เพื่อที่จะปัดเป่าความคิดของหลินหว่านชิงที่จะกลับมาคืนดีกับฉินหมิงและเพื่อทำให้หลินหว่านชิงยอมแพ้โดยสิ้นเชิง เธอจึงกดหมายเลขโทรศัพท์ของฉินหมิงอย่างเงียบ ๆ หลังจากเชื่อมต่อสายแล้ว เธอก็กดปุ่มเปิดลำโพง“เฮ้ ซินเหยา คุณต้องการอะไรจากผมเหรอ?”เสียงของฉินหมิงมาจากโทรศัพท์“ฉินหมิง คุณยังจำครั้งก่อนที่เราสองคนเช็คอินที่โรงแรมในเมืองหลัวไห่ และนอนด้วยกันบนเตียงเดียวกันในคืนนั้นได้หรือเปล่า?”ซูซินเหยาถามอย่างคลุมเครือ เธอจงใจเน้นคำว่า 'นอนเตียงเดียวกัน' เพื่อให้หลินหว่านชิงได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้น“จำได้ คุณ...ทำไมจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”เสียงของฉินหมิงดังขึ้นขณะนี้เขากำลังหลอมยามังกรซ่อนอยู่บนภูเขาด้านหลังตระกูลซู คำถามที่คลุมเคลือของซูซินเหยาทำให้เขาสับสนมาก เขาจึงตอบสนองไม่ได้เล็กน้อยยิ่งไปกว่านั้น การที่เขานอนเตียงเดียวกับซูซินเหยาตลอดทั้งคืนในโรงแรมในเมืองหลัวไห่เป็นข้อเท็จจริงและเขาไม่อาจปฏิเสธได้เปิดห้อง? นอนด้วยกันเหรอ?หลินหว่านชิงเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดลงมาบนหัว จิตใจของเธอระเบิดและฉับพลันมันก็เป็นความว่างเปล่านี่ยังไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือเธอได้ยินฉินหมิงยอมรับกับหู
“ฉัน...ฉันได้ยินแล้ว...”“ฉัน...ขอให้พวกเธอทั้งคู่มีความสุขนะ...”หลินหว่านชิงมาถึงจุดที่ใกล้จะพังทลาย แต่เธอก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอก็ยังเป็นอันดับที่หนึ่งของสี่สาวงามแห่งเมืองเจียงเฉิง แถมยังเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลินอีกด้วย เธอยังมีความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่ด้วยความเย่อหยิ่งของเธอ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ซูซินเหยา เธอก็จะไม่แสดงด้านที่อ่อนแอของตนต่อหน้าซูซินเหยาสำหรับฉินหมิง เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ไป ตอนนี้เมื่อฉินหมิงคบหากับซูซินเหยาแล้ว เธอไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ นอกจากยอมแพ้ดังเช่นที่ซูซินเหยาพูด การที่บุคคลที่สามเข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์ของผู้อื่นนั้นถือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมอย่างยิ่งด้วยสถานะและความเย่อหยิ่งของเธอ เธอไม่อาจลดตัวไปเป็นเมียน้อยและทำลายความรู้สึกของคนอื่นได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นทั้งเธอและตระกูลหลินทั้งหมดจะกลายเป็นตัวตลกให้คนทั้งเมืองเจียงเฉิงหัวเราะเยาะ!หลังจากที่พยายามฝืนความรู้สึกขมขื่นจากอาการอกหักในหัวใจ เธอก็หันหลังและจากไปโดยไม่หันกลับมามองทันทีที่เธอเดินออกจากออฟฟิศ เธอก็ไม่สามารถควบคุมน้ำตาได้อีกต่อไป น้ำต
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือนายท่านหลินเชื่อในความบริสุทธิ์ของเขาแล้วและถึงกับโน้มน้าวให้หลินหว่านชิงกลับมาคืนดีกับเขาด้วยซ้ำน่าเสียดายที่วันนี้เขาติดธุระและไม่ได้เข้าบริษัท ดังนั้นเขาจึงคลาดกับหลินหว่านชิง!บางทีนี่อาจเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการกลั่นแกล้งผู้คน!……บลูมูน บาร์ที่นี่คือถิ่นที่เป็นดั่งฐานใหญ่ของเนี่ยอู๋ ฉินหมิงนัดพบกับเนี่ยอู๋ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งด้านหลังบาร์“นายน้อยฉิน ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?”“เชิญนั่งลงก่อนครับ”เนี่ยอู๋รู้สึกประหลาดใจมากและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนโค้งคำนับด้วยความเคารพจากนั้นผายมือเชิญให้ฉินหมิงนั่งลง“นายน้อยฉิน ผมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเปิดตัวขายเมื่อวานนี้จากปากของนายน้อยเฝิงแล้ว”“ที่แท้คุณก็คือประธานตัวจริงของหมิงเหยากรุ๊ป แถมยังเอาชนะเหลิ่งหลงเซิงปรมาจารย์ระดับสูงซึ่งเป็นอันดับต้น ๆ ของทายาทรุ่นที่สองของตระกูลเหลิ่งต่อหน้าสาธารณชนด้วยกระบวนท่าเดียวอีกด้วย คุณนี่มันยอดเยี่ยมมาก!”“ผมรู้สึกนับถือคุณมากจริง ๆ ครับ!”เนี่ยอู๋พูดด้วยความตื่นเต้นเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉินหมิง ยิ่งฉินหมิงแข็งแกร่งและมีชื่อเ
ยิ่งระดับของทักษะที่ใช้บ่มเพาะสูงมากเท่าไร การบ่มเพาะก็จะยิ่งรวดเร็วขึ้น ความสำเร็จในอนาคตเองก็จะยิ่งสูงมากขึ้นตาม!ด้วยระดับของทักษะบ่มเพาะของเขาในปัจจุบัน ถ้าเขาได้รับทักษะระดับเหนือมนุษย์ขั้นกลางหรือขั้นต่ำมา มันจะช่วยให้เขาบุกทะลวงไปสู่ระดับปรมาจารย์ได้ง่ายขึ้นมากในอนาคตสำหรับเขาแค่ได้กลายเป็นปรมาจารย์แค่นี้ก็ถือว่าบรรลุความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว!“ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ…”ฉินหมิงไพล่มือไว้ด้านหลังและถ่ายทอดทักษะปราบอสูรอเวจีให้กับเนี่ยอู๋ผ่านทางจิตโดยตรงเนี่ยอู๋สงบใจลงและพุ่งสมาธิไปที่การจดจำทักษะปราบอสูรอเวจีอย่างรวดเร็ว“เอาล่ะ ตอนนี้นายลองโคจรพลังปราณในร่างรอบหนึ่งก่อน ฉันจะคอยชี้แนะอยู่ข้าง ๆ”“ถ้ามีปัญหาอะไร จะได้ช่วยนายแก้ไขได้ทันเวลา”ฉินหมิงพูดนี่เป็นครั้งแรกที่เนี่ยอู๋บ่มเพาะทักษะปราบอสูรอเวจี ภายใต้การชี้แนะของเขา มันจะง่ายกว่าสำหรับเนี่ยอู๋ที่จะเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง“ครับ”เนี่ยอู๋รับคำ จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นและเริ่มบ่มเพาะขณะที่กำลังโคจรพลังปราณด้วยทักษะใหม่อยู่ กระแสพลังงานบริสุทธิ์ก็พวยพุ่งออกมาจากจุดตันเถียน ความเร็วในการบ่
ดังนั้นจุดนี้เขาจึงต้องพูดกับเนี่ยอู๋ให้ชัดเจน“ว่าไงนะครับ?”“ปฐพี...ทักษะปราบอสูรอเวจีเป็นทักษะระดับปฐพีขั้นกลางอย่างนั้นเหรอ?”“ผม...นี่ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม?”เนี่ยอู๋ตกตะลึงกับข่าวนี้มาก เขาตัวแข็งทื่อ นิ่งงันอยู่ตรงนั้นและตอบสนองไม่ได้เป็นเวลานาน “นายได้ยินถูกต้องแล้ว”ฉินหมิงพยักหน้า"นี่..."เนี่ยอู๋ตกใจมาก ราวมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่งเขารู้ว่าฉินหมิงจะไม่โกหกเขา แถมเมื่อสักครู่นี้เขาได้สัมผัสกับทักษะปราบอสูรอเวจีโดยตรงผ่านการบ่มเพาะแล้ว ด้วยประสิทธิภาพของทักษะปราบอสูรอเวจี อย่างน้อย ๆ มันก็ต้องเป็นทักษะระดับปฐพีขั้นต่ำอย่างแน่นอน!ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพียงพอที่จะอธิบายว่าทักษะปราบอสูรอเวจีคือระดับปฐพีขั้นกลางอย่างแท้จริง!อย่างไรก็ตาม ในความรู้ที่ค่อนข้างจำกัดของเขา ทักษะระดับสูงที่สุดในเมืองเจียงเฉิงยังอยู่แค่ระดับเหนือมนุษย์ขั้นสูงเองไม่ใช่เหรอ ดังนั้นในตอนแรกเขาจึงคิดว่าฉินหมิงจะถ่ายทอดทักษะระดับเหนือมนุษย์ขั้นต่ำหรือไม่ก็ขั้นกลางให้กับเขา ซึ่งแค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าฉินหมิงถึงกับยอมถ่ายทอดทักษะระดับปฐพีขั้นกล
เนี่ยอู๋เป็นคนที่ซื่อสัตย์และเชื่อถือได้ เห็นคุณค่าของความรักและคุณธรรม เป็นคนที่สามารถเชื่อใจได้อย่างแน่นอน!ยิ่งไปกว่านั้นเนี่ยอู๋โลดแล่นอยู่ในโลกใต้ดินมานานแล้ว มีไหวพริบและประสบการณ์อย่างยิ่ง เมื่อเขาก่อตั้งตระกูลฉินของตนเองในอนาคต เนี่ยอู๋จะเป็นผู้สมัครตำแหน่งพ่อบ้านที่เหมาะสมที่สุดอย่างแน่นอนสิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือเขาเพิ่งเริ่มสร้างกองกำลังของตัวเอง หนทางยังอีกยาวไกลนักกว่าที่ตระกูลฉินของเขาจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง แต่สิ่งนี้รีบไม่ได้“เนี่ยอู๋ นายน่าจะชัดเจนดีถึงความสำคัญของทักษะระดับปฐพีขั้นกลาง”“ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน นายห้ามบอกใครเกี่ยวกับทักษะปราบอสูรอเวจีเด็ดขาด!”ฉินหมิงไม่ลืมที่จะเตือนเขา สีหน้าดูจริงจังมาก“ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้เข้าใจแล้วครับ”“นายน้อยฉิน คุณวางใจเถอะ ผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในท้องจะไม่มีวันแพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน!”เนี่ยอู๋สัญญาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม“แบบนั้นก็ดี”“ตอนนี้ฉันมีธุระบางอย่างต้องไปพบราชาแดนใต้ ถ้านายว่าง ก็อย่าลืมตั้งใจบ่มเพาะทักษะปราบอสูรอเวจีนี้ อย่าทำให้ฉันผิดหวังเชียว”ฉินหมิงยิ้ม“ครับ”เนี่ยอู๋ขานรับอย่างรวดเร็ว จากน
“ลุงเฝิง ในโลกฝั่งสายขาว ผมได้แจ้งตระกูลซูไปแล้วให้พวกเขาช่วยตรวจสอบเรื่องนี้”“ส่วนโลกใต้ดิน ผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณ ได้โปรดช่วยผมหาด้วยว่าคนร้ายที่สวมหน้ากากลึกลับเหล่านี้มันเป็นใคร!”ฉินหมิงระบุจุดประสงค์ของเขาชัดเจนตระกูลซูและตระกูลเฝิงแบ่งฟากกันรับผิดชอบ ฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบโลกฝั่งหนึ่ง ภายใต้การร่วมมือกันอย่างหนักของ 2 กองกำลัง เขาเชื่อว่าเขาจะสามารถค้นหาเบาะแสบางได้อย่างแน่นอน!“ได้สิ ไม่มีปัญหา ฉันจะจัดแจงคนให้ไปตรวจสอบทันที!”เฝิงเจิ้นพยักหน้าและตอบรับ จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดหมายเลขหลายหมายเลขติดต่อกัน สั่งการลงไปรอจนกระทั่งเฝิงเจิ้นจัดการจบ ฉินหมิงถึงประเมินว่าเรื่องนี้ในช่วงสั้น ๆ นี้คงยังไม่ได้รับคำตอบแน่ จึงวางแผนที่จะไปตรวจร่างกายภรรยาของเฝิงเจิ้นก่อน จากนั้นจึงติดตามเฝิงเจิ้นและเฝิงหลุนไปยังบ้านพักของพวกเขาในลานด้านหลังในห้องโถงชั้นในของบ้านเฝิงรั่วซวงจัดยาให้แม่ของเธอเสร็จแล้วก็วางมันลงบนโต๊ะคุณผู้หญิงเฝิงนั่งอยู่ที่โต๊ะและเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม เธอค่อย ๆ ดื่มยาจีนในชาม“รั่วซวง ทักษะทางการแพทย์ของฉินหมิงและใบสั่งยาที่เขาให้มานั้น
เฝิงรั่วซวงแค่นเสียงเหอะหนึ่งครั้งจากนั้นก็หันกลับไป ไม่ต้องการจะพูดคุยกับฉินหมิงฉินหมิงแตะจมูกของเขาและดูสับสน เดาไม่ออกเลยว่าตัวเองไปทำให้เฝิงรั่วซวงขุ่นเคืองใจตอนไหน“คุณฉิน คุณมาเพื่อตรวจฉันไม่ใช่เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยเถอะ”คุณผู้หญิงเฝิงเปลี่ยนเรื่อง และยื่นข้อมือสีขาวของเธอออกไปฉินหมิงละทิ้งเรื่องของเฝิงรั่วซวงไปชั่วคราว เขายื่นมือออกไปแตะชีพจรของคุณผู้หญิงเฝิงและตรวจเธออย่างระมัดระวังผ่านไปเนิ่นนานฉินหมิงตรวจชีพจรเสร็จแล้วก็ดึงมือกลับ“คุณฉิน สุขภาพของภรรยาผมเป็นยังไงบ้าง?”เฝิงเจิ้นอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความห่วงใย“คุณผู้หญิงอาการดีขึ้นมากแล้ว ตราบเท่าที่เธอยังดื่มยาต่อไปอีกสองสามวัน ร่างกายของเธอก็จะฟื้นตัวเต็มที่…”ฉินหมิงพูดด้วยรอยยิ้ม“เยี่ยม เยี่ยมมาก!”เฝิงเจิ้นหัวเราะร่าอย่างมีความสุขแม้ว่าเขาจะเห็นกับตาว่าอาการของภรรยาเขาไม่ร้ายแรงอีกต่อไปแล้ว แต่ฉินหมิงเป็นมืออาชีพมากกว่า ตอนนี้เมื่อเขาได้รับการยืนยันจากฉินหมิงโดยตรง เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก“คุณฉิน ขอบคุณมากนะคะ…”“คุณไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ยังรักษาฉันให้หายจากอาการป่วยเรื้อรังที่