“ถ้าเกิดคุณไม่กินยาแล้วอาการปวดแย่ลงล่ะ?” หลิง อี้หราน ถาม ทันใดนั้น ราวกับว่าเธอนึกถึงอะไรบางอย่างออก หลิง อี้หราน ดึงโทรศัพท์ของเธอออกมาและเปิดดูร้านขายยาออนไลน์แม้ว่าร้านขายยาจะอยู่ไกลเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพียงแค่เธอจ่ายค่าบริการเพียงพอ นอกจากนี้ยาจะมาถึงภาบในยี่สิบนาที แบบนี้เร็วกว่ารอให้คนรักษาความปลอดภัยไปซื้อยาเสียอีกหลิง อี้หราน ครุ่นคิดสักครู่และตัดสินใจสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์ของเธอ เธอสั่งยาตัวเดียวกับเคยที่ซื้อให้อี้ จิ่นหลี ครั้งที่แล้ว หลังจากสั่งซื้อเรียบร้อยแล้ว ดวงตาของเธอก็สบเข้ากับดวงของเขาอีกครั้งเขาขดตัวเป็นลูกบอล ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากันราวกับจะปิดเสียงพึมพำที่กำลังจะระเบิดออกมาจากปากของเขา แต่มันทำให้ลมหายใจของเขาเบาลงเล็กน้อยตอนนี้ตาของเขาปิดสนิท ขนตายาวของเขาทำให้เกิดเงาใต้ดวงตาของเขาชายผู้ปกครองเมือง เฉิน ตอนนี้กลับดูเหมือนเด็กที่อ่อนแอและทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าเขาต้องหยุดความเจ็บปวดด้วยตัวเองหลิง อี้หราน รู้สึกเจ็บปวดในใจของเธอ เขาเป็นคนสุดท้ายที่เธอควรสงสาร แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถควบคุมความเจ็บปวดในใจได้เธอมองไปรอบ ๆ ห้องนั้นดูเหมือนห้องโถง
หลิง อี้หราน กล่าวกับอี้ จิ่นหลี ว่า “รอที่นี่นะ ฉันจะไปรับยา” ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบออกจากห้องโถงไว้ทุกข์อี้ จิ่นหลี นอนลงบนโซฟา รอที่นี่... นั่นคือสิ่งที่เธอเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้เมื่อเธอออกไปซื้อยาให้เขาตอนดึกเอาล่ะ เขาจะรอ เขาจะรอจนกว่าเธอจะกลับมา......หลิง อี้หราน รีบไปที่ประตูเหล็กของคฤหาสน์ โคมไฟตรงถนนข้างประตูเหล็กส่องให้เห็นใบหน้าที่งุนงงของคนส่งของคนส่งของไม่ได้คิดว่าจะมาส่งยาถึงทางเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้“คุณหลิง? คุณสั่งยาหรือเปล่าครับ?” ชายคนนั้นถาม“ใช่ค่ะ ฉันเอง” หลิง อี้หราน ตอบขณะที่เธอรับยาจากชายคนนั้น เธอขอบคุณเขาก่อนที่เธอจะหันและวิ่งไปห้องโถงสำหรับไว้ทุกข์คนส่งของเกาหัว เขามองไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด และยังคงงุนงงเล็กน้อยในห้องรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์ อี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนมองไปที่หน้าจอเฝ้าระวังขณะที่หลิง อี้หราน วิ่งออกมาจากห้องโถงไว้ทุกข์เพื่อไปหายา"โอ้ พระเจ้า เธอใส่ชุดนอนออกมาข้างนอก?" ใครบางคนร้องอุทาน“เธอสั่ง... อาหารเหรอ?” ท้ายที่สุดไม่มีทางที่จะเห็นได้ชัดเจนจากหน้าจอเฝ้าระวัง สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือห
เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปที่เธอ เธอ... หอบจากการวิ่งกลับมา แม้ว่าเธอจะกลัวเขา รังเกียจเขา และอาจจะเกลียดเขาด้วยซ้ำ แต่เธอก็ไม่อยากให้เขาเจ็บปวด? เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดในร่างกายของเขาจะทวีความรุนแรงน้อยลงอี้ จิ่นหลี ให้ความร่วมมือโดยเปิดริมฝีปากของเขาและกลืนยาที่หลิง อี้หราน ป้อนเขาสายตาของเธอจ้องมองริมฝีปากของเขา และแน่นอนว่ามีรอยฟันที่ทิ้งร่องรอยไว้บนริมฝีปากของเขา เขาคงเจ็บปวดอย่างหนัก จนต้องกัดริมฝีปากไว้“ถ้าพี่มองผมแบบนั้นอีกครั้ง พี่จะทำให้ผมคิดว่าพี่อยากจูบผมแล้วนะ” เสียงของอี้ จิ่นหลี ดังขึ้นหลิง อี้หราน ดึงสติกลับมาหาตัวเอง ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง “ฉันเพิ่งเห็นว่าคุณกัดริมฝีปากของคุณ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย”“มันไม่สำคัญหรอกว่าพี่จะคิดอะไร พี่จูบผมได้ทุกเมื่อที่พี่ต้องการเลยนะพี่สาว” เขากล่าว แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงซีดและหน้าผากของเขายังคงปกคลุมไปด้วยเหงื่อบาง ๆ แต่เขาก็ไม่ได้พูดตะกุกตะกักเหมือนเมื่อก่อนหลิง อี้หราน หันหน้าหนีจากการมองใบหน้าของอี้ จิ่นหลี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองหน้าแดงขึ้นสายตาของเธอไปสะดุดกับศาลเล็ก ๆ สำหรับไว้ทุก
เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้มาก่อน แต่เมื่อเขามองไปที่เธอที่กำลังยืนอยู่หน้าศาลไว้ทุกข์ของพ่อเขา เขาก็กล่าวมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าเขาสามารถพูดออกมาจากใจได้ ก็ต่อเมื่อเขาเผชิญหน้ากับเธอ“ถึงจะพูดแบบนั้น ในช่วงนั้นพ่อของฉันก็น่าจะเคยเจอผู้หญิงหลายคน และคงมีผู้หญิงที่สวยกว่านี้แน่ ๆ เขาเป็นคนโง่ที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงแบบนั้น” อี้ จิ่นหลี พึมพำ“พ่อของคุณไม่จำเป็นต้องชอบแม่ของคุณเพียงเพราะเธอน่ารักหรอก บางครั้งรูปลักษณ์ก็ไม่ได้สำคัญนักเมื่อเราชอบคนคนนึง ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาชอบกัน ไม่ว่าพวกเขาจะดีหรือไม่ดีก็ตาม” หลิง อี้หรานกล่าวดวงตาของอี้ จิ่นหลี กระพริบและจ้องมองไปที่ใบหน้าของหลิง อี้หราน “อาจจะ… ก็อย่างที่พี่บอก บางครั้งรูปลักษณ์ก็ไม่สำคัญนักเมื่อเราชอบคนคนนึง…”ราวกับว่าเขาชอบเธอ เขาเคยเห็นผู้หญิงที่สวยกว่า เข้าใจหัวอกผู้ชายมากกว่า และมีความสุขมากกว่ากับเธอ แต่เขากลับชอบความรู้สึกที่เธอมอบให้เขาเขาชอบความอบอุ่นที่แสนสงบเมื่อเธอเป็นห่วงเขา เขาชอบให้เธอเรียกเขาว่า ‘จิน’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาชอบให้เธอจับมือของเขาตอนนอนในตอนกลางคืน...สายตาของเขาดูเปรียบเหมือนบางสิ่งบ
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิง อี้หราน ถามด้วยความสงสัยขณะที่อี้ จิ่นหลี หยุดเดิน“ไม่มีอะไร” อี้ จิ่นหลีตอบพร้อมก้มหน้าลง“คุณรู้สึกยังไงตอนนี้?” หลิง อี้หราน ถามเมื่อพวกเขากลับไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่“ดีขึ้นแล้ว” เขาตอบ“แม้ว่าอาการปวดท้องของคุณจะดีขึ้นมานานแล้ว แต่คุณก็ยังต้องไปหาหมอเพื่อรักษาเมื่อคุณว่าง” หลิง อี้หรานกล่าว “ความเจ็บป่วยบางอย่างเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญ และในที่สุดก็จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่ร้ายแรง”“เป็นห่วงผมเหรอครับพี่สาว?” เขากล่าวขณะที่รอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากของเขาเธอสำลัก และอยากจะหนีขึ้นไปชั้นบนเพราะเธอรู้สึกเขินอาย ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้นและดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “เอาล่ะ ผมสัญญากับพี่ ผมจะหาเวลาไปหาหมอและทำให้ร่างกายของผมแข็งแรงขึ้น ผมจะดีขึ้นและกินยาที่พี่ซื้อให้ผมวันนี้ พี่จะชอบผมขึ้นมาอีกนิดบ้างไหมถ้าผมเชื่อฟังพี่?”“อะไรนะ?” เธอตะลึงเล็กน้อย เขากำลังพูดอะไร? เขาพูดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? โอ้พระเจ้า มันเป็นไปได้อย่างไร? ผู้ชายอย่างเขาจะพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไง?เขาก้มศีรษะลง เมื่อใบหน้าของเขาใกล้กับใบหน้าของเธอ แล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำราวกับเครื่องเ
ในที่สุดการโทรก็สิ้นสุดลง หลิง อี้หราน จึงกล่าวว่า “แม่ของเธอพูดอะไร? เธอถึงได้ดูน่าอนาถใจขนาดที่ต้องพูดถึงการคุกเข่าบนแป้นพิมพ์เชียว"“จะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? นัดดูตัวไง” ชิน เหลียนอี พูดขณะที่เธอกลอกตา “แม่บอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนน่าจับ แม่ถึงขนาดจัดการกับป้าคนอื่น ๆ เพื่อที่จะให้ฉันได้ไปเดทก่อน"ชิน เหลียนอี พูดไม่ออกกับความคิดของแม่ของเธอดูเหมือนว่าแม่ของเธอจะคิดว่าถ้าเธอไม่สามารถแต่งงานได้ในสองปีนี้ เธออาจจะไม่มีได้วันแต่งงาน“งั้นไปเจอเขาเถอะ คิดซะว่ามันเป็นโอกาสไง” หลิง อี้หราน กล่าวหลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง“ไม่ล่ะ ฉันหงุดหงิดพอแล้ว ฉันต้องเป็นบ้าแน่ ๆ ถ้าไปนัดดูตัวอีก” ชิน เหลียนอี อยากจะกระอักเป็นเลือดทุกครั้งที่เธอคิดว่า แม่ของเธอจะหลอกให้เธอไปนัดดูตัวด้วยวิธีไหน“ทำไมล่ะ? มีอย่างอื่นอีกเหรอ?” หลิง อี้หราน ถามชิน เหลียนอี มองไปที่เพื่อนสนิทของเธอก่อนที่จะกล่าวว่า “เธอจะตกใจไหมถ้าฉันบอกว่าฉันกำลังคบกับไป๋ ทิงซิน อยู่?"หลิง อี้หราน แทบจะสำลักน้ำลายของเธอเอง “เธอกำลังคบกับไป๋ ทิงซิน เหรอ? เธอไม่ได้บอกว่าเขาจะแก้แค้นเธอเหรอ?”“ใช่ แก้แค้น” ชิน เหลียนอี พยักหน้า
ท้ายที่สุด... เหลียนอีก็ไม่เคยได้สัมผัสกับด้านมืด ต่างจากเธอที่เคยเห็นความมืดมิดในคุกจนบางครั้งเธอก็ไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้“พรวดดด!” ชิน เหลียน พ่นพุดดิ้งที่เธอยังไม่ทันได้กลืนออกมา และรีบเอาทิชชู่มาเช็ด จากนั้นเธอก็กล่าวกับหลิง อี้หราน ว่า “อย่างน้อยก็ช่วยตลกตอนที่ฉันไม่ได้กินอะไรได้ไหม อี้หราน เธอจะตลกเกินไปแล้ว”“ก็ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ” หลิง อี้หราน กล่าวพวกเธอจ้องหน้ากันเป็นเวลานานก่อนที่ ชิน เหลียนอี จะหัวเราะออกมา และกล่าวว่า "เราไม่ได้มีความหมายสำหรับกันและกันขนาดนั้น แม้ว่าเขาจะตกหลุมรักฉันอยู่จริง ๆ ก็ตาม เธอคิดว่าตระกูลไป๋เป็นครอบครัวแบบไหน? ถ้าฉันคบกับเขาจริง ๆ ชีวิตที่เหลือของฉันคงจะต้องต่อสู้ในครอบครัวใหญ่ที่ร่ำรวยอยู่ตลอดเวลา ดูจากทักษะของฉันแล้ว ฉันคิดว่าฉันคงจะพ่ายแพ้เป็นเสี่ยง ๆ ในไม่กี่นาที”“เลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ เธอบอกว่าได้งานใหม่ เป็นยังไงบ้าง? ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?" ชิน เหลียนอี ถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง“ก็ไม่แย่นะ เป็นร้านอาหารเล็ก ๆ เงินเดือนสี่พันดอลลาร์ ต่อเดือน มันไม่เยอะแต่เจ้าของร้านน่ารักและรู้สึกว่าเข้ากันได้ดีกับพนักงานคนอื่น ๆ” หลิ
เอาล่ะ! ใช่เขาแน่นอนชิน เหลียนอี ก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “คุณคือคุณจาง จาง กวางเทียน ใช่ไหมคะ? สวัสดีค่ะ ฉันคือชิน เหลียนอี”“สวัสดีครับ” เขาตอบขณะที่มองไปที่เธอ“ก็... ฉันอยากจะบอกคุณว่าฉัน...” ชิน เหลียนอี อยากจะขอโทษเขา ที่เธอมานัดดูตัวในวันนี้ มันไม่มีความหมายจริง ๆ สำหรับเธอ เธอแค่อยากจะจัดการกับแม่ของเธอ เธอจะเลี้ยงข้าวเย็นเขาในภายหลัง และจะเป็นเพื่อนกับเขาก่อนที่เธอจะกล่าวจบประโยค เขาก็ขัดจังหวะเธอ “ทำไมเราไม่ไปเดินเล่นกันล่ะ? ผมเห็นสวนสาธารณะเล็ก ๆ ข้างซูเปอร์มาร์เก็ต ทำไมเราไม่ไปที่นั่นกัน?”ฮะ? สวนสาธารณะ?ชิน เหลียนอี มองไปที่ท้องฟ้าที่มืดลงแล้วและมองไปที่นาฬิกา เป็นเวลาห้าโมงเย็นและเกือบจะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว “คุณไม่อยากทานอะไรก่อนเหรอคะ?”คำพูดของเธอเป็นคำเตือนที่ดี ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนพลุกพล่าน เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำผู้คนจะต้องต่อคิวรอร้านอาหารมากมายในบริเวณนี้ หากพวกเขาไปทานอาหารเย็นหลังจากเดินเล่นในสวนสาธารณะ หลังจากนั้นมันจะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องรอคิวซื้ออาหารนานพอสมควร“ผมยังไม่หิว เรามาคุยกันก่อนเถอะครับ” จาง กวางเทียน กล่าวชิน
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค