“นี่...เป็นไปได้ยังไง!”“ระดับการบ่มเพาะของนายไม่ใช่อยู่แค่ขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ประทานหรอกเหรอ? นายไปถึงระดับปรมาจารย์ได้ยังไงกัน!”ไช่หงเซินยกมือขึ้นกุมหน้าอกและมองไปที่เจิ้งอวี่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกระดับปรมาจารย์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นแรกบนเส้นทางของการบ่มเพาะ แต่การจะทะลวงไปให้ถึงระดับนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากในบรรดาคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นมากมายของเมืองหลัวไห่ ระดับการบ่มเพาะล้วนหยุดอยู่แค่ขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ประทาน จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้วแต่เจิ้งอวี่กลับก้าวข้ามและเอาชนะคนทั้งหมด เป็นคนแรกที่ประสบความสำเร็จ ใครก็ยากที่จะจินตนาการถึงความตกใจที่เกิดขึ้นกับไช่หงเซินได้!“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!”“ฉันบอกให้แกรู้ละกันว่าการที่ฉันสามารถทะลวงคอขวดของการบ่มเพาะ เข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้อย่างราบรื่น ทุกอย่างล้วนต้องขอบคุณความช่วยเหลือของคุณฉิน!”เจิ้งอวี่ไพล่มือไว้ข้างหลัง แล้วพูดอย่างเย็นชา“ว่ายังไงนะ?์”“เขาช่วยให้ผู้ฝึกยุทธสามารถทะลวงคอขวดของการบ่มเพาะได้จริงเหรอ?”“นี่…”ไช่หงเซินตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจภายหลัง
“คุณฉิน คุณหนูซู เมื่อสักครู่นี้ผมมีตาแต่ไร้แวว ทำให้ทั้งสองคนขุ่นเคืองใจ ครั้งนี้ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย…”ไช่หงเซินอดทนต่อความอัปยศอดสูในใจของเขา คุกเข่าลงเสียงดังปึกและก้มหัวให้กับฉินหมิงและซูซินเหยาเพื่อเป็นการขอโทษ“ลุกขึ้นเถอะ!”“คุณชายใหญ่ไช่ ฉันมีประโยคหนึ่งที่อยากจะขอเตือนไว้ ทำความชั่วมากย่อมพิฆาตตัวเอง หวังว่าตระกูลไช่ของพวกนายจะดูแลตัวเองให้ดีในอนาคต!”ฉินหมิงพูดอย่างใจเย็นเขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลและไม่ยอมให้อภัยคน ตอนนี้ไช่หงเซินคุกเข่าลงเพื่อขอโทษแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถือสากับอีกฝ่ายอีกสำหรับซูซินเหยา แม้ว่าเธอจะยังไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่เธอก็ทำตามการตัดสินใจของฉินหมิงเสมอ เนื่องจากฉินหมิงเอ่ยปากไปแล้ว เธอย่อมไม่คัดค้านแน่นอน“ขอบคุณทั้งสองสำหรับความมีเมตตา...”ไช่หงเซินถอนหายใจอย่างโล่งอกและลุกขึ้นยืน“เอาล่ะ พวกแกไสหัวไปได้แล้ว!”เจิ้งอวี่พูดอย่างเย็นชา“พวกเราไป!”ไช่หงเซินรู้สึกเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม จากนั้นก็ตะโกนเรียกลูกน้อง หันหลังกลับและเตรียมจะจากไปอย่างสิ้นหวัง“เดี่ยวก่อน!”จู่ ๆ ซูซินเหยาก็เอ่ยปากเรียกไช่หงเซินและคนอื่น ๆ ให้หยุด“คุณหนูซู ไม่ท
ปึก!ขณะที่ไช่เม่ากำลังจะจับตัวซูซินเหยา ฉินหมิงก็มาถึงก่อนแล้ว เขาสกัดกั้นการโจมตีของไช่เม่าด้วยพลังวิญญาณของตัวเอง และตบไช่เม่าจนปลิวกระเด็นด้วยหนึ่งฝ่ามือ“รนหาที่ตาย!”ในเวลาเดียวกัน เจิ้งอวี่ก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด สายตาของเขาคมกริบ ยกเท้าเตะไปที่จุดชี่ไห่ของไช่เม่าอย่างโหดเหี้ยม“อ้ากกก…”ไช่เม่ากรีดร้องเหมือนหมูที่ถูกเชือด ใบหน้าของเขาซีดราวกับกระดาษ และระดับการบ่มเพาะของเขาทั้งหมดก็ถูกทำลายโดยเจิ้งอวี่จนไม่เหลือจากนี้ไปเขาจะกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงและไม่สามารถกระทำความชั่วได้อีก!“โง่เขลาที่สุด!”เห็นฉากดังกล่าว ไช่หงเซินก็ยิ้มอย่างดูถูกมียอดฝีมืออย่างฉินหมิงและเจิ้งอวี่สองคนคอยจับตาดูจากด้านข้างอย่างระมัดระวัง ต่อให้เป็นเขาเองที่ลงมือโจมตีซูซินเหยายังยากที่จะทำสำเร็จ นับประสาอะไรกับไช่เม่าซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นกลางระดับสวรรค์ประทาน!นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตาย จะเรียกว่าอะไรได้!“ซินเหยา เธอโอเคใช่ไหม?”ฉินหมิงถามอย่างประหม่า ไม่รู้ว่าซูซินเหยาได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของไช่เม่าเมื่อสักครู่นี้หรือเปล่า“ฉันไม่เป็นไร”ซูซินเหยาตบหน้าอกของเธอและพยายามสงบ
หลังจากนั้น เจี่ยงฉินก็ดึงซูซินเหยาออกไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวข้าง ๆ แล้วซูซินเหยาและฉินหมิงก็จากไปพร้อมกับเจิ้งอวี่……คฤหาสน์ตระกูลเจิ้งในตอนเย็น ตระกูลเจิ้งก็เริ่มจัดงานเลี้ยงมื้อค่ำสำหรับต้อนรับฉินหมิงและซูซินเหยาโดยเฉพาะงานเลี้ยงมื้อค่ำในครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก โดยพื้นฐานแล้ว ผู้อาวุโสรวมถึงบุคคลสำคัญในตระกูลเจิ้งจำนวนมากล้วนเข้าร่วม ทั้งหมดจึงมีสี่ถึงห้าโต๊ะภายใต้การเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นของนายท่านเจิ้ง ฉินหมิงและซูซินเหยาทั้งสองคนยากที่จะปฏิเสธได้ จึงนั่งลงที่หัวโต๊ะในฐานะแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเจิ้ง “ทุกคนโปรดเงียบสักครู่!”“วันนี้ที่ฉันเรียกทุกคนมารวมตัวกัน ก่อนอื่นเลยก็เพื่อต้อนรับคุณฉินและคุณหนูซูจากหมิงเหยากรุ๊ป”“ประการที่สอง ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่จะประกาศ!”นายท่านเจิ้งลุกขึ้นยืน น้ำเสียงของเขาทั้งหนักแน่นและทรงพลัง ลอยเข้าไปในหูของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นทุกคนเงียบลงทันที อดไม่ได้ที่จะมองไปที่นายท่านเจิ้งด้วยความสับสนและสงสัยว่านายท่านเจิ้งกำลังจะประกาศเรื่องที่สำคัญอะไร“คิดว่าทุกคนน่าจะได้ยินเรื่องที่ระดับการบ่มเพาะของเจิ้งอวี่ทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เจิ้งอวี่เดิมก็เป็นว่าที่ผู้สืบทอดอันดับที่หนึ่งของตระกูล ทั้งพรสวรรค์ด้านวรยุทธและทุก ๆ ด้านของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก เขาคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะขึ้นมาดูแลตระกูลในอนาคตณ ที่ตรงนั้น หลายคนแสดงการสนับสนุนต่อการตัดสินใจของนายท่านเจิ้ง จากนี้ไปเจิ้งอวี่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำตระกูลเจิ้งชั่วคราว!มีเพียงสองพ่อลูกเจิ้งเต๋อผิงและเจิ้งเจ๋อเท่านั้นที่สีหน้าไม่น่ามองอย่างมาก พวกเขารู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามชายชราได้ตัดสินใจไปแล้วและหลายคนก็สนับสนุนเจิ้งอวี่ พวกเขาสองพ่อลูกจึงได้แต่จนปัญญา“ดี ดีมาก วันนี้ตระกูลเจิ้งของเราไม่เพียงแต่ได้รับสิทธิ์ในการร่วมมือกับหมิงเหยากรุ๊ปเท่านั้น แต่ยังได้แต่งตั้งผู้รักษาการแทนผู้นำตระกูลคนใหม่อีกด้วย นี่มันน่ายินดีจริง ๆ!”“นอกจากนี้ หาได้ยากที่คุณฉินและคุณหนูซูทั้งสองคนมาเยือนตระกูลของเราในฐานะแขก พวกเราดื่มฉลองให้ทั้งสองคนสักแก้ว ให้ทั้งสองคนเป็นสักขีพยานในเรื่องน่ายินดีของตระกูลเจิ้งของเรา!นายท่านเจิ้งหัวเราะและเป็นผู้นำในการยกแก้วไวน์ขึ้นมานายท่านเจิ้งคือผู้นำตระกูลเจิ้งซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองหลัวไห่ สถานะที่สูงส
แต่กับซูซินเหยานั้นแตกต่างออกไป เธอถูกประคบประหงมเอาใจมาตั้งแต่เด็กเหมือนกับดอกไม้ในเรือนกระจก ยกเว้นในตอนนั้นที่เธอถูกลอบโจมตี ชีวิตของเธอมักจะน่าเบื่อและจืดชืดอยู่เสมอเวลาไม่กี่วันนี้ในเมืองหลัวไห่ช่างมหัศจรรย์และน่าตื่นเต้น เธอยังคงตื่นเต้นมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เธอรู้สึกดีใจมากและมีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับฉินหมิงทุกวันเธอหวังว่าความสุขและความยินดีนี้จะคงอยู่ตลอดไป!……เมืองเจียงเฉิง คฤหาสน์ตระกูลซูหลังจากทราบข่าวว่าฉินหมิงและซูซินเหยากลับมาจากเมืองหลัวไห่แล้ว ซูห่าวก็รีบออกจากบริษัทตรงกลับมาที่บ้านโดยเร็วที่สุดในห้องนั่งเล่น เขาเห็นฉินหมิงและซูซินเหยา“คุณฉิน คุณกับซินเหยากลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปที่เมืองหลัวไห่ในครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง ได้รับวัตถุดิบยามาไหมครับ?”ซู่หาวถามด้วยสีหน้าคาดหวัง“อืม ได้วัตถุดิบยามาอย่างราบรื่นแล้ว”ฉินหมิงพยักหน้าและหยิบวัตถุดิบยาออกมา“เยี่ยม เยี่ยมมาก!”“ถ้าอย่างนั้น คุณเตรียมที่จะหลอมยาเมื่อไหร่?”ซู่หาวตื่นเต้นมากฉินหมิงสัญญากับเขาไว้ก่อนหน้านี้ว่าตราบเท่าที่เขาสามารถหาตัวยาหลักที่มีอายุมากกว่า
ขณะที่ฉินหมิงกำลังแอบเสียใจ ดวงตาของซูห่าวก็สว่างวาบ เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “คุณฉิน นี่ก็คือยาปราณแท้ที่จะช่วยให้ผมทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้ใช่ไหมครับ?"“เปล่า นี่เป็นยาตัวอื่น ไม่ใช่ยาปราณแท้”ฉินหมิงส่ายหัวแล้วพูด“ไม่ใช่ยาปราณแท้เหรอ…”ซู่หาวรู้สึกผิดหวังมาก ราวกับถูกน้ำเย็นราดลงบนศีรษะ รู้สึกหมดความกระปรี้กระเปร่าในทันใด“คุณชายใหญ่ซู คุณไม่ต้องกังวลไป ผมจะหลอมยาปราณแท้ในชุดถัดไปนี้แหละ!”ฉินหมิงปลอบใจเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวออกมา แล้วใส่ยาสร้างรากฐานทั้งหกเม็ดลงไปมูลค่าของยาสร้างรากฐานเหล่านี้สูงกว่ายาปราณแท้ ต่อให้เขาคนเดียวไม่อาจใช้ครบทั้งหมด เขาก็ไม่มีทางทิ้งมันไปอย่างไร้ประโยชน์เก็บไว้ก่อน เผื่อได้ใช้งานในอนาคต!จากนั้น ฉินหมิงก็ทำความสะอาดเตาหลอมยา โยนตัวยาหลักที่เหลือลงไปและเริ่มหลอมยาปราณแท้ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วในที่สุดฉินหมิงก็ประสบความสำเร็จ เม็ดยาปราณแท้ทั้งหมดยี่สิบสองเม็ดถูกหลอมออกมาแล้วหากอิงจากสถานการณ์ของยาหลอมลมปราณ ตัวยาหลักหนึ่งตัวสามารถหลอมยาหลอมลมปราณได้มากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบเม็ดอย่างไรก็ตาม โสม
ในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะอย่างปลอดโปร่งก็ดังขึ้น นายท่านซูเดินขึ้นมาบนยอดเขา“คุณปู่ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะคะ?”ซูซินเหยาดูมีความสุข จากนั้นทั้งฉินหมิงและซูห่าวสามคนก็ปรี่เข้าไปทักทายเขา“โอ้ ฉันได้ยินพวกคนรับใช้พูดกันว่าหลานกับฉินหมิงกลับมาจากเมืองหลัวไห่แล้ว ตอนนี้กำลังอยู่บนยอดเขาที่ภูเขาด้านหลัง เลยเดาว่าพวกเธอน่าจะกำลังหลอมยา ก็เลยมาดูสถานการณ์สักหน่อย”นายท่านซูพูดด้วยรอยยิ้ม“คุณปู่ ปู่มาได้จังหวะพอดี เมื่อสักครู่นี้ฉินหมิงเพิ่งจะหลอมยาปราณแท้ หนูคิดว่าจะใช้ยาปราณแท้นี้ชูโรง จัดงานเปิดตัวขายอีกครั้ง…”ซูซินเหยาบอกความคิดของเธออีกครั้งโดยหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากนายท่านซู“นี่เป็นความคิดที่ดี!”นายท่านซูรู้สึกประหลาดใจ แต่แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยซูซินเหยาถูกประคบประหงมเอาใจมาตั้งแต่เด็กจึงมีนิสัยหยิ่งยโส เขาไม่เคยคิดเลยว่าซูซินเหยาจะคิดกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ นี่มันค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขามาก“พี่คะ ได้ยินหมดแล้วใช่ไหม? คุณปู่เห็นด้วยกับความคิดของฉันแล้ว!”ซูซินเหยารู้สึกมั่นใจมากขึ้น และอดไม่ได้ที่จะยิ้มไปทางซูห่าวอย่างภาคภูมิใจ“นี่…ก็ได้”ซู่หาวอย