แน่นอนว่าสิ่งที่มาพร้อมกับยาแผนโบราณคือลูกกวาดและช็อกโกแลตหลิง อี้หรานดื่มยาแผนโบราณที่ขมขื่นของเธอ แต่เธอกลับไม่รู้สึกขม เพราะเธอรู้ว่ายาแผนโบราณคือความหวังสำหรับเธอบางทีถ้าเธอโชคดี เธออาจจะมีลูกด้วยตัวของเธอเองได้อี้ จิ่นหลีแกะช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งเพื่อป้อนให้หลิง อี้หราน หลิง อี้หรานอ้าปากเพื่อกินช็อกโกแลตที่เขาป้อนแต่เธอบังเอิญ ‘กิน’ นิ้วของเขาไปด้วยขณะเดียวกัน หลิง อี้หรานพยายามที่จะถอยกลับและเอานิ้วของเขาออกจากปากของเธอแต่มืออีกข้างของเขาก็จับที่ด้านหลังศีรษะของเธอทันที ขณะที่เขายังคงเอานิ้วคาไว้ในปากของเธอหลิง อี้หรานหน้าแดง และตอนนี้เธอไม่สามารถเปิดปากหรือปิดมันได้ ในปากของเธอมีช็อกโกแลตอยู่ซึ่งมันกำลังละลาย“ช็อกโกแลตหวานไหม?” เขาพึมพำ น้ำเสียงอันไพเราะของเขาราวกับสายลมเวลากลางคืนที่พัดผ่านต้นไผ่ เป็นความหลงใหลที่ไม่อาจต้านทานได้เธอไม่สามารถลิ้มรสช็อกโกแลตได้เลย ความสนใจทั้งหมดของเธอกำลังจดจ่ออยู่ที่นิ้วของเขาศีรษะของเธอถูกจับโดยมืออีกข้างหนึ่งของเขา และเธอไม่สามารถขยับศีรษะได้ปลายนิ้วของเขาเหมือนกำลังร่ายเวทมนต์อยู่เงียบ ๆ เธอหน้าแดงมากขึ้นในขณะที่รู้สึกร้อน
มือของเขาสัมผัสแก้มของเธออย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็เปิดริมฝีปากบางและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า “พี่จะรักผมได้ไหม?”น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังขอร้อง ราวกับว่าเขาโหยหาความรักเธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ทำให้ริมฝีปากของเธอดูบอบบางและเย้ายวนมากยิ่งขึ้น เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาอย่างไร ในช่วงเวลานี้ดูเหมือนเธอจะยังคิดไม่ออก ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นของเขาใบหน้าที่สวยงามของเธอ, นัยน์ตาสีดำเข้ม, จมูกจิ้มลิ้ม และปากบางของเธอที่กำลังขยับและเลีย ราวกับว่าเธอกำลังยั่วยวนเขา ทำให้เขาไม่สามารถระงับความปรารถนาของตัวเองได้เขาต้องการเธอ เขาต้องการเธอสุด ๆ !ความคิดนั้นก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของเขา เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเธอ ความปรารถนาของเขาก็เป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ต้องการบุกทะลุประตูเข้าไป…เขากดริมฝีปากแนบกับเธออีกครั้ง แต่จูบนี้กลับอ่อนโยนและยาวนานกว่าจูบแรกที่รุนแรงและต้องการครอบงำก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าเขาพยายามจะทำเครื่องหมายและทิ้งกลิ่นของเขาไว้กับเธอ ทำให้เธอจดจำจูบของเขาเขาพรมจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของเธอออกเธอรู้สึกขน
“พะ... พี่รู้ไหมว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่?” ประโยคเรียบง่ายหลุดออกจากปากเขาทีละคำหลังจากพยายามกล่าวมันออกมาด้วยความยากลำบาก เหมือนกับการบีบยาสีฟันหลิง อี้หรานกัดริมฝีปากของเธอ “ฉัน... ฉันรู้”เธอกอดเขาไว้แน่นจนใบหน้าฝังเข้ากับแผ่นหลังของเขา ผ้าห่มที่คลุมร่างกายของเธออยู่ล่วงลงไปอยู่กับพื้น เธอแค่อยากจะทำตามหัวใจของเธอและบอกกับเขาว่าเธอต้องการจะพูดอะไรราวกับว่าเธอได้รวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีของเธอเพื่อทำสิ่งนี้“ฉันคิดว่าฉันรักนาย จิน!” หลิง อี้หรานเปล่งเสียงออกมา ใช่ เธอต้องการบอกเขาให้รับรู้ถึงความรู้สึกของเธอ แทนที่จะนิ่งเงียบเมื่อเขาถามว่าเธอรักเขาหรือเปล่า เธอไม่อยากเห็นดวงตาที่เศร้าหมองของเขาอีกต่อไป เขาจะรู้บ้างไหมว่าเธอรู้สึกโดนแทงที่หัวใจที่ละเล็กที่ละน้อยเมื่อเขาพยายามที่จะรับความปรารถนาของเขา และคอยปลอบเธอโดยการบอกว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่เธอไม่ต้องการเลยในสายตาของเขา เขาคิดว่าเธอไม่ได้รักเขา“ฉันไม่รู้ว่าฉันรักคุณมากแค่ไหน และไม่รู้ว่ารักขนาดไหน แต่ฉันรักคุณ” หลิง อี้หรานกล่าวต่อเธอไม่ต้องการปิดบังความรู้สึกของเธอเพราะเธอไม่ต้องการให้เขาเข้าใจผิด เธอไม่ต้องการที่จะเห
ใบหน้าของหลิง อี้หรานร้อนฉ่าเมื่อเธอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะตื่นแล้ว แต่ยังคงแกล้งหลับตาต่อไป เธอกลัวจะเห็นอี้ จิ่นหลี ถ้าเธอเห็นเขา เธอจะต้องรู้สึกอึดอัดมากอย่างแน่นอนเธอควรจะพูดอะไรเป็นอย่างแรกเมื่อเห็นเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดนี้?หลิง อี้หรานเริ่มไตร่ตรองเพื่อคิดคำถามก่อนที่เธอจะคิดแผนได้ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ตื่นหรือยัง? ถ้าพี่จะทำแบบนั้น พี่ไม่จำเป็นต้องหลับตาก็ได้ หรือพี่ไม่อยากเห็นผม?”ร่างของหลิง อี้หรานสั่นระริกเล็กน้อย ขณะที่เธอลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เธอเห็นคือใบหน้าอันหล่อเหลา... ใบหน้าของอี้ จิ่นหลี!เขาวางมือของเขาอยู่ไว้บนข้างเตียง เพื่อยันลำตัวให้เอียงไปเล็กน้อย และใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่นิ้ว ขณะที่ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขากำลังโรยรินบนผิวหนังของเธอด้วยระยะทางที่อยู่ใกล้กัน เธอสามารถนับจำนวนขนตาของเขาได้ขนตาดำยาวที่เข้ากันกับดวงตาของเขาเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาสำหรับผู้หญิง... ดวงตาของเธอสบกับสายตาของเขา และเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความยั่วยวนที่เรียกหาเธอ เต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากจะกลืนก
เธอต้องการจะลงจากเตียง เขาก็กล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน”เธอมองดูเขาก้มตัวลงและคุกเข่าต่อหน้าเธอเพื่อช่วยเธอสวมถุงเท้า เขาสวมรองเท้าสำหรับใส่เดินในบ้านให้เธอก่อนที่จะพาเธอไปที่ห้องน้ำ“เอ่อ คุณคิดจะทำอะไร?” เธอถามด้วยความงุนงง“ไม่ไปล้างตัวหน่อยเหรอ?” อี้ จิ่นหลีถามกลับ‘อืม... โอเค ก็จริง’เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ เขาค่อย ๆ หย่อนเท้าของเธอลงก่อน จากนั้นจึงประคองร่างของเธอให้ยืน แล้วกล่าวกับเธอว่า “ถ้าพี่ยืนไม่ไหว ก็จับตัวผมไว้”“อือ” เธอตอบรับเสียงเบาและมองไปยังกระจกที่อยู่ข้างหน้าเธอพวกเขามองเห็นเงาสะท้อนของพวกเขาในกระจก เธอมองดูเขาผ่านกระจก โดยที่เขากำลังก้มศีรษะลง เพื่อบีบยาสีฟันไว้บนแปรงสีฟันอย่างระมัดระวัง...‘นี่คงเป็นความรู้สึกที่มีใครสักคนคอยดูแล’ หลิง อี้หรานคิด“เสร็จแล้ว” เขากล่าวพร้อมกับส่งแปรงสีฟันให้เธอ “ถ้าพี่แปรงฟันเองไม่ได้ ผมจะทำให้พี่”“ไม่เป็นไร ฉัน... ทำเองได้” เธอก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วเพื่อเริ่มแปรงฟัน เธอไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้เขากำลังจ้องมองเข้าไปในกระจกเพื่อมองดูเธอแปรงฟันขณะก้มศีรษะลงสายตาของอี้ จิ่นหลีเต็มไปด้วยความหลงใหลไม่รู้จบ ‘ในที่สุดพี่ก็ตกหลุมรักผม พี
“คุณคิดว่าพวกเขาจะช่วยเราไหม? คุณคาดหวังให้ตระกูลเซียวต่อสู้กับอี้ จิ่นหลีและกลายเป็นศัตรูของเขาเหรอ? หรือคุณคาดหวังให้ตระกูลเซียวสูบเงินเป็นพันล้านเพื่อช่วยให้หุ้นของเราขึ้นมา” ห่าว ฉี่หลงถามหลิว จื่อเฉวียปิดปากเงียบทันที เธอเข้าใจเกี่ยวกับโลกธุรกิจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อสามีของเธอกล่าวแบบนั้น เธอก็เข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซียวมันไม่ใช่ว่าตระกูลเซียวจะสามารถทำเงินให้ได้สองสามพันล้านในครั้งเดียวหรือไม่ แต่มันคือความจริงที่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถต่อต้านอี้ จิ่นหลีได้ “แล้ว... เราควรทำยังไง?” หลิว จื่อเฉวียรู้สึกกังวล “เกิดอะไรขึ้นกับอี้ จิ่นหลี? ทำไมเขาถึงหลงใหลผู้หญิงอย่างหลิง อี้หราน? ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรใส่เขา? นังนั้นเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่จื่อฉีไม่ต้องการ!”ห่าว ฉี่หลงอดไม่ได้ที่จะดุออกมา “พอแล้ว! คุณจะพูดแบบนี้ต่อหน้าผมได้ แต่อย่าไปพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะ ไม่อย่างนั้น คุณจะเจอกับปัญหาไร้สาระมากขึ้น”หลิว จื่อเฉวียรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้อีก“ฉันจะไปพบกับอี้ จิ่นหลีเพื่อดูว่าเขามีเจตนาจะทำอะไร” ห่าว ฉี่หลงกล่าว เขาไม่สามา
ตอนนี้หลิง อี้หรานมาเยี่ยมอาหยันน้อยที่โรงพยาบาล ครั้งนี้อาหยันน้อยกำลังตื่นอยู่และมีปฏิสัมพันธ์กับโจว เชียนหยุนที่อยู่ในห้องด้วย โจว เชียนหยุนชี้ไปที่วัตถุต่าง ๆ และบอกอาหยันน้อยว่ามันคืออะไรอาหยันน้อยกำลังฟังอย่างตั้งใจฟังอย่างแท้จริง บางครั้งเขาจะชี้ไปที่สิ่งของที่โจว เชียนหยุน กล่าวถึงก่อนหน้านี้ และเธอก็จะพูดซ้ำให้เขาฟังหลิง อี้หรานเรียก “อาหยันน้อย”เด็กชายหันกลับมาและมองไปทางเธอนี่คือสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นหมายความว่าอาหยันน้อยสามารถได้ยินเสียงของเธอ! หลิง อี้หรานรู้สึกยินดีกับเด็กผู้ชายคนนี้ตอนนี้อาหยันน้อยก็สามารถได้ยินแล้ว นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสที่จะสามารถเรียนรู้ที่จะพูดได้ในอนาคต ตราบใดที่เขาสวมเครื่องช่วยฟัง เขาก็สามารถทำงานได้เหมือนคนปกติทั่วไปแม้ว่าอายุสามขวบจะช้าไปเล็กน้อย แต่แพทย์ก็แนะนำให้เริ่มการรักษาโดยเร็วที่สุด แม้ว่าการเรียนรู้จะไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเด็กส่วนใหญ่ยังไม่พัฒนาเต็มที่และยังคงซึมซับเสียงและภาษาใหม่ ๆ ได้เหมือนกับฟองน้ำหลิง อี้หรานเดินไปข้างหน้าและลูบหัวของเด็กชาย “อาหยันน้อย ตอนนี้หนูได้ยินเสียงแล้ว อีกไม่นานหนูก็จะเริ่มพูดได้แล้
“แต่ฉันเห็นว่าคุณอี้ดีกับเธอมาก ความดีที่เธอทำไว้ได้ส่งผลแล้ว” โจว เชียนหยุนกล่าว‘ความดีที่ทำไว้? บางทีตอนนี้ความสัมพันธ์ของฉันกับจินอาจเริ่มดีขึ้นแล้ว รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในสมัยที่พวกเราอาศัยอยู่ด้วยกันในห้องเช่า’ไม่สิ ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ในตอนนั้นเธอเห็นเขาเป็นแค่น้องชายเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอเห็นเขาเป็นคนรัก เป็นคนที่เธอคิดว่าจะเป็นผู้กุมบังเหียนเพื่ออนาคตของเธอ“พี่โจว พี่ก็ได้ผลดีเหมือนกัน ตอนนี้อาหยันน้อยสามารถได้ยินเสียง และเขาอาจจะพูดได้ในไม่ช้า ครั้งหน้าเขาจะเป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป ได้ไปเรียนและได้เล่นกับเพื่อน”“ใช่ อาหยันน้อยคือชีวิตของฉัน ตราบใดที่ทำให้ได้อยู่สุขสบาย ฉันก็ไม่สนความยากลำบากอะไรเลย”โจว เชียนหยุนกล่าวและมองไปที่หลิง อี้หราน “เธอยังไม่ใช่แม่คน ถ้าเธอได้เป็นแม่แล้ว เธอจะเข้าใจว่าในฐานะแม่ เธอจะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก!”‘เป็นแม่...?’ หลิง อี้หรานมองไปที่หน้าท้องแบนราบของเธอและสงสัยว่าเธอจะมีโอกาสเป็นแม่ในชีวิตนี้บ้างไหม...หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล หลิง อี้หรานนึกถึงวันที่เธอนอนกับอี้ จิ่นหลี พวกเขาไม่ได้ป้องกันหลังจากนั้นเธอก็อดหัวเราะ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค