“ตาแก่เหลิ่ง แกอย่ามาใช้ลูกไม้นี้กับฉัน!”“พวกแกตระกูลเหลิ่งส่งคนไปลอบโจมตีฉินหมิงและทำร้ายเฝิงรั่วซวงจนได้รับบาดเจ็บหนัก แถมเกือบจะฆ่าคนทั้งคู่แล้ว!”“วันนี้ฉันและราชาแดนใต้จึงมาที่นี่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมแทนทั้งสองคน!”นายท่านซูแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา ออร่าที่ทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา ขัดขวางการโจมตีของนายท่านเหลิ่ง“เหลวไหล!”“ฉินหมิงถูกลอบโจมตีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับตระกูลเหลิ่งของเรา”“แกเอาแต่พูดว่าตระกูลเหลิ่งของพวกเราเป็นคนลงมือ แล้วมีหลักฐานไหมล่ะ”นายท่านเหลิ่งพูดอย่างเย็นชามาก“จากการสืบสวนของตระกูลซูของเรา ครั้งนี้เหลิ่งยง เหลิ่งเหยียน และเหลิ่งชางเป็นผู้ที่ลอบโจมตีฉินหมิง และทั้งสามคนก็ได้รับบาดเจ็บเพราะฉินหมิง!”“ถ้าพวกแกตระกูลเหลิ่งมีจิตสำนึกอยู่บ้าง เรียกทั้งสามคนออกมาเผชิญหน้ากับพวกเราสิ!”“ถ้าทั้งสามคนปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ฉันกับราชาแดนใต้จะไปทันที!”นายท่านซูยิ้มอย่างเย็นชาไม่แพ้กันเมื่อได้ยินแบบนี้ ทั้งนายท่านเหลิ่งและสมาชิกหลักของตระกูลเหลิ่งก็ยับยั้งความตื่นตระหนกเอาไว้ไม่อยู่ พวกเขาไม่คิดเลยว่าตระกูลซูจะรู้รายละเอียดเรื่องนี้ชัดเจนมาก
เฝิงเจิ้นตวัดกรงเล็บออกไป พลังปราณที่เหลืออยู่จากกรงเล็บนั้นก็เข้าห่อหุ้มร่างของเหลิ่งจวิ้นอย่างท่วมท้นพรวด!เหลิ่งจวิ้นไม่อาจทนรับแรงกดดันจากพลังที่แกร่งกล้านี้ได้ จึงกระอักเลือดออกมาเต็มปาก“บังอาจ!”ไม่มีสมาชิกหลักคนใดของตระกูลเหลิ่งที่คาดคิดว่าเฝิงเจิ้นจะเปิดฉากโจมตีก่อน เมื่อพวกเขารู้สึกตัวได้ในที่สุด แต่ละคนก็ตวาดออกไปอย่างโกรธเกรี้ยวหลังจากนั้น หนึ่งในยอดฝีมือที่มีระดับการบ่มเพาะขั้นครึ่งก้าวราชาสงครามคนหนึ่งก็โจมตีใส่แผ่นหลังเฝิงเจิ้น ต้องการที่จะบีบบังคับให้เฝิงเจิ้นปกป้องตัวเองเพื่อที่เขาจะได้ปล่อยเหลิ่งจวิ้นไป“ช่างไม่ประเมินความสามารถของตัวเอง!”เฝิงเจิ้นแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา สวนหมัดกลับไปด้านหลัง เข้าปะทะกับหมัดของอีกฝ่ายตรงๆตู้ม!เสียงปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้น ทว่าร่างกายของเฝิงเจิ้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยในทางกลับกัน เป็นยอดฝีมือขั้นครึ่งก้าวราชาสงครามคนนั้นที่ถอยกลับไปสามถึงสี่ก้าวติด นี่ถึงได้หยุดฝีเท้าลงในระดับครึ่งก้าวราชาสงครามเองก็มีคนที่แข็งแกร่งและอ่อนแอชื่อเสียงของสองราชาแดนเหนือและใต้นั้น เป็นรองเพียงสี่ตระกูลใหญ่เท่านั้นดังนั้นชื่อ
เฝิงเจิ้นเยาะเย้ย“เฝิงเจิ้น อย่าได้หยิ่งผยองมากเกินไปนัก แกคิดว่าตระกูลเหลิ่งของเรากลัวแกจริง ๆ เหรอ?”“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ตอนนี้ถ้าแกปล่อยจวิ้นเอ๋อร์ไป ฉันจะถือว่าสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”“ถ้าไม่ หลังจากเหตุการณ์นี้ ตระกูลเหลิ่งของเราจะบดขยี้ตระกูลเฝิงของแกอย่างแน่นอน!”ดวงตาของนายท่านเหลิ่งเย็นชาและคมกริบ เจตนาฆ่าลุกโชนอยู่ในดวงตาของเขาด้วยความแข็งแกร่งและรากฐานของสองราชาแดนเหนือและใต้ พวกเขานั้นด้อยกว่าสี่ตระกูลใหญ่อย่างมาก ถ้าพวกเขาตั้งแล้วว่าจะโค่นล้มราชาแดนใต้เฝิงเจิ้น พวกเขาย่อมสามารถทำได้แน่นอน“นายท่านเหลิ่ง ไม่ต้องมาข่มขู่ให้ผมกลัวหรอก ผมเฝิงเจิ้นไม่กลัว!”“แม้ว่าตระกูลเฝิงของเราจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับตระกูลเหลิ่งของคุณ แต่ตราบเท่าที่ตระกูลเหลิ่งของคุณกล้าที่จะลงมือ ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย ตระกูลทั้งตระกูลล่มสลาย ผมก็จะทำลายตระกูลเหลิ่งของพวกคุณให้เจ็บหนักจนถึงที่สุด!”เฝิงเจิ้นพูดอย่างเย็นชามากทำร้ายศัตรูนับหมื่น สูญเสียทหารฝ่ายตัวเองแปดพัน เขาราชาแดนใต้ไม่ใช่พวกกระจอกที่จะมายืนรอให้คนอื่นจ่อดาบใส่คอ แม้ว่าตระกูลเหลิ่งจะมีความสามารถในการทำลายตระกูลเ
เนื่องจากข้อจำกัดของกลุ่มอู่หลงจู่ แม้ว่าตระกูลเหลิ่งจะไม่กล้าฆ่านายท่านซู เฝิงเจิ้น และคนอื่น ๆ แต่ถ้าพวกเขาจับเป็นอีกฝ่ายแล้วทำลายการบ่มเพาะทั้งหมดของพวกเขาก็ย่อมได้สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้กลุ่มอู่หลงจู่เคลื่อนไหวเท่านั้น ยังจะบั่นทอนความแข็งแกร่งของตระกูลซูลงไปอย่างมากอีกด้วยยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!“เหลิ่งอู่ อย่าคุยโม้!”“ถ้าแกซึ่งเป็นคนของตระกูลเหลิ่งต้องการเอาชนะทุกคน ฉันกับราชาแดนใต้วันนี้ก็จะสู้ตาย จะอยู่สู้กับแกไปจนถึงวาระสุดท้าย!”“อย่างไรก็ตาม ฉันแก่แล้ว เอาชีวิตของพวกเราเข้าแลกกับการทำให้ทายาทของพวกแกสิ้นซาก นี่ก็นับว่าคุ้มค่าดี!”นายท่านซูยิ้มอย่างดูถูกตระกูลเหลิ่งมียอดฝีมือระดับราชาสงครามอยู่เพียงสองคน ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่สามารถปิดผนึกเขาและเฝิงเจิ้นได้อย่างสมบูรณ์แม้ว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของฝั่งพวกเขาจะด้อยกว่าอีกฝั่งมาก แต่เขาและเฝิงเจิ้นก็สามารถหลีกเลี่ยงความได้เปรียบนั้น และเลือกที่จะโจมตีทายาทสายตรงรุ่นที่สองและสามของตระกูลเหลิ่งทั้งหมด!ก่อนที่เหลิ่งอู่และนายท่านเหลิ่งจะฆ่าเขาและเฝิงเจิ้นสำเร็จ เขาและเฝิงเจิ้นก็ทำลายทายาทรุ่นที่สองและสามของตระกู
“ไม่อย่างนั้น ฉินหมิงและคุณหนูใหญ่เฝิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่าไร เราก็จะคืนมันใส่ตัวของเหลิ่งจวิ้นเป็นสองเท่า!”นายท่านซูพูดพลางแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา“แก…”นายท่านเหลิ่งโกรธจัดจนหน้าซีดแล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้“อ้อ ฉันขอบอกอีกเรื่องหนึ่งด้วย ถ้าพวกแกตระกูลเหลิ่งกล้าทำร้ายฉินหมิงอีกในอนาคต อะไร ๆ มันจะไม่ง่ายเหมือนในตอนนี้อีกแล้ว!”“ราชาแดนใต้ พวกเรากลับ!”นายท่านซูพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็เรียกเฝิงเจิ้น ทุกคนเดินกลับออกไปอย่างมั่นใจ“บัดซบ!”“มันช่างน่าโมโหจริงๆ!”เมื่อเห็นนายท่านซูและคนอื่น ๆ ค่อย ๆ หายลับไป นายท่านเหลิ่งก็โกรธมากอย่างไรก็ตาม เหลิ่งจวิ้นยังอยู่ในมือของเฝิงเจิ้น เขาและทุกคนในตระกูลเหลิ่งไม่กล้าแสดงท่าทีหุนหันพลันแล่น จึงทำได้เพียงเฝ้าดูนายท่านซู เฝิงเจิ้น และคนอื่น ๆ จากไป“นายท่าน ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”สมาชิกหลักของตระกูลเหลิ่งกลุ่มหนึ่งเข้ามาถามด้วยสีหน้ากังวล“ยังจะทำอะไรได้อีก?”“ตาแก่ซูเรียกร้องการชดเชยจากเรา แต่จริง ๆ แล้วเขาแค่ใช้เรื่องในวันนี้ตักเตือนเราว่าตระกูลเหลิ่งไม่ควรลงมือกับฉินหมิงอีกในอนาคต!”นายท่านเหลิ่งพูดพร้อมกับแสดงควา
ซูซินเหยาใช้เส้นสายของตระกูลซูของเธอดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดของยอดฝีมือมากกว่าหนึ่งโหล และในที่สุดหลังจากการพิจารณาอย่างครอบคลุม เธอก็ช่วยฉินหมิงเลือกผู้ฝึกยุทธหกคนออกมาจากในบรรดาคนทั้งหมดทั้งหกคนนี้ เมื่อรวมกับสองพี่น้องซาทงและซาผิง ก็มีผู้ฝึกยุทธทั้งหมดแปดคนที่กลายมาเป็นรากฐานในการสร้างกองกำลังของฉินหมิงในขั้นต้นในอีกทางเหลิ่งจวิ้นเป็นผู้สืบทอดในอนาคตของตระกูลเหลิ่ง นายท่านเหลิ่งไม่สามารถมองดูเหลิ่งจวิ้นเกิดเรื่องได้ ดังนั้นในที่สุดเขาก็กัดฟันและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับฉินหมิงและเฝิงรั่วซวงเป็นจำนวนเงินหนึ่งพันล้านนายท่านซูและราชาแดนใต้เฝิงเจิ้น ปฏิบัติตามข้อตกลงและปล่อยตัวเหลิ่งจวิ้นทางด้านตระกูลหลินเมื่อเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยได้รู้จากหลินหว่านชิงว่าฉินหมิงและซูซินเหยา 'อยู่ด้วยกัน' แล้ว เธอก็โกรธมากและต้องการจะไปคิดบัญชีกับฉินหมิงเสียเดี๋ยวนั้นแต่ก็ถูกหลินหว่านชิงหยุดไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบด้วยอุปนิสัยของเซี่ยเสี่ยวเตี๋ย แม้ว่าหลินหว่านชิงจะบังคับเธอ แต่เธอก็จะแอบไปหาฉินหมิงเพื่อถามให้ชัดเจนอยู่ดี อย่างไรก็ตามเรื่องที่ราชาแดนเหนือลี่ตั๋วไห่มาสู่ขอหลินหว่านชิงจากตระกูลห
นับตั้งแต่ที่เธอเห็นความสามารถของฉินหมิง และฉินหมิงได้ช่วยหลี่เจียฮุ่ยจากเหตุการณ์ลักพาตัวเมื่อครั้งที่แล้ว เธอก็มองฉินหมิงเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นลูกเขยของเธอไปแล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตาเธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกสาวของเธอและฉินหมิงจะได้อยู่ด้วยกันเพียงแต่ว่าฉินหมิงดูเหมือนจะหายไปในช่วงนี้และไม่มาปรากฏตัวให้เห็นเลย เธอจึงนึกกังวล แต่ก็ทำอะไรไม่ได้“แม่คะ อย่าพูดเหลวไหลแบบนั้นสิ หนูจะไปออกเดทกับฉินหมิงได้ยังไง…”ใบหน้าที่สวยงามของหลี่เจียฮุ่ยขึ้นสีแดงก่ำ เธอพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย“เจียฮุ่ย อย่าหาว่าแม่จู้จี้เลยนะ ผู้ชายที่ดีแบบฉินหมิงนั้นสมัยนี้หาได้ยากมากแล้ว ดังนั้นลูกต้องรีบคว้าโอกาสไว้!”“ไม่อย่างนั้น ถ้าลูกพลาดหมู่บ้านนี้ไป จะไปหาร้านข้างหน้าก็คงไม่มีอีกแล้ว!”เจียงหลานสอนด้วยใบหน้าที่จริงจังมาก“หนูรู้ค่ะ หนูจะพยายามทำให้ดีที่สุด...”หลี่เจียฮุ่ยเห็นด้วยอย่างอ่อนแรง“อะไรนะ?”“ลูกตอบตกลงแล้ว…?”เจียงหลานผงะ แทบไม่อยากจะเชื่อหูของเธอเธอเคยบอกลูกสาวของเธอให้รีบจับฉินหมิงไว้ แต่หลี่เจียฮุ่ยในตอนนั้นยังไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อฉินหมิง ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธเรื่องนี้ซ้ำ
เดิมทีหลี่เจียฮุ่ยก็เป็นผู้หญิงที่สวยอย่างหาตัวจับยากอยู่แล้ว เธอมีรูปลักษณ์ที่ดูดีมาก ประกอบกับวันนี้แต่งหน้าบาง ๆ ยิ่งทำให้ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและสวยงามของเธอยิ่งดูสง่างามและประณีตมากขึ้นไปอีกเธอสวมชุดเดรสสั้นระบาย ขับเน้นให้เห็นถึงหุ่นที่โค้งเว้าและได้รูป ขาเรียวยาวทั้งสองข้างภายใต้ชุดกระโปรงที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงน่องโปร่ง เมื่อมันยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูง ก็ยิ่งขับให้บรรยากาศรอบตัวเธออ่อนโยนและเงียบสงบ เป็นความงามที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวั่นไหวในแง่ของความสวยงาม แม้ว่าหลี่เจียฮุ่ยจะไม่น่าทึ่งเท่ากับหลินหว่านชิงและซูซินเหยา แต่ก็แตกต่างกันไม่มากนัก ทว่าบรรยากาศรอบตัวเธอไม่ได้ดูสูงศักดิ์และเปล่งประกายเท่ากับหลินหว่านชิงแค่นั้นอย่างไรก็ตาม เธอเป็นหญิงสาวประเภทที่อ่อนโยนและสง่างาม ยิ่งมองเธอมากเท่าไร เธอก็ยิ่งสวยขึ้น เป็นสาวงามที่มีความงามเป็นรองเพียงสี่สาวงามแห่งเมืองเจียงเฉิง!“เจียฮุ่ย วันนี้คุณสวยมาก!”ฉินหมิงเอ่ยชมเธออย่างจริงใจ"ขอบคุณ..."“นายรีบเข้ามาก่อนสิ”หลี่เจียฮุ่ยหน้าแดงก่ำ เธอเชิญฉินหมิงให้เข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว“ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวฉินที่มา มานั่งนี่ก่อนสิ!”เมื่อ