กลายเป็นว่าหลิงอี้หรานกำลังรออี้จิ่นหลีอยู่ในห้องนอนของเขาแม้ว่าเธอจะไม่อยากรอ แต่เธอก็ไม่มีที่ให้ไป อย่างไรเธอก็เดินไปมาได้แค่ในคฤหาสน์นี้เท่านั้น เธอไม่สามารถหนีไปได้แม้ว่าเธออยากจะทำแบบนั้นก็ตามถ้าเป็นอย่างนั้น เธอคงจะไม่สนใจเรื่องนี้ห้องนอนของอี้จิ่นหลีมีขนาดเท่ากับห้องของเธอ และเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นสไตล์วินเทจจีน สิ่งที่แตกต่างคือ ห้องของเขามีผนังที่ปิดด้วยผ้าม่านหนาทึบ‘อย่าบอกนะว่า.... ผนังนี่จะมีรอยเลือดเหมือนห้องเลือดกระเซ็นนั่นน่ะ?’หลิงอี้หรานรู้สึกว่ามันชวนให้ขยะแขยงอยู่เล็กน้อยเมื่อเธอนึกถึงเรื่องนี้ เธอเดินไปยังกำแพง มองผ้าม่าน และสงสัยว่ามีอะไรอยู่บนกำแพงด้านหลังของมัน บางที... ผ้าม่านนี่อาจจะเป็นแค่ของตกแต่งก็ได้ ใช่ไหม?ในตอนนั้นเองที่ประตูห้องน้ำก็เปิดออก และอี้จิ่นหลีก็ออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เขาพันผ้าเช็ดตัวไว้รอบเอวเท่านั้น และเผยให้เห็นร่างกายส่วนบนที่ดูเหมือนจะผอมแต่กำยำของเขา ดวงตาสีดำของเขามองตรงมาที่เธอ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ในกับดักทันทีเขาก้าวเข้ามาหาเธอทีละก้าว และเธอก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ในทันใดเองที่เ
‘แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักฉัน แต่ตอนนี้เธอก็อยู่กับฉันแล้วไม่ใช่เหรอ?’หลิงอี้หรานรู้สึกได้เพียงน้ำหนักที่กดทับบนไหล่ข้างหนึ่งของเธอ น้ำหนักบางส่วนของเขาตอนนี้อยู่บนไหล่ของเธอเขาดูเหมือนคนที่หมดแรงสุด ๆ และมองหาบางอย่างเพื่อพยุงตัวไว้ แม้จะเป็นสิ่งชั่วคราวก็ตาม ถ้าหากเธอผลักไสเขาราวกับว่าเขาจะตกหน้าผาไป เธอดูเหมือนจะเป็นสิ่งนั้น และเป็นสิ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่จะช่วยประคองเขาไว้ได้ ‘พระเจ้า ฉันมีความคิดแบบนั้นได้ยังไง?’ หลิงอี้หรานคิดพลางหัวเราะให้ตัวเอง เธอไม่มีทางเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยประคับประคองเขาได้หรอก นี่ก็เป็นแค่ภาพลวงที่เกิดจากสภาพอันเหนื่อยอ่อนของเขาก็เท่านั้น“งั้น... คุณก็พักเถอะ ฉันจะกลับไปห้องตัวเองแล้ว” หลิงอี้หรานกล่าวขณะที่พยายามจะจากไปถึงอย่างนั้นพอเธอหมุนตัว จู่ ๆ เขาก็ตรึงเธอลงบนเตียงก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวออกไป“ปล่อยฉันนะ!” เธอพยายามจะผลักเขาออกไปอย่างตื่นตระหนก แต่เขากลับกอดเธอไว้แน่นขึ้น“ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ ฉันแค่... จะกอดเธอไว้แบบนี้” เขาพูดพึมพำขณะฝังใบหน้าไว้บนไหล่ของเธอพลางสูดดมกลิ่นและสัมผัสอุณหภูมิของเธออย่างตะกละตะกลามราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จ
ตอนนี้ที่เขากำลังหลับอยู่ เขาดูเหมือนเป็นชายหนุ่มที่หลุดออกจากความเป็นตัวเอง เขาไม่บ้าดีเดือด แต่ดูคล้ายกับเทพบุตรแสนงดงามที่น่าเข้าหาถึงอย่างนั้น รอยย่นระหว่างคิ้วของเขาทำให้เขาดูค่อนข้างอ่อนแอ‘อ่อนแอเหรอ?’หลิงอี้หรานหัวเราะและกำลังจะพาตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาในตอนที่มือของเขาดูเหมือนจะจับเธอไว้โดยไม่รู้ตัว จากนั้น... เขาก็จับนิ้วทั้งสี่ของมือขวาเธอไว้หลิงอี้หรานตกใจและพยายามดึงนิ้วของเธอออกจากมือของเขา แต่พอทำอย่างนั้นเขากลับจับนิ้วเธอไว้แน่นแทน! นี่คล้ายกับว่าเขากำของรักของหวงไว้และไม่ยอมวางหลิงอี้หรานพูดไม่ออก เธอยังคงออกไปไม่ได้แม้ว่าเธอจะพยายามหมดแล้ว ‘นี่คืนนี้ฉันต้องนอนบนเตียงนี้กับเขาใช่ไหม?’เธอพยายามอีกหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่สามารถเอามือออกจากมือเขาได้เลย สุดท้ายก็ได้แต่สงสัยว่าเขาหลับจริง ๆ หรือเปล่าแต่เขาก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาสักครั้ง หรือว่าทำอย่างอื่นเลยจริง ๆดังนั้น เธอจึงทำได้เพียงปลอบใจตัวเองว่าอย่างไรพวกเขาก็เคยนอนร่วมเตียงเดียวกันมาก่อนเท่านั้นหลังจากความลังเล หลิงอี้หรานก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพวกเขา จากนั้นเธอก็พยายามเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองให้ได้มากที่
“ฉันออกไปจากคฤหาสน์นี้ได้เหรอ” เธอถามเขายิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาดูอ่อนแรงเพราะพิษไข้ “ไม่ เธอจะออกไปไม่ได้ ฉันไม่ยอม!”‘ถามจริง นี่ใช่เวลามาพูดเรื่องนั้นเหรอ?’“คุณมียาไหม? ไข้คุณมันไม่ใช่น้อยเลยนะ คุณต้องรีบทานยา!” เธอพูดพลางคิดว่าเขาคงจะเป็นไข้จากการตากฝนเมื่อคืน“ไม่มี” เขาตอบเสียงเบา“โทรศัพท์คุณอยู่ไหน? โทรหาเลขาของคุณ เกาฉงหมิงสิ ให้เขาพาคุณไปโรงพยาบาล” เธอกล่าวเขาขมวดคิ้วแล้วพูด “ฉันไม่ต้องการไปโรงพยาบาล ก็แค่ไข้ อีกสองสามวันฉันก็หายดี”“ถึงคุณจะไม่ไปโรงพยาบาล แต่อย่างน้อยคุณก็ควรบอกให้เกาฉงหมิงซื้อยาลดไข้มาให้” เธอพูดเขาเม้มปากบางเข้าหากันและไม่พูดอะไร นอกจากเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกจากเตียง“คุณไม่ได้กลัวการทานยาหรอกใช่ไหม?” เธอถามแหย่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัวเกร็งและมองเธออย่างไม่สบายใจ ใบหน้าที่แดงเพราะพิษไข้ของเขาดูเหมือนจะแดงขึ้นเล็กน้อย‘ไม่จริงน่า นี่เขากลัวการกินยาจริงเหรอ?’ หลิงอี้หรานอึ้งไป แต่ดูเหมือนก่อนหน้านี้เธอก็เคยซื้อยาแก้ปวดท้องให้เขา ตอนนั้นเขาไม่เห็นจะกลัวเลยนี่!"แล้วเธอรักฉันหรือเปล่า?” เขาถามขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยหลิงอี้หรานตกตะลึงไป ไม่รู้ว่าทำไมเ
“เจ็บหรือเปล่า?” เธอถามพลางวางมือลงบนท้ายทอยของเขา ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเสียงดังตุ้บ ต้องเป็นหัวเขาที่กระแทกพื้นแน่เธอเพียงอยากจะดูว่าศีรษะของเขาไม่ได้เป็นไร แต่เธอลืมว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาพไหน เธออยู่บนตัวเขาขณะที่เขาเปลือยเปล่าไปจนถึงเอวมือของเธอเอื้อมไปแตะท้ายทอยของเขา ในขณะที่ร่างของเธออยู่บนร่างชายหนุ่ม ดังนั้นร่างกายของพวกเขาจึงแนบชิดติดกัน เขาจับข้อมือของเธอไว้ และเสียงแหบพร่าของเขาก็ดังขึ้นในหูของเธอ “เธอจะเป็นห่วงฉันไหมถ้าฉันบอกว่าฉันเจ็บ?”เธอเกร็งตัวไปเล็กน้อย และสังเกตเห็นว่าพวกเขาใกล้ชิดกันแค่ไหน ริมฝีปากของเธอแทบจะแตะแก้มของเขาอยู่แล้วในทันทีที่เธอก้มหน้าลงเธอจ้องมองไปที่เขา “ถ้าเจ็บ คุณก็ควรติดต่อกับคนข้างนอกเดี๋ยวนี้ และไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูแทนที่จะทนไว้ในตอนที่คุณมีไข้อยู่ อี้จิ่นหลี อย่าลืมสิว่าคุณมีชีวิตเดียวนะ!”เขายิ้มออกมาทันที “เธอปล่อยให้ฉันตายไม่ได้ล่ะสิ?”ใบหน้าที่แดงเรื่อด้วยพิษไข้ทำให้เขาดูงดงามยิ่งขึ้นด้วยรอยยิ้มและยังดูบอบบางเสียจนเธอไม่สามารถละสายตาไปได้เลยดูเหมือนว่าหัวใจของเธอจะเจ็บปวดไปเพราะรอยยิ้มของเขา! ...ท้ายที่สุด อี้จิ่นหลีก็โท
“ฉันสงสัยขึ้นมาเลยกินไปทีเดียวสองถึงสามเม็ด ผลคือฉันหลับไปสามวันและต้องล้างท้องที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นพวกเขาเลยรู้กันว่าคนรับใช้คนนั้นเป็นคนเปลี่ยนยา” เขาพูดพลางเงยหน้ามองเธอด้วยความเย้ยหยันตนเองอย่างรุนแรงในแววตา“แล้วรู้อะไรไหม? คนรับใช้คนนั้นเป็นคนที่ดีกับฉันที่สุดในตอนที่ฉันเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์อี้ เธอแสดงออกว่าเป็นห่วงฉัน ทุกวันเธอจะยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่มองฉันทาน ‘วิตามิน’ ที่เธอเป็นคนเปลี่ยน”ความโกรธปะทุขึ้นในหัวใจของหลิงอี้หราน “คนเราทำแบบนี้กับเด็กแค่เพื่อความสบายและได้ออกไปเที่ยวกับแฟนได้ยังไง? เธอไม่คิดถึงผลกระทบของเด็กที่ต้องกินยานอนหลับเข้าไปเป็นจำนวนมากเลยหรือไง?”ในกรณีที่แย่ที่สุดอาจทำให้เด็กเกิดความผิดปกติทางจิตได้เลยนะอี้จิ่นหลียิ้มอ่อน “มีคนแบบนั้นมากมายบนโลกใบนี้ พวกเขายอมเซ่นชีวิตของคนอื่นเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย"“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? คนรับใช้คนนั้นเป็นยังไงต่อ?” หลิงอี้หรานถาม“ตระกูลอี้ก็ไล่เธอออก” เขาพูดเสียงแผ่วหลิงอี้หรานเข้าใจว่า ถ้าคนรับใช้คนนั้นโดนไล่ออก เธอคงจะทุกข์ทรมานไปตลอดทั้งชีวิต“หลังจากนั้นคุณก็เลยเกลียดการทานย
‘ทำไมเขาถึงกินยาที่ฉันให้? เป็นเพราะเขาเชื่อใจเหรอ?’‘ถ้าเขาเชื่อใจฉัน แล้วทำไมเขาถึงเชื่อใจฉันที่ให้ยาเขา ไม่ใช่ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขาล่ะ? ถ้าเขาเชื่อใจฉันเพิ่มอีกนิด บางทีเราอาจจะไม่ต้องเลิกกันเลยก็ได้’ตอนนี้ความเชื่อใจดูเหมือนเป็นเรื่องน่าขันแม้ว่าเขาจะนอนหลับอยู่ แต่คิ้วของเขากำลังขมวดเข้าหากัน และมีชั้นเหงื่อบาง ๆ ปรากฏอยู่บนหน้าผากของเขาเมื่อเห็นดังนั้น หลิงอี้หรานจึงไปเอาผ้าขนหนูในห้องน้ำออกมาและเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้เขาอย่างเบามือ“แม่ครับ... แม่...” เขาร้องออกมาอย่างตะกุกตะกัก เสียงของเขาเบามากจนเกือบจะเรียกว่ากระซิบ และเธอก็อยู่ใกล้เขามากเสียจนได้ยินสิ่งที่เขาพูด‘นี่เขา... ฝันอยู่เหรอ? เขาฝันถึงแม่ใช่ไหม?’ หลิงอี้หรานคิดกับตัวเองเธอจำได้ที่เขาบอกว่า แม่ของเขาทิ้งลูกและสามีไปเพราะว่าเธอทนไม่ไหวกับความยากจนที่ต้องเผชิญในตอนที่เขายังเด็กตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม่ของเขาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเขาเลยสักครั้งเธอจำได้ว่า เขามีแผลที่หน้าอกที่เกือบจะฆ่าเขาไป แต่ตอนนี้รอยแผลเป็นนั้นก็ได้จางลงไปมากแล้วการจางลงของแผลเป็นทำให้เธอนึกภาพออกว่ามันเคยร้ายแรงแค่ไหน เด็กที่ได้รับ
ทั้งห้องในตอนนี้เงียบสงัด และไม่มีใครอื่นอีกนอกจากเขา‘เธอ... ไม่อยู่แล้วสินะ?’ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยและมองไปยังมือที่ว่างเปล่าของตัวเองแม้ว่าเขาจะบังคับให้เธออยู่ในคฤหาสน์นี้ แต่เธอก็คงไม่อยู่กับเขา เหมือนกับพ่อและแม่ของเขา ที่แม้ว่าเขาจะขอร้องเจียนขาดใจให้พวกเขาอยู่ พวกเขาก็ยังคงทิ้งเขาไปตามทางของตัวเอง‘ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องเดียวดายงั้นเหรอ?‘เดียวดายเหมือนเมื่อก่อน... ทำไมฉันต้องสนใจด้วยล่ะ? ก่อนเจอเธอฉันก็ตัวคนเดียวไม่ใช่เหรอ?‘คนเดียวที่ฉันจะพึ่งพาได้ก็มีแค่ตัวฉันเองนี่แหละ!’ถึงแม้เขาจะคิดแบบนั้น แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงแล่นผ่านทั้งร่างของเขาราวกับว่ามีเข็มเป็นกำ ๆ ทิ่มแทงใส่เขาจากนั้นไม่นานจู่ ๆ ประตูก็เป็นออกและมีใครบางคนเดินเข้ามาอี้จิ่นหลีมองไปยังร่างที่เดินเข้ามาด้วยความรู้สึกประหลาดใจในแววตาของเขา“หือ? ตื่นแล้วเหรอ ฉันทำโจ๊กไว้ ว่าจะเอาให้หลังจากที่คุณตื่น” หลิงอี้หรานวางชามโจ๊กไว้บนโต๊ะข้างเตียง เธอยื่นมือออกไปสัมผัสหน้าผากของเขาตามปกติ‘ฮืมม ไข้ดูเหมือนจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังร้อนอยู่ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ล่ะนะ’“ไข้คุณลดแล้ว เดี๋ยวฉันเอาที่วัดไข้มาวัดหน่อยดีกว่า”