"นายน้อย ไอ้หนูนี่มันแปลก ๆ ให้ผมจัดการเขาเถอะครับ!"ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังไช่หงเซินเสนอตัวขอลงมือเองลูกน้องคนนี้เป็นชายวัยกลางคน ดวงตาของเขาวิบวับและออร่ารอบตัวเขาก็ถูกยับยั้งเอาไว้ยังไม่ถูกปลดปล่อยออกมา อย่างไรก็ตามสามารถบอกได้ทันทีด้วยการมองว่าเขามีตัวตนที่ทรงพลังมาก“อืม งั้นฉันจะปล่อยเขาให้แกจัดการ ส่วนฉันจะจัดการกับซูซินเหยาเอง!"ไช่หงเซินพยักหน้าและกล่าว เป้าหมายถูกเล็งไปที่ซูซินเหยาโดยตรง"ไอ้หนู มารับความตายซะ!"ชายวัยกลางคนแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา ออร่าพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา จากนั้นเขาก็กางกรงเล็บแหลมคม พุ่งเข้าใส่ฉินหมิงอย่างดุร้าย“ระดับปรมาจารย์!”การแสดงออกของฉินหมิงเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อก่อน ตอนอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง เขาแทบจะไม่ได้พบกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์เลย แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามาถึงเมืองหลัวไห่ ตัวเองจะพบกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้โชคของเขาย่ำแย่เกินไปแล้ว!แน่นอนว่า มีสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่รู้ ไช่หงเซินรู้จากไช่เม่ามาก่อนแล้วว่าระดับการบ่มเพาะของเขานั้นไม่ธรรมดา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุใด ๆ ไช่หงเซินจึงเรียกตัวยอดฝีมือคนนี้มาจากที่อื่นเป
“อะไรนะ?”“ทั้งสองคนเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเจิ้ง?”“นี่...เป็นไปได้ยังไง!”ไช่หงเซินตะลึงงันไปแล้ว สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อเขารู้จากไช่เม่ามาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าฉินหมิงและซูซินเหยาเพิ่งมาที่เมืองหลัวไห่เป็นครั้งแรกและไม่มีเส้นสายอะไรเขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าฉินหมิงและซูซินเหยากลายไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเจิ้งได้อย่างไร!ความตกใจที่มหาศาลนี้ ใครก็ยากที่จะจินตนาการถึงได้!เจี่ยงเหวินเจิงและเจี่ยงฉินเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน สองพ่อลูกไม่คิดเลยว่าเจิ้งอวี่จะมาที่นี่เพื่อช่วยฉินหมิงและซูซินเหยา!โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจี่ยงฉิน เธอรู้สถานการณ์ของซูซินเหยาและฉินหมิงดีกว่าใคร ๆ เธอยังคิดไม่ออกว่าฉินหมิงและซูซินเหยาไปมีความสัมพันธ์กับตระกูลเจิ้งซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักเมื่อไรกัน!นี่จะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว?“มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ!”เจียงเหวินเจิงตระหนักรู้ทันทีเมื่อสักครู่นี้เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าฉินหมิงยังเด็กและหยิ่งยโส ไม่รู้ว่าท้องฟ้าสูงแค่ไหนและหุบเหวลึกแค่ไหนแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่แท้ฉินหมิงกล้าหาญและมีไหวพริบมาก เขาได้เตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าอย่างเหมาะสมแล้ว
“คุกเข่าลงและขอโทษ? นี่เป็นไปไม่ได้!”“เจิ้งอวี่ แม้ว่าตระกูลเจิ้งของพวกนายจะเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักของเมืองหลัวไห่ แต่ตระกูลไช่ของเราก็ไม่ได้เหยียบหัวกันได้ง่าย ๆ!”“ฉันขอแนะนำว่าให้นายพอแค่นี้ อย่ารังแกกันมากเกินไปนัก!”สีหน้าของไช่หงเซินเปลี่ยนเป็นเย็นชาท้ายที่สุดแล้วตระกูลไช่ก็เป็นตระกูลที่ทรงพลังอันดับต้น ๆ ของเมืองหลัวไห่ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความแข็งแกร่งหรือรากฐาน แน่นอนว่าด้อยกว่าตระกูลเจิ้งเพียงเล็กน้อย ช่องว่างระหว่างทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นเขาสามารถก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ต่อเจิ้งอวี่ แต่จะไม่คุกเข้าก้มหัวให้กับเจิ้งอวี่อย่างเด็ดขาด!