Share

พันธะแค้น ชะตารัก
พันธะแค้น ชะตารัก
Author: สืออีเหนียน

บทที่ 0001

Author: สืออีเหนียน
ในยามนี้ ฝนกระหน่ำเทลงมาดุจฟ้ารั่ว อสนีบาตสาดแสงทั่วนภา

ฉินเจินนอนหายใจรวยรินอยู่ใต้หุบเขาอันมืดมิดอนธการ กระบี่เล่มหนึ่งปักอยู่ที่อกของนาง เลือดที่ไหลรินถูกฝนชะล้างจนพื้นดินเป็นสีแดงชาด

"เพราะเหตุใดกัน เหตุใดจึงต้องทำกับข้าเช่นนี้ด้วย"

นางเอ่ยถามด้วยความแค้นเคือง ดวงตาคู่นั้นพยายามมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างยากเย็น หญิงสาวที่ได้ชื่อเป็นว่าเป็นน้องสาวอันเกิดจากอนุภรรยาของผู้เป็นบิดานามฉินหงซวง ที่ในยามปกติแล้วนางจะคอยดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายอยู่เสมอ ทั้งสองคนสนิทสนมกลมเกลียวกันดียิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผู้เป็นน้องจะหลอกนางมายังหลังผา อาศัยช่วงที่นางไม่ทันระวังแทงกระบี่เข้าที่อกจนทะลุ

ความคับข้องใจ คับแค้นจิตและความผิดหวังประดังประเดเข้ามาที่อกของนาง ดวงตาก็จ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา

ฉินหงซวงก้าวเท้าออกมา มองดูฉินเจินด้วยท่าทีของผู้ถืออำนาจเหนือกว่า แม้แต่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความสะใจ หญิงสาวมองดูพี่สาวของจนที่นอนหายในแผ่วเบาแล้วค่อย ๆ แสยะยิ้มอันเยือกเย็นออกมา แม้แต่แววตาก็จ้องเอาเรื่องราวกับเคลือบไปด้วยพิษ ก่อนจะเอ่ยตอบ "ท่านพี่ หากท่านไม่ตายก็ต้องแต่งงานพี่อวี่ เรื่องเช่นนี้จะปล่อยให้เกิดขึ้นได้หรือ"

"อะ... อะไรนะ"

พี่อวี่หรือเซียวหงอวี่ องค์ชายหกในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน คู่หมั้นของฉินเจินที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก เดือนหน้าจะเป็นงานวิวาห์ของนาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคืนนี้นางจะตายเสียแล้ว

"ท่านพี่ ท่านเป็นบุตรีในเมียเอกของตระกูลฉิน มีทุกสิ่งอย่างมาตั้งแต่เด็ก ในบ้านไม่ว่ามีสิ่งใดที่ดีงามก็ล้วนแต่เป็นของท่าน แล้วพวกเราเล่า ทำได้แค่เดินตามหลังท่านเพื่อตามเก็บเอาของที่ท่านไม่ต้องการ พี่อวี่... ข้าเองก็ชอบเขา แล้วข้ายังตั้งครรภ์ลูกของเขาด้วย แล้วเหตุใดเขาถึงต้องเป็นของท่านด้วยเล่า ดังนั้นข้าถึงต้องการให้ท่านตาย ข้าต้องการให้ท่านตาย..."

ฉินหงซวงแสดงท่าทีดุร้ายขึ้นมากะทันหัน สายฝนซัดสาดใบหน้าของหญิงสาวจนมองเห็นแววตาของนางได้ไม่ชัดเจน แต่กลับไม่อาจปิดบังท่าทีอันโหดเหี้ยมของนางได้ นางร้องตวาดเสียงดังลั่น ราวกับว่าจะระบายเอาความเคียดแค้นในอกตลอดหลายปีที่ผ่านมาออกมาจนหมด

ขณะที่ร่างของฉินเจินนั้นราวกับถูกกระชากวิญญาณไป...

ลูก...

ลูกอะไรกัน

ฉินหงซวงกำลังตั้งครรภ์ลูกของเซียววงอวี่หรือ แปลว่าทั้งสองคนคบหากันมานานแล้วหรือนี่

คนหนึ่งเป็นคู่หมั้นที่นางรักมาตลอดหลายปี คนหนึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาที่นางรักและดูแลมาตลอดหลายปี สุดท้ายแล้ว พวกเขากลับลงมือกับนางเช่นนี้น่ะหรือ

นางเป็นถึงบุตรีภรรยาเอกแห่งตระกูลฉิน เป็นบุตรีในตระกูลสูงศักดิ์ ผุ้คนล้วนยกย่องชมนางว่า 'งดงามเก่งกาจเกินใคร สง่างามล้ำค่า' แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายนางจะมีจุดจบเช่นนี้ น่าขัน ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน ชีวิตอันแสนสั้นของนางช่างน่าขำสิ้นดี !

"ท่านพี่ ท่านจงจากไปอย่างวางใจเถิด น้องจะรับทุกสิ่งอย่างแทนท่านเอง"

ฉินหวงซวงก้าวออกข้างหน้า ดึงกระบี่ที่แทงอกฉินเจินขึ้นแล้วแทงลงบนร่างของนางอีกครั้ง

โลหิตไหลรินมากยิ่งขึ้น

แต่กลับไม่รู้ว่าฝนหยุดลงเมื่อใดกัน

พื้นที่เปียกชุ่มฉ่ำเองก็อาบไปด้วยโลหิตแดงฉาน

ฉินเจินรู้สึกได้เพียงแต่ความเจ็บปวดและหนาวเหน็บยิ่งนัก หญิงสาวสรู้ดีว่าตนเองเข้าใกล้ความตายแล้วและจะไม่มีใครมาช่วยนางได้

"ฉิน หง ซวง... เซียวหงอวี่เขารู้ว่า..."

หญิงสาวพยายามเอ่ยออกเสียงอย่างยากลำบาก ดวงตากลอกไปมาพลางเอ่ยถาม

"อ้อ ท่านพี่อยากถามข้าว่า พี่อวี่รู้หรือไม่ว่าข้าจะฆ่าท่านน่ะหรือ ถึงอย่างไรท่านก็จะตายอยู่แล้ว บอกท่านไปก็คงไม่เป็นไร พี่อวี่เขารู้อยู่แล้วละ จริงสิ พี่อวี่ยังบอกให้ข้าทำอะไรให้มันว่องไวไม่ยืดเยื้อด้วยละนะ มิหนำซ้ำเขายังให้สิ่งนี้กับข้า..."

ครั้นเมื่อพูดจบ เซียวหงซวงก็หยิบขวดลายครามขนาดเล็กขวดหนึ่งออกมาจากอก

"ท่านพี่ นี่คือยาสลายร่าง ขอแค่หยดลงบนแผลของท่าน ท่านก็จะค่อย ๆ เน่าเปื่อยจนเหลือเพียงกองเลือด บนโลกนี้ก็จะไม่มีท่านอยู่อีกต่อไป จะไม่มีใครรู้ว่าท่านตายอยู่ที่นี่"

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเซียวหงซวงนั้นเปี่ยมไปด้วยความอำมหิตและความสะใจ

นางเปิดขวดนั้นออก เขย่าขวดน้ำยาในมือไปมาจากนั้นก็ราดลงบนปากแผลของฉินเจิน

"อ๊าก..."

เสียงกรีดร้อง โอดคราญจนแทบขาดใจอย่างน่าเวทนา ถูกกลบด้วยเสียงฝนกระหน่ำท่ามกลางทค่ำคืนอันมืดมิด

แผดเผา ฉีกกระชาก ปริแตก เน่าเปื่อย

ยาสลายร่างซึมลึกลงในบาดแผลของฉินเจิน จนผิวกายและอวัยวะภายในของนางเริ่มเน่าเปื่อย

นางกำลังจะตาย...

ด้วยวิธีการตายที่น่าอนาถเช่นนี้

เดิมทียาสลายร่างมีไว้ใช้กับศพ แต่บัดนี้กลับถูกใช้กับบาดแผลของฉินเจิน ทำให้นางต้องเจ็บปวดกับการที่ร่างเน่าเปื่อยจนตาย

"ฉินหงซวง เซียวหงอวี่ ต่อให้ข้ากลายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป ข้าจะไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไป..."

