เจี่ยงเหวินเจิงก้าวออกมาอย่างทันท่วงที“แจ้งตำรวจเหรอ?”“ตาแก่ อย่าทำตัวได้คืบจะเอาศอก!""ฉันขอเตือนแก ถ้าแกยังพอจะมีสมองอยู่บ้าง ถอยกลับไปแล้วไปยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่ายซะ ไม่อย่างนั้น อย่าโทษว่าฉันไม่เกรงใจกับตระกูลเจี่ยงของแก!"ไช่หงเซินพูดอย่างเย็นชาครั้งนี้เขาก่อเรื่องโดยมีมูลเหตุ แม้แต่คนของกลุ่มอู่หลงจู่เขายังไม่เห็นอยู่ในสายตา จะกลัวเจี่ยงเหวินเจิงโทรแจ้งตำรวจได้ยังไง!“คุณ…” จมูกของเจี่ยงเหวินเจิงเกือบจะบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเขารู้ว่าตระกูลไช่มีอำนาจและทรงอิทธิพลอย่างมากในถิ่นนี้ ตราบเท่าที่ไช่หงเซินไม่ได้ทำสิ่งชั่วร้ายอย่างเช่นการฆาตกรรมและลอบวางเพลิง แม้ว่าเขาจะแจ้งตำรวจมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร“คุณฉิน คุณหนูซู เป้าหมายของไช่หงเซินคือพวกคุณสองคน รีบไปจากที่นี่เถอะ!”“ตราบเท่าที่คุณสองคนหนีไปอย่างปลอดภัยแล้ว ไช่หงเซินจะไม่ทำอะไรกับตระกูลเจี่ยงของเราแน่นอน”เจี่ยงเหวินเจิงจงใจลดเสียงของเขาขณะพูด“ใช่แล้ว คุณพ่อพูดถูก”“ซินเหยา เธอและฉินหมิงรีบหนีไปก่อน ไม่ต้องห่วงพวกเรา…”เจี่ยงฉินกระซิบเมื่อคืนนี้เธอได้เห็นทักษะวรยุทธของฉินหมิงแล้ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มโจมตี
โอกาสที่หาได้ยากแบบนี้ บวกกับบุคลิกที่ดื้อรั้นและมีชีวิตชีวาของเธอ เธอจะพลาดไปได้ยังไง!“ซินเหยา ระวังตัวด้วย!"ฉินหมิงจนปัญญา ได้แต่รีบวิ่งตามซูซินเหยาขึ้นไปเขากังวลว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับซูซินเหยา จึงอยู่กับซูซินเหยาและไม่ยอมห่างจากเธอด้วยความช่วยเหลือจากฉินหมิงครั้งล่าสุด ระดับการบ่มเพาะของซูซินเหยาจึงทะลวงไปถึงขั้นกลางระดับสวรรค์ประทานแล้ว แม้ว่าความแข็งแกร่งของเธอจะยังตามหลังซูห่าวและเค่ออั๋ง คนหนุ่มชั้นนำของเมืองเจียงเฉิงอยู่มาก แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับบอดี้การ์ดตระกูลไช่สองคนตรงหน้าที่ด้อยกว่าตัวเองใช้เวลาเพียงชั่วครู่ บอดี้การ์ดตระกูลไช่สองคนนั้นก็ถูกเธอจับเหวี่ยงลงพื้นอย่างรวดเร็ว!ในเวลาเดียวกันฉินหมิงก็ไม่ได้แอบอู้ เขาปกป้องซูซินเหยาอย่างใกล้ชิดขณะที่ออกหมัดล้มบอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ เธอลงทีละคน ๆ หนึ่งหมัดต่อหนึ่งคน ไม่ว่าเขาจะก้าวไปทางไหนก็ไม่มีใครต่อกรกับเขาได้เลย!ไช่หงเซินเฝ้ามองฉากนี้ด้วยสายตาที่เย็นชา คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆเขารู้มานานแล้วว่าบอดี้การ์ดของตระกูลไช่เหล่านี้ ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของฉินหมิงได้ เขาแค่ต้องการใช้คนเหล่านี้เป็นเหยื่
"นายน้อย ไอ้หนูนี่มันแปลก ๆ ให้ผมจัดการเขาเถอะครับ!"ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังไช่หงเซินเสนอตัวขอลงมือเองลูกน้องคนนี้เป็นชายวัยกลางคน ดวงตาของเขาวิบวับและออร่ารอบตัวเขาก็ถูกยับยั้งเอาไว้ยังไม่ถูกปลดปล่อยออกมา อย่างไรก็ตามสามารถบอกได้ทันทีด้วยการมองว่าเขามีตัวตนที่ทรงพลังมาก“อืม งั้นฉันจะปล่อยเขาให้แกจัดการ ส่วนฉันจะจัดการกับซูซินเหยาเอง!"ไช่หงเซินพยักหน้าและกล่าว เป้าหมายถูกเล็งไปที่ซูซินเหยาโดยตรง"ไอ้หนู มารับความตายซะ!"ชายวัยกลางคนแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา ออร่าพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา จากนั้นเขาก็กางกรงเล็บแหลมคม พุ่งเข้าใส่ฉินหมิงอย่างดุร้าย“ระดับปรมาจารย์!”การแสดงออกของฉินหมิงเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อก่อน ตอนอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง เขาแทบจะไม่ได้พบกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์เลย แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามาถึงเมืองหลัวไห่ ตัวเองจะพบกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้โชคของเขาย่ำแย่เกินไปแล้ว!แน่นอนว่า มีสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่รู้ ไช่หงเซินรู้จากไช่เม่ามาก่อนแล้วว่าระดับการบ่มเพาะของเขานั้นไม่ธรรมดา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุใด ๆ ไช่หงเซินจึงเรียกตัวยอดฝีมือคนนี้มาจากที่อื่นเป
“อะไรนะ?”“ทั้งสองคนเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเจิ้ง?”“นี่...เป็นไปได้ยังไง!”ไช่หงเซินตะลึงงันไปแล้ว สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อเขารู้จากไช่เม่ามาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าฉินหมิงและซูซินเหยาเพิ่งมาที่เมืองหลัวไห่เป็นครั้งแรกและไม่มีเส้นสายอะไรเขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าฉินหมิงและซูซินเหยากลายไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเจิ้งได้อย่างไร!ความตกใจที่มหาศาลนี้ ใครก็ยากที่จะจินตนาการถึงได้!เจี่ยงเหวินเจิงและเจี่ยงฉินเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน สองพ่อลูกไม่คิดเลยว่าเจิ้งอวี่จะมาที่นี่เพื่อช่วยฉินหมิงและซูซินเหยา!โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจี่ยงฉิน เธอรู้สถานการณ์ของซูซินเหยาและฉินหมิงดีกว่าใคร ๆ เธอยังคิดไม่ออกว่าฉินหมิงและซูซินเหยาไปมีความสัมพันธ์กับตระกูลเจิ้งซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักเมื่อไรกัน!นี่จะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว?“มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ!”เจียงเหวินเจิงตระหนักรู้ทันทีเมื่อสักครู่นี้เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าฉินหมิงยังเด็กและหยิ่งยโส ไม่รู้ว่าท้องฟ้าสูงแค่ไหนและหุบเหวลึกแค่ไหนแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่แท้ฉินหมิงกล้าหาญและมีไหวพริบมาก เขาได้เตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าอย่างเหมาะสมแล้ว
“คุกเข่าลงและขอโทษ? นี่เป็นไปไม่ได้!”“เจิ้งอวี่ แม้ว่าตระกูลเจิ้งของพวกนายจะเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักของเมืองหลัวไห่ แต่ตระกูลไช่ของเราก็ไม่ได้เหยียบหัวกันได้ง่าย ๆ!”“ฉันขอแนะนำว่าให้นายพอแค่นี้ อย่ารังแกกันมากเกินไปนัก!”สีหน้าของไช่หงเซินเปลี่ยนเป็นเย็นชาท้ายที่สุดแล้วตระกูลไช่ก็เป็นตระกูลที่ทรงพลังอันดับต้น ๆ ของเมืองหลัวไห่ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความแข็งแกร่งหรือรากฐาน แน่นอนว่าด้อยกว่าตระกูลเจิ้งเพียงเล็กน้อย ช่องว่างระหว่างทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นเขาสามารถก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ต่อเจิ้งอวี่ แต่จะไม่คุกเข้าก้มหัวให้กับเจิ้งอวี่อย่างเด็ดขาด!“ก็ฉันจะรังแกคนมากเกินไปแบบนี้ แกจะทำอะไรฉันได้!”“คุณฉินและคุณหนูซูล้วนเป็นคนของเมืองเจียงเฉิง อำนาจของพวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลัวไห่ เมื่อสักครู่นี้แกอาศัยอำนาจของตระกูลไช่เพ้อฝันคิดอยากรังแกทั้งสองคน ในตอนนั้นทำไมแกถึงไม่คิดว่าตัวเองรังแกคนมากเกินไปล่ะ!”เจิ้งอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเยาะเย้ย“เจิ้งอวี่ ฉันไม่มีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับนาย!”“สรุปก็คือ เห็นแก่หน้าของนาย เรื่องนี้ถือว่าจบลงแค่นี้ ฉันขอตัวก่อน!”ไช่หงเซินแค่นเสียง
“นี่...เป็นไปได้ยังไง!”“ระดับการบ่มเพาะของนายไม่ใช่อยู่แค่ขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ประทานหรอกเหรอ? นายไปถึงระดับปรมาจารย์ได้ยังไงกัน!”ไช่หงเซินยกมือขึ้นกุมหน้าอกและมองไปที่เจิ้งอวี่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกระดับปรมาจารย์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นแรกบนเส้นทางของการบ่มเพาะ แต่การจะทะลวงไปให้ถึงระดับนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากในบรรดาคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นมากมายของเมืองหลัวไห่ ระดับการบ่มเพาะล้วนหยุดอยู่แค่ขั้นสูงสุดระดับสวรรค์ประทาน จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้วแต่เจิ้งอวี่กลับก้าวข้ามและเอาชนะคนทั้งหมด เป็นคนแรกที่ประสบความสำเร็จ ใครก็ยากที่จะจินตนาการถึงความตกใจที่เกิดขึ้นกับไช่หงเซินได้!“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!”“ฉันบอกให้แกรู้ละกันว่าการที่ฉันสามารถทะลวงคอขวดของการบ่มเพาะ เข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้อย่างราบรื่น ทุกอย่างล้วนต้องขอบคุณความช่วยเหลือของคุณฉิน!”เจิ้งอวี่ไพล่มือไว้ข้างหลัง แล้วพูดอย่างเย็นชา“ว่ายังไงนะ?์”“เขาช่วยให้ผู้ฝึกยุทธสามารถทะลวงคอขวดของการบ่มเพาะได้จริงเหรอ?”“นี่…”ไช่หงเซินตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจภายหลัง
“คุณฉิน คุณหนูซู เมื่อสักครู่นี้ผมมีตาแต่ไร้แวว ทำให้ทั้งสองคนขุ่นเคืองใจ ครั้งนี้ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย…”ไช่หงเซินอดทนต่อความอัปยศอดสูในใจของเขา คุกเข่าลงเสียงดังปึกและก้มหัวให้กับฉินหมิงและซูซินเหยาเพื่อเป็นการขอโทษ“ลุกขึ้นเถอะ!”“คุณชายใหญ่ไช่ ฉันมีประโยคหนึ่งที่อยากจะขอเตือนไว้ ทำความชั่วมากย่อมพิฆาตตัวเอง หวังว่าตระกูลไช่ของพวกนายจะดูแลตัวเองให้ดีในอนาคต!”ฉินหมิงพูดอย่างใจเย็นเขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลและไม่ยอมให้อภัยคน ตอนนี้ไช่หงเซินคุกเข่าลงเพื่อขอโทษแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถือสากับอีกฝ่ายอีกสำหรับซูซินเหยา แม้ว่าเธอจะยังไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่เธอก็ทำตามการตัดสินใจของฉินหมิงเสมอ เนื่องจากฉินหมิงเอ่ยปากไปแล้ว เธอย่อมไม่คัดค้านแน่นอน“ขอบคุณทั้งสองสำหรับความมีเมตตา...”ไช่หงเซินถอนหายใจอย่างโล่งอกและลุกขึ้นยืน“เอาล่ะ พวกแกไสหัวไปได้แล้ว!”เจิ้งอวี่พูดอย่างเย็นชา“พวกเราไป!”ไช่หงเซินรู้สึกเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม จากนั้นก็ตะโกนเรียกลูกน้อง หันหลังกลับและเตรียมจะจากไปอย่างสิ้นหวัง“เดี่ยวก่อน!”จู่ ๆ ซูซินเหยาก็เอ่ยปากเรียกไช่หงเซินและคนอื่น ๆ ให้หยุด“คุณหนูซู ไม่ท
ปึก!ขณะที่ไช่เม่ากำลังจะจับตัวซูซินเหยา ฉินหมิงก็มาถึงก่อนแล้ว เขาสกัดกั้นการโจมตีของไช่เม่าด้วยพลังวิญญาณของตัวเอง และตบไช่เม่าจนปลิวกระเด็นด้วยหนึ่งฝ่ามือ“รนหาที่ตาย!”ในเวลาเดียวกัน เจิ้งอวี่ก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด สายตาของเขาคมกริบ ยกเท้าเตะไปที่จุดชี่ไห่ของไช่เม่าอย่างโหดเหี้ยม“อ้ากกก…”ไช่เม่ากรีดร้องเหมือนหมูที่ถูกเชือด ใบหน้าของเขาซีดราวกับกระดาษ และระดับการบ่มเพาะของเขาทั้งหมดก็ถูกทำลายโดยเจิ้งอวี่จนไม่เหลือจากนี้ไปเขาจะกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงและไม่สามารถกระทำความชั่วได้อีก!“โง่เขลาที่สุด!”เห็นฉากดังกล่าว ไช่หงเซินก็ยิ้มอย่างดูถูกมียอดฝีมืออย่างฉินหมิงและเจิ้งอวี่สองคนคอยจับตาดูจากด้านข้างอย่างระมัดระวัง ต่อให้เป็นเขาเองที่ลงมือโจมตีซูซินเหยายังยากที่จะทำสำเร็จ นับประสาอะไรกับไช่เม่าซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นกลางระดับสวรรค์ประทาน!นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตาย จะเรียกว่าอะไรได้!“ซินเหยา เธอโอเคใช่ไหม?”ฉินหมิงถามอย่างประหม่า ไม่รู้ว่าซูซินเหยาได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของไช่เม่าเมื่อสักครู่นี้หรือเปล่า“ฉันไม่เป็นไร”ซูซินเหยาตบหน้าอกของเธอและพยายามสงบ