อี้ จิ่นหลี ก้มลงเล็กน้อยและกระซิบที่หูของหลิง อี้หราน “ไม่เร็วเหรอ?”“...” หลิง อี้หรานรู้สึกเขินอาย เธอจะสามารถตอบคำถามได้ยังไง?คุณยายของเธอถอนหายใจ จับมือของเธอมากุมไว้ แล้วกล่าวว่า “หลานต้องรีบหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นยายอาจจะไปงานแต่งของหลานไม่ทัน”หลิง อี้หรานตกใจมากเมื่อยายของเธอจับมือเธอไว้ เธอรู้ว่ามือของยายผอมซูบลงกว่าเมื่อก่อน หลิง อี้หรานสามารถสัมผัสถึงกระดูกข้อมือของคุณยายได้อย่างชัดเจนจากการที่คุณยายเอามือโอบเธอไว้ราวกับว่ามีเพียงผิวหนังบาง ๆ หุ้มกระดูกของเธอไว้ แต่ไม่มีเนื้อคุณยาย… ผอมซูบกว่าที่เธอคิดหลิง อี้หรานรู้สึกขมขื่นในใจ ใบหน้าของเธอพลันแสดงออกถึงความโศกเศร้า“นี่ ทำไมเธอถึงเศร้าอีกแล้วล่ะ?” คุณยายตีหลังมือของหลิง อี้หรานเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ยายรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าหลานสบายดีและมีคนดูแลหลานได้ ยายคงหาเหตุผลให้ตัวเองได้ถ้าได้เจอแม่ของหลานอยู่ที่นั่น”“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะคุณยาย!” หลิง อี้หรานกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ หลิง อี้หรานเป็นคนเชื่อในโชคลาง แต่เธอกลัวว่าคุณยายของเธอจะจากไปจริง ๆ มีเพียงคุณยายเท่านั้นเพียงคนเดียวที่ห่วงใยเธอในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน!
“ดีจัง โชคดีที่ตอนนี้พี่ดูเปลี่ยนไปแล้ว” อี้ จิ่นหลีพึมพำ เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าเหมือนกับหลิง อี้หรานอย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งสองดูเหมือนกันมากเมื่อตอนเป็น... เด็กอี้ จิ่นหลีกระพริบตาเล็กน้อยและหลับตาลง ขนตายาวของเขาปกคลุมไปด้วยความคิดและการวิเคราะห์สิ่งที่เขาเห็นในขณะนี้...…อี้ จิ่นหลีกับหลิง อี้หรานอยู่ทานอาหารเย็น เมื่อถึงเวลาค่ำ คุณตาของหลิง อี้หราน คุณตาลู่ก็กลับมา แต่เขาไม่แยแสหลิง อี้หรานและทำท่าทางเฉยเมยกับอี้ จิ่นหลี หลิง อี้หรานไม่แปลกใจกับท่าทีของคุณตา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางของคุณตาของเธอที่มีต่ออี้ จิ่นหลี เธอมองด้วยความกังวลเพราะสถานะของอี้ จิ่นหลี มีคนเพียงไม่กี่คนที่กล้าปฏิบัติต่อเขาแบบนั้นอี้ จิ่นหลีเพียงส่งยิ้มให้หลิง อี้หรานราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงความกังวลของเธอ เขามองดูราวกับบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องกังวลหลิง อี้หรานรู้สึกโล่งใจระหว่างกินอาหารมื้อเย็น คุณยายของเธอค่อนข้างมีความสุขและมีความอยากอาหารมากกว่าปกติขณะกินอาหารกัน หวา ลี่ฟางอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “คุณตา รู้หรือไม่คะว่าอี้หรานลาออกจากศูนย์บริการสุขาภ
“ได้สิ หลิง อี้หรานเป็นคนกตัญญูที่สุดเลย” คุณยายพูดด้วยรอยยิ้มกตัญญู? ใบหน้าของหลิง อี้หรานเศร้าเล็กน้อย ถ้าเธอเป็นคนกตัญญูจริง ๆ เธอจะให้คุณยายอยู่ข้าง ๆ เธอและดูแลคุณยายแต่ตอนนี้เธออาศัยอยู่กับจิน ถ้าเธอต้องการดูแลยายและให้คุณยายมาอยู่ด้วยกัน เธอจะต้องคุยกับจินล่วงหน้าและได้รับอนุญาตจากเขาก่อน“ถ้าคุณยายไม่ว่าอะไร คุณยายให้อี้หรานพาไปที่เมืองเฉินได้นะครับ เธอจะได้ดูแลคุณได้ คุณยาย” เสียงของอี้ จิ่นหลี ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยหลิง อี้หรานรู้สึกตกใจและมองไปที่อี้ จิ่นหลี ด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้คุณยายดูแปลกใจ เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเป็นคนน่ารัก แต่ฉันเคยอาศัยอยู่ที่นี่ และนอกจากนี้ฉันยังมีลูกชายและลูกสาวอยู่ที่นี่ ถ้าฉันปล่อยให้หลานสาวดูแลฉัน คนคงจะเริ่มนินทาฉัน ถ้าอาการดีขึ้น ฉันจะไปเยี่ยมคุณที่เมืองเฉินแล้วกันนะ”คุณยายหันไปหาหลิง อี้หรานอีกครั้ง “เอาล่ะ หลานควรรีบกลับไปก่อน เพราะกว่าจะไปถึงเมืองเฉินก็ดึกแล้ว”หลิง อี้หรานพยักหน้า “หนูจะมาเยี่ยมอีกครั้งนะคะ คุณยาย”หลังจากบอกลาคุณยายแล้ว หลิง อี้หรานกับอี้ จิ่นหลีก็กลับไปขึ้นรถ อี้ จิ่นหลี
เขารู้สึกผ่อนคลายเพียงแค่ว่าเธอจะนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาราวกับว่าเพียงแค่ได้มองดูเธอแบบนั้น เขาก็รู้สึกโล่งใจจากความตึงเครียดที่หนักหนาในแต่ละวันที่เขาต้องคอยต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมคนอื่น ๆ ต่างเห็นว่าเขามีอำนาจขนาดไหน แต่เขาก็รู้สึกว่ายิ่งเขายืนสูงเท่าไร ยิ่งมีเงินและอำนาจมากเท่าไร ผู้คนรอบตัวเขาก็จะพยายามชักจูงเขามากขึ้นเท่านั้นมันอาจจะดูน่าสรรเสริญ แต่จริง ๆ แล้วมันอันตราย ความประมาทอาจทำลายอำนาจของตระกูลอี้ได้เขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในทุกขั้นตอนที่เขาทำ การวางแผนล่วงหน้าสิบก้าวก่อนที่จะเริ่มก้าวที่หนึ่งเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับเขา เขายุ่งอยู่กับการคำนวณทุกความเป็นไปได้จนลืมไปว่าการพักผ่อนเป็นอย่างไรบางทีเธออาจเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้เขารู้สึกโล่งใจได้เมื่อขับรถมาถึงปั๊มน้ำมัน อี้ จิ่นหลี่ก็ออกไปซื้อน้ำ ส่วนหลิง อี้หรานยังคงนั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า เธอมองไปที่พวงมาลัยเธอยังคงจำความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้สัมผัสพวงมาลัยเป็นครั้งแรกเมื่อตอนหัดขับรถได้ เงินที่เธอใช้ไปเพื่อสอบใบขับขี่ตามธรรมเนียมทางกฎหมายครั้งแรกของเธอ เธอยังจำมันได้ดีเธอไม่คิดว่าหนึ่งปีหลังจากเรียนขับ
อี้ จิ่นหลีกำลังจะหยิบน้ำที่เขาซื้อให้หลิง อี้หราน แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าซีดเผือดของเธอ เขาก็รีบถามขึ้น “เป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือเปล่า?”เธอส่ายหัว “ฉัน... ฉันแค่…” ดูเหมือนเธอจะไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียวในตอนนี้คิ้วของเขาย่นเข้าหากัน แทบไม่มีเลือดบนใบหน้าของเธอเลย หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ มือข้างหนึ่งของเธอกำพวงมาลัยไว้ในขณะที่ตัวของเธอสั่น ดวงตาสีเข้มของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว...เหมือนกับเธอกำลังอยู่ในความตื่นตระหนก“แค่อะไร?” เขาถามโดยวางขวดน้ำไว้ข้าง ๆ และวางมือลงบนมือของเธอที่อยู่บนพวงมาลัย เขาดึงมือเธอออกจากพวงมาลัยทีละน้อย “ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”น้ำเสียงอันหนักแน่นและมั่นคงของเขาพลันดังขึ้นในหูของเธอหลิง อี้หรานหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง ทำให้ร่างกายที่สั่นเทาของเธอสงบลงมันจบลงแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวเธอพร่ำบอกตัวเองอย่างนั้น จากนั้นเธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปยังอี้ จิ่นหลี “ไม่เป็นไร ฉันแค่นึกถึงอุบัติเหตุครั้งนั้น มาลองคิดดู อย่างน้อยฉันก็ยังโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่”ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเธอไม่มีโชค
แน่นอนว่าสิ่งที่มาพร้อมกับยาแผนโบราณคือลูกกวาดและช็อกโกแลตหลิง อี้หรานดื่มยาแผนโบราณที่ขมขื่นของเธอ แต่เธอกลับไม่รู้สึกขม เพราะเธอรู้ว่ายาแผนโบราณคือความหวังสำหรับเธอบางทีถ้าเธอโชคดี เธออาจจะมีลูกด้วยตัวของเธอเองได้อี้ จิ่นหลีแกะช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งเพื่อป้อนให้หลิง อี้หราน หลิง อี้หรานอ้าปากเพื่อกินช็อกโกแลตที่เขาป้อนแต่เธอบังเอิญ ‘กิน’ นิ้วของเขาไปด้วยขณะเดียวกัน หลิง อี้หรานพยายามที่จะถอยกลับและเอานิ้วของเขาออกจากปากของเธอแต่มืออีกข้างของเขาก็จับที่ด้านหลังศีรษะของเธอทันที ขณะที่เขายังคงเอานิ้วคาไว้ในปากของเธอหลิง อี้หรานหน้าแดง และตอนนี้เธอไม่สามารถเปิดปากหรือปิดมันได้ ในปากของเธอมีช็อกโกแลตอยู่ซึ่งมันกำลังละลาย“ช็อกโกแลตหวานไหม?” เขาพึมพำ น้ำเสียงอันไพเราะของเขาราวกับสายลมเวลากลางคืนที่พัดผ่านต้นไผ่ เป็นความหลงใหลที่ไม่อาจต้านทานได้เธอไม่สามารถลิ้มรสช็อกโกแลตได้เลย ความสนใจทั้งหมดของเธอกำลังจดจ่ออยู่ที่นิ้วของเขาศีรษะของเธอถูกจับโดยมืออีกข้างหนึ่งของเขา และเธอไม่สามารถขยับศีรษะได้ปลายนิ้วของเขาเหมือนกำลังร่ายเวทมนต์อยู่เงียบ ๆ เธอหน้าแดงมากขึ้นในขณะที่รู้สึกร้อน
มือของเขาสัมผัสแก้มของเธออย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็เปิดริมฝีปากบางและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า “พี่จะรักผมได้ไหม?”น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังขอร้อง ราวกับว่าเขาโหยหาความรักเธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ทำให้ริมฝีปากของเธอดูบอบบางและเย้ายวนมากยิ่งขึ้น เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาอย่างไร ในช่วงเวลานี้ดูเหมือนเธอจะยังคิดไม่ออก ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นของเขาใบหน้าที่สวยงามของเธอ, นัยน์ตาสีดำเข้ม, จมูกจิ้มลิ้ม และปากบางของเธอที่กำลังขยับและเลีย ราวกับว่าเธอกำลังยั่วยวนเขา ทำให้เขาไม่สามารถระงับความปรารถนาของตัวเองได้เขาต้องการเธอ เขาต้องการเธอสุด ๆ !ความคิดนั้นก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของเขา เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเธอ ความปรารถนาของเขาก็เป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ต้องการบุกทะลุประตูเข้าไป…เขากดริมฝีปากแนบกับเธออีกครั้ง แต่จูบนี้กลับอ่อนโยนและยาวนานกว่าจูบแรกที่รุนแรงและต้องการครอบงำก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าเขาพยายามจะทำเครื่องหมายและทิ้งกลิ่นของเขาไว้กับเธอ ทำให้เธอจดจำจูบของเขาเขาพรมจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของเธอออกเธอรู้สึกขน
“พะ... พี่รู้ไหมว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่?” ประโยคเรียบง่ายหลุดออกจากปากเขาทีละคำหลังจากพยายามกล่าวมันออกมาด้วยความยากลำบาก เหมือนกับการบีบยาสีฟันหลิง อี้หรานกัดริมฝีปากของเธอ “ฉัน... ฉันรู้”เธอกอดเขาไว้แน่นจนใบหน้าฝังเข้ากับแผ่นหลังของเขา ผ้าห่มที่คลุมร่างกายของเธออยู่ล่วงลงไปอยู่กับพื้น เธอแค่อยากจะทำตามหัวใจของเธอและบอกกับเขาว่าเธอต้องการจะพูดอะไรราวกับว่าเธอได้รวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีของเธอเพื่อทำสิ่งนี้“ฉันคิดว่าฉันรักนาย จิน!” หลิง อี้หรานเปล่งเสียงออกมา ใช่ เธอต้องการบอกเขาให้รับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ แทนที่จะนิ่งเงียบเมื่อเขาถามว่าเธอรักเขาหรือเปล่า เธอไม่อยากเห็นดวงตาที่เศร้าหมองของเขาอีกต่อไป เขาจะรู้บ้างไหมว่าเธอรู้สึกโดนแทงที่หัวใจที่ละเล็กที่ละน้อยเมื่อเขาพยายามที่จะรับความปรารถนาของเขา และคอยปลอบเธอโดยการบอกว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่เธอไม่ต้องการเลยในสายตาของเขา เขาคิดว่าเธอไม่ได้รักเขา“ฉันไม่รู้ว่าฉันรักคุณมากแค่ไหน และไม่รู้ว่ารักขนาดไหน แต่ฉันรักคุณ” หลิง อี้หรานกล่าวต่อเธอไม่ต้องการปิดบังความรู้สึกของเธอเพราะเธอไม่ต้องการให้เขาเข้าใจผิด เธอไม่ต้องการที่จะเห