เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปที่เธอ เธอ... หอบจากการวิ่งกลับมา แม้ว่าเธอจะกลัวเขา รังเกียจเขา และอาจจะเกลียดเขาด้วยซ้ำ แต่เธอก็ไม่อยากให้เขาเจ็บปวด? เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดในร่างกายของเขาจะทวีความรุนแรงน้อยลงอี้ จิ่นหลี ให้ความร่วมมือโดยเปิดริมฝีปากของเขาและกลืนยาที่หลิง อี้หราน ป้อนเขาสายตาของเธอจ้องมองริมฝีปากของเขา และแน่นอนว่ามีรอยฟันที่ทิ้งร่องรอยไว้บนริมฝีปากของเขา เขาคงเจ็บปวดอย่างหนัก จนต้องกัดริมฝีปากไว้“ถ้าพี่มองผมแบบนั้นอีกครั้ง พี่จะทำให้ผมคิดว่าพี่อยากจูบผมแล้วนะ” เสียงของอี้ จิ่นหลี ดังขึ้นหลิง อี้หราน ดึงสติกลับมาหาตัวเอง ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง “ฉันเพิ่งเห็นว่าคุณกัดริมฝีปากของคุณ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย”“มันไม่สำคัญหรอกว่าพี่จะคิดอะไร พี่จูบผมได้ทุกเมื่อที่พี่ต้องการเลยนะพี่สาว” เขากล่าว แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงซีดและหน้าผากของเขายังคงปกคลุมไปด้วยเหงื่อบาง ๆ แต่เขาก็ไม่ได้พูดตะกุกตะกักเหมือนเมื่อก่อนหลิง อี้หราน หันหน้าหนีจากการมองใบหน้าของอี้ จิ่นหลี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองหน้าแดงขึ้นสายตาของเธอไปสะดุดกับศาลเล็ก ๆ สำหรับไว้ทุก
เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้มาก่อน แต่เมื่อเขามองไปที่เธอที่กำลังยืนอยู่หน้าศาลไว้ทุกข์ของพ่อเขา เขาก็กล่าวมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าเขาสามารถพูดออกมาจากใจได้ ก็ต่อเมื่อเขาเผชิญหน้ากับเธอ“ถึงจะพูดแบบนั้น ในช่วงนั้นพ่อของฉันก็น่าจะเคยเจอผู้หญิงหลายคน และคงมีผู้หญิงที่สวยกว่านี้แน่ ๆ เขาเป็นคนโง่ที่ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงแบบนั้น” อี้ จิ่นหลี พึมพำ“พ่อของคุณไม่จำเป็นต้องชอบแม่ของคุณเพียงเพราะเธอน่ารักหรอก บางครั้งรูปลักษณ์ก็ไม่ได้สำคัญนักเมื่อเราชอบคนคนนึง ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาชอบกัน ไม่ว่าพวกเขาจะดีหรือไม่ดีก็ตาม” หลิง อี้หรานกล่าวดวงตาของอี้ จิ่นหลี กระพริบและจ้องมองไปที่ใบหน้าของหลิง อี้หราน “อาจจะ… ก็อย่างที่พี่บอก บางครั้งรูปลักษณ์ก็ไม่สำคัญนักเมื่อเราชอบคนคนนึง…”ราวกับว่าเขาชอบเธอ เขาเคยเห็นผู้หญิงที่สวยกว่า เข้าใจหัวอกผู้ชายมากกว่า และมีความสุขมากกว่ากับเธอ แต่เขากลับชอบความรู้สึกที่เธอมอบให้เขาเขาชอบความอบอุ่นที่แสนสงบเมื่อเธอเป็นห่วงเขา เขาชอบให้เธอเรียกเขาว่า ‘จิน’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาชอบให้เธอจับมือของเขาตอนนอนในตอนกลางคืน...สายตาของเขาดูเปรียบเหมือนบางสิ่งบ
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิง อี้หราน ถามด้วยความสงสัยขณะที่อี้ จิ่นหลี หยุดเดิน“ไม่มีอะไร” อี้ จิ่นหลีตอบพร้อมก้มหน้าลง“คุณรู้สึกยังไงตอนนี้?” หลิง อี้หราน ถามเมื่อพวกเขากลับไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่“ดีขึ้นแล้ว” เขาตอบ“แม้ว่าอาการปวดท้องของคุณจะดีขึ้นมานานแล้ว แต่คุณก็ยังต้องไปหาหมอเพื่อรักษาเมื่อคุณว่าง” หลิง อี้หรานกล่าว “ความเจ็บป่วยบางอย่างเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญ และในที่สุดก็จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่ร้ายแรง”“เป็นห่วงผมเหรอครับพี่สาว?” เขากล่าวขณะที่รอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากของเขาเธอสำลัก และอยากจะหนีขึ้นไปชั้นบนเพราะเธอรู้สึกเขินอาย ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้นและดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “เอาล่ะ ผมสัญญากับพี่ ผมจะหาเวลาไปหาหมอและทำให้ร่างกายของผมแข็งแรงขึ้น ผมจะดีขึ้นและกินยาที่พี่ซื้อให้ผมวันนี้ พี่จะชอบผมขึ้นมาอีกนิดบ้างไหมถ้าผมเชื่อฟังพี่?”“อะไรนะ?” เธอตะลึงเล็กน้อย เขากำลังพูดอะไร? เขาพูดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? โอ้พระเจ้า มันเป็นไปได้อย่างไร? ผู้ชายอย่างเขาจะพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไง?เขาก้มศีรษะลง เมื่อใบหน้าของเขาใกล้กับใบหน้าของเธอ แล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำราวกับเครื่องเ
ในที่สุดการโทรก็สิ้นสุดลง หลิง อี้หราน จึงกล่าวว่า “แม่ของเธอพูดอะไร? เธอถึงได้ดูน่าอนาถใจขนาดที่ต้องพูดถึงการคุกเข่าบนแป้นพิมพ์เชียว"“จะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? นัดดูตัวไง” ชิน เหลียนอี พูดขณะที่เธอกลอกตา “แม่บอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนน่าจับ แม่ถึงขนาดจัดการกับป้าคนอื่น ๆ เพื่อที่จะให้ฉันได้ไปเดทก่อน"ชิน เหลียนอี พูดไม่ออกกับความคิดของแม่ของเธอดูเหมือนว่าแม่ของเธอจะคิดว่าถ้าเธอไม่สามารถแต่งงานได้ในสองปีนี้ เธออาจจะไม่มีได้วันแต่งงาน“งั้นไปเจอเขาเถอะ คิดซะว่ามันเป็นโอกาสไง” หลิง อี้หราน กล่าวหลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง“ไม่ล่ะ ฉันหงุดหงิดพอแล้ว ฉันต้องเป็นบ้าแน่ ๆ ถ้าไปนัดดูตัวอีก” ชิน เหลียนอี อยากจะกระอักเป็นเลือดทุกครั้งที่เธอคิดว่า แม่ของเธอจะหลอกให้เธอไปนัดดูตัวด้วยวิธีไหน“ทำไมล่ะ? มีอย่างอื่นอีกเหรอ?” หลิง อี้หราน ถามชิน เหลียนอี มองไปที่เพื่อนสนิทของเธอก่อนที่จะกล่าวว่า “เธอจะตกใจไหมถ้าฉันบอกว่าฉันกำลังคบกับไป๋ ทิงซิน อยู่?"หลิง อี้หราน แทบจะสำลักน้ำลายของเธอเอง “เธอกำลังคบกับไป๋ ทิงซิน เหรอ? เธอไม่ได้บอกว่าเขาจะแก้แค้นเธอเหรอ?”“ใช่ แก้แค้น” ชิน เหลียนอี พยักหน้า
ท้ายที่สุด... เหลียนอีก็ไม่เคยได้สัมผัสกับด้านมืด ต่างจากเธอที่เคยเห็นความมืดมิดในคุกจนบางครั้งเธอก็ไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้“พรวดดด!” ชิน เหลียน พ่นพุดดิ้งที่เธอยังไม่ทันได้กลืนออกมา และรีบเอาทิชชู่มาเช็ด จากนั้นเธอก็กล่าวกับหลิง อี้หราน ว่า “อย่างน้อยก็ช่วยตลกตอนที่ฉันไม่ได้กินอะไรได้ไหม อี้หราน เธอจะตลกเกินไปแล้ว”“ก็ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ” หลิง อี้หราน กล่าวพวกเธอจ้องหน้ากันเป็นเวลานานก่อนที่ ชิน เหลียนอี จะหัวเราะออกมา และกล่าวว่า "เราไม่ได้มีความหมายสำหรับกันและกันขนาดนั้น แม้ว่าเขาจะตกหลุมรักฉันอยู่จริง ๆ ก็ตาม เธอคิดว่าตระกูลไป๋เป็นครอบครัวแบบไหน? ถ้าฉันคบกับเขาจริง ๆ ชีวิตที่เหลือของฉันคงจะต้องต่อสู้ในครอบครัวใหญ่ที่ร่ำรวยอยู่ตลอดเวลา ดูจากทักษะของฉันแล้ว ฉันคิดว่าฉันคงจะพ่ายแพ้เป็นเสี่ยง ๆ ในไม่กี่นาที”“เลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ เธอบอกว่าได้งานใหม่ เป็นยังไงบ้าง? ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?" ชิน เหลียนอี ถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง“ก็ไม่แย่นะ เป็นร้านอาหารเล็ก ๆ เงินเดือนสี่พันดอลลาร์ ต่อเดือน มันไม่เยอะแต่เจ้าของร้านน่ารักและรู้สึกว่าเข้ากันได้ดีกับพนักงานคนอื่น ๆ” หลิ
เอาล่ะ! ใช่เขาแน่นอนชิน เหลียนอี ก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “คุณคือคุณจาง จาง กวางเทียน ใช่ไหมคะ? สวัสดีค่ะ ฉันคือชิน เหลียนอี”“สวัสดีครับ” เขาตอบขณะที่มองไปที่เธอ“ก็... ฉันอยากจะบอกคุณว่าฉัน...” ชิน เหลียนอี อยากจะขอโทษเขา ที่เธอมานัดดูตัวในวันนี้ มันไม่มีความหมายจริง ๆ สำหรับเธอ เธอแค่อยากจะจัดการกับแม่ของเธอ เธอจะเลี้ยงข้าวเย็นเขาในภายหลัง และจะเป็นเพื่อนกับเขาก่อนที่เธอจะกล่าวจบประโยค เขาก็ขัดจังหวะเธอ “ทำไมเราไม่ไปเดินเล่นกันล่ะ? ผมเห็นสวนสาธารณะเล็ก ๆ ข้างซูเปอร์มาร์เก็ต ทำไมเราไม่ไปที่นั่นกัน?”ฮะ? สวนสาธารณะ?ชิน เหลียนอี มองไปที่ท้องฟ้าที่มืดลงแล้วและมองไปที่นาฬิกา เป็นเวลาห้าโมงเย็นและเกือบจะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว “คุณไม่อยากทานอะไรก่อนเหรอคะ?”คำพูดของเธอเป็นคำเตือนที่ดี ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนพลุกพล่าน เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำผู้คนจะต้องต่อคิวรอร้านอาหารมากมายในบริเวณนี้ หากพวกเขาไปทานอาหารเย็นหลังจากเดินเล่นในสวนสาธารณะ หลังจากนั้นมันจะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องรอคิวซื้ออาหารนานพอสมควร“ผมยังไม่หิว เรามาคุยกันก่อนเถอะครับ” จาง กวางเทียน กล่าวชิน
“เขาเป็นใครคุณชิน?” จาง กวางเทียน ถาม“บอกเขาไปสิ ผมเป็นใคร?” ไป๋ ทิงซิน กล่าวขณะที่เขามองไปที่ชิน เหลียนอีทันใดนั้น ทั้งสองคนก็มองมาที่เธอ ชิน เหลียนอี รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังจะถูกจ้องมองอย่างกดดันจากสายตาของผู้ชายสองคนคนหนึ่งเป็นคนนัดดูตัวที่แม่ของเธอไปฉกเขามา ในขณะที่อีกคนเป็นแฟนที่เพิ่งคบกันที่มาตามทวงหนี้ เธอไม่สามารถที่จะขัดใจเขาทั้งสองคนได้!หลังจากเปรียบเทียบทั้งสองแล้ว เธอจะเลือกคนที่มีความเสียหายน้อยกว่า เมื่อเทียบกับแม่ของเธอที่อยู่เบื้องหลังชายคนนี้ ชิน เหลียนอี ยังคงรู้สึกว่าเธอไม่สามารถขัดใจไป๋ ทิงซิน ได้ ดังนั้นเธอจึงยิ้มอย่างอ่อนล้าและกล่าวกับจาง กวางเทียน ว่า “คุณจาง ฉันเกือบลืมไปแล้ว นี่คือแฟนของฉันค่ะ เอ่อ เขานามสกุลไป๋”ด้วยเหตุนี้ ใบหน้าของจาง กวังเทียน ก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นทันที “แฟน? คุณมีแฟนเหรอ?”“ใช่... ใช่ ฉันมี...” ชิน เหลียนอี ตอบเขาอย่างรู้สึกผิด ไม่ว่าก่อนหน้านี้จาง กวางเทียน จะแปลกประหลาดแค่ไหน แต่ในกรณีนี้เธอเป็นฝ่ายผิดจาง กวางเทียน ตัวสั่นด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาแดงขึ้นและตะโกนใส่ชิน เหลียนอี ว่า “ผมใจดีขนาดไหนที่มานัดดูตัวกับคุณ แต่คุณมี
ชิน เหลียนอี แทบจะสำลักคำพูดของเขา นอกใจ? ห่าอะไร! ฉันไม่ได้นอกใจ!แต่ต่อหน้าไป๋ ทิงซิน เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและอธิบายว่า “อืม... แม่ของฉันบังคับให้ฉันไปนัดดูตัว เธอจะไม่ยอมถ้าฉันไม่ทำ ฉันพยายามบอกเขาว่าฉันมีแฟนแล้ว แต่เขาขัดจังหวะฉันตลอด”เธอไม่ได้โกหก“แม่ของคุณบังคับให้คุณไปนัดดูตัวเหรอ?” เขาถามขณะเลิกคิ้ว"ใช่ ใช่!" เธอยิ้มอย่างอ่อนล้า ช่วงนี้แม่ของเธอบีบบังคับเธอมาก เพื่อให้เธอไปนัดดูตัว เธอเป็นคนที่ถูกทรมาณ“คุณไม่ได้บอกครอบครัวว่ามีแฟนเหรอ?” เขาถามด้วยแววตาที่ประกายไปด้วยความอันตรายชิน เหลียนอี รู้สึกผิดทันที บอกพ่อกับแม่งั้นเหรอ? เธอควรจะบอกพวกเขายังไง? แค่ตัวตนของไป๋ ทิงซิน ก็อาจทำให้แม่และพ่อของเธอหวาดกลัวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ… เธอกับไป๋ ทิงซิน ยังไม่ลงรอยกัน พวกราแค่แสร้งทำเป็นคู่รักเท่านั้น“เราเริ่มออกเดทกันอย่างกะทันหัน มันอาจจะทำให้พ่อแม่ของฉันตกใจถ้าฉันบอกพวกเขาว่ามีแฟนแล้ว ฉันคิดจะหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อคุยกับพวกเขาในภายหลัง” ชิน เหลียนอี พยายามอย่างหนักเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ว่าเธอจะตั้งใจไม่บอกพวกเขาเลยก็ตาม“คุณจะบอกพวกเขาไหม?” ไป๋ ทิงซิน หรี่ตา“ฉันส
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค