“ก็จริง ถึงพวกเขาจะเจอที่นี่แต่พวกเขาก็พาเธอไปไม่ได้หรอก” เขาพูดขณะที่ดึงมือถือของเขาออกมาและส่งมันให้เธอไม่ใช่มือถือของเธอ แต่เป็นของเขา!โชคดีที่เธอเป็นคนความจำดี เธอจำได้ทั้งเบอร์ของเหลียนอีและพี่โจวดังนั้น หลิงอี้หรานจึงโทรหาชินเหลียนอีก่อน เมื่อชินเหลียนอีรับสาย เธอก็มือไม้สั่นจนเกือบทำมือถือตกในตอนที่เธอได้ยินเสียงของหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอ... เธออยู่ไหน? รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอแค่ไหนตอนที่อี้จิ่นหลีพาตัวเธอไปน่ะ? อี้จิ่นหลีทำร้ายเธอหรือเปล่า? ผู้ชายสารเลวแบบเขาพาเธอไปได้ยังไง?! นี่มันเป็นการลักพาตัวแล้วนะ ลักพาตัวน่ะ!”หลิงอี้หรานรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในทันที โทรศัพท์ของเธอเปิดสปีกเกอร์โฟนไว้ หรือหมายความว่า อี้จิ่นหลีเองก็ได้ยินทุกอย่างที่เพื่อนรักของเธอพูด อี้จิ่นหลีมองโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มมุมปาก หลิงอี้หรานกลัวว่าเพื่อนรักของเธอจะพูดอะไรที่ทำให้อี้จิ่นหลีไม่พอใจ ดังนั้นเธอจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ฉัน... ฉันสบายดี เหลียนอี ฉันโทรมาหาเธอเพื่อบอกว่าเธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะ แล้วก็เรื่องพี่โจว ฉันควรจะเป็นคนช่วยเรื่องคดีความของเธอ แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่แถวนี้ ถ้า... ถ้าฉันไม่ได้
อี้จิ่นหลียื่นมือออกไปหยิบดาบโบราณออกมาหลิงอี้หรานถอยกรูดในทันที ดาบเล่มนี้... ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย“จำตอนที่ฉันเล่าให้เธอฟังว่าใครบางคนในตระกูลอี้เคยใช้ที่นี่กักขังผู้หญิงเอาไว้ได้ไหม? ผู้หญิงคนนั้นตกหลุมรักเขา แต่เธอก็ยังฆ่าผู้ชายคนนั้นด้วยดาบเล่มนี้” อี้จิ่นหลีกล่าวเบา ๆ ราวกับว่ากำลังเล่านิทานให้เธอฟัง‘แต่นี่มัน... ก็เกิดขึ้นจริง ๆ!’ หลิงอี้หรานตกตะลึงไปแล้ว สิ่งที่เขาพูดออกมาตอนนี้ราวกับเป็นเรื่องหักมุมจากสิ่งที่เขาเล่าเมื่อคราวที่แล้วเธอคิดว่า ผู้หญิงคนนั้นจะออกไปจากที่นี่หลังจากที่ตกหลุมรักผู้ชายตระกูลอี้คนนั้นเสียอีกเธอไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนั้น... จะใช้ดาบเล่มนี้ฆ่าผู้ชายที่รัก!‘เหตุผลคืออะไร? อับอาย? สำนึกผิด? เสียใจ?‘เพราะว่าเธอตกหลุมรักกับผู้ชายอีกคนทั้ง ๆ ที่เธอมีคนที่รักสุดหัวใจอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ?‘เพราะเหตุผลนั้นเหรอที่ทำให้เธอเลือกแบบนั้น?‘รอยด่างบนดาบนั้น... เป็นรอยเลือดเหรอ? รอยเลือดจากตอนนั้นยังอยู่บนดาบอีกเหรอ?’“มันถูกเรียกว่า... เลือดกระเซ็น ก็เพราะว่าเลือดที่กระเซ็นอยู่บนดาบงั้นเหรอ?” เธอถามตะกุกตะกัก“ก็ไม่เชิง” เขาพูดและเดินไปยังผนังที่มี
เธอรู้สึกได้เพียงหัวใจที่หดตัวอย่างต่อเนื่องของตัวเอง ความมั่นใจของเขาทำให้เธอตื่นตระหนกเขาจะเดิมพันด้วยชีวิตที่เหลือของเขา แล้วเธอล่ะจะเดิมพันด้วยอะไร? ...โจวเชียนหยุนโทรคุยกับชินเหลียนอี และได้รู้ว่าอี้จิ่นหลีเอาตัวหลิงอี้หรานไป ไม่มีใครรู้ว่าเธอถูกพาตัวไปที่ไหน และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไรเธอจะกลับมาถึงอย่างนั้น ตามที่ชินเหลียนอีบอก ถ้าอี้หรานยังโทรมาหาได้ แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ตอนนี้อี้หรานก็คงไม่ได้ตกที่นั่งลำบากมากนักชินเหลียนอีกล่าวว่า “ตอนนี้เราก็ทำได้เท่านี้ ฉันจะพยายามตามหาว่าอี้จิ่นหลีพาตัวอี้หรานไปไว้ไหน เพราะอย่างนั้นพี่โจวไม่ต้องห่วงเรื่องคดีความนะคะ ฉันจะขอให้ทิงซินหาทนายคนอื่นให้ ถ้าอี้หรานยังไม่ออกมาหลังจากสัปดาห์นี้”“ขอบคุณมากนะ” โจวเชียนหยุนกล่าวอย่างนึกขอบคุณ“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ตราบใดที่พี่กับหยันน้อยจะยังสบายดี!” ชินเหลียนอีกล่าวเมื่อโจวเชียนหยุนไปรับลูกชายที่โรงเรียนอนุบาลในตอนบ่าย เธอก็ยังคงเป็นกังวลเรื่องของหลิงอี้หรานอยู่ เธอไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่ที่ถูกผู้ชายแบบอี้จิ่นหลีรัก!‘หลังจากเลิกกันแล้ว ตอนนี้อี้จิ่นหลีต้องการคืนดีกับอี้หราน แล้วอี
“ฉันมาที่นี่เพื่อหาหยันน้อย ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของฉันไม่ใช่เหรอ?” เย่เหวินหมิงกล่าวเบา ๆ ความรู้สึกหลายอย่างผสมกันในทันที เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนตอนที่เธอท้องแล้วเขาบอกให้เธอไปเอาเด็กคนนี้ออก!ถึงอย่างนั้นเธอไม่อยากให้ลูกชายเห็นความขัดแย้งระหว่างพวกเขา“ไปกันเถอะ อาหยันน้อย” โจวเชียนหยุนกล่าว เธอต้องพาลูกชายกลับไปฝากไว้กับแม่ของเธอเพราะเธอต้องไปตั้งร้านแผงลอยเจ้าตัวน้อยกล่าวว่า “คุณพ่อบอกว่าวันนี้จะไปส่งเรากลับบ้านฮะ”ในใจของโจวเชียนหยุนอยากจะกล่าวปฏิเสธในทันที แต่สิ่งที่เย่เหวินหมิงกล่าวต่อมาได้หยุดทุกอย่างที่เธออยากจะพูดลง“อาหยันน้อย อยากให้คุณพ่อไปส่งบ้านเหรอครับ?”“ฮะ” อาหยันน้อยตอบด้วยเสียงเล็ก ๆ ของเขาที่ฟังดูไร้เดียงสาและมีความสุขโจวเชียนหยุนมองไปยังสีหน้ามีความสุขของลูกชายเธอแล้วก็ได้แต่กัดฟันไม่พูดอะไรออกมาพ่อแม่หลายคนที่มารับลูก ๆ ของเขาตรงหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนอนุบาลต่างมองมาทางพวกเขา เย่เหวินหมิงรูปงามกับโจวเชียนหยุนผู้น่าเวทนาเป็นภาพที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนราวกับว่าพวกเขาไม่สมควรจะยืนอยู่ด้วยกันเลยแม้แต่นิดโจวเชียนหยุนไม่ชินกับการเป็นจุ
