Share

บทที่ 0002

Author: สืออีเหนียน
เจ็บปวดเหลือเกิน

กระดูกทั่วทั้งร่างราวกับแหลกสลายก็มิปาน

ฉินเจินลืมตาขึ้น พลันสายตาก็มองเห็นมุ้งสีม่วงกับห้องที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ครั้นเมื่อทวนความจำ ภาพอันน่าอนาถบนยอดเขาก็ย้อนกลับมาในห้วงความคิดจนนางลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีสะดุ้งโหยง สายตาเปี่ยมไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

มีคนช่วยนางไว้อย่างนั้นหรือ

ไม่ เป็นไปไม่ได้

ฉินหงซวงรินยาสลายร่างลงบนหน้าอกของนาง ทำให้ร่างทั้งร่างของนางเน่าเปื่อยจวบจนเหลือแค่กองเลือด

ทั้งเคียดแค้น ทั้งเจ็บปวดเหลือทน

ในยามนี้เอง ประตูก็ถูกเปิดเสียงดังแอดจนฉินเจินต้องหันขวับ แลเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่บนเกล้ามวยผมปักดอกไม้ เดินยกถาด ๆ หนึ่งเข้ามาในห้อง

คล้ายว่าผู้มาเยือนยังไม่ทันสังเกตเห็นในคราแรก ครั้นเมื่อหันมาเห็นว่าเจ้าของห้องลุกขึ้นมานั่ง หญิงสาวก็ตะลึงงันจนเผลอทำถาดไม้นั้นร่วงหล่นจากมือไป สายตาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ "คุณหนูฟื้นแล้ว ในที่สุดคุณหนูก็ฟื้นแล้ว ฮือ ๆ ๆ ..."

หญิงสาวร้องไห้โฮเสียงดัง วิ่งเข้าหาผู้เป็นนายด้วยความดีใจจนตาแดงก่ำ

ฉินเจินเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายก็เห็นว่าเป็นสาวใช้ที่นางไม่รู้จัก แม้พอจะคุ้นตาอยู่บ้าง แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใดมาก่อน

"เจ้าเป็นใครกัน"

ฉินเจินเอ่ยถามออกมาตามสัญชาตญาณ

ทว่า ทันทีที่เอ่ยจบ นางก็เห็นได้ว่าสาวใช้ผู้นั้นชะงักค้างอยู่กับที่ไปเสียแล้ว "คุณหนูใหญ่ บ่าวคือลี่ว์จู๋อย่างไรเจ้าคะ ท่านจำบ่าวไม่ได้แล้วหรือ ฮือ..."

เมื่อกล่าวจบ หยดน้ำตาก็ไหลรินไม่หยุด

"ลี่ว์จู๋หรือ"

ฉินเจินพึมพำย้อนถามด้วยความแปลกใจ แม้ในใจผุดความสงสัยขึ้นมา หากแต่สีหน้ากลับคงไว้ซึ่งความเรียบเฉย หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอน เพียงสองขาก้าวลงสู่พื้นก็เกิดอาการเวียนหัวจนเกือบสะดุดล้มกลับไปบนเตียง ร่างกายของนางในตอนนี้อ่อนแอยิ่งนัก

"คุณหนู ท่านคิดจะทำอะไรหรือ ท่านเพิ่งจะฟื้นมา ร่างกายยังอ่อนแอนัก ตอนนี้ยังเดินเองไม่ได้นะเจ้าคะ"

สาวใช้นามลี่ว์จู๋รีบรุดเข้ามาพยุงผู้เป็นนายเอาไว้

"เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนู แล้วที่นี่คือที่ใดกันหรือ"

ฉินเจินถามขึ้นอีกครา

ความสงสัยในใจบังเกิดมากยิ่งขึ้น

สีหน้าตื่นตกใจของลี่ว์จู๋เองก็ดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน "คุณหนู ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ ที่นี่คือจวนแม่ทัพอย่างไรเล่า ท่านเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพ"

สาวใช้รีบอธิบายในทันที

ฉินเจินได้ยินดังนั้นก็เผลอเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ คุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพหรือ

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าแรงขึ้นหลายส่วนก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นนั่ง "เอากระจกทองแดงมา"

ฉินเจินเอ่ยขึ้น

แม้ยามนี้ภายในใจของนางจะเปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่นเพียงใด แต่สีหน้ากลับเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์

หญิงสาวกวาดตามองไปรอบห้อง พบว่าภายในห้องไม่มีกระจกทองแดงเลยสักบาน

"คุณหนูจะเอากระจกทองแดงไปทำอะไรเจ้าคะ ตอนนี้คุณหนูไม่สบายตัวตรงไหนบ้างหรือไม่ บ่าวจะไปเรียกคนให้ไปแจ้งท่านแม่ทัพใหญ่เดี๋ยวนี้..."

สาวใช้ลี่ว์จู๋ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งแสดงท่าทีร้อนใจ ฉินเจินจึงเงยหน้ามองนาง "เจ้าไม่อยากให้ข้าส่องกระจกหรือ"

เพียงมองปราดเดียว หญิงสาวก็อ่านความคิดของสาวใช้ตรงหน้าได้

"ไม่ใช่เจ้าค่ะ..."

"ไปเอามา"

ฉินเจินสำทับขึ้นอีกครั้ง

ครานี้สาวใช้ลี่ว์จู๋ไม่อาจคัดค้านฉินเจินได้อีก นางสาวเท้าออกไปนอกห้อง ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกระจกทองแดงบางหนึ่งในมือ

"คุณหนูเจ้าคะ คือว่า..."

"เอามาให้ข้า"

ฉินเจินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

ลี่ว์จู๋ได้ยินดังนั้นจึงส่งกระจกให้นางด้วยท่าทีอึกอัก ในใจก็เต็มไปด้วยความหวั่นเกรง นางสัมผัสได้ว่าคุณหนูใหญ่ของนางเปลี่ยนไปมากนักหลังฟื้นขึ้นมาในครั้งนี้

เพียงฉินเจินยกกระจกในมือขึ้นก็สะท้อนให้เห็นได้ถึงรูปลักษณ์ของนาง หญิงสาวภายในกระจกนั้นมีใบหน้างดงาม หว่างคิ้วดูมีความเย็นชา ผิวขาวเนียนละเอียด ทว่ากลับปรากฏรอยแผลเป็นยาวขึ้นบนหน้าผากขาวเอิบอิ่มนั่น ทำลายความงามบนใบหน้าไปจนหมด

ฉินเจินนิ่งงันไป นางมองภาพตรงหน้าด้วยใจระทึกพลางเผลอพลั้งยื่นมือไปลูบกระจก ก็เห็นได้ว่าหญิงสาวในกระจกกำลังทำท่าทางเดียวกันกับนาง

นี่มัน...

ฉินเจินมองดูหญิงสาวในกระจก ฉับพลันในหัวก็ปรากฏเงาของคนคนหนึ่ง เฟยเซ่อแห่งตระกูลจวิน

บุตรีแห่งแม่ทัพใหญ่จวินเหลยถิง ผู้นำฝ่ายบู๊แคว้นต้าเซี่ย

หญิงสาวผู้ก่อเรื่องโดยไม่กลัวเกรงสิ่งใด หยิ่งยโส ด้วยอาศัยอำนาจบารมีจากผลงานของผู้เป็นบิดา

ปกติจวินเฟยเซ่อจะสวมอาภรณ์สีแดงชาด ในมือถือแส้ ขี่ม้าไปทั่วท้องถนนของเมืองหลวงด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง เป็นหญิงสาวในตระกูลสูงศักดิ์ที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

ภาพทุกอย่างทำให้ฉินเจินถึงกับส่งเสียงไม่ออก

นางไม่มีทางจำใบหน้านี้ผิดเพี้ยนไปแน่ ต่อให้ตอนนี้จะมีรอยแผลเป็นอันน่าอัปลักษณ์ปรากฏขึ้นบนหน้าผากก็ตาม

ใช่แล้ว ภาพจำที่นางมีต่อจวินเฟยเซ่อนั้นเรียกได้ว่างดงามไม่เป็นรองใคร แม้นิสัยจะเย่อหยิ่งไม่ยอมคน แต่กลับมีความงามที่ชวนให้คนตกตะลึง

แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเล่า

นางตายอย่างน่าอนาถอยู่บนยอดเขา ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เกิดใหม่กลายเป็นจวินเฟยเซ่อไปแล้วหรือ เช่นนั้นจวินเฟยเซ่อตัวจริงหายไปไหนเสียแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่

ภายในใจของฉินเจินในตอนนี้ดุจมีคลื่นซัดถาโถม สายตาได้แต่จ้องมองกระจกอยู่เนิ่นนานโดยไม่เอ่ยคำใด

"คุณ... คุณหนูเจ้าคะ ท่าน... ท่านอย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ บ่าวคิดว่ารอยแผลเป็นนี่ก็ดูดีมากเช่นกัน เหมือนจันทร์เสี้ยวก็มิปาน มัน..."

"เกิดเรื่องอะไรขึ้น"

ฉินเจินเอ่ยปากถามอีกฝ่ายโดยไม่รอให้สาวใช้ได้เอ่ยจบ

ลี่ว์จู๋ได้ยินฉินเจินเอ่ยถามเช่นนั้น น้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาทันที "คุณหนู ท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ หรือเจ้าคะ"

ฉินเจินได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ

ลี่ว์จู๋เห็นดังนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาในทันที แล้วจึงค่อยเอ่ยตอบอีกฝ่าย "สิบวันก่อน คุณหนูได้ข่าวเรื่องที่เสวียนอ๋องจะไปบ่อหยกของราชวงศ์ ท่านก็เลยแอบตามไปด้วย แต่ถูกเสวียนอ๋องพบเข้าเลยทำร้ายท่านจนสาหัส ก่อนจะส่งกลับมาที่จวนแม่ทัพ คุณหนูสลบไสลไม่ฟื้นมาได้สิบวันเต็ม ๆ แล้วเจ้าค่ะ"

ลี่ว์จู๋เอ่ยไปพลางร้องไห้ไปพลางด้วย

เสวียนอ๋องเซียวเฟิ่งชีน่ะหรือ

มีคนร่ำลือถึงเสวียนอ๋องผู้นี้มากนัก เป็นพระโอรสองค์เล็กในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มารดาของเขาคือพระสนมเสวี่ยกุ้ยเฟยที่ได้รับความรักความโปรดปรานจากฮ่องเต้มาตลอดยี่สิบปี ขณะที่เซียวเฟิ่งชีเองก็เป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้ทรงหมายมั่นปั้นมือมากที่สุด แต่เสวียนอ๋องกลับมีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด ขาทั้งสองข้างก็พิการ ทำได้เพียงนั่งรถเข็นสัญจรไปมา จึงมิอาจแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท กลายเป็นความเสียใจสุดซึ้งของฮ่องเต้ จึงได้แต่งตั้งให้เซียวเฟิ่งชีเป็นอ๋องตั้งแต่สามขวบ พระราชทานนาม "เฟิ่ง" พร้อมจวนและที่ดินศักดินาให้

และด้วยเหตุนี้ เซียวเฟิ่งชีจึงกลายเป็นคนที่เหล่าพระโอรสทั้งหลายต่างพากันเอาอกเอาใจมากที่สุดในวังหลวง

เพราะเขาได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากที่สุด แต่ก็มิได้คิดแย่งชิงราชบัลลังก์

แต่จากคำร่ำลือแล้ว เซียวเฟิ่งชีผู้นี้เป็นคนเย็นชา อารมณ์ร้ายไม่อยู่กับร่องกับรอย และไม่พิศวาสในกามารมณ์

ดังนั้น เพราะจวินเฟยเซ่อไปแอบดูเสวียนอ๋องเซียวเฟิ่งชีอาบน้ำ จึงถูกทำร้ายที่ศีรษะจนบาดเจ็บสาหัส สลบไปสิบวัน จนกระทั่งนางมาเกิดใหม่ในร่างนี้น่ะหรือ

แล้วจวินเฟยเซ่อเล่า นางตายไปแล้วหรือไรกัน

แล้วตัวนางเองเล่า

ฉินเจินข่มความเจ็บปวดที่ปะทุอยู่ในอกพลางเอ่ยปากถาม "ตอนนี้คือปีใดเดือนใดกันหรือ"

ลี่ว์จู๋สะอึกสะอื้น พอคิดว่าคุณหนูใหญ่ของตนสลบไปสิบวันครั้นตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้ นางก็นึกปวดใจยิ่งนัก แต่ก็ยังคงตอบไปตามสัญชาตญาณ "คุณหนู ตอนนี้คือรัชศกผิงลี่ ปีที่สามสิบหกเจ้าค่ะ"

ฉินเจินเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบ รัชศกผิงลี่ปีที่สามสิบหกหรือ แต่ตอนที่นางตายนั้นอยู่ในรัชศกผิงลี่ปีที่สามสิบสาม เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านมาถึงสามปีแล้วหรือ

สามปี...

ทั้งที่เรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แท้ ๆ

ฉินเจินหลับตาลง นึกถึงภาพอันน่าอนาถ นึกถึงความรู้สึกที่ร่างกายแหลกเหลวทั้งที่ยังมีลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ "บุตรีในภรรยาเอกของตระกูลฉิน นามฉินเจิน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง"

"หา"

ลี่ว์จู๋ตั้งสติรับคำถามนั้นไม่ทัน นางเบิกตาโตพลางกะพริบตาปริบ ๆ ทันใดก็เห็นว่าคุณหนูของนางกำลังมองมาด้วยสายตาเย็นชา เป็นแววตาที่เย็นยะเยือกจนลี่ว์จู๋นิ่งอึ้งไป รับรู้ได้เพียงว่าแววตาของคุณหนูน่ากลัวนัก ปากก็เริ่มเบะคล้ายจะร้องไห้อีกครา นางเป็นถึงสาวใช้ที่คุณหนูเคยบอกว่าชอบที่สุด แต่ตอนนี้คุณหนูกลับจ้องมองนางแล้วยังจำนางไม่ได้อีก

ฮือ...

"บุตรีในภรรยาเอกของตระกูลฉินนามฉินเจิน เจ้ารู้จักหรือไม่"

ฉินเจินถามย้ำขึ้นอีกรอบ

ลี่ว์จู๋ที่เรียกสติกลับมาได้แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ "รู้จักสิเจ้าคะ คุณหนูถามถึงนางไปทำไมหรือ คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินผู้นั้นหนีตามบุรุษไปสามปีแล้วเจ้าค่ะ หากท่านไม่พูดถึงนาง บ่าวคงแทบลืมไปแล้วว่ามีคนคนนี้อยู่"

"หนีตามไปกับบุรุษ หนีตามไปกับบุรุษอย่างนั้นหรือ"

ฉินเจินเงยหน้าขึ้นฉับพลันพลางเอื้อมมือไปคว้ามือของลี่ว์จู๋ไว้ด้วยท่าทีร้อนรน แววตาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง "นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าเล่ามาอย่างละเอียดที บุตรีในภรรยาเอกของตระกูลฉินหนีตามผู้ชายไปได้อย่างไรกัน แล้วหนีตามใครไป"

Related chapters

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0003

    ลี่ว์จู๋เห็นท่าทีของฉินเจินแล้วก็ตกใจยิ่งนัก ยิ่งพอได้เห็นท่าทีในยามนี้ของฉินเจิน น้ำตาก็ยิ่งร่วงเผาะ รู้เพียงว่าคุณหนูของนางสลบไสลจนจำอะไรไม่ได้ ในใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ "คุณหนู คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินผู้นั้นเป็นเพียงอดีตไปแล้วเจ้าค่ะ สามปีก่อน คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินนั่นหนีไปกับคนขับรถม้าของจวนก่อนที่จะเข้าพิธีอภิเษกกับองค์ชายหกเพียงไม่กี่วัน ทั้งตระกูลฉินและองค์ชายหกต่างก็กลายเป็นตัวตลกของต้าเซี่ย ทั้งที่คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินเป็นถึงต้นแบบแห่งกุลสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่กลับทำตัวให้ตระกูลเสื่อมเสียถึงเพียงนั้น ทำให้ตระกูลฉินอับอายขายหน้าจนสิ้น"ฉินเจินได้ยินดังนั้นก็แทบประคองสติไม่อยู่ทันที นางรู้สึกได้เพียงว่าเบื้องหน้านั้นดำมืด มองไม่ชัดไปเสียทุกอย่าง เห็นเพียงปากของลี่ว์จู๋ที่ขยับไปมาเท่านั้น"จะเป็นไปได้อย่างไรกัน"ฉินเจินกัดฟันกรอด ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า แต่น้ำตากลับมิได้หยดลงมาแม้เพียงหยดเดียวหากแต่ลี่ว์จู๋ที่ได้ยินกลับรีบส่ายหัวทันที "จริง ๆ นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินนั่นเขียนจดหมายทิ้งไว้เอง บอกว่ารู้จักกับคนขับรถม้านั่นมานานจนเกิดเป็นความ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0004

    ฉินเจินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ใช่สิ ตอนนี้นางคือจวินเฟยเซ่อเมื่อตั้งสติได้แล้ว ฉินเจินก็เอ่ยขึ้น "หวังเอ้อร์ ข้าต้องการพบอัครมหาเสนาบดีฉิน""เอ๊ะ ทำไมท่านถึงรู้จักชื่อข้าได้เล่า"หวังเอ้อร์เกาหัวแกรก ๆ ด้วยท่าทีงุนงง"ว่าแต่ท่านเป็นใครกันหรือ"ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งฉินเจินเม้มปากแน่น ดึงเอาผ้าคลุมหน้าออก "ข้าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลจวิน"ใช่แล้ว บัดนี้นางเป็นได้เพียงคุณหนูใหญ่ตระกูลจวิน นามจวินเฟยเซ่อเท่านั้นครั้นพอฉินเจินแจ้งชื่อเสียงเรียงนามก็เห็นได้ว่าสีหน้าของหวังเอ้อร์ดูเปี่ยมไปด้วยความตกใจ สีหน้าราวกับรู้สึกแปลกประหลาดปนอยู่ชั่วครู่ เขาพินิจพิจารณาฉินเจินอย่างถี่ถ้วน ว่าในที่สุดเขาก็เผยสีหน้าแปลก ๆ ออกมาราวกับมองเห็นได้ชัดแล้วว่าคนตรงหน้าคือคุณหนูใหญ่ตระกูลจวินจริง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น "คุณหนูจวินโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะเข้าไปแจ้งให้ทราบ"เมื่อพูดจบก็ปิดประตูใหญ่บานนั้นดังปังทันที"รีบไปรายงานเสีย คุณหนูใหญ่ตระกูลจวินมาที่นี่ บอกว่ามาหาท่านเสนาบดี""ใครนะ คุณหนูใหญ่ตระกูลจวินหรือ นางมาที่ตระกูลฉินเราได้อย่างไรกัน หรือว่านางเกิดชอบคุณชายเราขึ้นมา""เร็วเข้า ๆ ๆ ไปบอกนายท่าน แ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0005

    ฉินเจินราวกับตกลงไปในธารน้ำแข็งที่แท้ความเจ็บปวดขีดสุดนั้นคือความด้านชาหญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางแดดอันร้อนแรง คล้ายได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ข้างหู โลหิตหลั่งรินอยู่ภายในใจนางรู้มาตลอดว่าบิดาเป็นเคร่งครัด ปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์อยู่เสมอ ซ้ำยังคาดหวังกับนางยิ่งกว่าอะไร แต่นางรู้ว่าบิดารักนาง ถึงแม้ว่าตอนเด็กนางจะเคยอิจฉาภาพที่เห็นว่าบิดาอุ้มฉินหงซวงหมุนรอบตัวด้วยรอยยิ้มก็ตามแต่หญิงสาวรู้ดีว่าตนเองเป็นบุตรีในภรรยาเอก เป็นผู้ที่ต้องวางตัวเป็นเยี่ยงอย่าง จะมีอิสรเสรีอย่างน้องสาวต่างมารดาได้อย่างไรกันเล่า นางพยายามเรียนอักษรกลอนกวี เรียนดนตรี หมากล้อม ภาพ อักษร ยามหน้าหนาวเดือนสิบสองก็ไม่เคยหยุดหย่อนการร่ำเรียนวิชามารยาทกุลสตรีชั้นสูง ค่อย ๆ ทำให้นางกลายเป็นต้นแบบของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ บิดาของนางก็จะตบที่บ่าของนางเบา ๆ แล้วเอ่ยชม 'ไม่เลวเลย'ทรัพย์สินในเรือน งานชุมนุมในสังคมก็เป็นนางที่ไปเข้าร่วมเสียส่วนใหญ่ นางเป็นบุตรีในภรรยาเอกของตระกูลฉิน เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลฉิน เป็นความภาคภูมิใจของบิดาแต่บัดนี้ ฉินเจินกลับตกอยู่ในความคลางแคลงใจอย่างลึกซึ้งเหมือนว่าบิดาของนางไม่เคยรักนางเลยมิเช่นน

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0006

    แววตาของฉินเจินนั้นเย็นชา อีกยังไร้ซึ่งอารมณ์ทางสีหน้าใด ๆ ดวงตาคู่นั้นดุจหิมะที่ตกลงสู่ดินจนกลายเป็นสีขาวโพลนอันเยือกเย็น มีเพียงความเย็นชาที่ฉายออกมาทางแววตาเท่านั้น หาได้มีความรู้สึกอื่นไม่ ไร้ซึ่งความโกรธ ไร้ซึ่งความแค้น ไร้ซึ่งทุกอารมณ์เซี่ยจืออั๋งยืนนิ่งอึ้งไป เขามองท่าทีของจวินเฟยเซ่อที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกขึ้นมาฉินเจินเห็นว่าว่าเซี่ยจืออั๋งจ้องนางอยู่เช่นนั้นโดยไม่ได้มีท่าทีว่าจะหลีกทางให้ นางจึงเม้มปากขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา"จวินเฟยเซ่อ เจ้าเป็นใครมาจากไหนอย่างนั้นหรือถึงได้กล้าสั่งข้า"เซี่ยจืออั๋งคำรามใส่หญิงสาวเสียงดังลั่น ดวงตาดอกท้อของเขาคู่นั้นก็เปี่ยมไปด้วยเพลิงโทสะ ราวกับว่ายิ่งเสียงของเขาดังเท่าไร ความโกรธแค้นก็ยิ่งลุกโชนขึ้นเท่านั้น มีเพียงการทำเช่นนี้ถึงจะปกปิดท่าทีที่เขาผงะไปเมื่อครู่ได้ ฉินเจินไม่อยากเสียเวลากับชายหนุ่มอีก จึงคิดจะสาวเท้าเดินอ้อมเขาเข้าไปภายในหอโดยไม่พูดอะไรสักคำหากแต่เซี่ยจืออั๋งกลับถูกท่าทีเช่นนี้ของฉินเจินทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "จวินเฟยเซ่อ นี่เจ้ากล้าเมินข้าหรือ"ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแล้วเอื้อมมือออกไปคว้าตัวฉินเจินไว้ทว่า

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0007

    เมื่อเซี่ยจืออั๋งเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีปรากฏตัวขึ้น ก็ร้องไห้โวยวายออกมาทันทีด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในยามนี้เอง ความแค้นในใจของฉินเจินค่อย ๆ สงบลง หญิงสาวปล่อยมือที่คว้าตัวเซี่ยจืออั๋งเอาไว้ สายตาละออกจากเซียวเฟิ่งชีก่อนจะกวาดตามองทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสอง ก็ไม่พบคนสวมชุดฟ้านั่นเซียวหงอวี่มิได้อยู่ที่นี่นางหลุบตาลงต่ำ ไม่เอ่ยซึ่งคำใด แต่กลับเผยให้เห็นได้ว่านางกำลังเหนื่อยล้ายิ่งนักเซี่ยจืออั๋งถูกโยนตัวลงสู่พื้นจนตาของเขากลอกไปมา ชายหนุ่มเจ็บปวดไปทั้งร่างจนพูดอะไรไม่ออก"ออกไป"เสียงอันเย็นชานั้นดังขึ้นเซียวเฟิ่งชีหมุนล้อรถเข็นจากชั้นสองลงมายังชั้นหนึ่งของหอรถเข็นของเสวียนอ๋องค่อย ๆ เคลื่อนมาทางหญิงสาว เกิดเสียงยามล้อทองคำกระทบกับพื้นกระดาน ทุกครั้งที่เกิดเสียงดังนั้นราวกับชนเข้าในใจของนาง ทำให้นางยิ่งวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นห้วงความคิดที่เคยเปี่ยมด้วยความโกรธแค้นก็สงบลงขึ้นในทันใด นางไม่ลืมว่าจวินเฟยเซ่อตายด้วยน้ำมือของเสวียนอ๋องเซียวเฟิ่งชีกระทั่งรถเข็นมาหยุดอยู่ตรงหน้านางความกดดันอันน่าหวาดกลัวก็พุ่งตรงเข้ามาเช่นกัน"นี่ฟื้นขึ้นมาได้แล้วหรือ"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยขึ้นด

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0008

    นางเอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ทว่าเซียวเฟิ่งชีก็ได้ยินมัน ลูกน้องที่เป็นชายชุดดำทั้งสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็ได้ยินแล้วเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันที กระบี่ที่อยู่ในมือพร้อมเข้าฟาดฟันร่างของฉินเจินจนเกือบควบคุมไม่อยู่แต่ใบหน้างดงามอันเย็นชาของฉินเจินในบัดนี้กลับมิได้แสดงซึ่งสีหน้าใด ๆ ดวงตาทั้งสองข้างก็จับจ้องไปยังเซียวเฟิ่งชี"ชีพจรอยู่ไม่นิ่ง พิษเข้าสู่ปอด อยู่ได้นานสุดอีกสามเดือน"นางเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งแม้จะเป็นการพูดอย่างไม่รีบร้อน แต่กลับทำให้คนฟังวิตกกังวลยิ่งเซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่เย็นชาภายใต้หน้ากากของเขาประสานเข้ากับดวงตาของหญิงสาวเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครส่งเสียงอันใดออกมา...ชาติภพก่อน ฉินเจินมีความลับอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครเคยได้รู้ กระทั่งอดีตคู่หมั้นของนางอย่างเซียวหงอวี่ก็ไม่รู้เช่นกันยามที่นางอายุยังน้อย เคยได้ติดตามท่านยายในตระกูลไปไว้พระขอพรให้แก่ตระกูลฉินที่วัดเชียนอวิ๋น ต้องจำศีลกินเจอยู่ในวัดถึงเจ็ดวัน แต่เพราะนางติดเล่นสนุกจึงแอบหนีไปเล่นหลังเขาและได้ช่วยชายชราคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ชายชราผู้นั้นนอนหายใจรวยริน

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0009

    เสียงของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง เปี่ยมไปด้วยความเสียใจสุดคณานับฉินเจินเม้มริมฝีปาก นางพยายามจะเอ่ยปากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็เรียกว่าท่านพ่อไม่ได้เสียทีเมื่อครู่นางเพิ่งถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉิน ความรู้สึกในใจนั้นยังมิทันได้ปรับตัวได้ แล้วจะเรียกได้อย่างไรกัน จะไม่เป็นการผิดต่อความรู้สึกหรือจวินเหลยถิงมองดูลูกสาวที่เย็นชาห่างเหินแล้วก็ยิ่งปวดใจจนไม่อาจรับได้อีก แต่ในยามนี้เอง จู่ ๆ เสียงของเซี่ยจืออั๋งก็ดังโวยวายขึ้น "แม่ทัพจวิน ท่านมาพอดีเลย ท่านดูลูกสาวตัวดีที่ท่านเลี้ยงมาสิ นี่เพิ่งฟื้นมาก็จะมาดักรอพี่ชายข้าที่หอฮุ่ยอิงแล้ว นอกจากจะทำร้ายข้าจนสาหัสแล้วยังกล้าหยอกล้อ ลวนลามพี่ชายข้าอีก ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า"เซี่ยจืออันตวาดขึ้นมา เขานอนแผ่อยู่บนพื้นอยู่นานสองนาน ความเจ็บปวดทั่วร่างทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าอะไร เลยถือโอกาสนี้หาใครสักคนระบายอารมณ์ ร้องโอดโอยขึ้นมาทันทีจวินเหลยถิงที่กำลังปวดใจดุจมีดกรีดแทงอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยจืออั๋งก็หันขวับไปมอง จึงได้พบว่าที่แท้ยังมีคนนอนอยู่บนพื้นอีกคน อ้อ... ที่แท้ก็คือเซี่ยซือจื่อที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงไม่ย

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0010

    ของในมือเขาเป็นกล่องไม้เคลือบสีดำ บนกล่องสลักเป็นลวดลายดอกไม้อันวิจิตรบริวารของเซียวเฟิ่งชีก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อรับกล่องนั้นไป แล้วส่งให้แก่เซียวเฟิ่งชีฉินเจินเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองเช่นกัน นางต้องการรู้ว่าจวินเหลยถิงมอบอะไรให้แก่เซียวเฟิ่งชีครั้นเมื่อกล่องนั้นถูกเปิดออก ก็เห็นป้ายเหล็กรูปทรงคล้ายกระเบื้องหลังคาปรากฏอยู่ตรงหน้า บนป้ายเหล็กนั้นหลักตัวอักษรไว้มาก แต่ตัวอักษรใหญ่ด้านบนสุดนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของฉินเจินแจ่มชัดที่สุด ป้ายเหล็กอักษรชาดฉินเจินสูดลมหายใจเข้าไปเบา ๆ ด้วยความตกใจ แม้แต่ดวงตาที่แดงก่ำก็ค่อย ๆ เบิกกว้างบนป้ายเหล็กนั้น สลักไว้ซึ่งคุณงามความดีที่ตระกูลจวินทั้งสี่รุ่นได้ทำเพื่อราชวงศ์ต้าเซี่ย มีระบุเวลาที่พระราชทาน ชื่อสกุล ยศศักดิ์ ที่ดินของผู้ที่ได้รับพระราชทาน เป็นเกียรติยศพิเศษและรางวัลที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบให้ต่อตระกูลจวินป้ายเหล็กอักษรชาด คือป้ายละเว้นโทษตาย !ฉินเจินตื่นตะลึงในสิ่งที่เห็น นางคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่จวินเหลยถิงมอบให้เสวียนอ๋องจะเป็นป้ายละเว้นโทษตายที่มีความสำคัญมากเช่นนี้ นี่เป็นเกียรติยศอันหาที่สุดมิได้ของตระกูล เป็นของที่สำคัญที่สุดใน

Latest chapter

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0040

    เดิมทีเซียวเฟิ่งชีเป็นคนที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว ในยามที่เขาจ้องมองคน ความกดดันจึงมากยิ่งกว่าเดิม"มีอะไรหรือเพคะ บนหน้าหม่อมฉันมีอะไรติดอยู่หรือ"ฉินเจินเห็นว่าเซียวเฟิ่งชีจ้องมองตนเองอยู่จึงเอ่ยถามออกไป"เจ้าไม่รู้เชียวหรือว่าคราวก่อนที่ข้าพิษกำเริบคือเมื่อใด"จู่ ๆ เซียวเฟิ่งชีก็เอ่ยถามขึ้นฉินเจินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ จึงถามขึ้นทันที "หม่อมฉันจะทราบได้อย่างไรเพคะ"เซียวเฟิ่งชีนิ่งขรึมไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีกเหลิ่งมู่เองก็เงยหน้ามองฉินเจินคล้ายอยากพูดอะไร แต่ก็มิได้พูดออกมาแม้แต่เฝิงเฉินเองก็เหมือนว่าอยากพูดอะไรขึ้นมาเช่นกันฉินเจินรู้สึกแปลกกับท่าทีของทุกคนอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยกับเฝิงเฉินด้วยความสุภาพ "คุณชายเฝิง แม้วิชาแพทย์ของข้าจะพอใช้ได้ แต่ลำพังแค่การจับชีพจรนั้นไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าท่านอ๋องมีอาการพิษกำเริบครั้งล่าสุดเมื่อใดกัน""เหอะ..."แต่แล้วเซียวเฟิ่งชีกลับยิ้มเยาะออกมารัศมีที่เซียวเฟิ่งชีแผ่ออกมานั้นเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพียงเขายกมือขึ้น ด้ายสีทองก็สว่างวาบจากนิ้วของเขาดุจสายฟ้า พุ่งตรงไปยังฉินเจิน เพียงครู่เดียวก็รัดลำคอของหญิงสาวไว้อีกครา"เสวียนอ๋อง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0039

    เฝิงเฉินเอ่ยถามออกมาสายตาของเขาแฝงด้วยความหวัง การรอคอย รวมถึงความสับสนและความเจ็บปวดจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขา เป็นกระทั่งผู้ที่นำทางให้เขาสนใจเรียนวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิตกลับไม่อาจช่วยชีวิตสหายรักของเขาได้ ใครเลยจะรู้ว่าเขาสิ้นหวังมากเพียงใดครั้นพอฉินเจินได้ยินคำถามของเฝิงเฉิน สีหน้าของนางก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา "เช่นนั้นพิษที่เสวียนอ๋องได้รับก็มิใช่พิษอัคคีเหมันต์""จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดูจากปฏิกิริยาเมื่อพิษกำเริบ อาการป่วย ดูอย่างไรก็เป็นพิษอัคคีเหมันต์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้แน่นอน ข้ากำลังคิดว่า บางทีในตัวของจิ่งสิงอาจมีพิษอื่นที่ยังตรวจไม่พบ พอพิษทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ยาแก้พิษก็เลยใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้"หากแต่ฉินเจินกลับส่ายหน้า "ถึงแม้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่ข้าเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พิษอัคคีเหมันต์เป็นพิษที่ร้ายแรงมากแล้ว จะยังมีพิษอะไรที่อยู่ร่วมกับมันแล้วพวกเราจะไม่อาจรู้ได้เล่า"คำตอบของฉินเจินได้ปัดข้อสันนิษฐานของเฝิงเฉินทิ้ง"เว้นเสียแ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0038

    แต่นางคิดไม่ถึงว่าเซียวเฟิ่งชีจะเจอเรื่องที่น่าอนาถยิ่งกว่านาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงโอรสสวรรค์พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นพิษที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตใจและสติสัมปชัญญะอีกด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อถูกพิษนี้แล้วไม่สามารถทนได้ตั้งแต่ระยะแรก และเลือกที่จะปลิดชีพหรือจบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายใครกันแน่ที่เกลียดชังเซียวเฟิ่งชีถึงขนาดวางยาพิษอัคคีเหมันต์ให้แก่เขาได้"ใช่ พิษอัคคีเหมันต์นี่ละ !"เฝิงเฉินพยักหน้ายืนยันดวงตาของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น และเพราะความเศร้าใจที่เกิดเมื่อพูดถึงอาการป่วยของเซียวเฟิ่งชี"พิษอัคคีเหมันต์ เป็นหนึ่งในสิบพิษที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในใต้หล้าก็จริง แต่ถ้าจัดยาแก้พิษมาก็จะสามารถแก้ไขพิษนี้ได้ ยาแก้พิษอัคคีเหมันต์ ต้องใช้หญ้าตี้จิ่นธาตุร้อน บัวปิงเสวี่ยธาตุเย็น เพิ่มด้วยแมลงจิ่วเซียงที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ผิวดิน แล้วหลอมออกมาเป็นยา ก็จะสามารถแก้พิษอัคคีเหมันต์ได้"ฉินเจินเอ่ยตำรับยาแก้พิษออกมาได้ทันทีทันทีที่หญิงสาวเอ่ยจบ เฝิงเฉ

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0037

    ขณะที่ฉินเจินเอ่ยอธิบาย ท่าทีของเซียวเฟิ่งชีก็ดูเย็นลงไม่น้อยขณะที่เฝิงเฉินและเหลิ่งมู่กลับมองฉินเจินด้วยแววตาตกตะลึงเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย โดยเฉพาะเฝิงเฉินที่มองหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไร"ร่างกายของพระองค์ทรุดโทรมมากแล้ว ถ้ายังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีก เกรงว่าพระองค์คงอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี"เสียงของฉินเจินดูเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฟิ่งชีเข้าเสียแล้ว หญิงสาวเริ่มเกิดความรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางคิดว่าเซียวเฟิ่งชีนับได้ว่าน่าสงสารอยู่บ้าง"ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างมากที่สุดก็เพียงสามเดือนมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงบอกว่าหนึ่งปีเล่า"อารมณ์ของเซียวเฟิ่งชีนั้นเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกลัวหรือความเศร้าโศก ราวกับว่าเขายอมรับความจริงข้อนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเท่านั้น"ตอนนี้มีหม่อมฉันอยู่มิใช่หรือเพคะ หากหาวิธีแก้พิษไม่ได้ หม่อมฉันสามารถฝังเข็มเพื่อยื้อเวลาให้พระองค์ต่อไป แต่นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ใช้แก้ไข ดังนั้นจึงยื้อได้นานที่สุดถึงหนึ่งปี"  ฉินเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงที่นางพูดถึง

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0036

    ฉินเจินพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเฟิ่งชี "ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะช่วยจับชีพจรให้พระองค์ก่อนแล้วกันนะเพคะ""ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเจ้าได้ช่วยเซี่ยจืออั๋งไว้ ข้าคงไม่อาจเชื่อใจเจ้าได้ เพราะเจ้าเป็นหมอที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนวางยาพิษ"เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเย็นชาเย่อหยิ่ง แลน้ำเสียงที่ทำให้คนหมั่นไส้ฝ่ายฉินเจินเมื่อถูกเซียวเฟิ่งชีขัดขาอีกคราก็เกิดความโกรธขึ้นในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่อีกฝ่าย "เสวียนอ๋องทรงคิดจะหาเรื่องหม่อมฉันเช่นนี้ตลอดให้ได้เลยใช่หรือไม่เพคะ""ข้าก็แค่พูดความจริง"หากแต่เซียวเฟิ่งชีกลับตอบหน้าตาเฉยเล่นเอาเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับเอามือลูบจมูกไปมาแล้วหลุดหัวเราะเสียงเบา ๆเซียวเฟิ่งชีกับฉินเจินได้ยินเสียงจึงพากันหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน เฝิงเฉินจึงทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ "ไม่มีอะไร ข้าสำลักน่ะ"เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งคู่จึงเบนหน้าหนีพร้อมกัน"รบกวนท่านอ๋องยื่นข้อมือออกมาด้วยเพคะ"ฉินเจินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวเฟิ่งชีแล้วเอ่ยขึ้นคราวนี้เซียวเฟิ่งชีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายื่นมือออกมา ฉินเจินถึงได้รู้ว่าข้อมือของเซียวเฟิ่

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0035

    เซียวเฟิ่งชีเอ่ยขึ้นฉินเจินเผยอปากด้วยคิดจะเถียงกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็รั้งสติตัวเองไว้ได้ทันเวลา หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น "อันหุนเล่อเดิมทีเป็นยาพิษที่ทำให้คนตายไปในห้วงนิทรา ไร้สีไร้รส เว้นเสียแต่จะตรวจเลือดจึงจะรู้ได้แต่หม่อมฉันมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ ในร่างกายของหม่อมฉัน นั่นแปลว่าพิษอันหุนเล่อนี้เพิ่งอยู่ในร่างกายของหม่อมฉันได้ไม่นาน หลายวันก่อนหม่อมฉันถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นี่ก็เพิ่งฟื้นมาได้เพียงสองวัน ช่วงระหว่างนี้คงมีใครคิดจะฆ่าหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันดวงแข็ง ฟื้นกลับมาได้ พิษอันหุนเล่อที่ตกตะกอนอยู่ในร่างกายจนกระอักเลือดออกมาในวันนี้ได้"เซียวเฟิ่งชีหาได้ตอบโต้เรื่องที่ฉินเจินเอ่ยถึงการถูกท่านอ๋องทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีสีหน้าเย็นชาไม่ต่างกัน จนเฝิงเฉินที่ยืนฟังอยู่คิดไปว่าทั้งสองคนกำลังจะลงไม้ลงมือกันขึ้นมาเสียแล้ว"แม่นางจวินวิเคราะห์ได้ถูกต้องยิ่งนัก"เฝิงเฉินเอ่ยขึ้นมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยฉินเจินจึงหันไปส่งยิ้มให้เฝิงเฉินเซียวเฟิ่งชีเหลือบมองภาพตรงหน้า ก่อนจะขยับริมฝีปากบางแล้วเอ่ยขึ้น "ขนาดตอนหมดสติยังม

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0034

    ปีนี้คุณชายเฝิงอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีแล้ว บัดนี้เขาก็ยังอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินว่าเขาหมั้นหมายกับหญิงสาวจากตระกูลขุนนางบ้านไหนมาก่อน เพียงแต่นางเองก็นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่จวนเสวียนอ๋องเสียได้"แม่นางจวิน ยาชามนี้ข้าต้มไว้ให้เจ้าเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและชำระล้างพิษที่ยังตกค้าง รีบดื่มตอนร้อน ๆ เถอะ"เฝิงเฉินยื่นถ้วยยาในมือของตนเองให้แก่ฉินเจินหากแต่ฉินเจินที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยฉายแววผ่านดวงตากลมโตของนาง "พิษตกค้างหรือ นี่ข้าถูกพิษอย่างนั้นหรือ""แม่นางจวินไม่ทราบหรือ"  เฝิงเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยความตกใจเช่นกันหญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงส่ายหัว "ข้าไม่รู้หรอก"ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยตรวจชีพจรของตัวเองมาก่อน เพียงแต่ชีพจรที่ตรวจพบนั้นผันผวนไม่มั่นคง อาการเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก นางจึงคิดว่าอาจเป็นผลที่เกิดจากการกลับมาเกิดใหม่ โดยมิได้นึกไปถึงว่าตนเองจะถูกพิษเลยแม้แต่น้อยนางถูกพิษได้อย่างไรกันใครเป็นคนวางยานางกันแน่ฝ่ายเฝิงเฉินเองพอได้ยินฉินเจินตอบเช่นนั้นก็พลอยขมวดคิ้วไปด้วย คล้ายว่าชายหนุ่มเองก็คิดไม่ถึงเช่นว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0033

    ก่อนที่นางจะหมดสติไป คล้ายว่ามือคู่หนึ่งได้คว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ เพื่อมิให้ร่างของนางต้องลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถสายลมอ่อนโยนน่าสดชื่น แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องกระทบผ่านริมหน้าต่างมายังเตียง ขนตาแพยาวของฉินเจินเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสิ่งที่หญิงสาวเห็นคือกระโจมสีเข้มที่ดูเคร่งขรึม ไม่เหมือนห้องส่วนตัวของเด็กสาว แต่ตอนนี้นางนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี นี่ตอนนี้นางอยู่ที่ใดกันแน่... เมื่อคิดได้ดังนี้ หญิงสาวก็นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกฉินเจินพบกับฉินหงซวงและลงมือทำร้ายนาง แล้วหลังจากนั้นเล่าเซียวเฟิ่งชี !ใช่แล้ว เซียวเฟิ่งชี !ฉินเจินคิดได้เช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที แต่เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเริ่มรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มตัวลงบนเตียงภาพเหตุการณ์ก่อนที่จะสลบไปฉายเข้ามาในหัวของหญิงสาว ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดสองหมัด ตอนนั้นนางรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา จากนั้นก็กระอักเลือด ภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือชุดสีมรกตของเซียวเฟิ่งชีเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แล้วยังมีใต้คางของเขาอีก..."คุณพระคุณเจ้า !"ฉินเจินเอามือกุมหัว

  • พันธะแค้น ชะตารัก   บทที่ 0032

    ฉินเจินสูดลมหายใจเข้าจนลึกพลางมองไปยังเซียวเฟิ่งชีด้วยแววตาที่เป็นประกาย "เสวียนอ๋อง เรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันเถอะเพคะ""หืม"เซียวเฟิ่งชีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหญิงสาวการกระทำของชายหนุ่มนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หากแต่ยังแฝงไปด้วยกิริยาท่าทีที่แสดงว่าตนเองมีความสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง อยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายไว้"หม่อมฉันรู้ว่าพระวรกายของพระองค์ไม่สู้ดีนัก หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาให้พระองค์ แต่พระองค์ช่วยทำเมินเฉยต่อทุกอย่างที่หม่อมฉันทำได้หรือไม่เพคะ"นี่คือแผนที่ฉินเจินพยายามคิดออกมาอย่างรอบคอบภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆหญิงสาวมีความแค้นครั้งใหญ่ที่ต้องสะสาง ไร้ซึ่งเวลาที่จะไปรับมือกับเสวียนอ๋องได้แม้แต่วันนั้นที่จวินเหลยถิงหยิบป้ายเหล็กอักษรชาดออกมาจนเซียวเฟิ่งชีเอ่ยว่าจะไม่เอาเรื่องอีก นางก็หาได้เชื่อคำพูดนั้นไม่ เพราะนางรู้ความลับของเซียวเฟิ่งชีเข้าแล้ว จะถอนตัวออกไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า"เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากเจ้าหรือ"เซียวเฟิ่งชีถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ยี่หระนักฉินเจินนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่นางใช้การช่วยชีวิตมาต่อรองกับเซียวเฟิ่งชี ชายหนุ่มถามนางก

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status