นอกจากนั้น... ท่าทางของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมก่อนที่เธอจะดึงม่านปิด เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยคางที่เชิดขึ้น และมองมาทางเธอ!จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ และเธอก็วิ่งออกจากห้องไปเธอไม่รู้ว่าร่มอยู่ไหน ดังนั้นหลิงอี้หรานจึงหยิบผ้าห่มขึ้นมากางไว้บนหัวและวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนเพื่อไปยังสระบัว แม้ว่าผ้าห่มจะปกคลุมหัวของเธอและร่างกายบางส่วน แต่สายฝนก็ยังกระทบกับแขนและร่างกายส่วนหน้าของเธอหยดฝนเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งหลิงอี้หรานรีบวิ่งไปหาอี้จิ่นหลี อ้าปากเล็กน้อย และพูดว่า “คุณมายืนทำอะไรตรงนี้? ฝนกำลังตกนะ รีบกลับเข้าไปเถอะ”ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ขยับเขยื้อนและยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “เธอออกมาทำไม?” น้ำเสียงเย็นชาของเขาดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสายฝนยามค่ำคืน เขาเปียกไปทั้งตัว ทั้งผมและใบหน้าของเขาเปียกไปด้วยเม็ดฝน และดวงตาดำขลับของเขาก็กำลังมองมายังเธอผ่านสายฝนที่โปรยปราย“เราค่อยคุยกันหลังจากที่คุณเข้าไปข้างในก็ได้” เธอพูดและจับแขนเพื่อดึงให้เขาเข้าไปข้างในถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ขยับเลย “ทำไมเธอถึงออกมา?” เขาถามย้ำคำถามเดิมหลิงอี้หรานไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “
กลายเป็นว่าหลิงอี้หรานกำลังรออี้จิ่นหลีอยู่ในห้องนอนของเขาแม้ว่าเธอจะไม่อยากรอ แต่เธอก็ไม่มีที่ให้ไป อย่างไรเธอก็เดินไปมาได้แค่ในคฤหาสน์นี้เท่านั้น เธอไม่สามารถหนีไปได้แม้ว่าเธออยากจะทำแบบนั้นก็ตามถ้าเป็นอย่างนั้น เธอคงจะไม่สนใจเรื่องนี้ห้องนอนของอี้จิ่นหลีมีขนาดเท่ากับห้องของเธอ และเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นสไตล์วินเทจจีน สิ่งที่แตกต่างคือ ห้องของเขามีผนังที่ปิดด้วยผ้าม่านหนาทึบ‘อย่าบอกนะว่า.... ผนังนี่จะมีรอยเลือดเหมือนห้องเลือดกระเซ็นนั่นน่ะ?’หลิงอี้หรานรู้สึกว่ามันชวนให้ขยะแขยงอยู่เล็กน้อยเมื่อเธอนึกถึงเรื่องนี้ เธอเดินไปยังกำแพง มองผ้าม่าน และสงสัยว่ามีอะไรอยู่บนกำแพงด้านหลังของมัน บางที... ผ้าม่านนี่อาจจะเป็นแค่ของตกแต่งก็ได้ ใช่ไหม?ในตอนนั้นเองที่ประตูห้องน้ำก็เปิดออก และอี้จิ่นหลีก็ออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เขาพันผ้าเช็ดตัวไว้รอบเอวเท่านั้น และเผยให้เห็นร่างกายส่วนบนที่ดูเหมือนจะผอมแต่กำยำของเขา ดวงตาสีดำของเขามองตรงมาที่เธอ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ในกับดักทันทีเขาก้าวเข้ามาหาเธอทีละก้าว และเธอก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ในทันใดเองที่เ
‘แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักฉัน แต่ตอนนี้เธอก็อยู่กับฉันแล้วไม่ใช่เหรอ?’หลิงอี้หรานรู้สึกได้เพียงน้ำหนักที่กดทับบนไหล่ข้างหนึ่งของเธอ น้ำหนักบางส่วนของเขาตอนนี้อยู่บนไหล่ของเธอเขาดูเหมือนคนที่หมดแรงสุด ๆ และมองหาบางอย่างเพื่อพยุงตัวไว้ แม้จะเป็นสิ่งชั่วคราวก็ตาม ถ้าหากเธอผลักไสเขาราวกับว่าเขาจะตกหน้าผาไป เธอดูเหมือนจะเป็นสิ่งนั้น และเป็นสิ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่จะช่วยประคองเขาไว้ได้ ‘พระเจ้า ฉันมีความคิดแบบนั้นได้ยังไง?’ หลิงอี้หรานคิดพลางหัวเราะให้ตัวเอง เธอไม่มีทางเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยประคับประคองเขาได้หรอก นี่ก็เป็นแค่ภาพลวงที่เกิดจากสภาพอันเหนื่อยอ่อนของเขาก็เท่านั้น“งั้น... คุณก็พักเถอะ ฉันจะกลับไปห้องตัวเองแล้ว” หลิงอี้หรานกล่าวขณะที่พยายามจะจากไปถึงอย่างนั้นพอเธอหมุนตัว จู่ ๆ เขาก็ตรึงเธอลงบนเตียงก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวออกไป“ปล่อยฉันนะ!” เธอพยายามจะผลักเขาออกไปอย่างตื่นตระหนก แต่เขากลับกอดเธอไว้แน่นขึ้น“ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ ฉันแค่... จะกอดเธอไว้แบบนี้” เขาพูดพึมพำขณะฝังใบหน้าไว้บนไหล่ของเธอพลางสูดดมกลิ่นและสัมผัสอุณหภูมิของเธออย่างตะกละตะกลามราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จ
ตอนนี้ที่เขากำลังหลับอยู่ เขาดูเหมือนเป็นชายหนุ่มที่หลุดออกจากความเป็นตัวเอง เขาไม่บ้าดีเดือด แต่ดูคล้ายกับเทพบุตรแสนงดงามที่น่าเข้าหาถึงอย่างนั้น รอยย่นระหว่างคิ้วของเขาทำให้เขาดูค่อนข้างอ่อนแอ‘อ่อนแอเหรอ?’หลิงอี้หรานหัวเราะและกำลังจะพาตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาในตอนที่มือของเขาดูเหมือนจะจับเธอไว้โดยไม่รู้ตัว จากนั้น... เขาก็จับนิ้วทั้งสี่ของมือขวาเธอไว้หลิงอี้หรานตกใจและพยายามดึงนิ้วของเธอออกจากมือของเขา แต่พอทำอย่างนั้นเขากลับจับนิ้วเธอไว้แน่นแทน! นี่คล้ายกับว่าเขากำของรักของหวงไว้และไม่ยอมวางหลิงอี้หรานพูดไม่ออก เธอยังคงออกไปไม่ได้แม้ว่าเธอจะพยายามหมดแล้ว ‘นี่คืนนี้ฉันต้องนอนบนเตียงนี้กับเขาใช่ไหม?’เธอพยายามอีกหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่สามารถเอามือออกจากมือเขาได้เลย สุดท้ายก็ได้แต่สงสัยว่าเขาหลับจริง ๆ หรือเปล่าแต่เขาก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาสักครั้ง หรือว่าทำอย่างอื่นเลยจริง ๆดังนั้น เธอจึงทำได้เพียงปลอบใจตัวเองว่าอย่างไรพวกเขาก็เคยนอนร่วมเตียงเดียวกันมาก่อนเท่านั้นหลังจากความลังเล หลิงอี้หรานก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพวกเขา จากนั้นเธอก็พยายามเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองให้ได้มากที่
