เฉิน จื่อยวี่พยักหน้าอย่างขี้ขลาด “ช-ชะ-ใช่… ชิน เหลียนอี มาอ่อยฉัน!”ชิน เหลียนอีอยากจะตบผู้ชายคนนั้น!หลิง อี้หรานกังวลว่าพฤติกรรมที่หุนหันของเพื่อนเธอจะทำให้เธอมีปัญหา เธอจึงดึงเพื่อนของเธอไว้และกล่าวกับทั้งคู่ว่า “คุณจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายสำหรับสิ่งที่คุณพูดในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นการหมิ่นประมาทชื่อเสียงของบุคคล ทำไมเราไม่กลับไปที่สถานีเพื่อเปิดคดีความเลยล่ะ?”เฉิน จื่อยวี่ตัวสั่นและปิดปากของเขาเงียบโจว เจียเหวินยังคงพูดจาหยาบคาย ขณะเดียวกันอี้ จิ่นหลี มองมาที่เธออย่างเบื่อหน่าย “ช่างเป็นผู้หญิงที่โอ้อวดเสียจริง คุณกำลังบอกว่าแฟนของผมเป็นคนแบบไหนอย่างนั้นเหรอ? แล้วคุณคิดว่าคุณเป็นใคร?”โจว เจียเหวินรู้สึกแย่ คำพูดของอี้ จิ่นหลีเหมือนเป็นการตบหน้าเธอ“ฉัน... ฉันแค่เตือน ฉันกังวลว่าคุณจะโดนหลอก” โจว เจียเหวินพยายามโต้เถียงอี้ จิ่นหลีไม่สนใจฟังสิ่งที่เธอพูด เขาหันไปหาชิน เหลียนอี และกล่าวว่า “คุณถูกตำรวจจับเพราะคนพวกนี้เหรอ? ดูเหมือนไป๋ ทิงซิน จะไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเขารู้ คนพวกนี้คงจะไม่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณในตอนนี้”ชิน เหลียนอีดูอึดอัดใจ“ไปกันเถอะ” อี้ จิ่นหลีกล่าวเบา
ดูเหมือวนว่าชิน เหลียนอีจะมีปัญหาในการอธิบายให้อี้ จิ่นหลีฟัง เธอหวังว่าเธอจะสามารถซ่อนความจริงที่ว่าเธอเป็นคู่รักกับไป๋ ทิงซินได้เธอไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายในชีวิตของเธอ หลังจากที่ต้องเลิกกับเขาถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเธอบังเอิญรู้เรื่องเขา เธอก็คงไม่บอกพวกเขาด้วยซ้ำ!“ฉัน... ฮ่าฮ่า… ฉันกังวลว่าฉันจะรบกวนเขาในเวลาทำงานน่ะ” ชิน เหลียนอีแก้ตัวแบบขอไปที“แล้วคุณไม่กลัวที่จะรบกวนอี้หรานเหรอ?” อี้ จิ่นหลีถามกลับชิน เหลียนอีกลั้นหายใจ หลิง อี้หรานรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “ฉันไม่เป็นอะไรที่จะถูกเหลียนอีรบกวนหรอก” จากนั้นเธอก็หันไปหาชิน เหลียนอี และกล่าวว่า “ถ้ามีปัญหาอะไรอีกในอนาคต เธอต้องบอกฉันนะ เธอเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดที่ฉันมี”ชิน เหลียนอีรู้สึกอบอุ่นในหัวใจของเธอ เธอตอบและมองผ่านกระจกเพื่อดูอี้ จิ่นหลีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลิง อี้หราน ‘น้ำเสียงของเขาก่อนหน้านี้... อืม ดูเหมือนเขาจะหึงเหรอ? มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกอิจฉา’‘แต่คำถามคือ... ทำไมอี้ จิ่นหลีถึงอิจฉาฉัน? เพราะหลิง อี้หราน เหรอ?’ ความคิดนั้นทำให้ชิน เหลียนอีตัวสั่น!ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะถูกอิจฉาโดยอี้ จิ่นหลีที่เป็
เธออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “คุณจะเปรียบเทียบแบบนั้นไม่ได้”คนหนึ่งคือคนรักในชีวิตของเธอ ส่วนอีกคนหนึ่งคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ มันเป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!เธอครุ่นคิดและกล่าวว่า “คุณทั้งคู่เป็นคนที่ฉันสามารถเสียสละชีวิตให้ได้! ดังนั้นคุณทั้งสองคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันสำหรับฉัน”สายตาของเขาเปลี่ยนไป เขาควรจะรู้สึกพอใจที่เธอเต็มใจที่จะสละชีวิตเพื่อปกป้องเขา!‘แต่ทำไมเป็นฉันคนเดียวไม่ได้!’สรุปคือเขาโลภเกินไป เขาโลภมากจนอยากเป็นคนเดียวในหัวใจของเธอ เขาโลภมากจนไม่ต้องการให้ใครมามีบทบาทสำคัญกับเธอ“เพราะตอนนั้นเธอช่วยพี่เหรอ?”“ฉันคิดว่าอย่างนั้น ตอนแรกฉันไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรให้ฉันได้มากขนาดนี้ ทั้งที่เราเป็นเพื่อนกัน” หลิง อี้หรานถอนหายใจ ย้อนกลับไปในตอนนั้น มิตรภาพของเธอกับเหลียนอีค่อนข้างดี แต่บางครั้งเราก็ต้องฝ่าพายุไปด้วยกันก่อนที่เราจะพบว่าคนคนนั้นเป็นอัญมณีหรือขยะหลังจากผ่านความเจ็บปวด เราก็จะมองเห็นคน ๆ หนึ่งได้อย่างชัดเจนและเข้าใจว่าบางคนก็มีค่าแก่หัวใจของเรา“ถ้าไม่มีเหลียนอี ก็คงไม่มีฉันในตอนนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เหลียนอีมีความสำคัญต่อฉันมาก”
เธอบอกเขาทุกอย่าง ไล่ตั้งแต่ที่เธอถูกเพื่อนร่วมงานชายของเธอตามรังควานและถูกเข้าใจผิด ไปจนถึงเรื่องที่เธอทะเลาะกันและไปที่สถานีตำรวจ และสุดท้ายเธอได้รับการประกันตัวได้อย่างไร เธอพูดทุกอย่างในคราวเดียว ทำให้คอของเธอแห้งเมื่อพูดจบไป๋ ทิงซินฟังพร้อมกับขมวดคิ้ว ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขากำลังนิ่งเฉย ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าในตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่หลังจากชิน เหลียนอีเล่าจบ เขาก็กล่าวว่า “ทำไมเธอถึงไม่โทรหาฉันตอนที่มีเรื่องล่ะ?”“ฉัน... ฉันกลัวว่าฉันจะรบกวนคุณ คุณกำลังยุ่งอยู่กับงาน เรื่องของฉันมันเรื่องเล็กน้อยเอง” ชิน เหลียนอีกล่าวเพื่อหว่านล้อมเขาไป๋ ทิงซินจ้องไปที่ชิน เหลียนอีจนเธอรู้สึกผิดในใจหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กล่าวว่า “แค่เพราะคุณกลัวที่จะรบกวนผมอย่างนั้นเหรอ?”“ก็ใช่น่ะสิ” เธอกล่าวด้วยความรู้สึกผิดเขาเม้มริมฝีปากและไม่กล่าวอะไร ทั้งสองยืนอยู่และจ้องมองกันโดยไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ ชิน เหลียนอีบ่นในใจ สงสัยว่าไป๋ ทิงซินจะจ้องมองเธออีกนานแค่ไหน ในขณะที่พวกเขายังคงยืนอยู่ที่บริเวณหมู่บ้านจัดสรร‘เขาควรจะมีความสุขไหมที่ฉันไม่รบกวนเขาในตอนที่มีปัญหา? ทำไมเขามองดูอย่างกับฉันเ
สำหรับเธอ เธอไม่มีทางปฏิเสธได้...ในที่สุด ชิน เหลียนอีก็พาไป๋ ทิงซินมาที่บ้านของเธอที่บ้านของครอบครัวชิน นายชินและคุณนายชิน ให้การต้อนรับไป๋ ทิงซินอย่างอบอุ่นและขอให้เขาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับพวกเขาไป๋ ทิงซินตอบตกลงอย่างง่ายดาย ในทางกลับกัน ชิน เหลียนอีแอบรู้สึกกลัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอกังวลว่ายิ่งไป๋ ทิงซิน อยู่นานเท่าไหร่ เขาก็จะมีโอกาสพูดจาไม่ปกติสูงขึ้นกับพ่อแม่ของเธอหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ชิน เหลียนอีรีบดึงไป๋ ทิงซินเข้าไปในห้องของเธอ และถามว่า “คุณจะกลับเมื่อไหร่?”“คุณอยากให้ผมรีบออกไปให้เร็วที่สุดเหรอ?” เขาถามพร้อมกับขมวดคิ้วเธอหัวเราะแห้ง “ฉันกลัวว่าความกระตือรือร้นที่มากเกินไปของพ่อแม่จะทำให้คุณรำคาญน่ะสิ พวกเขาคิดว่าคุณเป็นแฟนตัวจริงของฉัน เพราะฉะนั้นพวกเขาจะหาโอกาสเพื่อขุดหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณ”“ไม่เห็นน่ารำคาญเลย บางครั้งผมก็คิดว่ามันน่าสนใจดีที่ได้พูดคุยกับพวกเขา” ไป๋ ทิงซินกล่าว เมื่อเขาพูดคุยกับพ่อแม่ของเธอ เขาก็สามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับชิน เหลียนอีได้เช่นกันเขาได้รับรู้เรื่องราวในวัยเด็กของเธอและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่น่าจดจำ เ
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น… ฉันไปป่าวประกาศว่าฉันมีแฟนแล้วไม่ได้หรอก” ถ้าเธอทำอย่างนั้น เพื่อนร่วมงานของเธอคงจะคิดว่าเธอเป็นคนบ้า“อย่างนั้นเหรอ? โอเค ผมเข้าใจแล้ว” เขากล่าวเธอกระพริบตา ‘เขาเข้าใจอะไร? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเราไม่ได้คุยเรื่องเดียวกันวะเนี่ย?’...วันรุ่งขึ้นชิน เหลียนอีกำลังทำงานอยู่ที่บริษัท ข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้กำลังแพร่กระจายไปราวกับไฟป่า แววตาของเพื่อนร่วมงานของเธอดูแตกต่างไปจากปกติบางคนถึงกับเยาะเย้ยชิน เหลียนอีต่อหน้าเธอ “เธอมันไร้ยางอายเหลือเกิน! โจว เจียเหวินกับเฉิน จื่อยวี่ พวกเขาเป็นคู่รักกัน แต่เธอก็ยังอยากมาคั่นกลาง!”“จริง ต่อให้เธออยากเป็นมือที่สาม แต่ก็อย่ามาทำแบบนี้ในบริษัทสิ!”ชิน เหลียนอีพูดจาถากถางกลับ “มือที่สามอะไร? ถ้าเธอไม่รู้ความจริงทั้งหมด ก็ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ถ้าฉันมีใจให้เฉิน จื่อยวี่ ฉันคงจะถลนตาตัวเองออกมาแล้ว!”“เธอก็แค่พูดจาโอ้อวด เฉิน จื่อยวี่ทำไมหรือ? เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศ อีกไม่นานเขาก็จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมบริษัทแม่ ถึงตอนนั้นเขาจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า”บริษัทที่พวกเขาทำงานเป็
ชิน เหลียนอีอยากจะพูดจาถากถางพวกเขามากขึ้น แต่บางอย่างด้านหลังโจว เจียเหวินทางด้านทางเข้าบริษัท กลับดึงดูดความสนใจของเธอไป เธอเห็นเจ้านายของเธอเดินเข้ามาที่บริษัท แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา... ไป๋ ทิงซิน?!ชิน เหลียนอีกระพริบตาและตั้งใจมองอีกครั้ง โอเค ดวงตาของเธอไม่ได้ฝาด นั่นคือไป๋ ทิงซิน จริง ๆไป๋ ทิงซินเห็นเธอเช่นกันแต่เขากลับไม่ได้ทักทายเธอ เขาเพียงแค่ส่งยิ้มให้เธอและพูดคุยกับเจ้านายของเธอต่อไปจากมุมมองของชิน เหลียนอี เจ้านายของเธอให้ความเคารพและถ่อมตนต่อไป๋ ทิงซินมากเมื่อพวกเขาคุยกัน พวกเขาเดินและพูดคุยกัน เจ้านายของเธอได้ให้เลขาของเขาชงชาเพื่อไปเสิร์ฟในห้องทำงานของเขาชิน เหลียนอีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเข้าใจว่าทำไม บริษัทออกแบบของพวกเขาไม่ได้มีชื่อเสียงในเมืองเฉินมากนั้น แต่บริษัทแม่ของพวกเขาอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นเล็กน้อย สำหรับบริษัทของพวกเขา นี่เป็นบันไดก้าวไปสู่ความประสบความสำเร็จไป๋ ทิงซินเป็นหัวหน้าคนปัจจุบันของ ไป๋ เฟิง กรุ๊ป ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเจ้านายของเธอจะให้ความเคารพกับเขาเป็นพิเศษ หากพวกเขาสามารถร่วมมือกับ ไป๋ เฟ
ชิน เหลียนอีแอบมองไป๋ ทิงซิน ‘หืม เขาดูดีในชุดสูทเหมือนกันแฮะ ดูค่อนข้างหล่อ! เขาดูดีมากจริง ๆ! ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตอนนั้นฉันจะรีบทำแบบนั้นกับเขาตอนฉันเมา’‘ในบันทึกนั้น เขามีหุ่นที่ดี ถึงแม้ว่าเขาจะผอมไปหน่อย แต่กล้ามเนื้อเขาก็แข็งแรงดี…’ ชิน เหลียนอีหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เธอเห็นไป๋ ทิงซินเปลือยเปล่าขณะที่เธอมองไปที่เขา...ใบหน้าของเธอแดงทันที และเธอก็มองต่ำลงไปที่พื้นเพื่อบอกตัวเองให้หยุดคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ไป๋ ทิงซินมองเห็นชิน เหลียนที่อยู่ในมุมหนึ่งโดยกำลังก้มศีรษะลง เขาไม่แน่ใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจของเธอเมื่อมองไปที่เธอ ริมฝีปากของไป๋ ทิงซินก็โค้งเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจเจ้านายกล่าวกับไป๋ ทิงซินว่า “คุณไป๋ เริ่มได้เลยครับ”“ครับ”เจ้านายจึงเริ่มประชุม เขาเริ่มต้นด้วยการแนะนำไป๋ ทิงซิน จากนั้นเขาก็แนะนำโครงการที่ผ่านมาบางโครงของบริษัทเขาไม่ลืมพูดถึงโจว เจียเหวิน “นี่คือนักออกแบบที่อายุน้อยที่สุดของเรา อย่าคิดว่าอายุของเธอจะเด็กเกินไป เพราะพ่อของเธอก็เป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงในวงการนี้ เธอเองก็ได้รับรางวัลระดับนานาชาติเช่นกัน การออกแบบบางส่วนของเธอมีความ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค