ตอนนี้นายท่านอี้จากไปแล้ว หลิงอี้หรานก็เป็นนายหญิงของตระกูลอี้อย่างเป็นทางการ อีกอย่างยังว่ากันว่าเธอกำลังท้องลูกแฝดสามด้วยพอเด็กทั้งสามคลอดออกมา สถานะของเธอในฐานะนายหญิงของตระกูลอี้ก็อาจจะยิ่งมั่นคงดังนั้นคนที่มาร่วมงามศพของนายท่านอี้ต่างก็ปฏิบัติกับหลิงอี้หรานอย่างให้เกียรติในฐานะญาติของผู้ล่วงลับ หลิงอี้หรานยืนอยู่ข้างอี้จิ่นหลีตลอดทั้งงานงานศพสำหรับตระกูลอย่างตระกูลอี้นั้นเป็นธรรมดาที่จะวุ่นวายซับซ้อนมากกว่างานศพของคนทั่วไปจิ่นหลีกลัวว่า อี้หรานจะเหนื่อยเลยบอกให้เธอนั่งพักแต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะยืนอยู่ข้างเขา“ฉันยังไม่เหนื่อยค่ะ ถ้าฉันเหนื่อย ฉันจะบอกคุณนะคะ ฉันไม่เสี่ยงให้เสียสุขภาพหรอก” เธอพูด เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วเธอนั้นมีทารกอีกสามคนอยู่ในครรภ์ตอนนั้นเอง คนต้อนรับของงานศพก็ขานชื่อกู้ลี่เฉินหลิงอี้หรานตัวสั่นสะท้านและหันหน้าไปมองทางเข้าทันทีเธอเห็นเงาร่างคุ้นเคยในสูทสีดำเดินเข้ามาพูดแล้วก็คือ ทั้งเธอและกู้ลี่เฉินต่างก็ไม่เจอกันมาหลายเดือนเขาเคยเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน แต่พวกเขาก็ต้องแยกจากกันด้วยเรื่องบางอย่างก
กู้ลี่เฉินจ้องหลิงอี้หรานอยู่นานจนแขกบริเวณใกล้เคียงหันมามองแล้วซุบซิบกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“มีอะไรลี่เฉิน? นายมีอะไรอยากจะบอกเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามเสียงเย็นขณะที่จับมืออี้หรานไว้แน่นซึ่งเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของกู้ลี่เฉินเม้มปากและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรนายหญิงกู้รู้สึกโล่งใจและรีบดึงกู้ลี่เฉินเข้ามาหา หลิงอี้หรานเองก็โล่งใจเช่นกัน“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก” อี้จิ่นหลีกระซิบข้างหูเธอ อี้หรานชะงักไปชั่วขณะ เธอหันไปมองคนที่อยู่ข้างกายแล้วได้ยินเขาบอกว่า “วันนี้เป็นงานศพนายท่านอี้ ถ้ากู้ลี่เฉินก่อเรื่องในงานศพ ตระกูลกู้กับตระกู้อี้ก็คงมองหน้ากันไม่ติด อีกอย่าง…” เขาหยุดและจับมือเธอแน่นขึ้น “เขารู้ว่าเขาไม่มีโอกาสแล้ว ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นได้ถึงเขาจะพยายามก็ตาม”งานศพของนายท่านอี้ผ่านไปอย่างราบรื่น หลิงอี้หรานที่ตั้งครรภ์แก่ก็อดทนได้จนถึงขั้นตอนการฝังนายท่านอี้ จากนั้นเธอก็นั่งลงพักในส่วนที่นั่งพักผ่อนซึ่งจัดเตรียมไว้ด้านนอกสุสานตระกูลอี้เด็กน้อยสามคนในครรภ์ของเธอดูเหมือนจะรู้ว่า วันนี้เป็นวันโศกเศร้า นอกจากมีการขยับตัวบ้างเล็กน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัว วันนี้พว
หลิงอี้หรานอึ้งไป ตระกูลเซียวนั้นไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานศพในวันนี้ เซียวจื่อฉีต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้เข้ามาจากนั้นเซียวจื่ออี้ก็เดินกะเผลกเข้ามาและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “หลิงอี้หราน เธอคงไม่ได้เป็นนายหญิงตระกูลอี้หรอก ถ้าพี่ชายของฉันไม่ได้เลิกกับเธอ เธอ-”“หุบปาก” เซียวจื่อฉีรีบห้ามน้องสาวเพราะกลัวว่าเธอจะพูดอะไรไม่เข้าท่า “รีบขอโทษอี้หรานเร็วเข้า”เซียวจื่อฉีหันไปพูดกับหลิงอี้หรานว่า “อี้หราน ฉันขอโทษนะ น้องสาวฉันไม่รู้ความ เธอใจกว้างคงไม่ถือสาไปโต้เถียงกับน้องนะ ตระกูลเซียวทำผิดกับเธอมาหลายหน จะให้ฉันขอโทษเธอยังไงก็ได้ ฉันแค่ขอให้เธอปล่อยตระกูลเซียวไป”ดวงตาอี้หรานฉายแววงุนงง จากนั้นเธอก็คิดถึงสิ่งที่อี้จิ่นหลีทำกับตระกูลห่าวไปก่อนหน้านี้‘หรือที่จริง จิ่นหลีอาจจะจัดการตระกูลห่าวกับตระกูลเซียวพร้อมกัน เซียวจื่อฉีถึงได้มาโวยวายแบบนี้?’เซียวจื่อฉีดูสำนึกและเศร้าเสียใจขณะที่เขาพูด แต่หลิงอี้หรานก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชาตอนนี้เซียวจื่อฉีน้ำตาเอ่อคลอ ผู้หญิงหลายคนคงจะรู้สึกสงสารหากว่าเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยบนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวจื่อฉีแบบนี้ตอนนี้เธอจำได้ว่า เขายืนอยู่ข้างกา
เซียวจื่ออี้พูดอย่างมีโทสะว่า “เธอก็แค่นิ้วหักสองสามนิ้วแล้วก็ต้องติดคุกสามปีแค่นั้นเอง แต่เธอให้ตระกูลเซียวต้องทำงานหนักชดใช้ตั้งหลายปี” เธอนั้นดูถูกอี้หรานมาตลอด แม้ว่าตอนนี้หลิงอี้หรานจะเป็นนายหญิงของตระกูลอี้ แต่ในใจเธอก็ยังเห็นอี้หรานเป็นแค่คนสามัญที่ไม่ดีพอสำหรับตระกูลเซียว แต่ก่อนที่หลิงอี้หรานจะได้พูดอะไร ก็มีเสียงตบดังสนั่น เซียวจื่ออี้โดนตบจนเซและเกือบล้มไปกองกับพื้น “แค่นิ้วเธอนิ้วเดียวก็มีค่ามากกว่าตระกูลเซียวทั้งตระกูล พวกตระกูลเซียวเป็นใครถึงกล้ามาเทียบกับภรรยาฉัน?” เสียงเย็นชาของชายคนหนึ่งดังขึ้น สายตาที่อี้จิ่นหลีมองพี่น้องเซียวคู่นี้เย็นเยียบเสียดกระดูกและโจมตีเข้าหัวใจเซียวจื่ออี้เอามือกุมแก้มพร้อมตกใจกับความเย็นชาจากแววตาของจิ่นหลี ราวกับว่าในสายตาของเขานั้นเธอเป็นแค่เพียงมดปลวก หากว่าเธออ้าปากพูดมาอีกคำเธออาจจะไม่ได้พูดอีกตลอดไป เซียวจื่ออี้นั้นหวาดกลัวอี้จิ่นหลี ไม่ว่าเขาจะหน้าตาดีขนาดไหน เธอก็รู้สึกได้แค่เพียงความหวาดกลัวเท่านั้น เธอเงียบกริบและเข้าไปแอบอยู่หลังเซียวจื่อฉีเซียวจื่อฉีทำได้แค่เพียงกัดฟันทำใจกล้าพูดว่า “นายน้อยอี้ ตระกูลเซียวนับถือคุณมาตล
กู้ลี่เฉินเม้มริมฝีปากบางเข้าหากันเบา ๆ แต่ว่าดวงตาเหยี่ยวของเขาจับจ้องอยู่ที่หลิงอี้หรานเท่านั้น“หากวันหนึ่งคุณพบว่า จิ่นหลีไม่ใช่คนแบบที่คุณคิดแล้วก็ทนอยู่กับเขาไม่ได้อีกต่อไป คุณจะ… ให้ผมได้ดูแลคุณไหม?” เสียงเขาสั่นเล็กน้อยบ่งบอกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่พูดออกมา เขานั้นรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วก็พูดออกมา บางทีนี่อาจจะเป็น… โอกาสเดียวของเขา เขานั้นแทบกลั้นหายใจไปด้วยขณะที่พูด และมือที่อยู่ข้างตัวก็สั่นระริกอย่างคุมไม่ได้ เขานั้นรอคำตอบอย่างกระวนกระวายหลิงอี้หรานอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบของมืออี้จิ่นหลีที่กุมมือเธออยู่ ‘จินรู้สึก… ไม่สบายใจอีกแล้วเหรอ?’หลิงอี้หรานบีบมืออี้จิ่นหลีและพูดกับกู้ลี่เฉินว่า “ไม่ค่ะ เรื่องที่คุณพูดยังไงก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ตอนนี้ฉันอยากจะอยู่กับจินแล้วก็รวมถึงในอนาคตด้วย” คำยืนยันของเธอทำให้ดวงตาของกู้ลี่เฉินฉายแววผิดหวัง หัวใจที่กระวนกระวายดูเหมือนจะว่างเปล่าทันใด เขายิ้มขื่น ‘นี่ฉันหวังอะไรกัน?’“จินคะ ไปกันเถอะ” คราวนี้เป็นหลิงอี้หรานที่ออกแรงดึงจินออกมา กลุ่มบอดี้การ์ดก็ตามพวกเขาออกมากู้ลี่เฉินยืนค้างอยู่ตรงนั้น
พอหลิงอี้หรานเดินมาถึงบันได เธอก็มองเห็นเงาร่างของอี้จิ่นหลี แต่เธอก็เห็นกู้ลี่เฉินด้วย ‘ทำไม… กู้ลี่เฉินมาทำอะไรที่นี่?’ขณะที่หลิงอี้หรานกำลังจะลงบันได เธอก็ได้ยินกู้ลี่เฉินบอกว่า “ฉันไม่คาดว่า คดีของอี้หรานจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาย” หลิงอี้หรานหยุดเดินทันใด คำพูดที่เธอได้ยินทำให้เธอต้องหายใจสะดุด‘ที่กู้ลี่เฉินพูดหมายความว่าอะไร? จินมีอะไรเกี่ยวข้องกับคดีของฉันเหรอ? คดีเรื่องอุบัติเหตุทางรถของฉันมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเขาเจอผู้กระทำผิดตัวจริงแล้วนี่นา?’“เป็นอะไรไปล่ะ? นี่เป็นเรื่องที่นายอยากคุยเหรอ?” เสียงของอี้จิ่นหลีแผ่วเบา ดูเหมือนว่าเขาไม่แยแสกู้ลี่เฉินยังคงพูดต่อ “ว่านหยวี่หมิงนั่นเป็นแค่แพะ นายรู้ว่าใครที่อยากจะทำร้ายอี้หรานแต่นายกลับทำเป็นไม่สนใจ ทำไมกัน? นี่เป็นเพราะผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นายได้จากตระกูลห่าวเหรอ? นายทำลายทั้งชีวิตของอี้หรานนะ” ดวงตาของอี้จิ่นหลีมืดครึ้ม “ดูเหมือนว่านายท่านอี้ยังเก็บความลับเอาไว้อยู่สินะ นายเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากเขาเหรอ?”“มีคนส่งอีเมลไม่ระบุชื่อมาหาฉันพร้อมแนบไฟล์ทั้งหมดเกี่ยวกับคดีของอี้หราน รวมถึงความสัมพันธ์ของตระกูลอี้
’จินรู้ตั้งแต่แรกว่าฉันถูกกล่าวหาแต่ว่าเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท เขาเลยไม่ทำอะไรเลย เขาเลือกที่จะเงียบ ปล่อยให้ฉันเข้าคุกแล้วก็ให้ตระกูลห่าวกล่าวหาฉันผิด ๆ เหรอ?’ตอนนั้นหลิงอี้หรานรู้สึกได้แต่ความเหน็บหนาว ขั้นบันไดที่ทอดไปสู่ชั้นล่างนั้นอยู่ตรงหน้าเธอไปไม่ไกล และก็มีเพียงแค่ประมาณ 30 ขั้น แต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเหมือนว่าบันไดนั้นทอดยาวไปเรื่อย ๆ กันล่ะ? เธอรู้สึกเหมือนว่าต้องเดินไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด“ถ้านายอยากมอบความยุติธรรมให้อี้หรานจริง ๆ นายควรให้ห่าวอี้เหมิงต้องรับโทษทางกฎหมาย ทั้งนายและตระกูลห่าวสมควรต้องรับโทษ” กู้ลี่เฉินพูดอย่างกราดเกรี้ยว เขารู้สึกว่าความเจ็บปวดในใจปะทุขึ้นมาเมื่อคิดว่าอี้หรานต้องโดนกล่าวหาอย่างผิด ๆ เพราะห่าวอี้เหมิง ‘หากว่าฉันอยู่เคียงข้างเธอ ฉันจะไม่มีวันให้เธอต้องได้รับความไม่เป็นธรรมแน่’โทสะปะทุขึ้นมาในดวงตาของอี้จิ่นหลี เขาพุ่งเข้ามาแล้วคว้าคอเสื้อของกู้ลี่เฉินไว้ “นายจะไปรู้อะไร? นายเป็นใครที่มาพูดแบบนั้นต่อหน้าฉัน? ถ้าฉันได้เจออี้หรานก่อนหน้านี้แล้วตกหลุมรักเธอก่อนนี้ ฉันจะไม่มีวันให้เธอต้องทรมานในตอนนั้นหรอก” กู้ลี่เฉินแค่นเสียงหยัน “ใช่สิ เ
ทันใดนั้นหลิงอี้หรานก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขันที่เธอได้ยินทุกอย่างที่ชายสองคนนั้นพูดกัน ‘ทำไมคนอื่นถึงมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าฉันควรจะได้รู้ความจริงเรื่องที่ฉันก็สมควรจะได้รู้ไหม?’“จิน” คำนี้หลุดปากเธอออกมาเบา ๆ เสียงพูดนั้นก็เบาเหมือนปกติ แต่ว่ามันทำให้ชายสองคนในห้องโถงตัวแข็งทื่อทันที ทั้งสองมองขึ้นไปเกือบจะพร้อมกันและมองไปทางหลิงอี้หราน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนทันทีกู้ลี่เฉินทั้งกังวลและร้อนรน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีเจตนาให้คนอื่นมาได้ยินเรื่องที่คุยกันนี้ อี้จิ่นหลีก็สั่งให้สาวใช้ทั้งหมดออกจากบ้านหลักไปด้วยเหตุผลนี้ เป้าหมายก็คือ เพื่อไม่ให้มีใครมาแอบฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกัน แต่ว่าบางครั้งยิ่งกลัวบางสิ่งมากเท่าไหร่ เรื่องนั้นกลับจะยิ่งเกิดขึ้นอี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานที่ยืนอยู่บนบันไดด้วยสีหน้าตกตะลึง ใบหน้าเขาซีดเผือดและเลือดในกายก็เหมือนจะแข็งทันทีเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘จิน’ ‘จิน จิน…’ ไม่ว่าปกติเขาจะชอบได้ยินเธอเรียกเขาแบบนี้มากแค่ไหน ตอนนี้เขาก็กลัวที่จะได้ยิน เขานั้นระมัดระวังเรื่องสาวใช้และพ่อบ้านแต่ว่ากลับไม่ได้ระวังเธอ เขาคิดว่าเธอจะนอนหลับนานกว่านี้แล้วคงไม่ตื่นขึ้นมาเ