“ฉันออกไปจากคฤหาสน์นี้ได้เหรอ” เธอถามเขายิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาดูอ่อนแรงเพราะพิษไข้ “ไม่ เธอจะออกไปไม่ได้ ฉันไม่ยอม!”‘ถามจริง นี่ใช่เวลามาพูดเรื่องนั้นเหรอ?’“คุณมียาไหม? ไข้คุณมันไม่ใช่น้อยเลยนะ คุณต้องรีบทานยา!” เธอพูดพลางคิดว่าเขาคงจะเป็นไข้จากการตากฝนเมื่อคืน“ไม่มี” เขาตอบเสียงเบา“โทรศัพท์คุณอยู่ไหน? โทรหาเลขาของคุณ เกาฉงหมิงสิ ให้เขาพาคุณไปโรงพยาบาล” เธอกล่าวเขาขมวดคิ้วแล้วพูด “ฉันไม่ต้องการไปโรงพยาบาล ก็แค่ไข้ อีกสองสามวันฉันก็หายดี”“ถึงคุณจะไม่ไปโรงพยาบาล แต่อย่างน้อยคุณก็ควรบอกให้เกาฉงหมิงซื้อยาลดไข้มาให้” เธอพูดเขาเม้มปากบางเข้าหากันและไม่พูดอะไร นอกจากเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกจากเตียง“คุณไม่ได้กลัวการทานยาหรอกใช่ไหม?” เธอถามแหย่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัวเกร็งและมองเธออย่างไม่สบายใจ ใบหน้าที่แดงเพราะพิษไข้ของเขาดูเหมือนจะแดงขึ้นเล็กน้อย‘ไม่จริงน่า นี่เขากลัวการกินยาจริงเหรอ?’ หลิงอี้หรานอึ้งไป แต่ดูเหมือนก่อนหน้านี้เธอก็เคยซื้อยาแก้ปวดท้องให้เขา ตอนนั้นเขาไม่เห็นจะกลัวเลยนี่!"แล้วเธอรักฉันหรือเปล่า?” เขาถามขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยหลิงอี้หรานตกตะลึงไป ไม่รู้ว่าทำไมเ
“เจ็บหรือเปล่า?” เธอถามพลางวางมือลงบนท้ายทอยของเขา ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเสียงดังตุ้บ ต้องเป็นหัวเขาที่กระแทกพื้นแน่เธอเพียงอยากจะดูว่าศีรษะของเขาไม่ได้เป็นไร แต่เธอลืมว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาพไหน เธออยู่บนตัวเขาขณะที่เขาเปลือยเปล่าไปจนถึงเอวมือของเธอเอื้อมไปแตะท้ายทอยของเขา ในขณะที่ร่างของเธออยู่บนร่างชายหนุ่ม ดังนั้นร่างกายของพวกเขาจึงแนบชิดติดกัน เขาจับข้อมือของเธอไว้ และเสียงแหบพร่าของเขาก็ดังขึ้นในหูของเธอ “เธอจะเป็นห่วงฉันไหมถ้าฉันบอกว่าฉันเจ็บ?”เธอเกร็งตัวไปเล็กน้อย และสังเกตเห็นว่าพวกเขาใกล้ชิดกันแค่ไหน ริมฝีปากของเธอแทบจะแตะแก้มของเขาอยู่แล้วในทันทีที่เธอก้มหน้าลงเธอจ้องมองไปที่เขา “ถ้าเจ็บ คุณก็ควรติดต่อกับคนข้างนอกเดี๋ยวนี้ และไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูแทนที่จะทนไว้ในตอนที่คุณมีไข้อยู่ อี้จิ่นหลี อย่าลืมสิว่าคุณมีชีวิตเดียวนะ!”เขายิ้มออกมาทันที “เธอปล่อยให้ฉันตายไม่ได้ล่ะสิ?”ใบหน้าที่แดงเรื่อด้วยพิษไข้ทำให้เขาดูงดงามยิ่งขึ้นด้วยรอยยิ้มและยังดูบอบบางเสียจนเธอไม่สามารถละสายตาไปได้เลยดูเหมือนว่าหัวใจของเธอจะเจ็บปวดไปเพราะรอยยิ้มของเขา! ...ท้ายที่สุด อี้จิ่นหลีก็โท
