อีกด้านหนึ่ง เฉียวเนี่ยนไม่สนใจเลยสักนิดว่าหลินเย่ว์จะพูดอะไรกับฮูหยินหลินบ้างนางรีบร้อนจะไปเยี่ยมฮูหยินเฒ่าเทียบกับเมื่อวาน อาการของฮูหยินเฒ่าดีขึ้นไม่น้อย ในระหว่างที่เฉียวเนี่ยนมา ฮูหยินเฒ่ากำลังดื่มยาที่แม่นมซูป้อนให้ยานั่นน่าจะขมมาก ฮูหยินเฒ่าดื่มลงไปจนอวัยวะบิดขึ้นมา ครั้นเห็นเฉียวเนี่ยน นางก็จงใจแย้มยิ้มผ่อนคลาย “เนี่ยนเนี่ยนมาแล้วหรือ!”“ท่านย่า” เฉียวเนี่ยนคำนับแล้วเข้าไปหา นั่งลงข้างเตียงฮูหยินเฒ่า “วันนี้ท่านย่ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ดีขึ้นบ้างแล้ว” ฮูหยินเฒ่ายิ้ม พลางยื่นมือไปลูบแก้มเฉียวเนี่ยนอย่างอ่อนโยน “ตกใจแย่เลยสินะ?”เฉียวเนี่ยนส่ายหน้ารัว “ท่านย่าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”เห็นขอบตานางแดงก่ำ ฮูหยินเฒ่าปวดใจจริงๆ แต่ครั้นนึกถึงสิ่งที่ฮูหลินหลินพูดเมื่อวาน ก็ถามขึ้นมา “นี่เจ้าเพิ่งกลับมาจากวังหรือ?”เฉียวเนี่ยนคิดไม่ถึงเลยว่าฮูหยินเฒ่าจะรู้เรื่องนี้ด้วย จึงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าด้วยความเงียบทว่าฮูหยินเฒ่ากลับพูดว่า “เจ้ามิต้องกังวลเรื่องอื่น หากเจ้าไม่ยินดี อย่าว่าแต่หมิงอ๋องเลย ต่อให้พระสนมเต๋อมาด้วยตัวเอง ย่าก็ช่วยเจ้าขัดขวางไว้ได้”ไม่ว่าอะไรท่านย่าล้วนลำเ
เฉียวเนี่ยนถอนหายใจอย่างระอา ก่อนจัดแจงเก็บกวาดครู่หนึ่ง แล้วไปเจอหลินยวนไม่นาน หนิงซวงก็เข้ามาพร้อมกับหลินยวนเห็นหนิงซวงเดินตามติดหลินยวนไม่ห่างจริง เฉียวเนี่ยนเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมาหลินยวนเข้ามาในห้องแล้วคำนับเฉียวเนี่ยน เห็นเฉียวเนี่ยนยิ้มมุมปาก ก็คิดว่าวันนี้นางอารมณ์ค่อนข้างดี ความกังวลก่อนมาพลันลดฮวบไปไม่น้อยนางส่งยิ้มให้เฉียวเนี่ยน “ข้ามาแต่เช้า คงไม่ได้รบกวนพี่หรอกใช่ไหม?”เฉียวเนี่ยนชะงักไป ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหลินยวนจะมาไม้ไหน จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วถาม “มีเรื่องอะไรหรือ?”“ข้ามาชวนพี่หญิงไปวัดฝ่าหัวด้วยกัน”หลินยวนดูค่อนข้างจะสนใจอย่างมากเฉียวเนี่ยนเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คือวันที่แปด เดือนหนึ่ง หรือก็คือวันสมโภชนักบุญของวัดฝ่าหัวเล่ากันว่า ในวันสมโภชขอเพียงขอพรด้วยใจจริงต่อหน้าพระพุทธรูป ไม่ว่าจะขออะไร ก็สัมฤทธิ์ผลปีที่แล้วๆ มา ทุกวันสมโภชนางจะไปวัดฝ่าหัวทุกวัน หนึ่งเพื่อขอให้ครอบครัวสงบสุขราบรื่น สองเพื่อเจอกับเซียวเหิงทว่าบัดนี้ไม่ได้ไปมาสามปีแล้ว นางย่อมไม่คิดจะขอให้ครอบครัวสุขสงบ และยิ่งไม่อยากเจอเซียวเหิงแต่ว่า เพื่อฮูหยินเฒ่านางไปอีกสักครั้งไ
เฉียวเนี่ยนไม่เข้าใจ นางแค่ขอให้หลินยวนปล่อยแขน เหตุใดหลินยวนถึงเอ่ยไปถึงฮูหยินหลินได้นางรังแกฮูหยินหลิน?จวนโหวนี้ไม่มารังแกนาง นางก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินมากแล้ว!จะกล้าไปรังแกฮูหยินหลินคนนั้นได้อย่างไร!เฉียวเนี่ยนสูดหายใจเข้าลึก กำมือตัวเองแน่น ทนวู่วามจะเข้าไปตบหลินยวนแต่หนิงซวงที่อยู่ด้านข้างกลับทนพูดขึ้นมาไม่ไหว “คุณหนูรองท่านบ้าไปแล้วหรือ?”นางตำหนิด่าออกมาอย่างไม่เกรงใจ ทำให้หลินยวนอึ้งอยู่ที่เดิม “ท่าน ท่าน…”อาจเพราะตกใจมากเกินไป หลินยวนเรียก ‘ท่าน’ อยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่พูดออกมาเฉียวเนี่ยนตกใจเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าความกล้าของหนิงซวงจะมากขนาดนี้!ช่างไม่จำเลยสักนิด นางบอกชัดเจนแล้วว่าตัวเองปกป้องนางไม่ไหว!นางหมายจะอธิบายแทนหนิงซวง ทว่าใครไปรู้หนิงซวงกลับก้าวไปข้างหน้า และส่งยิ้มให้หลินยวน“ไม่กี่วันก่อนคุณหนูรองยังไออยู่มิใช่หรือเจ้าคะ?”เห็นดวงหน้าที่เคลือบไปด้วยความอ่อนเยาว์นั้นของหนิงซวงเต็มไปด้วยความจริงใจ หลินยวนกลับมองไม่ออกว่าเด็กคนนี้เป็นห่วงตัวเองจริงๆ หรือด่านางกันแน่ดวงตาปริบๆ คู่นั้นของนางกระพริบไปมา “ท่านแม่นำยาจากในวังมาให้ข้า ข้า ข้าดีขึ้น”“โอ้ว ม
หนิงซวงปล่อยม่านรถลง ก่อนหันไปกล่าวกับเฉียวเนี่ยนอย่างทนไม่ไหว “คุณหนู ดูเหมือนปีนี้คนที่วันฝ่าหัวจะมากมว่าปีก่อนๆ อีก!”เฉียวเนี่ยนรู้สึกค่อยข้างมีความสุข“แสดงว่าวันฝ่าหัวแม่นจริงๆ ”หนิงซวงพยักหน้ารัว “แม่นมากเจ้าค่ะ! ได้ยินว่าขอเรื่องบุพเพวาสนาแม่นที่สุดเจ้าค่ะ!”ได้ยินเช่นนี้ เฉียวเนี่ยนกลับยิ้มไม่พูดอะไรนางคิดว่า วันฝ่าหัวแม่นทุกอย่าง แต่เรื่องบุพเพวาสนาไม่แม่นที่สุดไม่อย่างนั้น สามปีก่อนนางควรได้แต่งกับเซียวเหิงไปแล้วขณะคิดอยู่นั้น นางก็อดส่ายหน้าพลางยิ้มแผ่วเบาไม่ได้แต่โชคดีที่ไม่ได้แต่งงาน ไม่อย่างนั้นตอนนี้ตัวนางคงตกอยู่กองไฟ มิอาจถอนตัวออกมาได้ไม่นาน รถม้าก็มาหยุดอยู่นอกวันฝ่าหัวหนิงซวงลงไปจากรถม้าก่อน จากนั้นก็หันมาพยุงเฉียวเนี่ยนแต่ไม่คิดเลยว่า ทันทีที่เท้าเฉียวเนี่ยนแตะพื้น เสียงเยาะเย้ยก็ดังมาจากที่ไม่ไกลนัก“ข้าก็คิดว่าบ่าวผู้ใดใจกล้าเช่นนี้ถึงกับกล้านั่งรถคันเดียวกับเจ้านาย ที่แท้ก็คุณหนูตระกูลหลินนี่เอง!”“คุณหนูตระกูลหลินอะไร? นั่นมันแม่นางเฉียวชัดๆ !”“โอ้วใช่ใช่ใช่ ข้ากลับลืมนี่ไปเสียได้!”เสียงโครตคุ้นเคย เฉียวเนี่ยนไม่ต้องมองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็
ฝูงชนทั้งหลายต่างตะลึงงัน “หมิงอ๋องหรือ?”จากนั้นจึงทยอยคุกเข่าทำความเคารพ “คารวะหมิงอ๋อง”เฉียวเนี่ยนอยากคุกเข่าเช่นกัน ทว่ากลับถูกหมิงอ๋องรั้งไว้หมิงอ๋องหรี่ตา กวาดมองเหล่าธารกำนัลรอบหนึ่ง มิได้สั่งให้ลุก แต่กลับกุมมือเฉียวเนี่ยนไว้ต่อหน้าทุกคน “วันหน้า ที่พึ่งของนางคือข้า ผู้ใดริอ่านพุดวาจาหยาบคายกับนางถือว่าไม่เคารพข้า เข้าใจหรือไม่?”ตลอดสามปีที่ผ่านมา ล้วนเป็นเฉียวเนี่ยนที่ต้องคุกเข่าให้ผู้อื่นตลอด ต่อให้เคยเป็นที่โปรดปรานในจวนโหวมาสิบห้าปี นางก็ไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกที่ฝูงชนรอบตัวคุกเข่าให้นางสักครั้งทว่าชั่วเวลานี้ นางยืนอยู่ข้างหมิงอ๋อง ทอดสายตาลงไปยังเหล่าคุณหนูนายน้อยที่ประโคมอาภรณ์หรูหรารอบด้านแล้ว กลับมิได้มีความรู้สึกแอบปรีดาหรือรู้สึกสูงส่งเหนือกว่าแต่อย่างใดทว่ากลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงซึ่งความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงนี้ ทำเอานางสับสนนางอยากดึงมือตัวเองกลับมา ทว่าหมิงอ๋องกำไว้แน่น นางค่อยๆ ดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เสียแรงเปล่ากระนั้นก็มิกล้ากระทำการใหญ่โตเกินเหตุ อย่างไรเสียที่หมิงอ๋องโผล่มาในเวลานี้ก็เพื่อช่วยหนุนหลังนาง ไหนเลยนางจะหักหน้าเข
ทว่าเฉียวเนี่ยนในตอนนี้แค่อยากอยู่ในมุมเงียบๆ ทางที่ดีคือไม่ต้องให้ใครได้พบเจอทั้งสิ้นเฉกเช่นยามนี้ ดูเล่นใหญ่เรียกร้องความสนใจเกินไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น แม้นางตอบรับการแต่งงานครานี้ไป แต่อย่างไรเสียก็ยังมิได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้ ถือว่าเรื่องราวไม่มีทีท่าจะเกิดด้วยซ้ำไม่ควรจับมือหมิงอ๋องต่อหน้าสายตาฝูงชนจริงๆโชคดี หลังจากหมิงอ๋องเข้าวัดไปก็เจอเจ้าอาวาสวัดฝ่าหัว ยามประกอบพิธีทางศาสนาจึงปล่อยมือเฉียวเนี่ยนไปเองเฉียวเนี่ยนรีบดึงมือกลับมา ลอบถอนหายใจบางเบาท่านเจ้าอาวาสเดินเข้ามาต้อนรับหมิงอ๋องเป็นพิเศษ เขาต้องการเทศนาธรรมให้หมิงอ๋องหมิงอ๋องหันมองเฉียวเนี่ยน “เจ้าไปรอข้างข้างนอก หนึ่งชั่วยามก็เสร็จแล้ว สายหน่อยข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”วันนี้เฉียวเนี่ยนมิได้ตั้งใจออกมานานนัก แค่อยากขอเครื่องรางคุ้มครองแล้วกลับ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของหมิงอ๋องแล้ว ไม่เพียงชะงักไป แต่หมิงอ๋องพูดจบก็จากไป ไม่ได้หันมองว่าเฉียวเนี่ยนมีปฏิกิริยาเช่นไรกระทั่งแผ่นหลังหมิงอ๋องหายลับจากสายตา หนิงซวงที่อยู่ด้านหลังเมื่อครู่ก็ปรี่เข้ามา ถามเสียงเบาอย่างมิอาจทนไหว“คุณหนู ฝ่าบาทหมิงอ๋องรู้ได้เช่นไรว่า
ทุกคนตะลึงงันในบัดดลไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฉียวเนี่ยนจะตบเซียวชิงหน่วนอย่างไม่มีบอกกล่าวเช่นนี้!ดังนั้น ต่อให้ข้างกายเซียวชิงหน่วนจะเป็นเซียวเหิงกับหลินเย่ว์ ก็ไม่มีใครขัดขวางฝ่ามือนี้ตบบนหน้านางได้ทว่าฝ่ามือนี้กลับเหมือนปลุกฝูงชนที่เคยเงียบงันให้ตื่นขึ้นหลินเย่ว์ปรี่ขึ้นมาก้าวหนึ่ง คว้ามือเฉียวเนี่ยนไว้ “เจ้าทำอะไร? ยังไม่ขอโทษแม่นางเซียวอีก!”