แววตาของฉินเจินอาบไปด้วยความโกรธแค้น ผิดหวัง และไม่ยอมต่อโชคชะตา

นางมองดูตนเองตายไป เน่าเปื่อยจนเละ รับต่อความเจ็บปวดจากการที่ร่างฉีกขาด ปริออกอย่างมีสติครบถ้วน

เสียงฟ้าร้องดังครืน

อสนีที่ฟาดลงบนหินจนแตกนั้นดังกึกก้องไปทั่วฟ้า แสงวาบนั้นฉายให้เห็นใบหน้าที่เคียดแค้นและไม่ยินยอม นางจ้องมองฉินหงซวงอย่างไม่วางตา ราวกับจะนาบประทับลงในส่วนลึกของจิตวิญญาณ สายตาอันโกรธแค้นเช่นนี้ทำให้แม้แต่ฉินหงซวนก็ครั่นคร้ามขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าบาดแผลของฉินเจินค่อย ๆ เน่าเฟะทีละน้อย แววตาของฉินหงซวงก็เปี่ยมไปด้วยความมืดดำอันน่าประหลาดพลางยิ้มเยาะ "ท่านพี่ ท่านเป็นคนยังสู้ข้ามิได้เลย หากตายไปแล้วจะทำอันใดข้าได้เล่า ท่านพี่ น้องไม่ขออยู่เป็นเพื่อนท่านตรงนี้แล้ว ตอนนี้ดึกมากนัก ท่านจงค่อย ๆ ดื่มด่ำอยู่ที่นี่เสียเถอะ"

ครั้นเมื่อเอ่ยจบ หญิงสาวก็นำหมวกฟางกันฝนสวมลงบนศีรษะ

ร่างกายที่เน่าเปื่อยของฉินเจินทำให้นางไร้ซึ่งเรี่ยวร้องที่จะกรีดร้องครวญคราง มันช่างเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน

"ท่านพี่ ข้าต้องการให้ท่านตายด้วยความเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เช่นนี้ข้าถึงจะรู้สึกพึงพอใจ !"

เมื่อพูดจบ ฉินหงซวงก็สาวเท้าออกไปด้วยความเร่งรีบ ก่อนเดินจากไป นางยังหันกลับมามองร่างของฉินเจินที่อาบไปด้วยโลหิตและเนื้อหนังที่ค่อย ๆ เน่าเปื่อยสลายไป เมื่อนางมั่นใจได้แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรพี่สาวนางจะไม่มีวันกลับมาได้อีก จึงค่อยเดินออกไปด้วยความสบายใจ

เสียงฟ้าคำรามครืน... ครืน...

ฉินเจินหายใจแผ่วเบา เจ็บปวดจนชาไปทั่วกาย แต่ดวงตาคู่นั้นของนางยังคงเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอมและความโกรธแค้น

นางค่อย ๆ ยกมือขึ้นมา ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายทั้งหมดที่มีเอื้อมมือไปยังลำคอ ก่อนจะหยิบเอาจี้หยกเฟิ่งหวงออกมา หยกนี้เป็นของที่มารดาของนางทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า หญิงสาวกำมันไว้ในมือสุดแรง โลหิตสด ๆ ไหลซึมเข้าสู่หยกชิ้นนั้น นางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ

"ท่านแม่ เพราะเหตุใดกัน เหตุใดพวกเขาจึงทำกับข้าเช่นนี้ เพราะเหตุใดกัน ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม... ข้าเคียดแค้นพวกเขายิ่งนัก !"

เสียงร่ำไห้อวดครวญจนน้ำตาเป็นสายเลือด ดุจเสียงร้องโหยหวนของภูตผี

นี่คือความทุกข์และความแค้นสุดท้ายก่อนฉินเจินตาย

แต่แล้วในช่วงเวลาถัดมา...

หยกในมือของนางกลับเปล่งแสงสีชาดเป็นประกาย โอบล้อมร่างทั้งร่างของฉินเจินเอาไว้จนทั่ว

ฉินเจินเบิกตาโพลงขึ้นมาอีกครั้ง นี่มันเรื่องอันใดกัน มารดาของนางกำลังแสดงอภินิหารหรือ แต่สติของนางกลับเลือนรางลงเรื่อย ๆ ร่างกายที่เน่าเปื่อยเร็วขึ้นเพราะยาสลายร่าง ส่งผลให้ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อย ๆ มองดูฟากฟ้าอันมืดมิดด้วยความเหม่อลอย ก่อนจะสิ้นลมหายใจไปในที่สุด...

Related chapters

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0002

    เจ็บปวดเหลือเกินกระดูกทั่วทั้งร่างราวกับแหลกสลายก็มิปานฉินเจินลืมตาขึ้น พลันสายตาก็มองเห็นมุ้งสีม่วงกับห้องที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ครั้นเมื่อทวนความจำ ภาพอันน่าอนาถบนยอดเขาก็ย้อนกลับมาในห้วงความคิดจนนางลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีสะดุ้งโหยง สายตาเปี่ยมไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงมีคนช่วยนางไว้อย่างนั้นหรือไม่ เป็นไปไม่ได้ฉินหงซวงรินยาสลายร่างลงบนหน้าอกของนาง ทำให้ร่างทั้งร่างของนางเน่าเปื่อยจวบจนเหลือแค่กองเลือดทั้งเคียดแค้น ทั้งเจ็บปวดเหลือทนในยามนี้เอง ประตูก็ถูกเปิดเสียงดังแอดจนฉินเจินต้องหันขวับ แลเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่บนเกล้ามวยผมปักดอกไม้ เดินยกถาด ๆ หนึ่งเข้ามาในห้องคล้ายว่าผู้มาเยือนยังไม่ทันสังเกตเห็นในคราแรก ครั้นเมื่อหันมาเห็นว่าเจ้าของห้องลุกขึ้นมานั่ง หญิงสาวก็ตะลึงงันจนเผลอทำถาดไม้นั้นร่วงหล่นจากมือไป สายตาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ "คุณหนูฟื้นแล้ว ในที่สุดคุณหนูก็ฟื้นแล้ว ฮือ ๆ ๆ ..."หญิงสาวร้องไห้โฮเสียงดัง วิ่งเข้าหาผู้เป็นนายด้วยความดีใจจนตาแดงก่ำฉินเจินเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายก็เห็นว่าเป็นสาวใช้ที่นางไม่รู้จัก แม้พอจะคุ้นตาอยู่บ้

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0003

    ลี่ว์จู๋เห็นท่าทีของฉินเจินแล้วก็ตกใจยิ่งนัก ยิ่งพอได้เห็นท่าทีในยามนี้ของฉินเจิน น้ำตาก็ยิ่งร่วงเผาะ รู้เพียงว่าคุณหนูของนางสลบไสลจนจำอะไรไม่ได้ ในใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ "คุณหนู คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินผู้นั้นเป็นเพียงอดีตไปแล้วเจ้าค่ะ สามปีก่อน คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินนั่นหนีไปกับคนขับรถม้าของจวนก่อนที่จะเข้าพิธีอภิเษกกับองค์ชายหกเพียงไม่กี่วัน ทั้งตระกูลฉินและองค์ชายหกต่างก็กลายเป็นตัวตลกของต้าเซี่ย ทั้งที่คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินเป็นถึงต้นแบบแห่งกุลสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่กลับทำตัวให้ตระกูลเสื่อมเสียถึงเพียงนั้น ทำให้ตระกูลฉินอับอายขายหน้าจนสิ้น"ฉินเจินได้ยินดังนั้นก็แทบประคองสติไม่อยู่ทันที นางรู้สึกได้เพียงว่าเบื้องหน้านั้นดำมืด มองไม่ชัดไปเสียทุกอย่าง เห็นเพียงปากของลี่ว์จู๋ที่ขยับไปมาเท่านั้น"จะเป็นไปได้อย่างไรกัน"ฉินเจินกัดฟันกรอด ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า แต่น้ำตากลับมิได้หยดลงมาแม้เพียงหยดเดียวหากแต่ลี่ว์จู๋ที่ได้ยินกลับรีบส่ายหัวทันที "จริง ๆ นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินนั่นเขียนจดหมายทิ้งไว้เอง บอกว่ารู้จักกับคนขับรถม้านั่นมานานจนเกิดเป็นความ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0004

    ฉินเจินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ใช่สิ ตอนนี้นางคือจวินเฟยเซ่อเมื่อตั้งสติได้แล้ว ฉินเจินก็เอ่ยขึ้น "หวังเอ้อร์ ข้าต้องการพบอัครมหาเสนาบดีฉิน""เอ๊ะ ทำไมท่านถึงรู้จักชื่อข้าได้เล่า"หวังเอ้อร์เกาหัวแกรก ๆ ด้วยท่าทีงุนงง"ว่าแต่ท่านเป็นใครกันหรือ"ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งฉินเจินเม้มปากแน่น ดึงเอาผ้าคลุมหน้าออก "ข้าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลจวิน"ใช่แล้ว บัดนี้นางเป็นได้เพียงคุณหนูใหญ่ตระกูลจวิน นามจวินเฟยเซ่อเท่านั้นครั้นพอฉินเจินแจ้งชื่อเสียงเรียงนามก็เห็นได้ว่าสีหน้าของหวังเอ้อร์ดูเปี่ยมไปด้วยความตกใจ สีหน้าราวกับรู้สึกแปลกประหลาดปนอยู่ชั่วครู่ เขาพินิจพิจารณาฉินเจินอย่างถี่ถ้วน ว่าในที่สุดเขาก็เผยสีหน้าแปลก ๆ ออกมาราวกับมองเห็นได้ชัดแล้วว่าคนตรงหน้าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลจวินจริง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น "คุณหนูจวินโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะเข้าไปแจ้งให้ทราบ"เมื่อพูดจบก็ปิดประตูใหญ่บานนั้นดังปังทันที"รีบไปรายงานเสีย คุณหนูใหญ่ตระกูลจวินมาที่นี่ บอกว่ามาหาท่านเสนาบดี""ใครนะ คุณหนูใหญ่ตระกูลจวินหรือ นางมาที่ตระกูลฉินเราได้อย่างไรกัน หรือว่านางเกิดชอบคุณชายเราขึ้นมา""เร็วเข้า ๆ ๆ ไปบอกนายท่าน แ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0005

    ฉินเจินราวกับตกลงไปในธารน้ำแข็งที่แท้ความเจ็บปวดขีดสุดนั้นคือความด้านชาหญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางแดดอันร้อนแรง คล้ายได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ข้างหู โลหิตหลั่งรินอยู่ภายในใจนางรู้มาตลอดว่าบิดาเป็นเคร่งครัด ปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์อยู่เสมอ ซ้ำยังคาดหวังกับนางยิ่งกว่าอะไร แต่นางรู้ว่าบิดารักนาง ถึงแม้ว่าตอนเด็กนางจะเคยอิจฉาภาพที่เห็นว่าบิดาอุ้มฉินหงซวงหมุนรอบตัวด้วยรอยยิ้มก็ตามแต่หญิงสาวรู้ดีว่าตนเองเป็นบุตรีในภรรยาเอก เป็นผู้ที่ต้องวางตัวเป็นเยี่ยงอย่าง จะมีอิสรเสรีอย่างน้องสาวต่างมารดาได้อย่างไรกันเล่า นางพยายามเรียนอักษรกลอนกวี เรียนดนตรี หมากล้อม ภาพ อักษร ยามหน้าหนาวเดือนสิบสองก็ไม่เคยหยุดหย่อนการร่ำเรียนวิชามารยาทกุลสตรีชั้นสูง ค่อย ๆ ทำให้นางกลายเป็นต้นแบบของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ บิดาของนางก็จะตบที่บ่าของนางเบา ๆ แล้วเอ่ยชม 'ไม่เลวเลย'ทรัพย์สินในเรือน งานชุมนุมในสังคมก็เป็นนางที่ไปเข้าร่วมเสียส่วนใหญ่ นางเป็นบุตรีในภรรยาเอกของตระกูลฉิน เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลฉิน เป็นความภาคภูมิใจของบิดาแต่บัดนี้ ฉินเจินกลับตกอยู่ในความคลางแคลงใจอย่างลึกซึ้งเหมือนว่าบิดาของนางไม่เคยรักนางเลยมิเช่นน

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0006

    แววตาของฉินเจินนั้นเย็นชา อีกยังไร้ซึ่งอารมณ์ทางสีหน้าใด ๆ ดวงตาคู่นั้นดุจหิมะที่ตกลงสู่ดินจนกลายเป็นสีขาวโพลนอันเยือกเย็น มีเพียงความเย็นชาที่ฉายออกมาทางแววตาเท่านั้น หาได้มีความรู้สึกอื่นไม่ ไร้ซึ่งความโกรธ ไร้ซึ่งความแค้น ไร้ซึ่งทุกอารมณ์เซี่ยจืออั๋งยืนนิ่งอึ้งไป เขามองท่าทีของจวินเฟยเซ่อที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกขึ้นมาฉินเจินเห็นว่าว่าเซี่ยจืออั๋งจ้องนางอยู่เช่นนั้นโดยไม่ได้มีท่าทีว่าจะหลีกทางให้ นางจึงเม้มปากขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา"จวินเฟยเซ่อ เจ้าเป็นใครมาจากไหนอย่างนั้นหรือถึงได้กล้าสั่งข้า"เซี่ยจืออั๋งคำรามใส่หญิงสาวเสียงดังลั่น ดวงตาดอกท้อของเขาคู่นั้นก็เปี่ยมไปด้วยเพลิงโทสะ ราวกับว่ายิ่งเสียงของเขาดังเท่าไร ความโกรธแค้นก็ยิ่งลุกโชนขึ้นเท่านั้น มีเพียงการทำเช่นนี้ถึงจะปกปิดท่าทีที่เขาผงะไปเมื่อครู่ได้ ฉินเจินไม่อยากเสียเวลากับชายหนุ่มอีก จึงคิดจะสาวเท้าเดินอ้อมเขาเข้าไปภายในหอโดยไม่พูดอะไรสักคำหากแต่เซี่ยจืออั๋งกลับถูกท่าทีเช่นนี้ของฉินเจินทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "จวินเฟยเซ่อ นี่เจ้ากล้าเมินข้าหรือ"ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแล้วเอื้อมมือออกไปคว้าตัวฉินเจินไว้ทว่า

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0007

    เมื่อเซี่ยจืออั๋งเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีปรากฏตัวขึ้น ก็ร้องไห้โวยวายออกมาทันทีด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในยามนี้เอง ความแค้นในใจของฉินเจินค่อย ๆ สงบลง หญิงสาวปล่อยมือที่คว้าตัวเซี่ยจืออั๋งเอาไว้ สายตาละออกจากเซียวเฟิ่งชีก่อนจะกวาดตามองทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสอง ก็ไม่พบคนสวมชุดฟ้านั่นเซียวหงอวี่มิได้อยู่ที่นี่นางหลุบตาลงต่ำ ไม่เอ่ยซึ่งคำใด แต่กลับเผยให้เห็นได้ว่านางกำลังเหนื่อยล้ายิ่งนักเซี่ยจืออั๋งถูกโยนตัวลงสู่พื้นจนตาของเขากลอกไปมา ชายหนุ่มเจ็บปวดไปทั้งร่างจนพูดอะไรไม่ออก"ออกไป"เสียงอันเย็นชานั้นดังขึ้นเซียวเฟิ่งชีหมุนล้อรถเข็นจากชั้นสองลงมายังชั้นหนึ่งของหอรถเข็นของเสวียนอ๋องค่อย ๆ เคลื่อนมาทางหญิงสาว เกิดเสียงยามล้อทองคำกระทบกับพื้นกระดาน ทุกครั้งที่เกิดเสียงดังนั้นราวกับชนเข้าในใจของนาง ทำให้นางยิ่งวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นห้วงความคิดที่เคยเปี่ยมด้วยความโกรธแค้นก็สงบลงขึ้นในทันใด นางไม่ลืมว่าจวินเฟยเซ่อตายด้วยน้ำมือของเสวียนอ๋องเซียวเฟิ่งชีกระทั่งรถเข็นมาหยุดอยู่ตรงหน้านางความกดดันอันน่าหวาดกลัวก็พุ่งตรงเข้ามาเช่นกัน"นี่ฟื้นขึ้นมาได้แล้วหรือ"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยขึ้นด