“ฉันสงสัยขึ้นมาเลยกินไปทีเดียวสองถึงสามเม็ด ผลคือฉันหลับไปสามวันและต้องล้างท้องที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นพวกเขาเลยรู้กันว่าคนรับใช้คนนั้นเป็นคนเปลี่ยนยา” เขาพูดพลางเงยหน้ามองเธอด้วยความเย้ยหยันตนเองอย่างรุนแรงในแววตา“แล้วรู้อะไรไหม? คนรับใช้คนนั้นเป็นคนที่ดีกับฉันที่สุดในตอนที่ฉันเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์อี้ เธอแสดงออกว่าเป็นห่วงฉัน ทุกวันเธอจะยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่มองฉันทาน ‘วิตามิน’ ที่เธอเป็นคนเปลี่ยน”ความโกรธปะทุขึ้นในหัวใจของหลิงอี้หราน “คนเราทำแบบนี้กับเด็กแค่เพื่อความสบายและได้ออกไปเที่ยวกับแฟนได้ยังไง? เธอไม่คิดถึงผลกระทบของเด็กที่ต้องกินยานอนหลับเข้าไปเป็นจำนวนมากเลยหรือไง?”ในกรณีที่แย่ที่สุดอาจทำให้เด็กเกิดความผิดปกติทางจิตได้เลยนะอี้จิ่นหลียิ้มอ่อน “มีคนแบบนั้นมากมายบนโลกใบนี้ พวกเขายอมเซ่นชีวิตของคนอื่นเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย"“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? คนรับใช้คนนั้นเป็นยังไงต่อ?” หลิงอี้หรานถาม“ตระกูลอี้ก็ไล่เธอออก” เขาพูดเสียงแผ่วหลิงอี้หรานเข้าใจว่า ถ้าคนรับใช้คนนั้นโดนไล่ออก เธอคงจะทุกข์ทรมานไปตลอดทั้งชีวิต“หลังจากนั้นคุณก็เลยเกลียดการทานย
‘ทำไมเขาถึงกินยาที่ฉันให้? เป็นเพราะเขาเชื่อใจเหรอ?’‘ถ้าเขาเชื่อใจฉัน แล้วทำไมเขาถึงเชื่อใจฉันที่ให้ยาเขา ไม่ใช่ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขาล่ะ? ถ้าเขาเชื่อใจฉันเพิ่มอีกนิด บางทีเราอาจจะไม่ต้องเลิกกันเลยก็ได้’ตอนนี้ความเชื่อใจดูเหมือนเป็นเรื่องน่าขันแม้ว่าเขาจะนอนหลับอยู่ แต่คิ้วของเขากำลังขมวดเข้าหากัน และมีชั้นเหงื่อบาง ๆ ปรากฏอยู่บนหน้าผากของเขาเมื่อเห็นดังนั้น หลิงอี้หรานจึงไปเอาผ้าขนหนูในห้องน้ำออกมาและเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้เขาอย่างเบามือ“แม่ครับ... แม่...” เขาร้องออกมาอย่างตะกุกตะกัก เสียงของเขาเบามากจนเกือบจะเรียกว่ากระซิบ และเธอก็อยู่ใกล้เขามากเสียจนได้ยินสิ่งที่เขาพูด‘นี่เขา... ฝันอยู่เหรอ? เขาฝันถึงแม่ใช่ไหม?’ หลิงอี้หรานคิดกับตัวเองเธอจำได้ที่เขาบอกว่า แม่ของเขาทิ้งลูกและสามีไปเพราะว่าเธอทนไม่ไหวกับความยากจนที่ต้องเผชิญในตอนที่เขายังเด็กตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม่ของเขาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเขาเลยสักครั้งเธอจำได้ว่า เขามีแผลที่หน้าอกที่เกือบจะฆ่าเขาไป แต่ตอนนี้รอยแผลเป็นนั้นก็ได้จางลงไปมากแล้วการจางลงของแผลเป็นทำให้เธอนึกภาพออกว่ามันเคยร้ายแรงแค่ไหน เด็กที่ได้รับ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค