หลังจากคิดเหลวไหลไปเรื่อย ฉินหมิงก็ได้สติกลับมาทันทีเขาเดินไปหาหลินหว่านชิง ดึงแขนเธอเบา ๆ และกระซิบว่า "หลิน...หลินหว่านชิงช่างเถอะ ผมชินแล้วล่ะ..."หลินหว่านชิงปวดใจ เธอสัมผัสได้ถึงความขมขื่นและปวดใจในคำพูดของฉินหมิง เช่นเดียวกับความน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเขาเอง“คุณหลิน ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเสี่ยวเหม่ย ผมจะลงโทษเธอในภายหลังเอง โปรดเมตตาให้โอกาสเธอได้ปรับปรุงตัวเองด้วยนะครับ”ไต้เหว่ยกล่าวอย่างจริงใจเขาเริ่มต้องโหดร้ายขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจเมินเฉยต่อปัญหาของเสี่ยวเหม่ยได้อีกแล้ว แม้ว่าครั้งนี้เขาจะรอดไปได้ ครั้งหน้าเขาอาจจะถูกเสี่ยวเหม่ยพาซวยไปจนตายก็ได้ใครจะไปรู้!"ลุกขึ้น!"“เห็นแก่เพื่อนของฉันที่ขอร้องให้เธอ ฉันจะให้โอกาสเธอ ฉันหวังว่าเธอจะปรับปรุงตัวได้!”หลินหว่านชิงจิ๊ปากอย่างเย็นชาให้อภัยได้ก็ให้อภัยเถอะเธอไม่ชอบใช้ฐานะของเธอข่มเหงคนอื่น เธอไม่อยากเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป“ขอบคุณคุณหลิน ขอบคุณคุณมากค่ะ…”เสี่ยวเหม่ยรู้สึกเหมือนได้รับการยกโทษแล้ว ถึงกล้าลุกขึ้นยืน หลังของเธอเหงื่อเย็นไหลซึมจนเปียกโชกไปในเวลานี้แขกจำนวนมากโดยรอบต่างตื่นตระห
“แต่ว่านะฉินหมิง เมื่อคืนนี้ฉันเห็นคนร้ายเอามีดแทงนาย”“บาดแผลนาย...ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”“ไปตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยดีไหม?”หลินหว่านชิงถามด้วยความกังวลเมื่อคืนเธอเห็นอยู่กับตาว่าฉินหมิงถูกคนร้ายใช้มีดแทงเข้าที่หน้าอกแต่ที่แปลกก็คือ ตอนนี้ฉินหมิงกลับสบายดีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่ยิ่งทำให้เธอสงสัยว่า ที่เห็นตอนนั้นเธอมองผิดไปหรือเปล่า?"ไม่เป็นไร"“ไม่ได้เจ็บหนักอะไรมากมาย”ฉินหมิงยกมือลูบหน้าอกของเขาโดยไม่รู้ตัวแต่บังเอิญโดนแผลเข้า มันเจ็บจนเขาเผลอขมวดคิ้วส่งเสียงโอดโอยออกมา"เกิดอะไรขึ้น?"“เจ็บมากไหม?”“ไปโรงพยาบาลดีไหม!”หลินหว่านชิงผุดลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ท่าทางดูร้อนใจ"มันไม่เจ็บมากหรอก"“ก็แค่เจ็บนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายแล้ว”“ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลก็ได้”ฉินหมิงลูบแผลอีกสองสามครั้ง และความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ บรรเทาลงเขาอยากถอดเสื้อออกเพื่อดูอาการบาดเจ็บ แต่ต่อหน้าหลินหว่านชิงเขารู้สึกเขินอายขึ้นมา“ถอดเสื้อให้ฉันดูหน่อย อาการบาดเจ็บของนายเป็นยังไงบ้าง”หลินหว่านชิงยังคงรู้สึกกังวล"แบบว่า..."ฉินหมิงเลิ่กลั่กมาก เขาอายที่จะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าผู้หญิง“ถอดออก
“ถ้าฉันไม่มา ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าแกไปเก็บผู้ชายข้างทางที่ไหนมาเลี้ยงในบ้าน!”ชายวัยกลางคนด่าด้วยสีหน้าเย็นชา“ผู้ชายข้างทางที่ไหนกัน!”“ทำไมพูดจารุนแรงขนาดนี้ล่ะค่ะ!”“ฉินหมิงเป็นเพื่อนของหนู เราไม่ได้เป็นอะไรกัน!”หลินหว่านชิงไม่พอใจมากที่พ่อพูดแบบนี้“ท่าทางพวกแกสองคนเป็นแบบนั้น แต่แกยังพูดว่าไม่มีอะไรได้อีกเหรอ?”“น่าขำจริง!”“หลินหว่านชิงช่วยรู้สึกละอายใจหน่อยสิ นี่มันกลางวันแสก ๆ นะ? ทำไมไม่ไปทำที่สวนล่ะ!”หญิงงามกล่าวด้วยรอยยิ้มเหน็บแหนม"ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ!"“ฉันอยากทำอะไรก็เรื่องของฉัน ไม่ใช่กงการของเธอที่ต้องมาสาระแนสั่งฉัน!”หลินหว่านชิงจ้องมองด้วยความโกรธ บรรยากาศอึมครึมระหว่างทั้งสองก็เริ่มขึ้นทันที“เถิงฮุ่ย ดูเธอสิ!”“ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ แบบนี้มันสมควรหรือคะ!”หญิงสาวเขย่าแขนของชายวัยกลางคนอย่างออดอ้อนด้วยสีหน้าเสแสร้ง“หว่านชิง เป็นอะไรกันแน่?”“ยังไงไป๋จิงเป็นแม่ของแกนะ ทำไมถึงพูดกับเธอแบบนี้!”หลินเถิงฮุ่ยดุ“เธอไม่ใช่แม่ของหนู!”“แม่ของหนูเสียชีวิตไปแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อน!”“เธอเป็นเพียงนังจิ้งจอกที่เป็นเมียน้อย มีคุณสมบัติอะไรถึง
แต่ฉินหมิงรู้ว่าเงินนั้นไม่ใช่ของเขา เขารับมันไว้ไม่ได้หรอก“เงิน เงินอีกแล้ว เงินมันวิเศษมากนักรึไง!”"หนูบอกไปแล้วไงว่าชอบฉินหมิง ถ้าไม่ใช่เขาชีวิตนี้หนูจะไม่มีวันแต่งงานเด็ดขาด!"“ตราบใดที่หนูยังไม่ตาย พ่อไม่มีวันพรากเราสองคนแยกจากกันได้!”หลินหว่านชิงพูดด้วยความโกรธตั้งแต่แม่จากไป ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยได้สัมผัสความรักจากพ่อ เมื่อไรก็ตามที่เธอต้องการพ่อ พ่อก็เอาแต่ประเคนเงินให้เธอ เธอทนมาพอแล้ว!"เธอ...""ดี ดีมาก!"“ฉันจะไปหาปู่แกเดี๋ยวนี้!”หลินเถิงฮุ่ยโกรธจนหน้าเขียว เขาสะบัดแขนหันหลังเดินกลับไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความบาดหมางระหว่างเขากับลูกสาวยิ่งร้าวฉานมากขึ้น และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ลูกสาวของเขาเติบโตขึ้นมีบริษัทและธุรกิจเป็นของตัวเอง เขาอยากจะควบคุมเธอ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมเธอได้แล้วคนเดียวในครอบครัวที่สามารถโน้มน้าวลูกสาวให้เปลี่ยนใจได้น่าจะเป็นพ่อเขาเท่านั้นเมื่อหลินเถิงฮุ่ยและคู่เขาจากไปแล้ว สีหน้าหลินหว่านชิงก็ดูแย่มาก เธอทรุดตัวลงบนโซฟาฉินหมิงอ้าปาก เขาอยากจะปลอบหลินหว่านชิง แต่เขาพูดไม่เก่งและไม่รู้ว่าจะพู
ในตอนนี้ นอกจากนายท่านหลินแล้ว ยังมีหลินเถิงฮุยและไป๋จิงนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาในห้องโถงด้วยหลินเถิงฮุ่ยมองฉินหมิงอย่างเย็นชา เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวิลล่า ทำให้ความประทับใจครั้งแรกของเขาที่มีต่อฉินหมิงเลวร้ายมากตรงกันข้ามทัศนคติของนายท่านหลินที่มีต่อเขานั้นเป็นมิตรมาก เขาสั่งให้คนรับใช้ยกน้ำชามาให้ฉินหมิงโดยไม่ดูถูกหรือเมินเฉยเลยแม้แต่น้อย“คุณปู่ หนูแนะนำให้ปู่รู้จักนะคะ นี่ฉินหมิง เมื่อคืนนี้เขาบังเอิญช่วยหนูไว้…”หลินหว่านชิงเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง“พ่อหนุ่มฉิน ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตหลานสาวของฉันไว้ ตระกูลหลินของเราจะจดจำบุญคุณนี้ไว้อย่างแน่นอน!”“ดังที่คำโบราณกล่าวไว้ว่า บุญคุณแม้เพียงน้ำหยด ก็ควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร!”“บอกฉันมาว่าเธออยากได้อะไร แล้วตระกูลหลินของเราจะพยายามอย่างเต็มที่ให้เธอพึงพอใจ”นายท่านหลินยิ้มอย่างอบอุ่น“ไม่ครับ ผมไม่ต้องการอะไร...”ฉินหมิงส่ายหน้าเขาช่วยหลินหว่านชิงเมื่อคืนนี้ด้วยคุณธรรมประจำใจของเขา เขาไม่เคยคิดอยากได้อะไรตอบแทนเลย นอกจากนี้สำหรับสิ่งตอบแทนนั้น เขาเองก็ได้มาแล้วหลินหว่านชิงได้สั่งสอนบทเรียนอย่างหนักหน่วงให้ซุนกวนฉงที่อ
ในแง่ของสถานะ ภูมิหลัง หรือฐานะความร่ำรวยครอบครัวของฉีเหวินเจิ้งนั้นย่อมด้อยกว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลิน แต่ในแง่ของชื่อเสียงและสถานะเขาไม่ได้ด้อยไปกว่านายท่านหลินเลยแม้แต่น้อยท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็ย่อมต้องเจ็บป่วย คุณฉีได้รับการยอมรับว่าเป็นแพทย์อันดับหนึ่งในเมืองเจียงเฉิน คนรวยมีอำนาจหลายคนในแวดวงขอให้เขาไปตรวจและให้ความเคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง“คุณหลินครับ ขอโทษที่มารบกวน ผมอยากตรวจคุณอีกครั้ง…”คุณฉีประสานมือคารวะทักทายอย่างยิ้มแย้มครึ่งเดือนที่ผ่านมา คุณหลินล้มป่วยกะทันหัน มีอาการเจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหลังจากนั้นคุณฉีก็มารักษาอาการของคุณหลินทั้งสองฝ่ายตกลงจะตรวจซ้ำอีกครั้งในครึ่งเดือน หากไม่พบปัญหาระหว่างการตรวจซ้ำใหม่อีกแสดงว่าอาการหายขาดแล้ว"คุณฉี งั้นก็รบกวนคุณแล้ว"“คุณหลิน เกรงใจไปแล้ว นี่คือสิ่งที่สมควรแล้ว”หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนทักทายกันอย่างสุภาพง่าย ๆ ครู่หนึ่งคุณฉีก็ผายมือให้นายท่านหลินนั่งลง จากนั้นเขาก็เริ่มตรวจชีพจรของนายท่านหลิน และพลางดูสีผิวหน้าของนายท่านหลินด้วยสีหน้าของเขาค่อย ๆ จริงจังขึ้นหลินเถิงฮุ่ยใจเต้นระรัว และเขาก็อดถามไปไม่ได้ว่
"นั่นมันจุดตายของคนเลยนะ!"คุณฉีขมวดคิ้ว คิดว่าคนผู้นี้คงความรู้ทางการแพทย์แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วอยากได้หน้า แต่ไม่รู้หรือว่ามันทำให้คนอาจถึงตายได้“พ่อหนุ่ม เธอพูดจาเหลวไหลอะไร จุดจวนจงกับจุดเสินเชวี่ยล้วนเป็นจุดที่ทำให้ถึงตายได้ จะให้ฝังเข็มมั่ว ๆ ส่งเดชลงไปได้ยังไง?”“เธอรู้จักการฝังเข็มไหม?”ผู้ช่วยของคุณฉีด่าฉินหมิง“ผมเห็นว่าหมอนี่เอาความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ หวังอยากได้หน้าได้ความดีความชอบ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่า คนอย่างนายนี่แหละ ที่ทำให้คนรังเกียจแพทย์แผนจีน!”นี่เป็นการอ้างหลักศีลธรรมมาบังคับคนให้ตามที่ตนเองเห็นว่าดี นี่มันน่ารังเกียจเกินไปแล้วฉินหมิงอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ถูกหลินหว่านชิงแทรกขึ้นมาก่อน“ฉินหมิง ชีวิตปู่ของฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย คุณฉีกำลังช่วยชีวิตเขา นายอย่างเพิ่งก่อเรื่องวุ่นวายได้ไหม!”หลินหว่านชิงพูดอย่างไม่พอใจแม้เมื่อคืนนี้ฉินหมิงช่วยชีวิตเธอไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉินหมิงจะทำอะไรตามอำเภอใจที่ตระกูลหลินได้!นอกจากนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยของปู่เธอด้วย มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะยอมให้ฉินหมิงมาบงการได้!“ไอ้หนู ถ้านายกล้าก่อปัญหาอีก
“น่าขำเป็นบ้า!”“ขนาดคุณฉีเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนยังรักษาเคสของคุณหลินไม่ได้เลย นายคิดว่านายเป็นใคร มีปัญญาทำได้รึไง?”“หรือว่าวิชาแพทย์ของนายดีกว่าของคุณฉี”ผู้ช่วยของคุณฉีพูดเสียดสี“หิวแสงอยากได้หน้าจนตัวสั่นจริง ๆ!”คุณฉีขมวดคิ้วมองฉินหมิงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า "หรือว่านายก็เป็นหมอเหมือนกัน"“ผมไม่ใช่หมอ...”ฉินหมิงส่ายหน้า“นายไม่ใช่หมอด้วยซ้ำ ทำไมกล้าพูดเพ้อเจ้อแบบนี้!”“ถึงนายจะเป็นแพทย์แผนจีน แต่อายุแค่นี้ยังรักษาคนไม่ได้ด้วยซ้ำได้ อย่ามาทำอะไรโง่ ๆ ให้คนอื่นขำไปหน่อยนักเลย!”หลินเถิงฮุ่ยโกรธมาก และถลึงมองไปที่ฉินหมิงอย่างดุดันฉินหมิงเงียบ เขาว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้แน่นอนว่าเขาโดนปฏิเสธจนหน้าหงายอีกตามเคย“นั่นไม่จำเป็นสักหน่อย!”“ฉินหมิงเขาเคยพูดตอนเจอคุณปู่ครั้งแรกว่าจุดยิ้นถางเป็นสีเทาแถมบริเวณมุมมีสีม่วงคล้ำด้วย ชีวิตของปู่กำลังตกอยู่ในอันตราย!”“พอคุณฉีฝังเข็มให้ปู่เมื่อครู่นี้ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าฝังเข็มผิด แต่พวกเราไม่มีใครเชื่อเขา!”“แต่ปรากฏว่าเขาพูดถูก!”หลินหว่านชิงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เธอก็เริ่มสงบขึ้นมา ประกายแสงแห่งความหวัง