“ก็ฉันจะรังแกคนมากเกินไปแบบนี้ แกจะทำอะไรฉันได้!”“คุณฉินและคุณหนูซูล้วนเป็นคนของเมืองเจียงเฉิง อำนาจของพวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลัวไห่ เมื่อสักครู่นี้แกอาศัยอำนาจของตระกูลไช่เพ้อฝันคิดอยากรังแกทั้งสองคน ในตอนนั้นทำไมแกถึงไม่คิดว่าตัวเองรังแกคนมากเกินไปล่ะ!”เจิ้งอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเยาะเย้ย“เจิ้งอวี่ ฉันไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับนาย!”“สรุปก็คือ เห็นแก่หน้าของนาย เรื่องนี้ถือว่าจบลงแค่นี้ ฉันขอตัวก่อน!”ไช่หงเซินแค่นเสียง
“นี่...เป็นไปได้ยังไง!”“ระดับการบ่มเพาะของนายไม่ใช่อยู่แค่ขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ประทานหรอกเหรอ? นายไปถึงระดับปรมาจารย์ได้ยังไงกัน!”ไช่หงเซินยกมือขึ้นกุมหน้าอกและมองไปที่เจิ้งอวี่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกระดับปรมาจารย์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นแรกบนเส้นทางของการบ่มเพาะ แต่การจะทะลวงไปให้ถึงระดับนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากในบรรดาคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นมากมายของเมืองหลัวไห่ ระดับการบ่มเพาะล้วนหยุดอยู่แค่ขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ประทาน จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้วแต่เจิ้งอวี่กลับก้าวข้ามและเอาชนะคนทั้งหมด เป็นคนแรกที่ประสบความสำเร็จ ใครก็ยากที่จะจินตนาการถึงความตกใจที่เกิดขึ้นกับไช่หงเซินได้!“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!”“ฉันบอกให้แกรู้ละกันว่าการที่ฉันสามารถทะลวงคอขวดของการบ่มเพาะ เข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้อย่างราบรื่น ทุกอย่างล้วนต้องขอบคุณความช่วยเหลือของคุณฉิน!”เจิ้งอวี่ไพล่มือไว้ข้างหลัง แล้วพูดอย่างเย็นชา“ว่ายังไงนะ?์”“เขาช่วยให้ผู้ฝึกยุทธสามารถทะลวงคอขวดของการบ่มเพาะได้จริงเหรอ?”“นี่…”ไช่หงเซินตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจภายหลัง
“คุณฉิน คุณหนูซู เมื่อสักครู่นี้ผมมีตาแต่ไร้แวว ทำให้ทั้งสองคนขุ่นเคืองใจ ครั้งนี้ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย…”ไช่หงเซินอดทนต่อความอัปยศอดสูในใจของเขา คุกเข่าลงเสียงดังปึกและก้มหัวให้กับฉินหมิงและซูซินเหยาเพื่อเป็นการขอโทษ“ลุกขึ้นเถอะ!”“คุณชายใหญ่ไช่ ฉันมีประโยคหนึ่งที่อยากจะขอเตือนไว้ ทำความชั่วมากย่อมพิฆาตตัวเอง หวังว่าตระกูลไช่ของพวกนายจะดูแลตัวเองให้ดีในอนาคต!”ฉินหมิงพูดอย่างใจเย็นเขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลและไม่ยอมให้อภัยคน ตอนนี้ไช่หงเซินคุกเข่าลงเพื่อขอโทษแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถือสากับอีกฝ่ายอีกสำหรับซูซินเหยา แม้ว่าเธอจะยังไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่เธอก็ทำตามการตัดสินใจของฉินหมิงเสมอ เนื่องจากฉินหมิงเอ่ยปากไปแล้ว เธอย่อมไม่คัดค้านแน่นอน“ขอบคุณทั้งสองสำหรับความมีเมตตา...”ไช่หงเซินถอนหายใจอย่างโล่งอกและลุกขึ้นยืน“เอาล่ะ พวกแกไสหัวไปได้แล้ว!”เจิ้งอวี่พูดอย่างเย็นชา“พวกเราไป!”ไช่หงเซินรู้สึกเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม จากนั้นก็ตะโกนเรียกลูกน้อง หันหลังกลับและเตรียมจะจากไปอย่างสิ้นหวัง“เดี่ยวก่อน!”จู่ ๆ ซูซินเหยาก็เอ่ยปากเรียกไช่หงเซินและคนอื่น ๆ ให้หยุด“คุณหนูซู ไม่ท
ปึก!ขณะที่ไช่เม่ากำลังจะจับตัวซูซินเหยา ฉินหมิงก็มาถึงก่อนแล้ว เขาสกัดกั้นการโจมตีของไช่เม่าด้วยพลังวิญญาณของตัวเอง และตบไช่เม่าจนปลิวกระเด็นด้วยหนึ่งฝ่ามือ“รนหาที่ตาย!”ในเวลาเดียวกัน เจิ้งอวี่ก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด สายตาของเขาคมกริบ ยกเท้าเตะไปที่จุดชี่ไห่ของไช่เม่าอย่างโหดเหี้ยม“อ้ากกก…”ไช่เม่ากรีดร้องเหมือนหมูที่ถูกเชือด ใบหน้าของเขาซีดราวกับกระดาษ และระดับการบ่มเพาะของเขาทั้งหมดก็ถูกทำลายโดยเจิ้งอวี่จนไม่เหลือจากนี้ไปเขาจะกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงและไม่สามารถกระทำความชั่วได้อีก!“โง่เขลาที่สุด!”เห็นฉากดังกล่าว ไช่หงเซินก็ยิ้มอย่างดูถูกมียอดฝีมืออย่างฉินหมิงและเจิ้งอวี่สองคนคอยจับตาดูจากด้านข้างอย่างระมัดระวัง ต่อให้เป็นเขาเองที่ลงมือโจมตีซูซินเหยายังยากที่จะทำสำเร็จ นับประสาอะไรกับไช่เม่าซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นกลางระดับสวรรค์ประทาน!นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตาย จะเรียกว่าอะไรได้!“ซินเหยา เธอโอเคใช่ไหม?”ฉินหมิงถามอย่างประหม่า ไม่รู้ว่าซูซินเหยาได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของไช่เม่าเมื่อสักครู่นี้หรือเปล่า“ฉันไม่เป็นไร”ซูซินเหยาตบหน้าอกของเธอและพยายามสงบ
หลังจากนั้น เจี่ยงฉินก็ดึงซูซินเหยาออกไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวข้าง ๆ แล้วซูซินเหยาและฉินหมิงก็จากไปพร้อมกับเจิ้งอวี่……คฤหาสน์ตระกูลเจิ้งในตอนเย็น ตระกูลเจิ้งก็เริ่มจัดงานเลี้ยงมื้อค่ำสำหรับต้อนรับฉินหมิงและซูซินเหยาโดยเฉพาะงานเลี้ยงมื้อค่ำในครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก โดยพื้นฐานแล้ว ผู้อาวุโสรวมถึงบุคคลสำคัญในตระกูลเจิ้งจำนวนมากล้วนเข้าร่วม ทั้งหมดจึงมีสี่ถึงห้าโต๊ะภายใต้การเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นของนายท่านเจิ้ง ฉินหมิงและซูซินเหยาทั้งสองคนยากที่จะปฏิเสธได้ จึงนั่งลงที่หัวโต๊ะในฐานะแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเจิ้ง “ทุกคนโปรดเงียบสักครู่!”“วันนี้ที่ฉันเรียกทุกคนมารวมตัวกัน ก่อนอื่นเลยก็เพื่อต้อนรับคุณฉินและคุณหนูซูจากหมิงเหยากรุ๊ป”“ประการที่สอง ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่จะประกาศ!”นายท่านเจิ้งลุกขึ้นยืน น้ำเสียงของเขาทั้งหนักแน่นและทรงพลัง ลอยเข้าไปในหูของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นทุกคนเงียบลงทันที อดไม่ได้ที่จะมองไปที่นายท่านเจิ้งด้วยความสับสนและสงสัยว่านายท่านเจิ้งกำลังจะประกาศเรื่องที่สำคัญอะไร“คิดว่าทุกคนน่าจะได้ยินเรื่องที่ระดับการบ่มเพาะของเจิ้งอวี่ทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เจิ้งอวี่เดิมก็เป็นว่าที่ผู้สืบทอดอันดับที่หนึ่งของตระกูล ทั้งพรสวรรค์ด้านวรยุทธและทุก ๆ ด้านของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก เขาคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะขึ้นมาดูแลตระกูลในอนาคตณ ที่ตรงนั้น หลายคนแสดงการสนับสนุนต่อการตัดสินใจของนายท่านเจิ้ง จากนี้ไปเจิ้งอวี่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำตระกูลเจิ้งชั่วคราว!มีเพียงสองพ่อลูกเจิ้งเต๋อผิงและเจิ้งเจ๋อเท่านั้นที่สีหน้าไม่น่ามองอย่างมาก พวกเขารู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามชายชราได้ตัดสินใจไปแล้วและหลายคนก็สนับสนุนเจิ้งอวี่ พวกเขาสองพ่อลูกจึงได้แต่จนปัญญา“ดี ดีมาก วันนี้ตระกูลเจิ้งของเราไม่เพียงแต่ได้รับสิทธิ์ในการร่วมมือกับหมิงเหยากรุ๊ปเท่านั้น แต่ยังได้แต่งตั้งผู้รักษาการแทนผู้นำตระกูลคนใหม่อีกด้วย นี่มันน่ายินดีจริง ๆ!”“นอกจากนี้ หาได้ยากที่คุณฉินและคุณหนูซูทั้งสองคนมาเยือนตระกูลของเราในฐานะแขก พวกเราดื่มฉลองให้ทั้งสองคนสักแก้ว ให้ทั้งสองคนเป็นสักขีพยานในเรื่องน่ายินดีของตระกูลเจิ้งของเรา!นายท่านเจิ้งหัวเราะและเป็นผู้นำในการยกแก้วไวน์ขึ้นมานายท่านเจิ้งคือผู้นำตระกูลเจิ้งซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองหลัวไห่ สถานะที่สูงส