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0008

    นางเอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ทว่าเซียวเฟิ่งชีก็ได้ยินมัน ลูกน้องที่เป็นชายชุดดำทั้งสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็ได้ยินแล้วเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันที กระบี่ที่อยู่ในมือพร้อมเข้าฟาดฟันร่างของฉินเจินจนเกือบควบคุมไม่อยู่แต่ใบหน้างดงามอันเย็นชาของฉินเจินในบัดนี้กลับมิได้แสดงซึ่งสีหน้าใด ๆ ดวงตาทั้งสองข้างก็จับจ้องไปยังเซียวเฟิ่งชี"ชีพจรอยู่ไม่นิ่ง พิษเข้าสู่ปอด อยู่ได้นานสุดอีกสามเดือน"นางเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งแม้จะเป็นการพูดอย่างไม่รีบร้อน แต่กลับทำให้คนฟังวิตกกังวลยิ่งเซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่เย็นชาภายใต้หน้ากากของเขาประสานเข้ากับดวงตาของหญิงสาวเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครส่งเสียงอันใดออกมา...ชาติภพก่อน ฉินเจินมีความลับอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครเคยได้รู้ กระทั่งอดีตคู่หมั้นของนางอย่างเซียวหงอวี่ก็ไม่รู้เช่นกันยามที่นางอายุยังน้อย เคยได้ติดตามท่านยายในตระกูลไปไว้พระขอพรให้แก่ตระกูลฉินที่วัดเชียนอวิ๋น ต้องจำศีลกินเจอยู่ในวัดถึงเจ็ดวัน แต่เพราะนางติดเล่นสนุกจึงแอบหนีไปเล่นหลังเขาและได้ช่วยชายชราคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ชายชราผู้นั้นนอนหายใจรวยริน

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0009

    เสียงของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง เปี่ยมไปด้วยความเสียใจสุดคณานับฉินเจินเม้มริมฝีปาก นางพยายามจะเอ่ยปากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็เรียกว่าท่านพ่อไม่ได้เสียทีเมื่อครู่นางเพิ่งถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉิน ความรู้สึกในใจนั้นยังมิทันได้ปรับตัวได้ แล้วจะเรียกได้อย่างไรกัน จะไม่เป็นการผิดต่อความรู้สึกหรือจวินเหลยถิงมองดูลูกสาวที่เย็นชาห่างเหินแล้วก็ยิ่งปวดใจจนไม่อาจรับได้อีก แต่ในยามนี้เอง จู่ ๆ เสียงของเซี่ยจืออั๋งก็ดังโวยวายขึ้น "แม่ทัพจวิน ท่านมาพอดีเลย ท่านดูลูกสาวตัวดีที่ท่านเลี้ยงมาสิ นี่เพิ่งฟื้นมาก็จะมาดักรอพี่ชายข้าที่หอฮุ่ยอิงแล้ว นอกจากจะทำร้ายข้าจนสาหัสแล้วยังกล้าหยอกล้อ ลวนลามพี่ชายข้าอีก ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า"เซี่ยจืออันตวาดขึ้นมา เขานอนแผ่อยู่บนพื้นอยู่นานสองนาน ความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าอะไร เลยถือโอกาสนี้หาใครสักคนระบายอารมณ์ ร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีจวินเหลยถิงที่กำลังปวดใจดุจมีดกรีดแทงอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยจืออั๋งก็หันขวับไปมอง จึงได้พบว่าที่แท้ยังมีคนนอนอยู่บนพื้นอีกคน อ้อ... ที่แท้ก็คือเซี่ยซือจื่อที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงไม่ย

Latest chapter

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0040

    เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0039

    เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0038

    แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0037

    ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี"  ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0036

    ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0035

    เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0034

    ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ"  เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0033

    ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0032

    ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status