“ฉันออกไปจากคฤหาสน์นี้ได้เหรอ” เธอถามเขายิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาดูอ่อนแรงเพราะพิษไข้ “ไม่ เธอจะออกไปไม่ได้ ฉันไม่ยอม!”‘ถามจริง นี่ใช่เวลามาพูดเรื่องนั้นเหรอ?’“คุณมียาไหม? ไข้คุณมันไม่ใช่น้อยเลยนะ คุณต้องรีบทานยา!” เธอพูดพลางคิดว่าเขาคงจะเป็นไข้จากการตากฝนเมื่อคืน“ไม่มี” เขาตอบเสียงเบา“โทรศัพท์คุณอยู่ไหน? โทรหาเลขาของคุณ เกาฉงหมิงสิ ให้เขาพาคุณไปโรงพยาบาล” เธอกล่าวเขาขมวดคิ้วแล้วพูด “ฉันไม่ต้องการไปโรงพยาบาล ก็แค่ไข้ อีกสองสามวันฉันก็หายดี”“ถึงคุณจะไม่ไปโรงพยาบาล แต่อย่างน้อยคุณก็ควรบอกให้เกาฉงหมิงซื้อยาลดไข้มาให้” เธอพูดเขาเม้มปากบางเข้าหากันและไม่พูดอะไร นอกจากเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกจากเตียง“คุณไม่ได้กลัวการทานยาหรอกใช่ไหม?” เธอถามแหย่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัวเกร็งและมองเธออย่างไม่สบายใจ ใบหน้าที่แดงเพราะพิษไข้ของเขาดูเหมือนจะแดงขึ้นเล็กน้อย‘ไม่จริงน่า นี่เขากลัวการกินยาจริงเหรอ?’ หลิงอี้หรานอึ้งไป แต่ดูเหมือนก่อนหน้านี้เธอก็เคยซื้อยาแก้ปวดท้องให้เขา ตอนนั้นเขาไม่เห็นจะกลัวเลยนี่!"แล้วเธอรักฉันหรือเปล่า?” เขาถามขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยหลิงอี้หรานตกตะลึงไป ไม่รู้ว่าทำไมเ
“เจ็บหรือเปล่า?” เธอถามพลางวางมือลงบนท้ายทอยของเขา ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเสียงดังตุ้บ ต้องเป็นหัวเขาที่กระแทกพื้นแน่เธอเพียงอยากจะดูว่าศีรษะของเขาไม่ได้เป็นไร แต่เธอลืมว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาพไหน เธออยู่บนตัวเขาขณะที่เขาเปลือยเปล่าไปจนถึงเอวมือของเธอเอื้อมไปแตะท้ายทอยของเขา ในขณะที่ร่างของเธออยู่บนร่างชายหนุ่ม ดังนั้นร่างกายของพวกเขาจึงแนบชิดติดกัน เขาจับข้อมือของเธอไว้ และเสียงแหบพร่าของเขาก็ดังขึ้นในหูของเธอ “เธอจะเป็นห่วงฉันไหมถ้าฉันบอกว่าฉันเจ็บ?”เธอเกร็งตัวไปเล็กน้อย และสังเกตเห็นว่าพวกเขาใกล้ชิดกันแค่ไหน ริมฝีปากของเธอแทบจะแตะแก้มของเขาอยู่แล้วในทันทีที่เธอก้มหน้าลงเธอจ้องมองไปที่เขา “ถ้าเจ็บ คุณก็ควรติดต่อกับคนข้างนอกเดี๋ยวนี้ และไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูแทนที่จะทนไว้ในตอนที่คุณมีไข้อยู่ อี้จิ่นหลี อย่าลืมสิว่าคุณมีชีวิตเดียวนะ!”เขายิ้มออกมาทันที “เธอปล่อยให้ฉันตายไม่ได้ล่ะสิ?”ใบหน้าที่แดงเรื่อด้วยพิษไข้ทำให้เขาดูงดงามยิ่งขึ้นด้วยรอยยิ้มและยังดูบอบบางเสียจนเธอไม่สามารถละสายตาไปได้เลยดูเหมือนว่าหัวใจของเธอจะเจ็บปวดไปเพราะรอยยิ้มของเขา! ...ท้ายที่สุด อี้จิ่นหลีก็โท
