เซียวจื่ออี้พูดอย่างมีโทสะว่า “เธอก็แค่นิ้วหักสองสามนิ้วแล้วก็ต้องติดคุกสามปีแค่นั้นเอง แต่เธอให้ตระกูลเซียวต้องทำงานหนักชดใช้ตั้งหลายปี” เธอนั้นดูถูกอี้หรานมาตลอด แม้ว่าตอนนี้หลิงอี้หรานจะเป็นนายหญิงของตระกูลอี้ แต่ในใจเธอก็ยังเห็นอี้หรานเป็นแค่คนสามัญที่ไม่ดีพอสำหรับตระกูลเซียว แต่ก่อนที่หลิงอี้หรานจะได้พูดอะไร ก็มีเสียงตบดังสนั่น เซียวจื่ออี้โดนตบจนเซและเกือบล้มไปกองกับพื้น “แค่นิ้วเธอนิ้วเดียวก็มีค่ามากกว่าตระกูลเซียวทั้งตระกูล พวกตระกูลเซียวเป็นใครถึงกล้ามาเทียบกับภรรยาฉัน?” เสียงเย็นชาของชายคนหนึ่งดังขึ้น สายตาที่อี้จิ่นหลีมองพี่น้องเซียวคู่นี้เย็นเยียบเสียดกระดูกและโจมตีเข้าหัวใจเซียวจื่ออี้เอามือกุมแก้มพร้อมตกใจกับความเย็นชาจากแววตาของจิ่นหลี ราวกับว่าในสายตาของเขานั้นเธอเป็นแค่เพียงมดปลวก หากว่าเธออ้าปากพูดมาอีกคำเธออาจจะไม่ได้พูดอีกตลอดไป เซียวจื่ออี้นั้นหวาดกลัวอี้จิ่นหลี ไม่ว่าเขาจะหน้าตาดีขนาดไหน เธอก็รู้สึกได้แค่เพียงความหวาดกลัวเท่านั้น เธอเงียบกริบและเข้าไปแอบอยู่หลังเซียวจื่อฉีเซียวจื่อฉีทำได้แค่เพียงกัดฟันทำใจกล้าพูดว่า “นายน้อยอี้ ตระกูลเซียวนับถือคุณมาตล
กู้ลี่เฉินเม้มริมฝีปากบางเข้าหากันเบา ๆ แต่ว่าดวงตาเหยี่ยวของเขาจับจ้องอยู่ที่หลิงอี้หรานเท่านั้น“หากวันหนึ่งคุณพบว่า จิ่นหลีไม่ใช่คนแบบที่คุณคิดแล้วก็ทนอยู่กับเขาไม่ได้อีกต่อไป คุณจะ… ให้ผมได้ดูแลคุณไหม?” เสียงเขาสั่นเล็กน้อยบ่งบอกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่พูดออกมา เขานั้นรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วก็พูดออกมา บางทีนี่อาจจะเป็น… โอกาสเดียวของเขา เขานั้นแทบกลั้นหายใจไปด้วยขณะที่พูด และมือที่อยู่ข้างตัวก็สั่นระริกอย่างคุมไม่ได้ เขานั้นรอคำตอบอย่างกระวนกระวายหลิงอี้หรานอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบของมืออี้จิ่นหลีที่กุมมือเธออยู่ ‘จินรู้สึก… ไม่สบายใจอีกแล้วเหรอ?’หลิงอี้หรานบีบมืออี้จิ่นหลีและพูดกับกู้ลี่เฉินว่า “ไม่ค่ะ เรื่องที่คุณพูดยังไงก็ไม่มีทางเกิดขึ้น ตอนนี้ฉันอยากจะอยู่กับจินแล้วก็รวมถึงในอนาคตด้วย” คำยืนยันของเธอทำให้ดวงตาของกู้ลี่เฉินฉายแววผิดหวัง หัวใจที่กระวนกระวายดูเหมือนจะว่างเปล่าทันใด เขายิ้มขื่น ‘นี่ฉันหวังอะไรกัน?’“จินคะ ไปกันเถอะ” คราวนี้เป็นหลิงอี้หรานที่ออกแรงดึงจินออกมา กลุ่มบอดี้การ์ดก็ตามพวกเขาออกมากู้ลี่เฉินยืนค้างอยู่ตรงนั้น