“ใช่จ้ะ แม่บอกไปแล้วครั้งก่อนว่าเขาเป็นพ่อของลูกจริง ๆ ไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” โจวเชียนหยุนพูด เธอไม่เคยมีความตั้งใจจะปกปิดความจริงจากลูกชายไปตลอดทั้งชีวิตถึงอย่างนั้นเธอก็ตั้งใจไว้ว่าจะรอจนกว่าเด็กชายจะอายุ 18 ปี แล้วค่อยบอกเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะล่วงหน้ามาไกลเลยทีเดียว“ทำไมคุณพ่อถึงกลับมาจากสวรรค์ได้ในตอนนี้เหรอครับ?” เด็กน้อยถามขณะที่มองไปยังเย่เหวินหมิง เย่เหวินหมิงแทบจะสำลัก เขากลอกตาและมองไปยังโจวเชียนหยุนโจวเชียนหยุนรู้สึกอับอายเล็กน้อย ‘ทำไมฉันต้องบอกลูกว่าพ่อเขาขึ้นสวรรค์ไปแล้วด้วยเนี่ย?’“ตอนนั้นพ่อไม่รู้ว่าลูกอยู่ไหน แต่ตอนนี้พ่อรู้แล้ว พ่อจะคอยอยู่เคียงข้างอาหยันน้อยเองนะ” เย่เหวินหมิงกล่าวจะว่าไปก็แปลก เขามักดูเฉยชาอยู่เสมอ แต่กับเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของเขา เขากลับอ่อนโยนด้วยอย่างไม่รู้ตัว เขารู้สึกเสียใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเครื่องช่วยฟังที่ลูกชายของเขาสวมอยู่แม้ว่าลูกชายของเขาจะเกิดมาพิการด้านการฟัง แต่เขาจะไม่ยอมให้อาหยันน้อยด้อยกว่าใคร เขาอยากทำให้ลูกชายของเขาอยู่เหนือกว่าคนอื่นจนไม่มีใครกล้าล้อเลียน!เด็กน้อยแสดงความเขินอายออกมาแต่ก็ยิ้มอย่างคาดหวั
คนตัวเล็กตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นโจวเชียนหยุนมองภาพตรงหน้าเธอ และรับรู้ได้เลยว่าลูกชายของเธอคงมีความสุขอย่างแท้จริง! อาหยันน้อยมักจะเขินอายและไม่ค่อยพูดกับคนรอบข้าง เขาจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นเมื่ออยู่กับคนใกล้ชิดสนิทสนมเท่านั้นแต่นาน ๆ ครั้งเขาถึงจะดูตื่นเต้นแบบตอนนี้!แม้ว่าเย่เหวินหมิงจะ... สวมชุดสูทที่ดูสะอาดเรียบร้อยและมีสีหน้าที่จริงจัง แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในดวงตาของเขาเขาตอบสนองต่อความตื่นเต้นของอาหยันน้อย และเดินไปทางซ้ายหรือขวาตามที่เจ้าตัวเล็กบอกใครจะไปคิดว่าประธานเย่กรุ๊ปที่ใครก็มองว่าเป็นคนจริงจังจะมีด้านแบบนี้ด้วยเช่นกันจมูกของโจวเชียนหยุนรู้สึกระคายเคือง ‘หรือนี่จะเป็นธรรมชาติของคนเป็นพ่อลูกกันนะ? แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งพบกันไม่นาน และแม้ว่าเย่เหวินหมิงจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของอาหยันน้อยมาหลายปี แต่อาหยันน้อยกลับไม่ได้มองเขาเป็นคนแปลกหน้าและยอมรับเขาได้อย่างง่ายดาย’นี่เป็นเรื่องของความผูกพันทางสายเลือดสินะ?หลังจากนั้นสักพัก ในที่สุดโจวเชียนหยุนก็กล่าวว่า “เอาล่ะ อาหยันน้อย เราต้องเข้าบ้านกันแล้ว คุณยายรอเราอยู่ที่บ้านนะครับ!”เจ้าตัวเล็กด