“ฉันสงสัยขึ้นมาเลยกินไปทีเดียวสองถึงสามเม็ด ผลคือฉันหลับไปสามวันและต้องล้างท้องที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นพวกเขาเลยรู้กันว่าคนรับใช้คนนั้นเป็นคนเปลี่ยนยา” เขาพูดพลางเงยหน้ามองเธอด้วยความเย้ยหยันตนเองอย่างรุนแรงในแววตา“แล้วรู้อะไรไหม? คนรับใช้คนนั้นเป็นคนที่ดีกับฉันที่สุดในตอนที่ฉันเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์อี้ เธอแสดงออกว่าเป็นห่วงฉัน ทุกวันเธอจะยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่มองฉันทาน ‘วิตามิน’ ที่เธอเป็นคนเปลี่ยน”ความโกรธปะทุขึ้นในหัวใจของหลิงอี้หราน “คนเราทำแบบนี้กับเด็กแค่เพื่อความสบายและได้ออกไปเที่ยวกับแฟนได้ยังไง? เธอไม่คิดถึงผลกระทบของเด็กที่ต้องกินยานอนหลับเข้าไปเป็นจำนวนมากเลยหรือไง?”ในกรณีที่แย่ที่สุดอาจทำให้เด็กเกิดความผิดปกติทางจิตได้เลยนะอี้จิ่นหลียิ้มอ่อน “มีคนแบบนั้นมากมายบนโลกใบนี้ พวกเขายอมเซ่นชีวิตของคนอื่นเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย"“แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? คนรับใช้คนนั้นเป็นยังไงต่อ?” หลิงอี้หรานถาม“ตระกูลอี้ก็ไล่เธอออก” เขาพูดเสียงแผ่วหลิงอี้หรานเข้าใจว่า ถ้าคนรับใช้คนนั้นโดนไล่ออก เธอคงจะทุกข์ทรมานไปตลอดทั้งชีวิต“หลังจากนั้นคุณก็เลยเกลียดการทานย
‘ทำไมเขาถึงกินยาที่ฉันให้? เป็นเพราะเขาเชื่อใจเหรอ?’‘ถ้าเขาเชื่อใจฉัน แล้วทำไมเขาถึงเชื่อใจฉันที่ให้ยาเขา ไม่ใช่ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขาล่ะ? ถ้าเขาเชื่อใจฉันเพิ่มอีกนิด บางทีเราอาจจะไม่ต้องเลิกกันเลยก็ได้’ตอนนี้ความเชื่อใจดูเหมือนเป็นเรื่องน่าขันแม้ว่าเขาจะนอนหลับอยู่ แต่คิ้วของเขากำลังขมวดเข้าหากัน และมีชั้นเหงื่อบาง ๆ ปรากฏอยู่บนหน้าผากของเขาเมื่อเห็นดังนั้น หลิงอี้หรานจึงไปเอาผ้าขนหนูในห้องน้ำออกมาและเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้เขาอย่างเบามือ“แม่ครับ... แม่...” เขาร้องออกมาอย่างตะกุกตะกัก เสียงของเขาเบามากจนเกือบจะเรียกว่ากระซิบ และเธอก็อยู่ใกล้เขามากเสียจนได้ยินสิ่งที่เขาพูด‘นี่เขา... ฝันอยู่เหรอ? เขาฝันถึงแม่ใช่ไหม?’ หลิงอี้หรานคิดกับตัวเองเธอจำได้ที่เขาบอกว่า แม่ของเขาทิ้งลูกและสามีไปเพราะว่าเธอทนไม่ไหวกับความยากจนที่ต้องเผชิญในตอนที่เขายังเด็กตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม่ของเขาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเขาเลยสักครั้งเธอจำได้ว่า เขามีแผลที่หน้าอกที่เกือบจะฆ่าเขาไป แต่ตอนนี้รอยแผลเป็นนั้นก็ได้จางลงไปมากแล้วการจางลงของแผลเป็นทำให้เธอนึกภาพออกว่ามันเคยร้ายแรงแค่ไหน เด็กที่ได้รับ
ทั้งห้องในตอนนี้เงียบสงัด และไม่มีใครอื่นอีกนอกจากเขา‘เธอ... ไม่อยู่แล้วสินะ?’ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยและมองไปยังมือที่ว่างเปล่าของตัวเองแม้ว่าเขาจะบังคับให้เธออยู่ในคฤหาสน์นี้ แต่เธอก็คงไม่อยู่กับเขา เหมือนกับพ่อและแม่ของเขา ที่แม้ว่าเขาจะขอร้องเจียนขาดใจให้พวกเขาอยู่ พวกเขาก็ยังคงทิ้งเขาไปตามทางของตัวเอง‘ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องเดียวดายงั้นเหรอ?‘เดียวดายเหมือนเมื่อก่อน... ทำไมฉันต้องสนใจด้วยล่ะ? ก่อนเจอเธอฉันก็ตัวคนเดียวไม่ใช่เหรอ?‘คนเดียวที่ฉันจะพึ่งพาได้ก็มีแค่ตัวฉันเองนี่แหละ!’ถึงแม้เขาจะคิดแบบนั้น แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงแล่นผ่านทั้งร่างของเขาราวกับว่ามีเข็มเป็นกำ ๆ ทิ่มแทงใส่เขาจากนั้นไม่นานจู่ ๆ ประตูก็เป็นออกและมีใครบางคนเดินเข้ามาอี้จิ่นหลีมองไปยังร่างที่เดินเข้ามาด้วยความรู้สึกประหลาดใจในแววตาของเขา“หือ? ตื่นแล้วเหรอ ฉันทำโจ๊กไว้ ว่าจะเอาให้หลังจากที่คุณตื่น” หลิงอี้หรานวางชามโจ๊กไว้บนโต๊ะข้างเตียง เธอยื่นมือออกไปสัมผัสหน้าผากของเขาตามปกติ‘ฮืมม ไข้ดูเหมือนจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังร้อนอยู่ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ล่ะนะ’“ไข้คุณลดแล้ว เดี๋ยวฉันเอาที่วัดไข้มาวัดหน่อยดีกว่า”
“ฉัน... รู้สึกเหมือนไม่มีแรง” เขาพูดพลางทำท่าจะจับชามอีกครั้งเธอมองดูสภาพของเขาในตอนนี้แล้วพูดอย่างง่ายดายว่า “ช่างเถอะ ฉันป้อนคุณเองดีกว่า ก่อนที่คุณจะไม่มีแรงจนทำโจ๊กคว่ำทั้งชาม”เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ขณะที่เธอพูดเธอก็ช้อนตักโจ๊กขึ้นมา เธอเป่ามันเบา ๆ และยกขึ้นไปที่ปากของเขาเขาอ้าปากอย่างเชื่อฟัง และทานโจ๊กที่เธอป้อนให้เขาเชื่องราวกับเป็นลูกหมาตัวหนึ่ง เขาทานโจ๊กทีละคำ ๆ แต่สายตาของเขากลับจ้องเธอไม่วางตาตลอดเวลาสายตาที่ดูผูกพันนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย“ผู้หญิงคนนั้น... ที่คุณพูดถึงครั้งก่อน เธอฆ่าใครในห้องเลือดที่กระเซ็นจริงเหรอ?” เธอพยายามหาหัวข้อสนทนาเพื่อทำลายความเงียบ“จริงสิ” อี้จิ่นหลีกล่าว“เธอฆ่าคนในตระกูลอี้เหรอ? แล้วตระกูลอี้ก็ปล่อยเธอไปเหรอ?” เธอถามอย่างงุนงง ตระกูลอี้ร่ำรวยและมีอำนาจมามากกว่า 70 ปีเชียวนะอี้จิ่นหลีกล่าวว่า “เพราะว่าผู้ชายที่เธอฆ่าอยากให้ปล่อยเธอไป เขายังทิ้งโน้ตไว้ด้วยซ้ำก่อนที่เขาจะตาย ถ้าเขาตายก็ห้ามใครเข้าไปยุ่ง!”หลิงอี้หรานตะลึงไป ‘นี่ชายคนนี้คิดไว้แล้วหรือว่า ผู้หญิงคนนั้นจะฆ่าเขา? เขาเลยทิ้งโน้ตไว้อย่างนั้นน่ะ?’อย่
ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมให้ตาแก่นั่นทำอะไรเธอหรอก”เธอหลบตาลงเล็กน้อยและลุกขึ้นเก็บชามที่หมดแล้วไว้ด้านข้าง “พักผ่อนเถอะ ฉันจะกลับห้องตัวเองก่อน”ทว่าก่อนที่เธอจะได้หันไป มือของเขาก็จับแขนเสื้อเธอไว้ เขามองเธอด้วยคางที่เชิดขึ้นเล็กน้อย และมีประกายแวววาวภายในดวงตาสดใสของเขาเธอถาม “อี้จิ่นหลี คุณกำลังทำอะไร?”“เธอมีความรู้สึกบางอย่างให้กับฉันใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่คอยดูแลฉัน ช่วยให้ฉันทานยา ทำโจ๊กให้ฉัน...” น้ำเสียงแหบแห้งดังออกมาจากริมฝีปากของเขาทีละเล็กทีละน้อย สีหน้าของเขาวิงวอนและปรารถนา “หลิงอี้หราน เธอตกหลุมรักฉันใช่ไหม? ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้สุดหัวใจขนาดนี้!”เขาเป็นถึงนายน้อยของตระกูลอี้ที่มีเกียรติและสูงส่งสำหรับคนอื่น แต่เขากลับเต็มใจที่จะกล้ำกลืนศักดิ์ศรีทั้งหมดของเขาเพื่อขอความรักจากเธอ!สมองของเธอว่างเปล่าไปในทันที ...กู้ลี่เฉินพยายามตามหาร่องรอยของหลิงอี้หรานผ่านทางทุกเส้นสายที่เขามี แต่ก็ไม่ง่ายเลย เขามีเส้นสาย แต่อี้จิ่นหลีก็มีเช่นกัน แน่นอนว่าอี้จิ่นหลีสามารถหยุดเขาจ
กู้ลี่เฉินรับโทรศัพท์ หลังจากฟังปลายสายไปครู่หนึ่งสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “ว่าไงนะครับ? ลุงซูหายตัวไปเหรอ?”“ใช่ คุณก็รู้ดีว่าเขามักจะเป็นคนที่บอกให้คนไข้มาที่คลินิกเพื่อรับการรักษา วันนี้จู่ ๆ เขาก็โทรมาหาฉันและบอกว่าเขาจะออกไปดูคนไข้ ซึ่งเขาบอกว่า ใช้เวลาค่อนข้างนาน เขาเลยไม่อยากให้ฉันเป็นห่วง ถึงอย่างนั้นพอฉันโทรไป เขาก็ไม่รับ!” ภรรยาของหมอซูพูดกับกู้ลี่เฉินอย่างเป็นกังวลมาจากปลายสายหมอซูและกู้ลี่เฉินค่อนข้างสนิทกันและพวกเขาก็ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ดังนั้นครอบครัวซูจึงมีข้อมูลติดต่อของกู้ลี่เฉิน“ไปดูคนไข้เหรอครับ?” กู้ลี่เฉินหรี่ตานกฟินิกซ์ของเขาลง“ลี่เฉิน คุณคิดว่าลุงซูจะถูกลักพาตัวเพราะว่าไปขัดแข้งขัดขาใครไหม?” คุณนายซูคิดในแง่ร้ายแต่กู้ลี่เฉินกลับคิดไปคนละทางถ้าหลิงอี้หรานไม่ถูกอี้จิ่นหลีพาตัวไป วันนี้คงเป็นวันนัดที่เธอต้องเข้ารับการรักษานิ้วเป็นครั้งที่สอง!‘เป็นไปได้ไหมว่า? อี้จิ่นหลีเป็นคนพาหมอซูไป?’หลังจากคุยกับคุณนายซูจบ กู้ลี่เฉินก็โทรหาคนของเขาทันที “ไปหามาว่าใครพาตัวหมอซูไป”“ครับ” คนของเขาตอบรับ หลังจากวางสาย กู้ลี่เฉินก็ลุกขึ้นและกล่าวกับหวาลี่ฟางว่า “ลี่