พอหลิงอี้หรานเดินมาถึงบันได เธอก็มองเห็นเงาร่างของอี้จิ่นหลี แต่เธอก็เห็นกู้ลี่เฉินด้วย ‘ทำไม… กู้ลี่เฉินมาทำอะไรที่นี่?’ขณะที่หลิงอี้หรานกำลังจะลงบันได เธอก็ได้ยินกู้ลี่เฉินบอกว่า “ฉันไม่คาดว่า คดีของอี้หรานจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาย” หลิงอี้หรานหยุดเดินทันใด คำพูดที่เธอได้ยินทำให้เธอต้องหายใจสะดุด‘ที่กู้ลี่เฉินพูดหมายความว่าอะไร? จินมีอะไรเกี่ยวข้องกับคดีของฉันเหรอ? คดีเรื่องอุบัติเหตุทางรถของฉันมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเขาเจอผู้กระทำผิดตัวจริงแล้วนี่นา?’“เป็นอะไรไปล่ะ? นี่เป็นเรื่องที่นายอยากคุยเหรอ?” เสียงของอี้จิ่นหลีแผ่วเบา ดูเหมือนว่าเขาไม่แยแสกู้ลี่เฉินยังคงพูดต่อ “ว่านหยวี่หมิงนั่นเป็นแค่แพะ นายรู้ว่าใครที่อยากจะทำร้ายอี้หรานแต่นายกลับทำเป็นไม่สนใจ ทำไมกัน? นี่เป็นเพราะผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นายได้จากตระกูลห่าวเหรอ? นายทำลายทั้งชีวิตของอี้หรานนะ” ดวงตาของอี้จิ่นหลีมืดครึ้ม “ดูเหมือนว่านายท่านอี้ยังเก็บความลับเอาไว้อยู่สินะ นายเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากเขาเหรอ?”“มีคนส่งอีเมลไม่ระบุชื่อมาหาฉันพร้อมแนบไฟล์ทั้งหมดเกี่ยวกับคดีของอี้หราน รวมถึงความสัมพันธ์ของตระกูลอี้
’จินรู้ตั้งแต่แรกว่าฉันถูกกล่าวหาแต่ว่าเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท เขาเลยไม่ทำอะไรเลย เขาเลือกที่จะเงียบ ปล่อยให้ฉันเข้าคุกแล้วก็ให้ตระกูลห่าวกล่าวหาฉันผิด ๆ เหรอ?’ตอนนั้นหลิงอี้หรานรู้สึกได้แต่ความเหน็บหนาว ขั้นบันไดที่ทอดไปสู่ชั้นล่างนั้นอยู่ตรงหน้าเธอไปไม่ไกล และก็มีเพียงแค่ประมาณ 30 ขั้น แต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเหมือนว่าบันไดนั้นทอดยาวไปเรื่อย ๆ กันล่ะ? เธอรู้สึกเหมือนว่าต้องเดินไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด“ถ้านายอยากมอบความยุติธรรมให้อี้หรานจริง ๆ นายควรให้ห่าวอี้เหมิงต้องรับโทษทางกฎหมาย ทั้งนายและตระกูลห่าวสมควรต้องรับโทษ” กู้ลี่เฉินพูดอย่างกราดเกรี้ยว เขารู้สึกว่าความเจ็บปวดในใจปะทุขึ้นมาเมื่อคิดว่าอี้หรานต้องโดนกล่าวหาอย่างผิด ๆ เพราะห่าวอี้เหมิง ‘หากว่าฉันอยู่เคียงข้างเธอ ฉันจะไม่มีวันให้เธอต้องได้รับความไม่เป็นธรรมแน่’โทสะปะทุขึ้นมาในดวงตาของอี้จิ่นหลี เขาพุ่งเข้ามาแล้วคว้าคอเสื้อของกู้ลี่เฉินไว้ “นายจะไปรู้อะไร? นายเป็นใครที่มาพูดแบบนั้นต่อหน้าฉัน? ถ้าฉันได้เจออี้หรานก่อนหน้านี้แล้วตกหลุมรักเธอก่อนนี้ ฉันจะไม่มีวันให้เธอต้องทรมานในตอนนั้นหรอก” กู้ลี่เฉินแค่นเสียงหยัน “ใช่สิ เ
ทันใดนั้นหลิงอี้หรานก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขันที่เธอได้ยินทุกอย่างที่ชายสองคนนั้นพูดกัน ‘ทำไมคนอื่นถึงมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าฉันควรจะได้รู้ความจริงเรื่องที่ฉันก็สมควรจะได้รู้ไหม?’“จิน” คำนี้หลุดปากเธอออกมาเบา ๆ เสียงพูดนั้นก็เบาเหมือนปกติ แต่ว่ามันทำให้ชายสองคนในห้องโถงตัวแข็งทื่อทันที ทั้งสองมองขึ้นไปเกือบจะพร้อมกันและมองไปทางหลิงอี้หราน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนทันทีกู้ลี่เฉินทั้งกังวลและร้อนรน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีเจตนาให้คนอื่นมาได้ยินเรื่องที่คุยกันนี้ อี้จิ่นหลีก็สั่งให้สาวใช้ทั้งหมดออกจากบ้านหลักไปด้วยเหตุผลนี้ เป้าหมายก็คือ เพื่อไม่ให้มีใครมาแอบฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกัน แต่ว่าบางครั้งยิ่งกลัวบางสิ่งมากเท่าไหร่ เรื่องนั้นกลับจะยิ่งเกิดขึ้นอี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานที่ยืนอยู่บนบันไดด้วยสีหน้าตกตะลึง ใบหน้าเขาซีดเผือดและเลือดในกายก็เหมือนจะแข็งทันทีเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘จิน’ ‘จิน จิน…’ ไม่ว่าปกติเขาจะชอบได้ยินเธอเรียกเขาแบบนี้มากแค่ไหน ตอนนี้เขาก็กลัวที่จะได้ยิน เขานั้นระมัดระวังเรื่องสาวใช้และพ่อบ้านแต่ว่ากลับไม่ได้ระวังเธอ เขาคิดว่าเธอจะนอนหลับนานกว่านี้แล้วคงไม่ตื่นขึ้นมาเ
เขาเงียบงัน สายตาเขาประสานกับดวงตาเมล็ดอัลมอนด์ของเธอ และคำพูดว่า ‘ใช่’ สุดท้ายก็หลุดออกมาจากริมฝีปากบางของเขา“จริงหรือเปล่าที่คุณรู้ความจริงเรื่องนี้มาตลอดแต่เลือกที่จะไม่พูดอะไรเพราะว่า… ข้อตกลงที่ทำไว้กับตระกูลห่าว?” เธอถามต่อริมฝีปากเขายิ่งสั่นระริก แต่ละคำถามของเธอเหมือนมีดที่กรีดลงบนตัวเขา ทำให้เขาเหมือนโดนตัดสินประหาร แต่ว่าเรื่องน่าเศร้าก็คือ การที่เขาสมควรได้รับโทษนี้ เขาไม่สามารถแก้ตัวได้“ใช่หรือไม่ใช่ ตอบฉันมาสิ” เธอขึ้นเสียงและสีหน้าเธอก็เกรี้ยวกราด เขาบอกว่า “ใช่… แต่อี้หราน ฉัน…”“อี้จิ่นหลี คุณทำแบบนี้ได้ยังไง? คุณปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องติดคุกเพราะเห็นแก่เงินเหรอ? คุณถึงขนาด… คุณรู้ไหมว่าตระกูลห่าวทำอะไรกับฉันบ้างตอนที่ฉันอยู่ในคุก”แม้เขาเลือกที่จะไม่ขุดคุ้ยต่อและปล่อยให้เรื่องนี้จบไป แต่ก่อนนี้เธอก็คิดว่าเขาเข้าใจผิดว่า เธอเป็นผู้กระทำความผิดในคดีอุบัติเหตุทางรถนั้น แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่า เธอมันโง่ไปเอง กลายเป็นว่า เขารู้ความจริงมาโดยตลอด เขารู้ว่าเธอบริสุทธิ์และถูกกล่าวหา แต่เขาไม่ทำอะไรเลย เขาไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความเห็นใจ“ฉันขอโทษอี้หราน ฉันขอโทษ…” อี้จิ
หลังผ่านไปพักหนึ่งหมอก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน หมอบอกว่า “ตอนนี้เด็กทั้งสามคนปลอดภัยดี”“แล้วแม่เด็กล่ะครับ? แม่เด็ก… ปลอดภัยไหม?” อี้จิ่นหลีถามเสียงพร่า“เราให้ยาคนไข้ไปแล้วและตอนนี้อาการก็อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ แต่ว่าอย่าทำให้คนไข้สะเทือนใจอีก หากว่าเธออารมณ์พลุ่งพล่านอีกครั้ง ผมกลัวว่าเด็กจะคลอดก่อนครบ 35 สัปดาห์” แฝดสามนั้นกำหนดว่าจะคลอดด้วยการผ่าเมื่ออายุครรภ์ครบ 35 สัปดาห์ แต่ว่าหากหลิงอี้หรานสะเทือนใจมากเกินไป น้ำคร่ำก็อาจจะเดินก่อนเวลา เขาอาจจะต้องคลอดก่อนกำหนด ตอนนั้นอวัยวะของทารกอาจจะยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ แม้ว่าพวกเขาจะรอดมาได้แต่ก็อาจจะมีผลกระทบกระเทือน"“ผมเข้าใจแล้ว” อี้จิ่นหลีตอบ แต่ว่าเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้กระตุ้นอารมณ์ของเธอ ‘ทำไมอี้หรานต้องมารู้ความจริงในเวลาแบบนี้ด้วย ทำไมกัน?’ขณะที่อี้จิ่นหลีกำลังจะเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน กู้ลี่เฉินก็เข้ามาขวางไว้และถามว่า “นายจะเข้าไปเหรอ? ถ้าอี้หรานตื่นขึ้นมาเห็นนายอีก นายไม่กลัวว่าจะทำเธอสะเทือนใจอีกเหรอ?”อี้จิ่นหลีหยุดและจ้องกู้ลี่เฉิน “เธอเป็นภรรยาของฉัน”กู้ลี่เฉินพูดแน่วแน่ “แล้วยังไง? ไม่ว่าเธอจะเป็นภรรยาของนา
หากว่าอารมณ์ของเธอไม่มั่นคง เด็กก็อาจจะคลอดก่อนกำหนด โจวเชียนหยุนรู้ว่าอี้หรานไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ ดังนั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็บอกฉันได้ ถ้าเธอต้องแบกอยู่คนเดียวแล้วมันหนักเกินไป ฉันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากแต่อย่างน้อยก็ช่วยรับฟังได้ มันดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียวนะ” โจวเชียนหยุนบอก“ขอบคุณค่ะพี่โจว” อี้หรานตอบ “ฉันต่างหากที่ควรต้องขอบคุณ เธอช่วยฉันเอาไว้ตั้งมาก” โจวเชียนหยุนบอก อี้หรานนั้นช่วยเธอหาหลักฐานตอนที่เธอถูกใส่ความและมาเป็นพยานคนสำคัญให้เธอ หากว่าไม่ใช่เพราะอี้หรานเธอก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ พวกเขาคุยเรื่อยเปื่อยกันครู่หนึ่ง โจวเชียนหยุนเล่าเรื่องสนุก ๆ ให้อี้หรานรู้สึกดีขึ้นหลังผ่านไปพักหนึ่งอี้หรานก็บอกว่า “พี่โจว พี่เองก็ยังไม่หายดี พี่กลับไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องห่วงฉันมากหรอกค่ะ ฉันจะดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อเด็กในท้องทั้งสามคน”โจวเชียนหยุนมองเห็นความมุ่งมั่นในแววตาของอี้หรานและพูดออกมาด้วยความเบาใจว่า “ก็ได้ ถ้างั้นฉันจะไปก่อนนะ โทรมาหาฉันได้ตลอดล่ะ”ขณะที่โจวเชียนหยุนกำลังจะจากไป หลิงอี้หรานก็พูดออกมาว