เดิมทีแล้วเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องราวความรักเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ลืมคนรักเก่าของตัวเองแล้วตกหลุมรักกับชายอีกคน แต่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องความรักและการหักหลังเท่านั้นเหรอ?อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฟังเรื่องราวจนจบ เธอก็รู้สึกต่างออกไป‘หรือว่าผู้หญิงคนนั้นตกหลุมรักและฆ่าคนที่ตัวเองรักเพราะว่า... เธอยอมรับไม่ได้งั้นเหรอ?’‘เธอยอมรับไม่ได้ว่า ตัวเองเปลี่ยนใจและตกหลุมรักกับชายที่กักขังเธองั้นเหรอ?‘แต่หลังจากนั้นล่ะ? หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเธอหลังจากที่เธอออกไป? เธอออกไปแล้วอยู่กับชายคนเดิมที่เธอรักหรือเปล่า?‘หรือเธออยู่ตัวคนเดียว?’เธอสงสัยว่า เรื่องหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อไปแปลกพอควรที่เธอหมดวัยอยากรู้อยากเห็นแล้ว แต่เธอก็ยังสงสัยเรื่องของผู้หญิงที่อี้จิ่นหลีกล่าวถึง‘มันเป็นเพราะ... ฉันเองก็โดนขังไว้ในคฤหาสน์เดียวกันนี้หรือเปล่า?’หลิงอี้หรานลุกออกจากเตียงเดินไปยังหน้าต่าง และเปิดผ้าม่านออกเธอมองเห็นสระในสวนได้จากหน้าต่าง สระบัวยังคงดูสวยงามแม้จะเป็นเวลากลางคืนถึงอย่างนั้นเธอก็แปลกใจที่มีร่างหนึ่งยืนอยู่ริมสระและดูเหมือนว่ากำลังจ้องมองไปยังดอกบัวแสงจันทร์เย็น ๆ ตกกระทบล
นอกจากนั้น... ท่าทางของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมก่อนที่เธอจะดึงม่านปิด เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยคางที่เชิดขึ้น และมองมาทางเธอ!จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ และเธอก็วิ่งออกจากห้องไปเธอไม่รู้ว่าร่มอยู่ไหน ดังนั้นหลิงอี้หรานจึงหยิบผ้าห่มขึ้นมากางไว้บนหัวและวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนเพื่อไปยังสระบัว แม้ว่าผ้าห่มจะปกคลุมหัวของเธอและร่างกายบางส่วน แต่สายฝนก็ยังกระทบกับแขนและร่างกายส่วนหน้าของเธอหยดฝนเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งหลิงอี้หรานรีบวิ่งไปหาอี้จิ่นหลี อ้าปากเล็กน้อย และพูดว่า “คุณมายืนทำอะไรตรงนี้? ฝนกำลังตกนะ รีบกลับเข้าไปเถอะ”ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่ขยับเขยื้อนและยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “เธอออกมาทำไม?” น้ำเสียงเย็นชาของเขาดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสายฝนยามค่ำคืน เขาเปียกไปทั้งตัว ทั้งผมและใบหน้าของเขาเปียกไปด้วยเม็ดฝน และดวงตาดำขลับของเขาก็กำลังมองมายังเธอผ่านสายฝนที่โปรยปราย“เราค่อยคุยกันหลังจากที่คุณเข้าไปข้างในก็ได้” เธอพูดและจับแขนเพื่อดึงให้เขาเข้าไปข้างในถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ขยับเลย “ทำไมเธอถึงออกมา?” เขาถามย้ำคำถามเดิมหลิงอี้หรานไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “