลานควรรีบกลับไปก่อน เพราะกว่าจะไปถึงเมืองเฉินก็ดึกแล้ว”หลิง อี้หรานพยักหน้า “หนูจะมาเยี่ยมอีกครั้งนะคะ คุณยาย”หลังจากบอกลาคุณยายแล้ว หลิง อี้หรานกับอี้ จิ่นหลีก็กลับไปขึ้นรถ อี้ จิ่นหลี
เขารู้สึกผ่อนคลายเพียงแค่ว่าเธอจะนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาราวกับว่าเพียงแค่ได้มองดูเธอแบบนั้น เขาก็รู้สึกโล่งใจจากความตึงเครียดที่หนักหนาในแต่ละวันที่เขาต้องคอยต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมคนอื่น ๆ ต่างเห็นว่าเขามีอำนาจขนาดไหน แต่เขาก็รู้สึกว่ายิ่งเขายืนสูงเท่าไร ยิ่งมีเงินและอำนาจมากเท่าไร ผู้คนรอบตัวเขาก็จะพยายามชักจูงเขามากขึ้นเท่านั้นมันอาจจะดูน่าสรรเสริญ แต่จริง ๆ แล้วมันอันตราย ความประมาทอาจทำลายอำนาจของตระกูลอี้ได้เขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในทุกขั้นตอนที่เขาทำ การวางแผนล่วงหน้าสิบก้าวก่อนที่จะเริ่มก้าวที่หนึ่งเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับเขา เขายุ่งอยู่กับการคำนวณทุกความเป็นไปได้จนลืมไปว่าการพักผ่อนเป็นอย่างไรบางทีเธออาจเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้เขารู้สึกโล่งใจได้เมื่อขับรถมาถึงปั๊มน้ำมัน อี้ จิ่นหลี่ก็ออกไปซื้อน้ำ ส่วนหลิง อี้หรานยังคงนั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า เธอมองไปที่พวงมาลัยเธอยังคงจำความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้สัมผัสพวงมาลัยเป็นครั้งแรกเมื่อตอนหัดขับรถได้ เงินที่เธอใช้ไปเพื่อสอบใบขับขี่ตามธรรมเนียมทางกฎหมายครั้งแรกของเธอ เธอยังจำมันได้ดีเธอไม่คิดว่าหนึ่งปีหลังจากเรียนขับ
อี้ จิ่นหลีกำลังจะหยิบน้ำที่เขาซื้อให้หลิง อี้หราน แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าซีดเผือดของเธอ เขาก็รีบถามขึ้น “เป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือเปล่า?”เธอส่ายหัว “ฉัน... ฉันแค่…” ดูเหมือนเธอจะไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียวในตอนนี้คิ้วของเขาย่นเข้าหากัน แทบไม่มีเลือดบนใบหน้าของเธอเลย หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ มือข้างหนึ่งของเธอกำพวงมาลัยไว้ในขณะที่ตัวของเธอสั่น ดวงตาสีเข้มของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว...เหมือนกับเธอกำลังอยู่ในความตื่นตระหนก“แค่อะไร?” เขาถามโดยวางขวดน้ำไว้ข้าง ๆ และวางมือลงบนมือของเธอที่อยู่บนพวงมาลัย เขาดึงมือเธอออกจากพวงมาลัยทีละน้อย “ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”น้ำเสียงอันหนักแน่นและมั่นคงของเขาพลันดังขึ้นในหูของเธอหลิง อี้หรานหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง ทำให้ร่างกายที่สั่นเทาของเธอสงบลงมันจบลงแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวเธอพร่ำบอกตัวเองอย่างนั้น จากนั้นเธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปยังอี้ จิ่นหลี “ไม่เป็นไร ฉันแค่นึกถึงอุบัติเหตุครั้งนั้น มาลองคิดดู อย่างน้อยฉันก็ยังโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่”ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเธอไม่มีโชค
แน่นอนว่าสิ่งที่มาพร้อมกับยาแผนโบราณคือลูกกวาดและช็อกโกแลตหลิง อี้หรานดื่มยาแผนโบราณที่ขมขื่นของเธอ แต่เธอกลับไม่รู้สึกขม เพราะเธอรู้ว่ายาแผนโบราณคือความหวังสำหรับเธอบางทีถ้าเธอโชคดี เธออาจจะมีลูกด้วยตัวของเธอเองได้อี้ จิ่นหลีแกะช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งเพื่อป้อนให้หลิง อี้หราน หลิง อี้หรานอ้าปากเพื่อกินช็อกโกแลตที่เขาป้อนแต่เธอบังเอิญ ‘กิน’ นิ้วของเขาไปด้วยขณะเดียวกัน หลิง อี้หรานพยายามที่จะถอยกลับและเอานิ้วของเขาออกจากปากของเธอแต่มืออีกข้างของเขาก็จับที่ด้านหลังศีรษะของเธอทันที ขณะที่เขายังคงเอานิ้วคาไว้ในปากของเธอหลิง อี้หรานหน้าแดง และตอนนี้เธอไม่สามารถเปิดปากหรือปิดมันได้ ในปากของเธอมีช็อกโกแลตอยู่ซึ่งมันกำลังละลาย“ช็อกโกแลตหวานไหม?” เขาพึมพำ น้ำเสียงอันไพเราะของเขาราวกับสายลมเวลากลางคืนที่พัดผ่านต้นไผ่ เป็นความหลงใหลที่ไม่อาจต้านทานได้เธอไม่สามารถลิ้มรสช็อกโกแลตได้เลย ความสนใจทั้งหมดของเธอกำลังจดจ่ออยู่ที่นิ้วของเขาศีรษะของเธอถูกจับโดยมืออีกข้างหนึ่งของเขา และเธอไม่สามารถขยับศีรษะได้ปลายนิ้วของเขาเหมือนกำลังร่ายเวทมนต์อยู่เงียบ ๆ เธอหน้าแดงมากขึ้นในขณะที่รู้สึกร้อน