“คุณคิดว่าพวกเขาจะช่วยเราไหม? คุณคาดหวังให้ตระกูลเซียวต่อสู้กับอี้ จิ่นหลีและกลายเป็นศัตรูของเขาเหรอ? หรือคุณคาดหวังให้ตระกูลเซียวสูบเงินเป็นพันล้านเพื่อช่วยให้หุ้นของเราขึ้นมา” ห่าว ฉี่หลงถามหลิว จื่อเฉวียปิดปากเงียบทันที เธอเข้าใจเกี่ยวกับโลกธุรกิจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อสามีของเธอกล่าวแบบนั้น เธอก็เข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซียวมันไม่ใช่ว่าตระกูลเซียวจะสามารถทำเงินให้ได้สองสามพันล้านในครั้งเดียวหรือไม่ แต่มันคือความจริงที่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถต่อต้านอี้ จิ่นหลีได้ “แล้ว... เราควรทำยังไง?” หลิว จื่อเฉวียรู้สึกกังวล “เกิดอะไรขึ้นกับอี้ จิ่นหลี? ทำไมเขาถึงหลงใหลผู้หญิงอย่างหลิง อี้หราน? ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรใส่เขา? นังนั้นเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่จื่อฉีไม่ต้องการ!”ห่าว ฉี่หลงอดไม่ได้ที่จะดุออกมา “พอแล้ว! คุณจะพูดแบบนี้ต่อหน้าผมได้ แต่อย่าไปพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะ ไม่อย่างนั้น คุณจะเจอกับปัญหาไร้สาระมากขึ้น”หลิว จื่อเฉวียรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้อีก“ฉันจะไปพบกับอี้ จิ่นหลีเพื่อดูว่าเขามีเจตนาจะทำอะไร” ห่าว ฉี่หลงกล่าว เขาไม่สามา
ตอนนี้หลิง อี้หรานมาเยี่ยมอาหยันน้อยที่โรงพยาบาล ครั้งนี้อาหยันน้อยกำลังตื่นอยู่และมีปฏิสัมพันธ์กับโจว เชียนหยุนที่อยู่ในห้องด้วย โจว เชียนหยุนชี้ไปที่วัตถุต่าง ๆ และบอกอาหยันน้อยว่ามันคืออะไรอาหยันน้อยกำลังฟังอย่างตั้งใจฟังอย่างแท้จริง บางครั้งเขาจะชี้ไปที่สิ่งของที่โจว เชียนหยุน กล่าวถึงก่อนหน้านี้ และเธอก็จะพูดซ้ำให้เขาฟังหลิง อี้หรานเรียก “อาหยันน้อย”เด็กชายหันกลับมาและมองไปทางเธอนี่คือสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นหมายความว่าอาหยันน้อยสามารถได้ยินเสียงของเธอ! หลิง อี้หรานรู้สึกยินดีกับเด็กผู้ชายคนนี้ตอนนี้อาหยันน้อยก็สามารถได้ยินแล้ว นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสที่จะสามารถเรียนรู้ที่จะพูดได้ในอนาคต ตราบใดที่เขาสวมเครื่องช่วยฟัง เขาก็สามารถทำงานได้เหมือนคนปกติทั่วไปแม้ว่าอายุสามขวบจะช้าไปเล็กน้อย แต่แพทย์ก็แนะนำให้เริ่มการรักษาโดยเร็วที่สุด แม้ว่าการเรียนรู้จะไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเด็กส่วนใหญ่ยังไม่พัฒนาเต็มที่และยังคงซึมซับเสียงและภาษาใหม่ ๆ ได้เหมือนกับฟองน้ำหลิง อี้หรานเดินไปข้างหน้าและลูบหัวของเด็กชาย “อาหยันน้อย ตอนนี้หนูได้ยินเสียงแล้ว อีกไม่นานหนูก็จะเริ่มพูดได้แล้
“แต่ฉันเห็นว่าคุณอี้ดีกับเธอมาก ความดีที่เธอทำไว้ได้ส่งผลแล้ว” โจว เชียนหยุนกล่าว‘ความดีที่ทำไว้? บางทีตอนนี้ความสัมพันธ์ของฉันกับจินอาจเริ่มดีขึ้นแล้ว รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในสมัยที่พวกเราอาศัยอยู่ด้วยกันในห้องเช่า’ไม่สิ ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง ในตอนนั้นเธอเห็นเขาเป็นแค่น้องชายเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอเห็นเขาเป็นคนรัก เป็นคนที่เธอคิดว่าจะเป็นผู้กุมบังเหียนเพื่ออนาคตของเธอ“พี่โจว พี่ก็ได้ผลดีเหมือนกัน ตอนนี้อาหยันน้อยสามารถได้ยินเสียง และเขาอาจจะพูดได้ในไม่ช้า ครั้งหน้าเขาจะเป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป ได้ไปเรียนและได้เล่นกับเพื่อน”“ใช่ อาหยันน้อยคือชีวิตของฉัน ตราบใดที่ทำให้ได้อยู่สุขสบาย ฉันก็ไม่สนความยากลำบากอะไรเลย”โจว เชียนหยุนกล่าวและมองไปที่หลิง อี้หราน “เธอยังไม่ใช่แม่คน ถ้าเธอได้เป็นแม่แล้ว เธอจะเข้าใจว่าในฐานะแม่ เธอจะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก!”‘เป็นแม่...?’ หลิง อี้หรานมองไปที่หน้าท้องแบนราบของเธอและสงสัยว่าเธอจะมีโอกาสเป็นแม่ในชีวิตนี้บ้างไหม...หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล หลิง อี้หรานนึกถึงวันที่เธอนอนกับอี้ จิ่นหลี พวกเขาไม่ได้ป้องกันหลังจากนั้นเธอก็อดหัวเราะ
“โอ้ ดูนั่นสิ เธอโทรเรียกเพื่อน!” ผู้หญิงคนนั้นล้อเลียนชิน เหลียนอีเมื่อเห็นหลิง อี้หรานหลิง อี้หรานขมวดคิ้วและมองไปที่เพื่อนของเธอ “เหลียนอี เกิดอะไรขึ้น?”“เธออย่ามาล้อเลียนเพื่อนของฉัน” ชิน เหลียนอี กล่าวหญิงสาวระเบิดออกมาราวกับถังน้ำมันที่ติดไฟขณะที่เธอตะโกนว่า “ทำไม? เธอละอายใจบ้างไหมที่ยอมรับว่าเธอล่อลวงแฟนของฉันอย่างไร้ยางอายน่ะ? ถ้าฉันจับเธอไม่ได้ เธอคงจะเปลื้องผ้าขึ้นเตียงไปกับแฟนฉันแล้ว!”ชิน เหลียนอีจ้องไปที่ผู้หญิงคนนั้น "ล่อลวง? คิดว่าฉันสนใจผู้ชายแบบนั้นเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับสมองของเธอ? เธอเอาแต่คิดว่าคนอื่นสร้างปัญหาให้ แต่คุณเคยคิดไหมว่าแฟนเธอนั่นแหละเป็นคนคอยสร้างปัญหา!”“ฉันเห็นกับตา แต่เธอก็ยังกล้ามาเถียงกับฉัน!” ผู้หญิงคนนั้นตะโกน“ตอแหล! เธอเห็นอะไรกับตา?!” ชิน เหลียนอีโต้เถียงกลับ เธอชี้ไปที่ชายที่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้องหนึ่ง “ให้ฉันพูดตรง ๆ หน้าตาอย่างเขาน่ะ ต่อให้เธอเสนอให้ ฉันก็ไม่คิดจะมองหรอก นอกจากนี้แฟนของฉันยังดูดีกว่าเขาหลายเท่า มีเหตุผลอะไรให้ฉันสนใจผู้ชายแบบนี้? เขาทำมาจากทองคำหรือธนบัตรหรือไง?”หญิงสาวแสดงท่าทีด้วยการเยาะเย้ย “ฉันไม่คิดว่าเธอจะมีแฟน
ขณะที่หลิง อี้หรานกำลังดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อประกันตัวชิน เหลียนอีออกไป อี้ จิ่นหลีก็โทรหาเธอ “พี่อยู่ที่สถานีตำรวจใช่ไหม?”“ฮะ?” หลิง อี้หรานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเรียกสติตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว คงเป็นคนขับรถที่บอกเขา“ใช่ ฉันอยู่ที่สถานีตำรวจ มีเรื่องเกิดขึ้นกับเหลียนอี ฉันเลยมาที่นี่เพื่อประกันตัวเธอ”อี้ จิ่นหลีพบว่ามันค่อนข้างน่าขบขัน “เธอต้องการให้พี่ช่วยประกันตัวเธอออกไปเหรอ? ทำไมเธอไม่บอกไป๋ ทิงซินล่ะ? เขาไม่ใช่แฟนของเธอเหรอ?”“...” มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน และมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเหลียนอี “ฉันเดาว่าเธอคงมีวิธีคิดของเธอเอง ฉันกำลังทำเอกสารอยู่ ไว้ฉันจะคุยกับคุณทีหลัง!”หลิง อี้หรานวางสายและดำเนินการต่อโจว เจียเหวินยังคงสาปแช่งชิน เหลียนอี เธอยืนกรานว่าชิน เหลียนอีสนใจแฟนหนุ่มของเธอชิน เหลียนอีโกรธมากจนด่าทอโจว เจียเหวินเป็นหมู! เธอมีไป๋ ทิงซินเป็นแฟนของเธอแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นแค่แฟนหนุ่มชั่วคราว และเขาก็ไม่สนว่าที่บางครั้งเธอจะจีบคนทั่วไปหรือเอาเปรียบเขา! แล้วทำไมเธอต้องมาอะไรกับผู้ชายที่เธอไม่ได้สนใจด้วย?บางครั้งเวลาผู้หญิงมีปัญหาในความสัมพันธ์ของพวกเธอ
เฉิน จื่อยวี่พยักหน้าอย่างขี้ขลาด “ช-ชะ-ใช่… ชิน เหลียนอี มาอ่อยฉัน!”ชิน เหลียนอีอยากจะตบผู้ชายคนนั้น!หลิง อี้หรานกังวลว่าพฤติกรรมที่หุนหันของเพื่อนเธอจะทำให้เธอมีปัญหา เธอจึงดึงเพื่อนของเธอไว้และกล่าวกับทั้งคู่ว่า “คุณจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายสำหรับสิ่งที่คุณพูดในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงของบุคคล ทำไมเราไม่กลับไปที่สถานีเพื่อเปิดคดีความเลยล่ะ?”เฉิน จื่อยวี่ตัวสั่นและปิดปากของเขาเงียบโจว เจียเหวินยังคงพูดจาหยาบคาย ขณะเดียวกันอี้ จิ่นหลี มองมาที่เธออย่างเบื่อหน่าย “ช่างเป็นผู้หญิงที่โอ้อวดเสียจริง คุณกำลังบอกว่าแฟนของผมเป็นคนแบบไหนอย่างนั้นเหรอ? แล้วคุณคิดว่าคุณเป็นใคร?”โจว เจียเหวินรู้สึกแย่ คำพูดของอี้ จิ่นหลีเหมือนเป็นการตบหน้าเธอ“ฉัน... ฉันแค่เตือน ฉันกังวลว่าคุณจะโดนหลอก” โจว เจียเหวินพยายามโต้เถียงอี้ จิ่นหลีไม่สนใจฟังสิ่งที่เธอพูด เขาหันไปหาชิน เหลียนอี และกล่าวว่า “คุณถูกตำรวจจับเพราะคนพวกนี้เหรอ? ดูเหมือนไป๋ ทิงซิน จะไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเขารู้ คนพวกนี้คงจะไม่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณในตอนนี้”ชิน เหลียนอีดูอึดอัดใจ“ไปกันเถอะ” อี้ จิ่นหลีกล่าวเบา
ดูเหมือวนว่าชิน เหลียนอีจะมีปัญหาในการอธิบายให้อี้ จิ่นหลีฟัง เธอหวังว่าเธอจะสามารถซ่อนความจริงที่ว่าเธอเป็นคู่รักกับไป๋ ทิงซินได้เธอไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายในชีวิตของเธอ หลังจากที่ต้องเลิกกับเขาถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเธอบังเอิญรู้เรื่องเขา เธอก็คงไม่บอกพวกเขาด้วยซ้ำ!“ฉัน... ฮ่าฮ่า… ฉันกังวลว่าฉันจะรบกวนเขาในเวลาทำงานน่ะ” ชิน เหลียนอีแก้ตัวแบบขอไปที“แล้วคุณไม่กลัวที่จะรบกวนอี้หรานเหรอ?” อี้ จิ่นหลีถามกลับชิน เหลียนอีกลั้นหายใจ หลิง อี้หรานรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “ฉันไม่เป็นอะไรที่จะถูกเหลียนอีรบกวนหรอก” จากนั้นเธอก็หันไปหาชิน เหลียนอี และกล่าวว่า “ถ้ามีปัญหาอะไรอีกในอนาคต เธอต้องบอกฉันนะ เธอเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดที่ฉันมี”ชิน เหลียนอีรู้สึกอบอุ่นในหัวใจของเธอ เธอตอบและมองผ่านกระจกเพื่อดูอี้ จิ่นหลีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลิง อี้หราน ‘น้ำเสียงของเขาก่อนหน้านี้... อืม ดูเหมือนเขาจะหึงเหรอ? มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกอิจฉา’‘แต่คำถามคือ... ทำไมอี้ จิ่นหลีถึงอิจฉาฉัน? เพราะหลิง อี้หราน เหรอ?’ ความคิดนั้นทำให้ชิน เหลียนอีตัวสั่น!ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะถูกอิจฉาโดยอี้ จิ่นหลีที่เป็
เธออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “คุณจะเปรียบเทียบแบบนั้นไม่ได้”คนหนึ่งคือคนรักในชีวิตของเธอ ส่วนอีกคนหนึ่งคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ มันเป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!เธอครุ่นคิดและกล่าวว่า “คุณทั้งคู่เป็นคนที่ฉันสามารถเสียสละชีวิตให้ได้! ดังนั้นคุณทั้งสองคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันสำหรับฉัน”สายตาของเขาเปลี่ยนไป เขาควรจะรู้สึกพอใจที่เธอเต็มใจที่จะสละชีวิตเพื่อปกป้องเขา!‘แต่ทำไมเป็นฉันคนเดียวไม่ได้!’สรุปคือเขาโลภเกินไป เขาโลภมากจนอยากเป็นคนเดียวในหัวใจของเธอ เขาโลภมากจนไม่ต้องการให้ใครมามีบทบาทสำคัญกับเธอ“เพราะตอนนั้นเธอช่วยพี่เหรอ?”“ฉันคิดว่าอย่างนั้น ตอนแรกฉันไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรให้ฉันได้มากขนาดนี้ ทั้งที่เราเป็นเพื่อนกัน” หลิง อี้หรานถอนหายใจ ย้อนกลับไปในตอนนั้น มิตรภาพของเธอกับเหลียนอีค่อนข้างดี แต่บางครั้งเราก็ต้องฝ่าพายุไปด้วยกันก่อนที่เราจะพบว่าคนคนนั้นเป็นอัญมณีหรือขยะหลังจากผ่านความเจ็บปวด เราก็จะมองเห็นคน ๆ หนึ่งได้อย่างชัดเจนและเข้าใจว่าบางคนก็มีค่าแก่หัวใจของเรา“ถ้าไม่มีเหลียนอี ก็คงไม่มีฉันในตอนนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เหลียนอีมีความสำคัญต่อฉันมาก”