แชร์

บทที่ 5

ผู้เขียน: เฟิ่งฉี่เทียนหมิง
นางตำหนิลูกสาวเสร็จ ก็เอ่ยกับเฉินสิงเจวี๋ยอย่างอ่อนโยน “สิงเจวี๋ย พี่สาวเจ้าไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่นางกล่าวมามีเหตุผล ท่านปู่กับท่านย่าจะสะเทือนใจไม่ได้ หากเห็นเจ้าในสภาพนี้ เกิดพวกท่านร้อนใจขึ้นมา ไม่แน่อาจทำให้ร่างกายมีปัญหา เสื้อตัวนี้...”

เฉินสิงเจวี๋ยหันมองหลัวเฟิงที่อยู่ข้างกายนาง แล้วพูดขัดขึ้น “เสื้อพวกนี้ตัวเล็กเกินไป ใส่ไม่ได้ บังไม่หมดขอรับ”

พระชายาชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงได้พบว่าเฉินสิงเจวี๋ยสูงกว่าหลัวเฟิงไปครึ่งหัว เสื้อผ้าที่นางตระเตรียมล้วนอิงจากหลัวเฟิง

ทว่าต่อให้เฉินสิงเจวี๋ยผ่ายผอม แต่เมื่อเขาสวมแล้วดูสั้นอย่างเห็นได้ชัด

“แม่ละเลยเอง เจ้าตัวสูงกว่าน้องชายเจ้าแล้ว จู๋เซียง รีบไปนำเสื้อผ้าชุดใหม่ในเรือนข้าที่เตรียมไว้ให้ท่านอ๋องมาเร็ว”

หลัวเมิ่งอวิ๋นรำคาญ “ท่านแม่ เขาเป็นทาสมาตั้งเจ็ดปี ทำไมถึงได้สำออยเช่นนี้? เสื้อผ้าเล็กก็ใส่ ๆ ไปก่อนเถิด เนื้อไม่ได้ขาดหายไปเสียหน่อย!”

“ท่านแม่ พวกเรารีบไปพบท่านปู่กันเถอะ หากไม่ไป อีกเดี๋ยวท่านจะพักผ่อนแล้ว”

ระหว่างที่พูด นางเตรียมจะดึงเฉินสิงเจวี๋ยเข้าไป

เฉินสิงเจวี๋ยกลับไม่ขยับ

หลัวเมิ่งอวิ๋นโมโห “เจ้าทาสคนนี้...”

“อาอวิ๋น!”

พระชายาตำหนิ นางร้ายกาจเอาแต่ใจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?

นางกล่าวอย่างอ้อมค้อม “สิงเจวี๋ย พี่สาวเจ้าปากร้ายใจดี เจ้าอย่าคิดมาก พวกเราไปเปลี่ยนชุดกันก่อน แล้วค่อยเข้าไปพบท่านปู่ดีหรือไม่?”

เฉินสิงเจวี๋ยยังคงไม่ขยับ

“ท่านแม่ ท่านจะเสียเวลากับเขาทำไม? เขาแค่เสแสร้งไปอย่างนั้น ไม่สู้...”

หลัวเมิ่งอวิ๋นเหมือนระเบิด พอจุดก็ติด ยื่นมือไปกระชากเฉินสิงเจวี๋ยทันที

นางอยากดูว่าเจ้าเฮงซวยนี่บนตัวมีสามหัวหกกรหรือเปล่า ถึงได้สำออยเพียงนี้

“ซงม่อ เจ้ายืนบื้ออยู่ทำไม? รีบช่วยถอดเสื้อให้คุณชายของพวกเจ้าสิ!”

ซงม่อไม่กล้าลงมือ

หลัวเมิ่งอวิ๋นโมโหมากจึงยื่นมือไปกระชากเสื้อของเฉินสิงเจวี๋ยทันที

ชายหนุ่มซูบผอม

เมื่อนางออกแรงกระชากอย่างแรง ทำให้เสื้อเปิดออกมากกว่าครึ่ง

บนผิวขาวเต็มไปด้วยรอยแผลลักษณะต่าง ๆ มากมายเปิดเผยให้เห็นตรงหน้าทุกคน

มีทั้งแผลใหม่ มีทั้งแผลเก่า อีกทั้งยังมีรอยแผลที่ตกสะเก็ดแล้วปริแตกอีกครั้ง ช่างน่าอกสั่นขวัญแขวน ดูแล้วน่ากลัวไม่น้อย

กระทั่งยังมีบาดแผลมากมายที่ตกสะเก็ดแล้วมีหนองไหลซึ่งเกิดจากอากาศหนาวเย็น ทำให้รอยดำม่วงติดอยู่ทั่วตัว

“นี่...นี่มันอะไรกัน?” หลัวเมิ่งอวิ๋นอุทาน แล้วรีบหดมือกลับมา

เฉินสิงเจวี๋ยดึงเสื้อขึ้นอย่างเย็นชา มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ ทำให้นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว เมื่อสบเข้ากับดวงตาเฉินสิงเจวี๋ยอีกครั้งจึงแสร้งแข็งใจเอ่ยถาม “อย่า อย่ามองข้า นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้าไปก่อเรื่องอะไรข้างนอก? พวกเราไม่ได้ตีเจ้านะ!”

ทว่าทุกคนกลับใจสั่นโดยไม่มีสาเหตุ

ถึงได้เข้าใจ มิน่าเขาไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้

คงกังวลว่าเมื่อไปพบท่านอ๋องผู้เฒ่าอาจเผยให้เห็น

หากผู้อาวุโสเห็นหลานชายเป็นเช่นนี้คงทรมาน ถึงตอนนั้นสะเทือนใจคงไม่ดีเท่าไหร่

ยิ่งพระชายายิ่งน้ำตาร่วงเผาะเป็นเม็ดใหญ่

นางกอดเฉินสิงเจวี๋ยไว้ทันที “แม่ผิดต่อเจ้า เดิมนึกว่าเจ้าโกรธเคืองแม่ ดังนั้นจงไม่อยากใกล้ชิดพวกเรา ที่แท้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้!”

เฉินสิงเจวี๋ยไม่พูด

ดวงตาซงม่อยิ่งสงสารจับใจ “มิน่าคุณชายถึงไม่ยอมให้ข้ารับใช้ตอนอาบน้ำ!”

นี่เป็นเพียงบาดแผลตรงหน้าอก หากมีบาดแผลทั้งตัว คงจะ...

“เร็ว รีบเข้าวังไปขอพระราชทานหมอหลวงจากฝ่าบาท”

บ่าวลนลานออกไป

หลัวเมิ่งอวิ๋นน้ำเสียงระแวง “จงใจทำเช่นนี้ใช่หรือไม่? เพื่อให้พวกเราสงสารเจ้า?”

ทั้งที่ตอนนั้นหลัวเฟิงจงใจทำให้ม้าเหงื่อโลหิตขององค์รัชทายาทตาย แล้วโยนความผิดให้เฉินสิงเจวี๋ย

หลังจากเขาถูกองค์รัชทายาทสั่งโบยสามสิบครั้ง ทุกคนในโรงเลี้ยงม้าหลวงเห็นเขาเป็นที่ระบายอารมณ์ เพราะหากเหยียดหยาม

เขาอย่างที่สุด ก็เอาใจองค์รัชทายาทได้ พวกทาสแรงงานเหล่านั้นรังแกเหยียดหยามเขาจนเคยชิน

“ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? เจ้าพวกเดรัจฉานในโรงเลี้ยงม้าหลวงทำไมถึงทำกับเจ้าเช่นนี้! ลูกของข้า!”

พระชายาร้องไห้อย่างเจ็บปวด

หลัวเฟิงกล่าวอีกครั้ง “ต้อง ต้องโทษข้า ทุกอย่างเป็นเพราะข้า หากข้าไม่กลับมา พวกท่านคงไม่ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ และคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้”

ช่างเป็นผู้บริสุทธิ์ที่จอมปลอม คำพูดง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำ ก็แยกตัวเองออกอย่างหมดจด ซ้ำยังทำให้ความรู้สึกผิดในใจพวกเขาหายไปเกือบครึ่ง

เฉินสิงเจวี๋ยแค่นเสียงเย็น “พวกเขาได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาท ใครก็เหยียบย่ำข้าได้ทั้งนั้น ยิ่งร้ายกาจก็ยิ่งทำให้องค์รัชทายาทชอบใจ ใครใช้ให้ข้าฆ่ายอดอาชาของพระองค์เล่า?”

หลัวเฟิงยิ่งรู้สึกผิด หางตาแดงก่ำ ท่าทางเช่นนั้นเหมือนอยากจะเข้าไปรับโทษแทน กลับทำให้ดูเหมือนเขาต่างหากที่เป็นทาสม้ามาเจ็ดปี

บ่าวที่อยู่ด้านหลังเขากลับคุกเข่าลงพื้นเสียดื้อ ๆ ชาตินี้เฉินสิงเจวี๋ยไม่มีทางลืมใบหน้านี้เด็ดขาด

ดังนั้น พวกพระชายาต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน แต่กลับแสดงออกว่ารักและละอายใจมาก ช่างเป็นพวกคนจอมปลอม

เมื่อเห็นหลัวเฟิงแทบจะน้ำตาร่วงเพราะคำพูดเย็นชาของเฉินสิงเจวี๋ย ความสงสารเมื่อครู่ของหลัวเมิ่งอวิ๋นก็มลายหายไปจนสิ้น

สุดท้ายจึงตำหนิเขา “เจ้าจงใจเปิดเผยบาดแผลให้ทุกคนเห็นเช่นนี้ จงใจทำให้ทุกคนลำบากใจหรือ? ความจริงเจ้าบอกเร็วกว่านี้ก็ได้ เสื้อผ้าเล็กก็แค่พูดออกมา เจ้าเป็นคุณชายในครอบครัวนี้ เจ้าไม่ยอมบอกก็เพราะอยากให้พวกเรารับรู้ จากนั้นทำให้เฟิงเอ๋อร์ลำบากใจไม่ใช่หรือ?”

เฉินสิงเจวี๋ยรู้อยู่แก่ใจ จึงขี้เกียจโต้แย้ง

หลัวเมิ่งอวิ๋นรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

“อีกอย่าง เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ยังจงใจเปิดเผยรอยแผลพวกนี้ให้ทุกคนทรมาน จงใจทำให้พวกเรารู้สึกผิด เจ้า...เจ้าทำไมถึงใจคอโหดเหี้ยมเพียงนี้!”

หากบอกแต่แรก พวกนางจะปฏิบัติกับเขาอย่างดี เชิญหมอมาให้เขา พร้อมทายาให้

“ข้าเองก็อยากบอก แต่คุณหนูใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้พูดเลยนะสิ” เฉินสิงเจวี๋ยสีหน้าเรียบเฉย

ซ้ำยังผละออกจากพระชายา แล้วยืนห่างออกไปเล็กน้อย

หลัวเมิ่งอวิ๋นนึกไม่ถึงว่าเขาจะดื้อด้านขนาดนี้ แม้แต่คำว่าพี่สาวก็ไม่ยอมเรียกหรือ?

นางแค่นหัวเราะเสียงเย็น “อาจารย์เจ้าคือจอหงวนบู๊ ต่อให้ก่อนนี้เจ้าไม่เอาไหนเพียงใดก็ยังมีวิชาอยู่กับตัว จะถูกพวกทาสทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?”

ขณะนี้ เสียงกังวานราวนกกระจาบฝนเสียงหนึ่งดังขึ้น

“พระชายา แม่ทัพหญิงมาแล้วเจ้าค่ะ”

มู่หรงเสวี่ยเดินเข้ามา

รูปโฉมของนางดวงตาสุกใสฟันขาวสวย งามจนล่มเมือง ได้เห็นพลันลืมทุกสิ่ง อีกทั้งอยู่ในค่ายทหารเป็นระยะยาว จึงมีรัศมีองอาจ เห็นแล้วเป็นต้องชมชอบ

หลัวเมิ่งอวิ๋นรีบเตือนเฉินสิงเจวี๋ย “ข้าขอบอกเจ้าไว้นะ แม่ทัพมู่หรงกับอาเฟิงหมั้นหมายกันแล้ว เจ้าอย่าคิดไม่ซื่อเชียว!”

เฉินสิงเจวี๋ยทำท่าคารวะแล้วกล่าวเย็นชา “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ แม่ทัพมู่หรงคือดวงจันทราบนฟากฟ้า ส่วนข้าคือโคลนตมบนดิน ต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่กล้าคิดเป็นอื่นเด็ดขาดขอรับ”

ฝีเท้ามู่หรงเสวี่ยชะงักทันใด เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งที่นางไม่ชอบให้เฉินสิงเจวี๋ยตามติดนางมากที่สุด แต่ตอนนี้เมื่อพ้นจากเจ้าหมอนี่

แล้วได้ยินคำที่เขาด้อยค่าตัวเอง กลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก นางหันมองเฉินสิงเจวี๋ย ขมวดคิ้วจนเป็นปม

บทที่เกี่ยวข้อง

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 6

    เฉินสิงเจวี๋ยพูดจบ ก็ไม่อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย หันหลังจากไปร่างที่ซูบผอมนั่น ราวกับเพียงลมหนาวพัดก็ทำให้ล้มได้ทันทีทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองดูด้วยจิตใจสับสนแม้แต่หัวใจของมู่หรงเสวี่ยก็ยังมีความประหลาดรายล้อมหลัวเมิ่งอวิ๋นเห็นภาพนี้พอดี จึงระแวงขึ้นมาบ้างนางเดินเข้าไป แล้วโบกมือต่อหน้ามู่หรงเสวี่ย “ยังดูอีก? ลูกตาเจ้าแทบจะติดไปบนนั้นแล้ว ใช่สิ ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาได้?”“ฝ่าบาทเป็นห่วงสุขภาพของท่านอ๋องผู้เฒ่ากับเหล่าไท่จวิน จึงให้ข้ามาดูสักหน่อย ข้าได้ต้นโสมพันปีจากข้างนอกต้นหนึ่ง นำมาให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าใช้ได้พอดี!”มู่หรงเสวี่ยละสายตากลับมา คล้ายไม่ได้ยินความไม่พอใจของหลัวเมิ่งอวิ๋นแต่หลัวเมิ่งอวิ๋นกลับไม่พอใจการหลบเลี่ยงไม่ตอบของนาง ดวงตาจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย สักครู่จึงเอ่ยถาม “ฮึ มีแต่ข้ออ้างเต็มปาก คงไม่ใช่เพราะได้ยินว่าเขากลับมาจากโรงเลี้ยงม้าหลวง จึงไปดักรอกลางทางแล้วหาข้ออ้างมาดูที่บ้านอีกหรอกนะ?”มู่หรงเสวี่ยนึกถึงภาพเมื่อครู่ที่เจอเฉินสิงเจวี๋ยข้างทาง จึงไม่ตอบนางหลัวเมิ่งอวิ๋นกลัวนางเปลี่ยนใจ จึงรีบซักไซ้ “เจ้าพูดสิ ตกลงเจ้าตั้งใจมารอรับเขาออกจากโรงเลี้ยงม้าหลวงใช่หร

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 7

    เมื่อเฉินสิงเจวี๋ยใส่ยาเสร็จจึงเดินไปริมหน้าต่าง ได้พบกับร่างหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างไม่คาดคิดคนผู้นั้นไม่ใช่เยว่ผิงคนสนิทของมู่หรงเสวี่ยหรือ?เมื่อก่อนตอนเขาอยากเข้าใกล้มู่หรงเสวี่ย มักเข้าไปตีสนิทกับอีกฝ่ายเห็นเพียงเขาเดินตามสาวใช้ของหลัวเมิ่งอวิ๋นที่นำทาง มายังเรือนของตัวเองขณะนี้ซงม่อได้ยินความเคลื่อนไหว จึงเดินมาริมหน้าต่าง “คุณชาย นั่นไม่ใช่รองแม่ทัพเยว่ ผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพมู่หรงหรือขอรับ?”“รองแม่ทัพหรือ?”แม้แต่เขายังกลายเป็นรองแม่ทัพ แล้วตัวเองล่ะ?เฉินสิงเจวี๋ยกลับรู้สึกน่าขันยิ่งนัก เจ็ดปีผ่านไป เยว่ผิงได้กลายเป็นรองแม่ทัพที่เก่งกาจของมู่หรงเสวี่ย แต่เขามาทำอะไรที่นี่?ยังไม่ทันได้สติ เห็นเพียงเยว่ผิงประสานมือคารวะเขา เห็นเขาพูดบางอย่างกับสาวใช้แต่ไกล จากนั้นหันหลังจากไป คล้ายกับจงใจหลบเลี่ยงเฉินสิงเจวี๋ยขมวดคิ้วซงม่อรีบเข้าไปหาสาวใช้คนนั้น “เสี่ยวเยว่ นี่มันเรื่องอะไรกัน? รองแม่ทัพเยว่เข้ามาทำไมหรือ?”“เป็นแม่ทัพมู่หรงมอบยาทาสมุนไพรให้ด้วยตนเอง บอกว่าขับความเย็น เป็นผลดีกับมือของคุณชายมาก นี่เป็นสมุนไพรล้ำค่าที่แม่ทัพมู่หรงได้มาจากต่างเผ่า มีเพียงขวดเดียว

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 8

    เฉินสิงเจวี๋ยหันมองหลัวเฟิงที่อยู่หลังพระชายาแวบหนึ่ง แล้วยิ้มเยาะตัวเองหลัวเฟิงทำหน้าตาน่าสงสารกลับยังต้องแสร้งทำใจกว้าง ช่างน่าขันยิ่งนักเป็นไปตามคาดพระชายาบังหลัวเฟิงเอาไว้ กังวลราวกับเฉินสิงเจวี๋ยจะเล่นงานเขาเฉินสิงเจวี๋ยถอนหายใจในอดีต นางเป็นมารดาของเขา อีกทั้งยังทำเช่นนี้ โดยการบังอยู่หน้าเขาเพื่อปกป้องเขาสีหน้าเฉินสิงเจวี๋ยเยือกเย็นกว่าเดิมมีเพียงท่านปู่ที่รู้ว่าเมื่อก่อนเขาชอบมู่หรงเสวี่ยมากเพียงใด หากครั้งนี้เขาบอกว่าต้องการแต่งงานกับมู่หรงเสวี่ย เช่นนั้นท่านปู่ต้องทำให้เขาสมหวังแน่นอน ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าพระชายาและหลัวเฟิงคงกลัวเขาจะยืมมือท่านอ๋องผู้เฒ่าทำลายการแต่งงานของพวกเขาเฉินสิงเจวี๋ยส่ายหน้า “ท่านปู่อย่าพูดอีกเลย ตอนนี้ข้าไม่ชอบมู่หรงเสวี่ยแล้ว ใต้หล้ายิ่งใหญ่ แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา ไฉนจึงต้องตายอยู่บนต้นไม้เพียงต้นเดียว?”คำพูดเหล่านี้ ทำให้มู่หรงเสวี่ยที่เตรียมมาคารวะท่านอ๋องผู้เฒ่าตะลึงอยู่นอกประตูเห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องผู้เฒ่าเองก็ตะลึงไม่น้อย“เจ้าคิดเช่นนี้หรือ? แต่เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าจะแต่งกับนางให้ได้ ทว่ายามนี้...”“เรื่องราวผันเปลี่ยนตามกาลเ

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 9

    มู่หรงเสวี่ยเข้าใจแล้วนางกลับไม่แสดงสีหน้าใด!“เรื่องการแต่งงานเป็นคำสั่งบิดามารดา รับการแนะนำจากแม่สื่อ การหมั้นหมายเกิดขึ้นจากสองตระกูล ไม่เคยเปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยที่ไม่อาจต้านทานได้”“หากไม่มีธุระใด ข้าขอตัวก่อน”มู่หรงเสวี่ยหันหลังอย่างสง่างามหลัวเฟิงมองดูแผ่นหลังของนางภายนอกมู่หรงเสวี่ยปลอบใจเขาว่าไม่ต้องคิดมาก แต่ความจริงนางไม่ได้ตอบเขาเลยว่าตกลงตัวนางเสียใจหรือไม่......หลังจากหลัวเมิ่งอวิ๋นออกจากหอไป่ซง นางก็ไปเปิดดูสาแหรกวงศ์ตระกูลของจวนอ๋องนางเปิดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ไม่เชื่อคำพูดของเฉินสิงเจวี๋ยเพราะนางคิดว่าคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมา ต้องการให้ทุกคนรู้สึกผิดเท่านั้นท่านพ่อจะให้เขาเปลี่ยนแซ่ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ แต่นางเปิดดูสาแหรกวงศ์ตระกูลนานขนาดนี้ กลับพบว่าไม่มีจริงๆหลัวเมิ่งอวิ๋นนั่งหมดแรงอยู่บนพื้น มือสั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วโยนสาแหรกไว้บนพื้นเป็นไปไม่ได้ แค่ม้าเหงื่อโลหิตตัวเดียวเท่านั้น จะเทียบกับมนุษย์ได้อย่างไร? เหตุใดจึงต้องลบชื่อของเฉินสิงเจวี๋ยออกไปจากสาแหรกวงศ์ตระกูลทว่าต่อให้ชื่อของเฉินสิงเจวี๋ยถูกลบทิ้ง ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาเติบโตขึ้น

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 10

    เฉินสิงเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น ขณะนี้เขายังไม่เข้าใจความหมายประโยคนี้ของหลัวเฟิง“ไม่ใช่เจ้า แล้วเป็นคนอื่นงั้นหรือ? ยามนี้ข้าต้องทนเห็นเจ้าพาตัวต้นเหตุที่ออกมาชี้ความผิดข้าลอยหน้าลอยตาไปทั่ว แล้วยังไม่คิดบัญชีกับเจ้าถือว่าให้เกียรติเจ้า ถือว่าเห็นแก่หน้าท่านปู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงไม่ลงมือกับเจ้า?”หลัวเฟิงหัวเราะเสียงดัง “เจ็ดปีแล้ว เจ้าเรียนรู้แค่หลงตัวเองหรอกหรือ? ยังคิดจะลงมือกับข้า? ตอนนี้เจ้ากลับมาต้องอยู่อย่างสำรวมไม่ใช่หรือ? เป็นแค่ลูกนอกคอกของบ่าวคนหนึ่งยังเพ้อฝันอยากใช้ชีวิตสุขสบายในจวนอ๋อง หากไม่ได้ครอบครัวข้าเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ ยังไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าจะไปขอทานอยู่หัวมุมไหนเลย!”“อีกอย่าง หากตาแก่นั่นตายไป จวนอ๋องก็เป็นของข้า เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฮึ!”เดิมทีเฉินสิงเจวี๋ยไม่คิดถือสาคนจอมปลอมเช่นนี้ แต่เมื่อท่านปู่ที่เขารักถูกคนชั่วอย่างเจ้านี่ต่อว่าด่าทอ เขาจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป“เจ้าพูดจาลามปามท่านปู่ สมควรได้รับการสั่งสอน” เฉินสิงเจวี๋ยมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาหลัวเฟิงยิ่งแค่นหัวเราะ “สั่งสอน? งั้นก็ต้องมาดูว่าใครจะสั่งสอนใคร! เจ้าขวางหูขวางตาข้ามานานแล้ว!”

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 11

    “ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าก็ไปละ คุณหนูใหญ่เชิญตามสบาย!”การแสดงออกของเฉิงสิงเจวี๋ยเรียบเฉย หมุนกายกลับอย่างไม่ลังเลแล้ว“นี่ เจ้า เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้าสั่งให้เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”แต่เฉินสิงเจวี๋ยไม่ได้สนใจนางเลย ร่างเงาหายไปต่อหน้านางอย่างรวดเร็วหลัวเมิ่งอวิ๋นก็หมดหนทาง ทำได้เพียงพาหลัวเฟิงกลับไปรักษาอย่างกระวนกระวาย“แค่กๆ ๆ”หลัวเฟิงที่ตกน้ำและถูกความหนาวเย็นกัดกินนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเผือด หมอเคยมาดูแล้ว หลัวเมิ่งอวิ๋นมองดูเขาอย่างปวดใจ“พี่หญิง ท่านพี่ยังโทษข้าอยู่ใช่หรือไม่? เขาถึงขั้นผลักข้าลงน้ำ ท่านดูสิ หน้าผากข้าเป็นแผลแล้ว!”เวลานี้เอง พระชายาพุ่งพรวดเข้ามาอย่างเร่งรีบพร้อมกับบ่าวรับใช้ “ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“ตายแล้ว นี่...มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? อากาศหนาวเช่นนี้ ร่างกายจะทนไหวได้อย่างไร?”ในแววตานางเต็มไปด้วยความปวดใจ!“ท่านแม่ เพราะท่านพี่ไม่ชอบข้า โทษที่ข้ากลับมา แย่งความรักของเขาไป ดังนั้นเขาจึงอยากให้ข้าตายใช่หรือไม่?”หลัวเฟิงกล่าวอย่างระมัดระวังด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้หลัวเมิ่งอวิ๋นกับพระชายาทรมานจนแทบอยากควักห

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 12

    “วางใจเถอะ ถ้าหากฝ่าบาทจะตำหนิเขาหรือลงโทษเขา ถึงเวลาพวกเราค่อยทูลขอพระกรุณาแทนเขาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเห็นแก่หน้าของท่านอ๋องผู้เฒ่า ไม่ลงโทษสถานหนักแน่นอน”หลัวเมิ่งอวิ๋นครุ่นคิด รู้สึกว่าที่มารดาพูดมีเหตุผลเช่นกัน จึงไม่ได้ห้ามปรามอีก เพียงแค่ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อถึงวันมะรืน หลัวเมิ่งอวิ๋นก็มาเรียกเฉินสิงเจวี๋ยเข้าวัง“ไม่ไป!”“นี่คือคำสั่งของท่านพ่อ เจ้าต้องไป ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับขัดพระบัญชา เจ้าได้รับความสำคัญจากท่านพ่อ นั่นเป็นบุญที่เจ้าทำมาหลายชาติ เจ้ากลับไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณและยังรู้จักขัดคำสั่งเขา เจ้ามันไม่รู้จักดีชั่ว วันนี้เจ้าอยากไปก็ต้องไป ไม่อยากไปก็ต้องไป”เฉินสิงเจวี๋ยมองนางอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง โง่เขลานัก ถูกคนอื่นหลอกใช้แล้วยังมีหน้ามาได้ใจอีกทว่าทูตแคว้นเป่ย? มันก็คุ้มที่จะไปดูพวกเขามาทุกปี จะมีอะไรมากไปกว่าอยากรู้ว่าแคว้นต้าเฉียนมีของใหม่ๆ หรือจุดอ่อนอะไรหรือไม่ หลังจากนั้นก็คือการประลองบุ๋น บอกว่าประลองบุ๋น ที่จริงก็แค่อยากทำให้นักปราชญ์ของแคว้นต้าเฉียนอับอาย แสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาหลายปีนี้ต้าเฉียนพ่ายแพ้มาโดยตลอด ต้องจ่ายค่าชด

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 13

    “แล้วไม่ใช่หรือ ฝ่าบาททรงติดประกาศแล้ว ขอแค่มีคนสามารถชนะคนแคว้นเป่ยในการประลองบุ๋น ก็ตบรางวัลทองคำพันตำลึก อีกทั้งยังสามารถเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักได้ด้วย”“และพวกเขายังได้วางกับดักไว้ ถ้าหากพวกเราต่อกลอนไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องชดเชยด้วยเมืองหนึ่งเมือง วัวม้า และธัญพืชต่างๆ ให้พวกเขา อีกทั้งยังต้องยอมรับว่าสู้พวกเขาไม่ได้”“ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย? นี่กำลังทำให้พวกเราลำบากใจไม่ใช่หรือ?”“แล้วไม่ใช่หรือ? หลายปีมานี้นักปราชญ์ของพวกเราถูกพวกเขาข่มจนเงยหน้าไม่ขึ้น ไม่กล้าพูดอะไรเลย กลัวว่าตัวเองจะเสียหน้า ครั้งนี้พวกเขาเห็นท่านอ๋องผู้เฒ่าพาเฉินสิงเจวี๋ยมาด้วย คิดว่าพวกเราไม่มีคนแล้ว ถึงกับต้องฝากความหวังไว้ที่ทาสเลี้ยงม้าคนหนึ่ง”“ฮ่าๆ คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ข้าได้ยินมาว่าแม้เฉินสิงเจวี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องสิบกว่าปี แต่กลับไร้ความรู้ไร้ความสามารถ เกรงว่าครั้งนี้คนแคว้นเป่ยคงไม่ละเว้นเขาง่ายๆ แน่นอน”ทุกคนพากันเห็นด้วย ล้วนรอดูเรื่องสนุกหลัวเมิ่งอวิ๋นโมโหจนหน้าซีด กัดฟันแน่นราวกับจะกัดให้หัก“เฉินสิงเจวี๋ย! เจ้าดูเรื่องดีๆ ที่เจ้าทำสิ! ตอนนี้คนทั้งเมืองหลวงล้วนกำลังหัวเราะเยา

บทล่าสุด

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 40  

    ท่ามกลางฝูงชนที่มามุงดู มีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ปีนั้นด้วยเช่นกัน จึงพากันส่งเสียงสนับสนุนออกมา พวกเขาล้วนเป็นบุตรหลานของตระกูลใหญ่ “ปีนั้น ตอนที่เฉินซื่อจื่อถูกม้าเหงื่อโลหิตเหยียบขาทั้งสองข้างจนหัก เลือดนองไปทั่วพื้น พอเห็นคนเข้าไปในคอกม้าก็คลานไปหาคนให้ช่วยเป็นพยานให้เขา ผลคือ…” “เฮ้อ อย่าพูดอีกเลย ตอนนั้นพวกเราส่วนใหญ่ล้วนเอาแต่เงียบ นับเป็นผู้ชมเลือดเย็นพวกนั้นเหมือนกันแหละ ไม่ได้ดีไม่กว่าแม่ทัพมู่หรงเท่าใดเลย” “นั่นสิ ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ทำให้คนต้องถอนใจจริงๆ!” คนทั้งหลายต่างมองไปที่รัศมีดุจยอดขุนพลผู้สยบใต้หล้าบนร่างของเฉินสิงเจวี๋ย จากนั้นก็พากันก้มศีรษะลง เพราะตอนนั้น พวกเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนการกระทำความผิดของคนร้าย จึงเกรงว่าเฉินสิงเจวี๋ยจะมาคิดบัญชีภายหลัง “ตอนนั้น เจ้าพูดว่าอย่างไร?” เฉินสิงเจวี๋ยจ้องมู่หรงเสวี่ยที่ราวกับบื้อใบ้ไปแล้ว กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าบอกว่า ข้าเป็นคนฆ่าม้าเหงื่อโลหิต เป็นเจ้าเห็นเองกับตา ว่าข้า เฉินสิงเจวี๋ยผู้นี้สังหารมัน!” “ตอนนั้นมีคนมากมาย แต่กลับไม่มีใครช่วยพูดแทนข้าสักคน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเ

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 39  

    เพียงไม่กี่กระบวนท่า เฉินสิงเจวี๋ยก็คว้าข้อมือมู่หรงเสวี่ยไว้ได้ เขาเย้ยหยันว่า “เจ้ายังคิดว่าตนเองเป็นมู่หรงเสวี่ยคนนั้นอีกหรือ? ตัวเจ้าในตอนนี้ เป็นเพียงสตรีที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้น!” “นับตั้งแต่เจ็ดปีก่อน ที่เจ้าช่วยเป็นพยานให้หลัวเฟิง กล่าวหาว่าข้าเป็นคนทำให้ม้าเหงื่อโลหิตตาย เจ้าก็หมดสิทธิ์มาเพ้อเจ้อไร้สาระต่อหน้าข้าตลอดกาลแล้ว ไสหัวไปซะ!” “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ดวงหน้าอันงดงามของมู่หรงเสวี่ยซีดเผือด ความไม่อยากเชื่อ ความเสียใจ ความตกใจ ความหวาดหวั่น อารมณ์อันหลากหลายจำนวนมากปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เย็นชาประดุจน้ำค้างแข็งอย่างหาได้ยาก หากเป็นเมื่อก่อน นางในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่เฉินสิงเจวี๋ยใคร่ได้ยลนัก ทว่ายามนี้ แม้แต่ความรู้สึกอันน้อยนิดก็ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มู่หรงเสวี่ยที่เขารู้จัก ในตอนที่นางเอ่ยปากช่วยเป็นพยานให้หลัวเฟิงกล่าวหาเขาก็ได้ตายไปแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เป็นเพียงท่านแม่ทัพมู่หรงของแคว้นต้าเฉียนเท่านั้น “เจ้าหูตึงหรือไง? ต้องให้ข้าทวนซ้ำให้เจ้าฟังอีกรอบหรือไม่?” มู่หรงเสวี่ยดึงเขาเข้าไป กล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านพูดอะไรนะ? ท่านบอกว่าข้าร่วมมือกับหลัวเฟิงเป็

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 38  

    เรือนด้านหลังของหอไต้ชุน มู่หรงเสวี่ยมาถึงประตูห้องอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นเด็กรับใช้ที่อยู่หน้าประตูกำลังจะปิดประตูลง นางก็ผลักประตูออกทันที “หึ วันนี้ข้าไม่ได้มาหาเจ้า!” มู่หรงเสวี่ยบุกเข้าไปในห้องด้วยท่าทีหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ทันทีที่กวาดตามอง นางก็พบเฉินสิงเจวี๋ยในทันที เฉินสิงเจวี๋ยกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ชมภาพที่อยู่ในม้วนกระดาษ ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมา “ท่านแม่ทัพมู่หรง เหตุใดจึงมาที่นี่ได้เล่า?” “เฉินสิงเจวี๋ย! เจ้าเมามายอยู่ในหอไต้ชุนสามวันสามคืน เจ้ายังรู้จักยางอายอยู่หรือไม่?” มู่หรงเสวี่ยขึ้นเสียงตำหนิเสียงทันที เฉินสิงเจวี๋ยตะลึงไป “ท่านแม่ทัพมู่หรง ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? เหตุใดจึงต้องตื่นเต้นเช่นนี้ มิสู้นั่งลงดื่มชาสักถ้วยก่อนเถอะ” “หมายความเยี่ยงไร? ในใจของเจ้าย่อมรู้ดี!” มู่หรงเสวี่ยยิ้มหยัน “ที่ข้ามาในวันนี้ มิได้มาเพื่อรำลึกความหลังกับเจ้า!” “ในเมื่อท่านแม่ทัพมู่หรงไม่คิดจะดื่มชา เช่นนั้น ก็ขอเชิญท่านออกไปเถิด!” เฉินสิงเจวี๋ยไล่แขก “ประการแรก ท่านไม่ใช่ภรรยาของข้า ประการที่สอง ท่านไม่ใช่มิตรสหายของข้า ท่านเป็นเพียงน้องสะใภ้ของข้

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 37  

    มู่หรงเสวี่ยพินิจใบหน้าที่เย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์ของนาง และเมื่อเห็นร่องรอยนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่บนตัวนางชัด เพลิงโทสะภายในใจก็ยิ่งโหมกระหน่ำ แต่นางยังคงยับยั้งตนเองไว้ได้ ใบหน้าทั้งดวงเย็นชาดุจน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ “เจ้าไม่ต้องมาเล่นลูกไม้เช่นนี้กับข้า! พูดมา เป็นเจ้าที่ไปยั่วยวนสิงเจวี๋ยใช่หรือไม่?” ตู้หว่านฉิงตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ปิดปากหัวเราะอย่างเบาๆ “ท่านแม่ทัพมู่หรงกล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ? ข้าจะไปยั่วยวนคุณชายเฉินได้อย่างไร?” “พวกบุรุษที่เข้ามาที่นี่ ล้วนมีสามขากันทั้งนั้น ข้าก็มิได้ใช้ไม้ไปไล่ตีหรือบีบบังคับให้พวกเขาเข้ามาสักหน่อย ท่านช่างเป็นสตรีในห้องหอที่ไม่รู้ประสานัก คงมิใช่ว่า ท่านแม่ทัพมู่หรงผู้ใช้ชีวิตท่ามกลางกลุ่มบุรุษทั้งวัน จะยังไม่เข้าใจอะไรเลยหรอกนะ? นี่มันไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหรือ?” “หึ! เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว! เหตุใดสิงเจวี๋ยจึงมาที่หอไต้ชุน? เหตุใดจึงไปต้องตาเจ้า? จะต้องเป็นเพราะเจ้าใช้ลูกไม้ยั่วยวนอะไรแน่!” มู่หรงเสวี่ยริษยาจนคลุ้มคลั่ง แค้นจนแทบอยากใช้ดาบนางฟันนาง! ตู้หว่านฉิงก็เก็บรอยยิ้มกลับไปเช่นกัน มองนางอย่างเย็นชา “ท่านแม่ทัพมู่หรง ท่านผิดแล้ว!

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 36  

    ตู้หว่านฉิงยินดีจนรีบลงจากเตียงมาคุกเข่าทันที “ขอบคุณคุณชายที่ประทานรางวัลเจ้าค่ะ!” หลังจากที่เฉินสิงเจวี๋ยไม่ออกจากหอไต้ชุนเป็นเวลาสามวัน คนรับใช้ของตระกูลมู่หรงที่อยู่ทางนั้นก็รีบส่งข่าวไปถึงมู่หรงเสวี่ยทันที “อะไรนะ? เจ้าบอกว่าเขาไปที่หอไต้ชุน รบรากันมาสามวันสามคืนแล้วยังไม่ยอมออกมา?” “ใช่เจ้าค่ะ แถมเขายังมอบจี้หยกชิ้นหนึ่งให้สตรีนางนั้นด้วย ตอนนี้สตรีนางนั้นลำพองยิ่งนัก คนของเรายังเห็นนางนำจี้หยกไปที่หอจิตรกรรมด้วย ต้องไปเอาภาพวาดแล้วแน่เจ้าค่ะ!” มู่หรงเสวี่ยโมโหจนขว้างปาข้าวของในห้องจนหมด “เจ้าเฉินสิงเจวี๋ยผู้นี้ ถึงกับไปสถานที่แบบนั้น แถมยังอยู่นานขนาดนั้นอีก ที่สำคัญที่สุด เขายังเอาจี้หยกของข้าไปมอบให้คนชั้นต่ำผู้หนึ่ง!” “คุณหนูเจ้าคะ ‘หงจ่างหน่วนชุน’ ผู้นั้น เป็นหญิงนางโลมที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง เฉินสิงเจวี๋ยนั่นไปสถานที่ประเภทนั้น คงไปมั่วโลกีย์เป็นแน่ ในอนาคตเกรงว่า...เกรงว่าคงเข้าออกสถานที่แบบนั้นเป็นประจำเจ้าค่ะ!” “ท่านยังจะไปคิดถึงเขาอีกทำไมกันเจ้าคะ? เขาเป็นถึงขนาดนั้นแล้ว ยังมิสู้รีบแต่งงานกับคุณชายหลัวเฟิง… สองฝั่งเช่นนี้….” “หุบปาก!” สาวใช้ที่รับใ

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 35    

    เมื่อเฉินสิงเจวี๋ยออกจากวัง ก็ตรงดิ่งไประบายอารมณ์บางส่วนที่หอไต้ชุนอย่างไม่หยุดยั้งทันที หลายวันมานี้ เขาทนจนอึดอัดไปหมดแล้ว คนของจวนอ๋องพวกนั้น ทำให้เขารำคาญมากจริงๆ สามวัน! สามวันเต็มๆ! เขาไม่ได้ออกจากหอไต้ชุนด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่า สิบปีกว่าที่ผ่านมานั้นตนใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่าจริงๆ และยิ่งคิดว่าในอดีต การที่ตนรักษาพรหมจรรย์ของตัวเองอย่างเข้มงวดเพื่อมู่หรงเสวี่ย ช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย ช่างโง่งมเหมือนกระบือนัก! ใต้ผ้าห่มไหมทองที่บางเบาราวปีกจักจั่น ตู้หว่านฉิงเผยสีหน้าอิ่มเอมออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เสน่ห์อันเย้ายวนเหล่านั้น ทำให้ผู้คนปรารถนาจะหวนกลับไปเชยชมอีกครา นางนอนคว่ำอยู่ตรงนั้น ราวเหน็ดเหนื่อยมากจนไม่อาจไม่พัก เฉินสิงเจวี๋ยเชยคางของนางขึ้นมา พินิจริมฝีปากสีแดงชุ่มฉ่ำของนาง ในที่สุดก็ประทับจุมพิตลงไปอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ คุณชายเจวี๋ย เหตุใดท่านยังชอบขบกัดไปทั่วเยี่ยงนี้อีกเล่าเจ้าคะ? “อย่างไรกัน? เจ้าไม่ชอบหรือ?” “ชอบสินะ!” เมื่อเฉินสิงเจวี๋ยมองใบหน้าเปล่งปลั่งที่แดงระเรื่อของตู้หว่านฉิง ก็รู้สึกหัวใจก็ว้าวุ่นขึ้นอย่างไม่อาจคว

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 34  

    เมื่อหลัวเฟิงเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ก้มหน้าลง “ท่านแม่ ข้าก็ไม่ได้โทษพี่ชายขอรับ ล้วนเป็นข้าที่ไม่ระวังเอง ข้าไม่มีทางถือสาพี่ชายเด็ดขาด ขอแค่เขาขอโทษข้า ข้าก็ไม่เอาความเขาต่อแล้ว” “เด็กดี ทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว เจ้าจงรอก่อน ในงานเลี้ยงวันเกิด แม่จะต้องให้เขาขอโทษเจ้าแน่!” พระชายาเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ นางรู้สึกว่าในใจของเฉินสิงเจวี๋ยยังมีนาง มารดาผู้นี้อยู่ ดังนั้นจะต้องเชื่อฟังคำพูดของตนแน่ ความอึดอัดต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เป็นเพียงเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากตนมิใช่หรือ? คาดว่าคงเป็นนิสัยตามธรรมชาติของเด็ก เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นเด็กที่ตนเลี้ยงดูมานานนับสิบปี จากเริ่มฝึกพูดส่งเสียงอ้อแอ้ จนกระทั่งก้าวแรกที่เขาก้าวเดิน ล้วนมีตนอยู่เป็นสักขีพยานด้วยตนเองทั้งสิ้น พระชายาถอนใจแรงอย่างโล่งอก แม้แต่สีหน้าก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว! หลัวเฟิงกัดฟัน เจ้าเฉินสิงเจวี๋ยที่สมควรตายนั่น ไปลอกภาพวาดดีๆ เช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกันนะ? ปล่อยให้มันทำสำเร็จอีกแล้ว! เดิมที่พวกเขามาที่นี่ ก็เพื่อจะจับมันกลับไป กระทั่งคิดจะตรวจสอบมัน แต่คาดไม่ถึงว่า…มันถึงกับพัฒนามาถึงจ

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 33  

    “เอาออกไปซะ เอาออกไป ผู้ใดเต็มใจจะดูภาพวาดที่น่าเกลียดเหมือนยันต์กันภูตผีพวกนั้น?” พระชายาโบกมืออย่างรำคาญ ทว่าคนที่อยู่ด้านข้างกลับรีบนำภาพวาดเข้ามา เดิมก็เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น พวกเขาจึงมิได้คาดหวังว่าภาพวาดนี้จะดีเพียงใด เพราะชื่อเสียงภายนอกของคุณชายเจวี๋ยก็เป็นที่รู้กันไปทั่ว แล้วจะไม่เลอะเทอะเละเทะเหมือนไก่เขี่ยได้อย่างไร? ทว่าเมื่อคลี่ออกมา ทุกคนในหอจิตรกรรมก็ล้วนตะลึงงันไปแล้ว เห็นขุนเขาเขียวขจีสูงตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่งามสง่า ระหว่างขุนเขารายล้อมไปด้วยสายหมอก แลเห็นวิหคโผบินได้อย่างเลือนราง ณ หน้าผาสูงของภูเขา น้ำตกสายหนึ่งถั่งโถมลงมาราวเส้นไหมสีเงิน และที่บริเวณด้านข้างของหน้าผา มีกล้วยไม้อยู่ดอกหนึ่ง ใบของมันกำลังโบกพัดไปตามลม ตัวกล้วยไม้เองก็คล้ายกำลังกระซิบอย่างแผ่วเบา “นี่…” ทุกคนล้วนถูกภาพวาดชิ้นนี้ทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว แม้แต่หลัวเมิ่งอวิ๋นและพระชายา คนทั้งสองต่างลุกเดินมาดูอย่างอดไม่ได้ ในยามที่เห็นภาพวาดชิ้นนี้ พวกนางก็ตะลึงงันไปแล้วเช่นกัน “นี่…นี่เป็นเฉินสิงเจวี๋ยวาดอย่างนั้นหรือ?” หลัวเมิ่งอวิ๋นแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง ในภาพ ทุกฝีพู่กัน

  • พลิกชะตาคุณชายตัวปลอม   บทที่ 32  

    คนทั้งสามที่เดินมาถึงด้านหลังของเฉินสิงเจวี๋ยได้ยินคำพูดพวกนั้นเข้าพอดี จึงพากันเบิกตากว้าง พระชายายิ่งตื้นตันใจเป็นอย่างมาก นางคิดไม่ถึงว่า เด็กผู้นี้ ที่หลังจากกลับก็ทำตัวห่างเหินกับตนขึ้นมาก จนตนยังคิดจะลงโทษเขาด้วยเหตุนี้ ฉากหน้าดูดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง ทว่าหัวใจทั้งดวงของเขากลับยังระลึกถึงตน กระทั่งวาดภาพเตรียมไว้ เพื่อมอบให้ตนเป็นของขวัญวันเกิดด้วย ในชั่วขณะนั้น หัวใจของพระชายาเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด ความรู้สึกผิดกระแทกเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลัวเมิ่งอวิ๋นกับหลัวเฟิงยิ่งมองหน้ากันอย่างทำสิ่งใดไม่ถูก หัวใจของหลัวเมิ่งอวิ๋นก็กระตุกขึ้นคราหนึ่งเช่นกัน นางก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า เฉินสิงเจวี๋ยจะกตัญญูเช่นนี้แม้จะไม่ชำนาญการวาดภาพก็ยังระลึกถึงท่านแม่ และถึงกับวาดภาพไว้ล่วงหน้า เพื่อมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้ท่านแม่ด้วย ความคิดเช่นนี้พิสูจน์ได้ว่า เขารักคนในครอบครัวมาก มิได้เลวร้ายอย่างที่เห็นภายนอก เช่นนั้นมุมมองต่างๆ ที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับเฉินสิงเจวี๋ย จะเป็นการเข้าใจผิดหรือไม่? เมื่อเห็นพี่สาวและท่านแม่เริ่มเปลี่ยนทัศนคติต่อเฉินสิงเจวี๋ย หลัวเฟิงจึงกล่าวออกมาในเวลานั

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status