ดวงตาเย็นเยียบของเฉียวเนี่ยนปราดมองมายังหลินเย่ว์ “ปล่อย”เสียงไม่ดัง ทั้งยังไม่ได้มีอานุภาพร้ายแรงแต่อย่างใดแต่คำพูดราบเรียบเดาใจไม่ออกสองคำนี้ กลับทำเอาหัวใจหลินเย่ว์กระตุกหดตัวทันทีเขาปล่อยมืออย่างลืมตัวเฉียวเนี่ยนดึงมือกลับ ลูบข้อมือปวดหนึบที่ถูกหลินเย่ว์บีบไว้ เสียงหลินยวนข้างๆดังขึ้นตาม “ท่านพี่ ถึงวาจาแม่นางเซียวจะขัดหูไปบ้าง แต่ท่านไม่ควรลงไม้ลงมือ ทั้งยังในวัดวา......เช่นนี้จะถูกพระโพธิสัตว์ลงโทษเอา!”แต่เฉียวเนี่ยนกลับไม่แม้แต่มองหลินยวน เอ่ยเสียงราบเรียบตอบ “หากเจ้ายังปากมากแม้อีกคำเดียว แม้แต่เจ้าข้าก็ตบไม่เว้น”หลินยวนกระบอกตาแดงก่ำ มองเฉียวเนี่ยนด้วยความน้อยใจหากแต่เฉียวเนี่ยนกลับมองไปยังเซียวเหิง “แม่ทัพเซียวมีอะไ
ทว่า ยังคงตอกกลับอีกเรื่องหนึ่งได้ “ท่านเซียวพูดจาน่าขันยิ่ง ข้าแซ่เฉียว ไฉนต้องถึงมือแซ่หลินให้มาสอนด้วย”“เฉียวเนี่ยน!” หลินเย่ว์ระเบิดโทสะ “เจ้าอย่าอวดดีนัก!”“คนที่อวดดีคือพวกเจ้า!” วันนี้เฉียวเนี่ยนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ “ข้าแค่อยากมาขอเครื่องรางคุ้มครองให้ท่านย่าเท่านั้น ท้ายสุดมันไปขัดขวางเรื่องอะไรพวกเจ้ากัน? พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำตัวสูงส่งชี้หน้าวิจารณ์ข้า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้า หลินเย่ว์! ยามข้าโดนสาดสีใส่ร้ายเจ้าทำได้แค่เงียบไปปริปาก ยามนี้คิดจะวางมาดมาสั่งสอนข้าหรือ? เจ้ามีสิทธิ์อะไร?”“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า ข้ามีสิทธิ์สั่งสอนเจ้า!” หลินเย่ว์ตะคอกด้วยความโกรธจัดถึงแม้วันนี้เซียวชิงหน่วนเป็นฝ่ายผิด แต่ไมตรีของสองครอบครัวนั้นแน่นแฟ้น ทุกอย่างรอกลับจวนแล้วค่อยว่ากันได้ เขาเองก็ไปร้องเรียนบิดามารดาตระกูลเซียวด้วยตัวเองได้ ให้พวกเขาสั่งสอนเซียวชิงหน่วนให้ดีไม่ว่าอย่างไร เฉียวเนี่ยนก็ไควรลงไม้ลงมือ!แต่ใครจะรู้ ครั้นเอ่ยคำพูดนี้ไป เฉียวเนี่ยนกลับหัวเราะออกมา “เจ้าว่าอะไร? พี่ชาย? อย่าทำให้น่าขันไปมากกว่านี้เลย!”“เฉียวเนี่ยน!” หลินเย่ว์ตะโกนรุนแรงกว่าเดิม แทบอยากผรุสวาทด่าไปแล้ว
พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยลุกขึ้นตาม “บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี ห้าม...”ที่จริงเมื่อครู่เฉียวเนี่ยนเคยถูกพระสนมเต๋อเฟยซาบซึ้งใจในชั่วขณะหนึ่ง แต่ตอนนี้ความซาบซึ้งใจนั้นได้มลายหายไปนานแล้วนางยิ้มให้พระสนมเต๋อเฟย “พระสนมวางใจเถิด” พูดจบก็เดินออกไปข้างนอกจะวางใจในอาการบาดเจ็บของนางหรือวางใจในหมิงอ๋อง ก็ต้องให้พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยค่อยๆ คิดไปเองสามปีนี้ที่เฉียวเนี่ยนอยู่ในหน่วยงานซักล้าง แม้ว่าส่วนใหญ่จะซักเสื้อผ้าอยู่ในหน่วยงานซักล้าง แต่ก็มีเวลาไม่น้อยที่กลับไปส่งของตามมามาตามตําหนักต่างๆดังนั้นนางจึงคุ้นเคยกับเส้นทางในตำหนักเป็นอย่างดีไม่นานหลังจากนั้นนางก็พบด้านนอกห้องทรงอักษรหลังจากได้รับรายงาน นางตามพ่อสามีคนหนึ่งเข้าไปในห้องทรงอักษร กลับเห็นว่าในห้องทรงอักษรนอกจากท่านโหวหลินและฮูหยินแล้ว เซียวเหิงก็อยู่ด้วยทั้งหมดมาฟ้องเหรอ?เฉียวเนี่ยนแอบเยาะเย้ยอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกมา ก้าวเข้าไปคุกเข่าทําความเคารพ “ข้าน้อยเฉียวเนี่ยนถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”หน้าโต๊ะมีร่างสีเหลืองสดใสมองเฉียวเนี่ยนอย่างพินิจพิเคราะห์"เจ้าคือเฉียวเนี่ยนหรือ?"น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม แ
หมิงอ๋องพาคนเข้าตำหนักโดยตรงเมื่อเฉียวเนี่ยนตื่นมา เขาอยู่ในตำหนักของพระสนมเต๋อกุ้ยเฟยเมื่อเห็นห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เฉียวเนี่ยนถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ทันถูกหมิงอ๋องอุ้มขึ้นรถม้าก็สลบไปแล้ว ใจพลันหนักอึ้ง ดิ้นรนลุกขึ้นตามสัญชาตญาณโชคไม่ดีที่พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยกําลังผลักประตูเข้ามา เห็นนางตื่นแล้วก็รีบเข้ามาต้อนรับ “รีบหมอบลง แผลเจ้ายังไม่หายดี อย่าดิ้นจะดีกว่า”เพียงแต่เฉียวเนี่ยนลุกขึ้นนั่งแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะหมอบกลับอีก จึงลงจากเตียงไปทําความเคารพพระสนมเต๋อกุ้ยเฟย แต่กลับถูกขวางไว้ “เจ้าเด็กคนนี้ บาดเจ็บหนักขนาดนี้ยังจะสนใจพิธีหยุมหยิมเช่นนี้อีกทําไม?”พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยพูดพลางกวักมือเรียกนางกํานัลที่กําลังถือยาอยู่นางกํานัลส่งยามาให้ พระสนมเต๋อกุ้ยเฟยรับมา แล้วตักขึ้นมาหนึ่งช้อนด้วยมือตนเอง เป่าแล้วส่งไปที่ปากของเฉียวเนี่ยน “นี่เป็นยาที่ทางโรงหมอหลวงสั่งไว้ อาการบาดเจ็บภายนอกดี มา ดื่มตอนร้อนๆ”เฉียวเนี่ยนตกใจ “ข้าน้อยทำเองเพคะ” นางกําลังจะเอื้อมมือไปรับ แต่กลับถูกพระสนมเต๋อเฟยหลบทัน"เจ้ายังเจ็บอยู่จะมาเองได้ยังไง? เด็กดี อ้าปากหน่อย”น้ำเสียงของพระสนมเต๋อกุ้
เมื่อสบสายตาดุดันของหมิงอ๋อง เซียวเหิงก็ตอบกลับด้วยแววตาดุดัน “กระหม่อมเพียงคํานึงถึงภาพรวมเป็นสําคัญ”ในเมื่อหมิงอ๋องจะเกี่ยวดองกับจวนโหว ก็ไม่ควรทําเรื่องให้น่าเกลียดเกินไปแต่ใครจะรู้ว่าพอคําพูดนี้ออกจากปาก หมิงอ๋องกลับหัวเราะหยัน “แม่ทัพเซียวช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ขนาดใหญ่เช่นนี้ เมื่อครู่ทําไมไม่พูดสักคํา เป็นใบ้แล้วหรือ?”เมื่อครู่ตอนที่เฉียวเนี่ยนถูกตี ปากของเขาถูกเย็บแล้วหรือ?ได้ยินหมิงอ๋องถามเช่นนี้ เฉียวเนี่ยนก็อดปวดใจไม่ได้แต่เห็นได้ชัดว่านางตัดใจจากเซียวเหิงแล้ว เห็นชัดอยู่แล้วว่าเซียวเหิงไม่ชอบนางทําไมหัวใจดวงนี้ถึงยังเจ็บหนักขนาดนี้ล่ะ?นางกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์ ในดวงตามีอะไรบางอย่างที่อ่อนโยน แต่กลับถูกนางกดกลับไปอย่างรวดเร็วเซียวเหิงสังเกตสีหน้าของเฉียวเนี่ยนโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อมองจากมุมของเขา นางหลบอยู่หลังหมิงอ๋องเกือบครึ่งตัว ท่าทางสนิทสนม ทําให้เขายิ่งกลุ้มใจ“เรื่องในวันนี้ใครถูกใครผิด ทุกคนย่อมรู้กันดีอยู่แล้ว เสี่ยวโหวเหย่สั่งสอนน้องสาวของตนสักหน่อย แม้ลงมือหนักไปหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องภายในจวนโหว” เรื่องนี้ กระหม่อมไม่
เมื่อเห็นหมิงอ๋อง ทุกคนต่างก็คุกเข่าลงทําความเคารพเซียวเหิงเป็นคนที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ ไม่จําเป็นต้องคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ ดังนั้นตอนนี้จึงทําได้เพียงประสานมือคํานับเท่านั้นส่วนเฉียวเนี่ยนยังไม่ทันคุกเข่าก็ถูกหมิงอ๋องจับไว้แล้วมือใหญ่ของเขามีอุณหภูมิที่ร้อนระอุ เมื่อผสมปนเปกับนาง สามารถรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเทาของนางได้อย่างชัดเจนเขาไม่คิดเลยว่านางที่รับมือกับการทุบตีของหลินเย่ว์อย่างใจเย็นต่อหน้าทุกคน กลับตัวสั่นอย่างรุนแรงเช่นนี้เฉียวเนี่ยนก็ไม่รู้ว่าหมิงอ๋องที่ออกไปกับเจ้าอาวาสแล้วทําไมจู่ๆ ถึงปรากฏตัวออกมา แต่ในขณะนี้ นางยังคงรู้สึกซาบซึ้งใจกับการปรากฏตัวของหมิงอ๋องหลินเย่ว์ลงมืออย่างเหี้ยมโหด นางยืนไม่มั่นคงมานานแล้ว หากหมิงอ๋องไม่ปรากฏตัวออกมาทันเวลา เกรงว่านางคงล้มลงกับพื้นอีกครั้งต่อหน้าทุกคนแล้ว“ขอบคุณเพคะ”นางกล่าวขอบคุณด้วยเสียงเบาๆ เสียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่เพียงพอที่จะทําให้คนนอกได้ยินแต่หมิงอ๋องกลับได้ยินอย่างชัดเจนคําเล็กๆ น้อยๆ สองคํานี้เป็นเหมือนเข็มสองเล่มที่แทงลึกเข้าไปในหัวใจของเขาจนทําให้ความโกรธของเขาเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนทันใดนั้นก
“ใช่แล้ว เดิมทีเจ้าก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของจวนโหวอยู่แล้ว อาศัยความร่ำรวยมั่งคั่งที่ได้รับมาหลายปีอย่างเสียเปล่ายังไม่พอใจอีกหรือ?”“มันมากเกินไปจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะแช่งให้พี่ชายของตัวเองไปตาย พระโพธิสัตว์กําลังจะโกรธแล้วจริงๆ ”พอคนพวกนั้นพูด คนรอบข้างที่จําเฉียวเนี่ยนไม่ได้ก็เริ่มคล้อยตามกัน ชั่วขณะหนึ่ง เฉียวเนี่ยนกลายเป็นคนที่คนนับหมื่นชี้หน้าด่าประจานแต่ก็ไม่รู้ว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมาเฉียวเนี่ยนถูกทุบตีจนชินแล้วหรือเปล่า นางถูกทุบตีอย่างหนักขนาดนี้ยังลุกขึ้นมาได้นางยันตัวลุกขึ้นนั่ง เผชิญหน้ากับคําตําหนิของทุกคนก็เพียงแค่ถ่มน้ำลายไปด้านข้างอย่างลวกๆถ้าไม่ใช่เป็นเพราะน้ำลายที่เจือปนไปด้วยของเหลวแดงก่ำ ดูจากสีหน้าของนางแล้วคงดูไม่ออกว่านางเคยโดนตีมาก่อนนางเงยหน้าขึ้นมองฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบๆซ่งไป๋เซวียน เซียวชิงหน่วน หลินยวน เซียวเหิง...พวกเขาบางคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น บางคนเสแสร้งแกล้งทํา และบางคนก็มีสีหน้าเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบในที่สุด สายตาของเฉียวเนี่ยนก็ตกลงบนใบหน้าของหลินเย่ว์ใบหน้านี้เคยแกล้งทําเป็นน่าเกลียดเพื่อเอาใจนาง แต่วันนี้เมื่อเผชิญหน้ากับนางมีเพียงค
หลินเย่ว์ย่อมตะลึงค้างเช่นกันใช่สิ เฉียวเนี่ยนมาขออพรให้ท่านย่าสุขสงบ ไฉนเขาถึงพูดจาเช่นนั้นออกไปได้? เขาเป็นอะไรไป?ไฉนทุกครั้งที่เจอเฉียวเนี่ยนถึงต้องพูดจาไม่เหมาะไม่ควรอยู่ร่ำไป?หลินเย่ว์ใจเต้นเบาๆ คิดตามว่าหากท่านย่ามีอันเป็นไปเพราะคำพูดเมื่อครู่ของตน อย่าว่าแต่เฉียวเนี่ยนเลย ตัวเขาก็ไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองไปชั่วชีวิตเช่นกัน!ทว่า อีกครั้งแล้วหรือว่าเรื่องนี้ไม่ควรโทษเฉียวเนี่ยน?เหตุใดยามเขาเผชิญหน้ากับยวนเอ๋อร์ถึงเข้าใจมีเหตุผลได้ แต่เมื่อเจอเฉียวเนี่ยนก็โมโหแสลงใจแล้ว?เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดจากเฉียวเนี่ยนหรอกหรือ?พูดอะไรออกมาว่าเขาตายไปเมื่อสามปีก่อน พูดอะไรว่าเขาไม่มีสิทธิ์สอนนาง?เขาอยากทำให้นางเห็นว่าตนมีคุณสมบัติพอสั่งสอนนางหรือไม่!นับตั้งแต่เฉียวเนี่ยนกลับจวนเป็นต้นมา โทสะที่สั่งสมทั้งหมดก็ปะทุออกมายามนี้ หลินเย่ว์ปรี่เข้าไปคว้าเฉียวเนี่ยนทันใดเฉียวเนี่ยนตกตะลึง ไม่คิดว่าหลินเย่ว์จะลงไม้ลงมือกับนางที่นี่ แต่นางตอบสนองทัน หลีกตัวหลบได้ทว่าหลินเย่ว์อายุมากกว่านางกี่ปี ทั้งเรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ย่อมเหนือชั้นกว่าเฉียวเนี่ยน เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็เอาชนะ
ทว่า ยังคงตอกกลับอีกเรื่องหนึ่งได้ “ท่านเซียวพูดจาน่าขันยิ่ง ข้าแซ่เฉียว ไฉนต้องถึงมือแซ่หลินให้มาสอนด้วย”“เฉียวเนี่ยน!” หลินเย่ว์ระเบิดโทสะ “เจ้าอย่าอวดดีนัก!”“คนที่อวดดีคือพวกเจ้า!” วันนี้เฉียวเนี่ยนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ “ข้าแค่อยากมาขอเครื่องรางคุ้มครองให้ท่านย่าเท่านั้น ท้ายสุดมันไปขัดขวางเรื่องอะไรพวกเจ้ากัน? พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำตัวสูงส่งชี้หน้าวิจารณ์ข้า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้า หลินเย่ว์! ยามข้าโดนสาดสีใส่ร้ายเจ้าทำได้แค่เงียบไปปริปาก ยามนี้คิดจะวางมาดมาสั่งสอนข้าหรือ? เจ้ามีสิทธิ์อะไร?”“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า ข้ามีสิทธิ์สั่งสอนเจ้า!” หลินเย่ว์ตะคอกด้วยความโกรธจัดถึงแม้วันนี้เซียวชิงหน่วนเป็นฝ่ายผิด แต่ไมตรีของสองครอบครัวนั้นแน่นแฟ้น ทุกอย่างรอกลับจวนแล้วค่อยว่ากันได้ เขาเองก็ไปร้องเรียนบิดามารดาตระกูลเซียวด้วยตัวเองได้ ให้พวกเขาสั่งสอนเซียวชิงหน่วนให้ดีไม่ว่าอย่างไร เฉียวเนี่ยนก็ไควรลงไม้ลงมือ!แต่ใครจะรู้ ครั้นเอ่ยคำพูดนี้ไป เฉียวเนี่ยนกลับหัวเราะออกมา “เจ้าว่าอะไร? พี่ชาย? อย่าทำให้น่าขันไปมากกว่านี้เลย!”“เฉียวเนี่ยน!” หลินเย่ว์ตะโกนรุนแรงกว่าเดิม แทบอยากผรุสวาทด่าไปแล้ว
ทุกคนตะลึงงันในบัดดลไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฉียวเนี่ยนจะตบเซียวชิงหน่วนอย่างไม่มีบอกกล่าวเช่นนี้!ดังนั้น ต่อให้ข้างกายเซียวชิงหน่วนจะเป็นเซียวเหิงกับหลินเย่ว์ ก็ไม่มีใครขัดขวางฝ่ามือนี้ตบบนหน้านางได้ทว่าฝ่ามือนี้กลับเหมือนปลุกฝูงชนที่เคยเงียบงันให้ตื่นขึ้นหลินเย่ว์ปรี่ขึ้นมาก้าวหนึ่ง คว้ามือเฉียวเนี่ยนไว้ “เจ้าทำอะไร? ยังไม่ขอโทษแม่นางเซียวอีก!”ดวงตาเย็นเยียบของเฉียวเนี่ยนปราดมองมายังหลินเย่ว์ “ปล่อย”เสียงไม่ดัง ทั้งยังไม่ได้มีอานุภาพร้ายแรงแต่อย่างใดแต่คำพูดราบเรียบเดาใจไม่ออกสองคำนี้ กลับทำเอาหัวใจหลินเย่ว์กระตุกหดตัวทันทีเขาปล่อยมืออย่างลืมตัวเฉียวเนี่ยนดึงมือกลับ ลูบข้อมือปวดหนึบที่ถูกหลินเย่ว์บีบไว้ เสียงหลินยวนข้างๆดังขึ้นตาม “ท่านพี่ ถึงวาจาแม่นางเซียวจะขัดหูไปบ้าง แต่ท่านไม่ควรลงไม้ลงมือ ทั้งยังในวัดวา......เช่นนี้จะถูกพระโพธิสัตว์ลงโทษเอา!”แต่เฉียวเนี่ยนกลับไม่แม้แต่มองหลินยวน เอ่ยเสียงราบเรียบตอบ “หากเจ้ายังปากมากแม้อีกคำเดียว แม้แต่เจ้าข้าก็ตบไม่เว้น”หลินยวนกระบอกตาแดงก่ำ มองเฉียวเนี่ยนด้วยความน้อยใจหากแต่เฉียวเนี่ยนกลับมองไปยังเซียวเหิง “แม่ทัพเซียวมีอะไ
ทว่าเฉียวเนี่ยนในตอนนี้แค่อยากอยู่ในมุมเงียบๆ ทางที่ดีคือไม่ต้องให้ใครได้พบเจอทั้งสิ้นเฉกเช่นยามนี้ ดูเล่นใหญ่เรียกร้องความสนใจเกินไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น แม้นางตอบรับการแต่งงานครานี้ไป แต่อย่างไรเสียก็ยังมิได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้ ถือว่าเรื่องราวไม่มีทีท่าจะเกิดด้วยซ้ำไม่ควรจับมือหมิงอ๋องต่อหน้าสายตาฝูงชนจริงๆโชคดี หลังจากหมิงอ๋องเข้าวัดไปก็เจอเจ้าอาวาสวัดฝ่าหัว ยามประกอบพิธีทางศาสนาจึงปล่อยมือเฉียวเนี่ยนไปเองเฉียวเนี่ยนรีบดึงมือกลับมา ลอบถอนหายใจบางเบาท่านเจ้าอาวาสเดินเข้ามาต้อนรับหมิงอ๋องเป็นพิเศษ เขาต้องการเทศนาธรรมให้หมิงอ๋องหมิงอ๋องหันมองเฉียวเนี่ยน “เจ้าไปรอข้างข้างนอก หนึ่งชั่วยามก็เสร็จแล้ว สายหน่อยข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”วันนี้เฉียวเนี่ยนมิได้ตั้งใจออกมานานนัก แค่อยากขอเครื่องรางคุ้มครองแล้วกลับ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของหมิงอ๋องแล้ว ไม่เพียงชะงักไป แต่หมิงอ๋องพูดจบก็จากไป ไม่ได้หันมองว่าเฉียวเนี่ยนมีปฏิกิริยาเช่นไรกระทั่งแผ่นหลังหมิงอ๋องหายลับจากสายตา หนิงซวงที่อยู่ด้านหลังเมื่อครู่ก็ปรี่เข้ามา ถามเสียงเบาอย่างมิอาจทนไหว“คุณหนู ฝ่าบาทหมิงอ๋องรู้ได้เช่นไรว่า