“เหวยเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้พ่อเคยพบกับฉินหมิงมาครั้งหนึ่ง เขาไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยม แกรีบคุกเข่าลงและขอโทษเขาซะ!”“ตราบเท่าที่การแสดงออกของแกจริงใจมากพอ บุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างเขาก็จะไม่ถือสาหาความกับแก…”ประธานคังแสร้งทำเป็นสงบ แต่ในใจเขานั้นยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย“ได้ครับ”หลังจากที่คังเหวยวางสายโทรศัพท์แล้ว ขาของเขาก็สั่น เขาไม่หลงเหลือความจองหองและเย่อหยิ่งเช่นเมื่อสักครู่นี้อีกต่อไปเมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนรอบตัวก็สับสน“แปลกจริง ทำไมคุณชายใหญ่คังถึงไม่สั่งให้คนลงมือสักที?”“ใครจะรู้ คงไม่ใช่ว่าเขากำลังโทรหาคนสำคัญในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากที่จะทำให้เด็กคนนั้นพิการโดยสมบูรณ์ก็เป็นได้!”“อืม ก็เป็นไปได้!”…….ทุกคนดูประหลาดใจและสงสัย พวกเขาทั้งหมดคาดเดาว่าคังเหวยอาจโทรหาตำรวจหรือหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อแจ้งให้พวกเขาทราบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นหลังจากเล่นงานฉินหมิงจนพิการโดยถาวรคังเหวยไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างที่ใคร ๆ คิด ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาเดินเข้าไปหาฉินหมิงทีละก้าว ๆจากนั้นท่ามกลางสายตาที่ตกใจและไม่เชื่อของทุกคน เขาก็งอขาและคุกเข่าลงต่อหน้าฉินหมิงดังปึก“
“คุณฉิน เมื่อสักครู่นี้เป็นผมที่มีตาแต่หามีแววไม่ ทำให้คุณขุ่นเคืองใจแล้ว…”“ขอคุณได้โปรดเมตตา ยกโทษให้ผมด้วย”คังเหวยรีบโขกศีรษะและร้องขอความเมตตา“ทำไม เมื่อสักครู่นี้คุณเพิ่งจะพูดปาว ๆ ว่าจะจัดการผมอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”“ตอนนี้ไม่คิดจะใช้กำลังจัดการกับผมแล้ว?”ฉินหมิงเลิกคิ้ว ในใจครุ่นคิดและคาดเดาอย่างคลุมเครือว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะรู้ตัวตนของเขาแล้ว ท่าทีของอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างกะทันหันเช่นนี้“ไม่กล้า ผมไม่กล้าครับ...”“เมื่อสักครู่นี้ผมแค่พูดพล่าม ผมสมควรตาย นายท่านได้โปรดเมตตาด้วย…”เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของคังเหวย เขากัดฟันและตบตัวเองซ้ำ ๆ หลายครั้งพร้อมกับพูดขอโทษอย่างจริงใจเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ยืนมุงดูก็พากันแตกตื่น!“นี่…ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?”“คุณชายใหญ่คังถึงกับยอมคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาจากเขา กระทั่งตบหน้าตัวเองด้วย!”“หรือว่าเขาจะเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองเจียงเฉิงของเราที่มีอำนาจมากกว่าตระกูลคัง?”“อืม น่าจะใช่ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้พวกเราประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว!”......ทุกคนมองไปที่ฉินหมิงด้วยความตกตะลึงพรึงเพร
ฉินหมิงพูดอย่างเย็นชา“ขอบคุณนายท่านที่เมตตาพวกเราครับ พวกเราสัญญาว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว…”พวกคังเหวยเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม ตอนนี้พวกเขาถึงกล้าลุกขึ้น เสื้อผ้าบนแผ่นหลังของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ซึ่งไม่รู้ว่าเริ่มเปียกตั้งแต่ตอนไหนโดยเฉพาะคังเหวย เขาเพิ่งรู้จากพ่อของเขาเมื่อสักครู่นี้ว่า ครั้งก่อนคุณชายรองโอวทำให้ฉินหมิงขุ่นเคือง เขาไม่เพียงแต่ต้องคุกเข่าร้องขอความเมตตา แต่ยังต้องหักแขนของตัวเองหนึ่งข้างเพื่อแสดงความขอโทษอีกด้วยฉินหมิงไม่ทำลายแขนของเขา อีกทั้งยังไว้ชีวิตเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกมีความสุขมากที่รอดชีวิตจากภัยพิบัตินี้!แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องหนึ่ง เนื่องจากเขาเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ กอปรกับเขาขอโทษและยอมรับความผิดทันเวลา ฉินหมิงในฐานะยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ย่อมไม่ต้องการใช้กำลังรังแกผู้อื่น ครั้งนี้จึงเขาปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายดาย“นอกจากนี้ จ่ายเงินเดือนให้กับสาวน้อยหลิวเสวี่ยด้วย แล้วก็เธอถูกตบโดยไม่มีเหตุผล ชดเชยค่าเสียหายทางจิตใจให้สาวน้อยคนนี้ด้วย!”ฉินหมิงพูดอย่างเย็นชา“ได้ครับ ๆ โปรดรอสักครู่”เถ้าแก่เการับคำ จากนั้นก็กระวีกระวาดรีบ
หลิวเสวี่ยพูดด้วยสีหน้าตื้นตัน เธอโค้งคำนับฉินหมิงและหานซีตามลำดับเพื่อแสดงความขอบคุณ“ไม่เป็นไรหรอก แค่การช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง”ฉินหมิงยิ้ม เขาคาดไม่ถึงว่าหลิวเสวี่ยจะไล่ตามเขาเพื่อมาพูดขอบคุณโดยเฉพาะ“พี่ชายคะ พี่สาวคะ ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณสองคนสำหรับความมีน้ำใจนี้ได้ ฉันอยากเชิญพวกคุณไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน ไม่ทราบว่าตอนนี้พวกคุณว่างหรือเปล่าคะ”หลิวเสวี่ยพูดอย่างเขินอาย ใบหน้าของเธอดูคาดหวังเล็กน้อย“ไม่ต้องหรอก...”ฉินหมิงส่ายหัวและปฏิเสธน้ำใจของหลิวเสวี่ยเขาดูออกว่าหลิวเสวี่ยเป็นนักศึกษาหญิงที่ตั้งใจเรียนอย่างหนัก และฐานะทางครอบครัวของเธอเองก็น่าจะไม่ค่อยดีนัก เขาย่อมไม่อยากให้หลิวเสวี่ยต้องเปลืองเงินเพื่อการนี้“แต่ว่า...”หลิวเสวี่ยไม่ยอมแพ้“เสี่ยวเสวี่ย มันไม่จำเป็นจริง ๆ จ้ะ เราสองคนยังมีธุระที่ต้องไปทำ เรื่องกินข้าว ไว้ค่อยว่ากันอีกทีนะ”หานซีพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรตอนนี้เธอประทับใจในความซื่อสัตย์และนิสัยของหลิวเสวี่ยมาก เธอชอบหลิวเสวี่ยที่เรียบง่ายและจริงใจแบบนี้จริง ๆ“งั้น...ก็ได้ค่ะ”หลิวเสวี่ยรู้สึกผิดหวัง“เสี่ยวเสวี่ย นี่คือนามบัตรของฉัน ถ้าในอน
“ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าคุณเอาแต่พูดว่าอยากจะซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ปหรอกเหรอ? ถ้าคุณมีความสามารถจริง ๆ ก็เอาเงินมา!”“ฉันอยากจะเห็นเหมือนกันว่าคุณกำลังคุยโวอยู่หรือเปล่า!”หานซีกลอกตาไปที่ฉินหมิงและพูดเธอรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของฉินหมิงเป็นอย่างดี เธอจึงไม่คิดว่าฉินหมิงจะมีความสามารถมากพอที่จะควักเงินห้าถึงหกพันล้านออกมาได้จริง ๆ!นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!“เรื่องนี้ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ และจะให้คำตอบที่ชัดเจนกับคุณอย่างช้าที่สุดในวันพรุ่งนี้”ฉินหมิงถอนออกหายใจและพูด“ก็ได้ งั้นฉันจะรอ!”“เพียงแต่ฉันขอพูดคำที่ไม่น่าฟังไว้ก่อนนะ ถ้าคุณไม่สามารถหาเงินมาซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ปได้ คุณต้องตกลงที่จะช่วยฉันโน้มน้าวใจหว่านชิง พยายามให้เธอเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเองให้ได้!”หานซีพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เธอไม่คิดว่าฉินหมิงจะสามารถเข้าซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ปได้แต่แรกอยู่แล้ว เธอเพียงแค่หวังว่าฉินหมิงจะช่วยโน้มน้าวใจหลินหว่านชิง ส่วนฉินหมิงจะโน้มน้าวเธอได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตแล้ว!หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากร้านกาแฟและแยกย้ายกลับบ้านคฤหาสน์ตระกูลซู
“ฉันและหลินหว่านชิงเราเป็นคู่แข่งกัน ฉันไปจะช่วยเธอได้อย่างไร!”ซูซินเหยาพูดด้วยท่าทางขุ่นเคือง เธอปฏิเสธคำขอของฉินหมิงในทันที“ซินเหยา ได้โปรดอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ แค่ถือว่าช่วยผมจะได้ไหมครับ”“แน่นอน ผมรู้ว่าเงินจำนวนห้าพันล้านนั้นไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยสำหรับตระกูลซู ผมยินดีที่นำหุ้นที่ผมถืออยู่ในหมิงเหยากรุ๊ปมาเป็นตัวค้ำประกันเพื่อขอยืมห้าพันล้านจากตระกูลซูของพวกคุณ”“เมื่อความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของหมิงเหยากรุ๊ปดีขึ้นในอนาคต ผมจะคืนเงินให้ตระกูลซูของคุณพร้อมดอกเบี้ย!”ฉินหมิงพูดอย่างจริงใจ“คุณ...คุณบ้าไปแล้วเหรอ?”“หุ้นของหมิงเหยากรุ๊ปคือรากฐานสำคัญของคุณ หลินหว่านชิงและตระกูลหลิน ไล่คุณออกมาโดยไม่ใยดี แต่คุณกลับไม่รู้สึกเสียดายที่จะใช้รากฐานของคุณเพื่อช่วยพวกเขา!”“คุณโง่เกินไปแล้ว!”ซูซินเหยาเริ่มโกรธมากขึ้น จมูกของเธอเกือบจะบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ“ผมไม่ได้โง่ ผมแค่ไม่อยากจะทิ้งความรู้สึกเสียใจภายหลังไว้ในชีวิต...”ฉินหมิงถอนหายใจแล้วพูดเหตุผลที่เขาวางแผนเข้าซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ป ประการแรกเพราะเขาต้องการช่วยหลินหว่านชิงอย่างลับ ๆ ส่วนประการที่สอง เป็นเพราะกลุ
นอกจากนี้ ฉินหมิงยังโอนเงินอีกพันล้านหยวนจากหมิงเหยากรุ๊ปออกมา เมื่อรวมเงินทั้งสองก้อนเข้าด้วยกัน ก็จะได้เงินจำนวนหกพันล้านพอดี ซึ่งมากเกินพอสำหรับการเข้าซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ป!……เช้าวันรุ่งขึ้น ฝนเริ่มตกปรอย ๆเนื่องจากสภาพอากาศไม่ค่อยดี วันนี้หานซีจึงไม่ออกไปข้างนอก เธออยู่บ้านเพื่อรอข่าวจากฉินหมิงแน่นอนว่าเธอไม่คิดว่าฉินหมิงจะมีความสามารถพอในการเข้าซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ป เธอกำลังรอให้ฉินหมิงยอมรับความพ่ายแพ้แล้วมาช่วยเธอโน้มน้าวหลินหว่านชิงรอตลอดช่วงเช้าในขณะที่หานซีเริ่มหมดความอดทนที่จะรอ ในที่สุดเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากฉินหมิง ซึ่งนัดให้เธอไปพบที่ร้านอาหารระดับไฮเอนด์ในเมืองณ ห้องส่วนตัวของร้านอาหารระดับไฮเอนด์เมื่อหานซีมาถึงตามที่ได้นัดไว้ ฉินหมิงก็นั่งรออยู่ที่นั่นแล้ว“ฉินหมิง ทำไม คุณไม่สามารถระดมทุนได้ครบและพร้อมที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ต่อฉันแล้วใช่ไหม”หานซียิ้มอย่างล้อเล่น แล้วเดินไปหาฉินหมิงและนั่งลงตรงข้ามเขา“ใครบอกว่าผมไม่สามารถระดมทุนได้ครบล่ะ”“ผมหาเงินหกพันล้านหยวนได้แล้ว ซึ่งนี่น่าจะเพียงพอต่อการเข้าซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ปแล้ว
“เอาล่ะ หยุดเดาได้แล้ว ผมบอกคุณก็ได้…”“อันที่จริง หลังจากที่ผมออกจากกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ป ผมได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อหมิงเหยากรุ๊ป ปัจจุบันหมิงเหยากรุ๊ปก็พอที่จะประสบความสำเร็จอยู่บ้าง...”เมื่อเห็นว่าเห็นหานซีทำหน้าเหมือนไม่ยอมแพ้จนกว่าจะรู้ความจริง ฉินหมิงก็ทำอะไรไม่ถูก เขากำลังจะบอกความจริงกับหานซี แต่ก็ถูกหานซีขัดจังหวะก่อนที่เขาจะพูดจบ“คุณก่อตั้งบริษัทเหรอ? ล้อเล่นกับฉันหรือเปล่า”“คุณไม่มีทั้งเงินและอำนาจ คุณจะก่อตั้งบริษัทได้ยังไง!”หานซีพูดอย่างไม่เชื่อในฐานะผู้บริหารของกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ป เธอมีความรู้เกี่ยวกับโลกธุรกิจเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าความเข้มแข็งและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของหมิงเหยากรุ๊ปนั้นไม่ได้ใหญ่โตมากนัก เธอจึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหมิงเหยากรุ๊ปมาก่อน จึงไม่ทราบว่าฉินหมิงเป็นประธานของหมิงเหยากรุ๊ป!เธอจึงคิดว่าฉินหมิงแค่พูดเรื่องไร้สาระ!“ผมไม่ได้ล้อเล่น สิ่งที่ผมพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ผมร่วมมือกับผู้อื่นและก่อตั้งบริษัทขึ้นมาจริง ๆ”“คนอื่นออกเงิน ส่วนผมจัดหาเทคโนโลยีให้กับพวกเขา ผมเป็นผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยี…”ฉินหมิงอธิบายอย่างคร่าว ๆ เขาไม่ไ