โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักใหญ่โตโอ่อ่า
หลีหนิงหนิงเงยหน้าไล่ขึ้นมามองชั้นที่สอง…ชั้นที่สามขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ห้า รังรักของซ่งเสวี่ยนและแม่ดอกบัวขาว ทุกอย่างจะมิใช่เรื่องแปลกหากซ่งเสวี่ยนนั้นไม่มีภรรยา “ดูท่าคงไปพลอดรักกัน ท่านคงชืมไปแล้วกระมังว่ายามนี้ตนมีภรรยาแล้ว” หลิหนิงหนิงพูดไล่หลังซ่งเสวี่ยที่เดินจากไปไม่เหลียวมอง ไม่รู้เพราะเหตุใดซ่งเสวี่ยนถึงไม่ตัดใจจากแม่ดอกบัวขาวเสียที ว่ากันตามตรงนั้นในบทที่ฉากที่พระรองตัวร้ายนัดหมายกับนางเอกออกมาเพื่อขอร้องอ้อนวอนให้นางอยู่ข้างกายเช่นเดิม แต่แม่ดอกบัวขาวนั้นทำทีเป็นบัวที่ตัดเยื่อยังเหลือใยเพราะแท้จริงแล้วอยากเก็บไว้ทั้งพระเอกและพระรองของนาง “ช่างเแสแสร้งเสียจริง” นางคร้านจะใส่ใจจึงปล่อยไป หลังจากซ่งเสวี่ยนปล่อยนางทิ้งไว้หน้าโรงเตี๊ยมแล้วเดินเข้าไปผู้เดียวนั้น เหอะ! เห็นนางเป็นตัวอะไรกันและคิดว่าหลีหนิงหนิงมีหรือจะวิ่งตามบุรุษ อยากได้ก็เอาไปเถอะ! หลีหนิงหนิงพูดขึ้นกับตนเอง “เช่นนั้นข้าจะไปตามทาง ของข้า” ก่อนจะทอดถอนหายใจเหนื่อยหน่าย หากอยู่เดียวที่จวนนางก็โดนโบยเจียนตาย ทว่าหากอยู่กับซ่งเสวี่ยนก็เฉียดเข้าใกล้ความตาย ใบหน้าคนงามยกยิ้มเยาะตนเอง ก็แน่สิ…นางมันก็ เป็นเพียงตัวประกอบในนิยายเท่านั้น แต่จะตายเมื่อไหร่หรือเพราะเหตุอันใดนั้น หลีหนิงหนิงไม่รู้แน่ชัด หลีหนิงหนิงเดินเตล็ดแตร่ไปทั่วถนนตลอดทั้งสาย มีร้านอาหารสองข้างฝั่งที่ส่งกลิ่นหอมโชยออกมาเชิญชวนให้ลิ้มลอง พร้อมทั้งท้องน้อย ๆ ของนางที่เริ่มส่งเสียงคร่ำควรญโวยวาย ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเลี้ยวเข้ายังร้านหนึ่งที่ไม่มีคน มือเรียวลูบหน้าท้องตนเองเล็กน้อย “ใจเย็น ๆ หน่อย” “เหล่าป่านข้าเอาโจ๊กชามหนึ่ง” จังหวะเดียวกันหลีหนิงหนิงพลันสบตากับเจ้าร้านที่กำลังมองมาพอดี “โจ๊กชามหนึ่ง!” เหล่าป่านย้ำอีกครั้ง หลีหนิงหนิงจึงพยักหน้าตอบด้วยความยิ้มแย้ม ได้กินอะไรสักหน่อยคงอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้ และแน่นอนบทตัวประกอบของ หลีหนิงหนิงคงไม่ง่ายนัก เมื่อเนื้อเรื่องเริ่มเปลี่ยนไปจากนิยายที่แปลที่ละนิด “คุณหนูหลี” “…..” “ยามนี้คงต้องเรียกซ่งฮูหยินแล้วใช่หรือไม่” บุรุษในอาภรณ์สีขาวสะอาดตาดุจเทพเซียน ใบหน้าที่หล่อเหล่าคมคายพร้อมทั้งจมูกเป็นสันและท่าทางประหนึ่งจอมเสเพล หากนางเดาไม่ผิดแล้วก็ “จือรุ่ยหยาง” หลีหนิงหรองขมวดคิ้ว หรี่ตามอง เหตุใดเขามาอยู่ที่นี้! สมควรที่จะอยู่โรงเตี๊ยมกับคนสองผู้นั้น!! ยามนี้เขาสมควรจะอาละวาดมีเรื่องกับซ่งเสวี่ยนมิใช่หรือ!!! จือรุ่ยหยางสำรวจมองหลีหนิงหนิงประหนึ่งว่ากำลังเห็นผี เมื่อเขาเห็นนางนั่งอยู่ผู้เดียวจึงถือโอกาสมาทักทายเสียหน่อย ไฉนถึงต้องร้องตกใจด้วย “ผ่านไปไม่กี่วันเจ้าก็หลงลืมข้าไปหมดแล้วหรือไรหลีหนิงหนิง” ไม่ลืม! แต่ข้าพึงเห็นครั้งแรกต่างหาก แม่ดอกบัวขาวคิดจะจับบุรุษหล่อเหล่าไว้ข้างกายทั้งสองคนเลยหรือไร หลีหนิงหนิงสายหน้า สายตายังคงจับจ้องไม่วาง จื่อรุ่ยหยางกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อถูกจ้องมองไม่กระพริบตา เขาแค่นเสียงทีหนึ่งก่อนเอ่ย “ซ่งเสวี่ยนเขาดีกับเจ้าหรือไม่ บุรุษผู้นั้นเห็นแก่ตัวนักเป็นถึงบุตรชายคนโตของจวนแล้วจะมีอำนาจอันใดเพราะมารดาเป็นเพียงบ่าวรับใช้เท่านั้น” ที่กล่าวออกมาคิดจะทำอันใดงั้นหรือ? หลีหนิงหนิงอาจจะปรบมือให้กับจือรุ่ยหยางจริง ๆ “แล้วท่านมีดีอันใดหรือ” นางย้อนถามกลับ แม้จะแปลไม่จบแต่พื้นฐานของตัวละครนางย่อมจำได้ พระเอกผู้นี้เกิดในครอบครัวค้าขายนับว่ายังมีฐานะน้อยกว่าพระรองของนางด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดต้องกดผู้อื่นต่ำยกตัวเองขึ้นสูง เขาคิดว่านางโง่งมหรือ! ท่านมีดีแค่ความหล่อเท่านั้น ประโยคของสตรีเบื้องหน้าทำเอาจื่อรุ่ยหยางไปไม่เป็น ทว่าในใจเขานั้นย่อมรู้ดีว่าตนดีกว่าซ่งเสวี่ยนทุกอย่าง ไม่ว่าจะแย่งชิงความรักจากหลีหลินว่านมาได้ หรือแม้แต่หน้าตาเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า “หลายวันก่อนเจ้ายังวิ่งตามข้าอยู่ไม่ใช่หรือไร ไฉนเปลี่ยนไปราวกับไม่คุ้นหน้า” จื่อรุ่ยหยางยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะปรายสายตามองเหล่าป่านที่ยกโจ๊กหนึ่งถ้วยมาวางบนโต๊ะให้ “นั่นมันเรื่องในอดีต!” “10 อีแปะ” เหล่าป่านรูปร่างอ้วนท่วม ตามตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อไคล้กำลังจดจ้องรอรับเงินจากสตรีตรงหน้าหลังจากวางถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนตรงหน้า “…..” หลีหนิงหนิงไม่รู้ว่าควรจะสนใจผู้ใดก่อนดี “หากไม่มีก็ไม่ต้องกิน” เหล่าป่านเริ่มขึ้นเสียง ลูกค้ามีไม่น้อยที่มานั่งสั่งอาหารที่ร้านพอกินแล้วก็ไม่จานเงิน ดังนั้นเขาจำเป็นต้องเก็บเงินก่อน ว่าอย่างไรนะ!!! หลีหนิงหนิงมีสีหน้าตกใจ นางหลงลืมไปได้ว่าไม่มีเงิน ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี แม้แต่เงินติดตัวสักอีแปะยังไม่มีซ้ำยังอยู่ต่อหน้าพระเอกที่นางกำลังด่าทอไปอีก “เช่นนั้นข้าขอตัว” หลีหนิงหนิงแทบอยากจะก้มหน้าวิ่งหนีจากไปโดยเร็ว จังหวะเดียวกันนั้นเองสถานการณ์ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของจื่อรุ่ยหยาง เขามองดูด้วยความสนุกซ้ำยังเหยียบย้ำ ดูเคลนซ่งเสวี่ยนอยู่ในใจ “ข้าเลี้ยงเจ้าเอง” จื่อรุ่ยหยางหยิบเงินออกมาจากสาบเสื้อส่งให้เหล่าปานก่อนที่จะเดินไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้าไม่กิน!” หลีหนิงหนิงปฏิเสธเสียงแข็ง แค่นี้นางก็ขายหน้าแทบแย่แล้ว “ข้ามีดีอันใดหรือ…หากมีภรรยาข้าคงมอบเงินให้นางไม่ปล่อยให้ลำบากหรือต้องออกมาหาข้าวกินนางจวน” หลินหนิงหนิงหันขวับ กระแทกเสียง “เหอะ! แค่นี้นับเป็นบุญคุณหรือ….เช่นนั้นข้าไม่กิน!” ไปกินกับผีเถอะ! “เช่นนั้นผู้ใดจะกิน” จือรุ่ยหยางหน้าเสียเมื่อถูกปฏิเสธ “หลีหนิงหนิงเจ้ามิเคยปฏิเสธข้า” “หากท่านไม่กินก็นำไปให้สุนัขกินซะ” แน่นอนว่าหากง่ายเกินไปคงไม่ใช่ตัวประกอบเช่นนาง จังหวะที่หลีหนิงหนิงลุกขึ้นหันหลังเตรียมจะเดินออกไปนั้น สายตาเห็นบุรุษและสตรีผู้หนึ่งกำลังมองมาอยู่ “น้องหญิง! พี่รุ่ยหยาง!” เหอะ! นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามบทที่นางเคยแปลแม้แต่น้อย วันนี้นางสมควรจะถูกโบยและนอนโอดโอยอยู่ที่เรือนแต่กลับติดตามซ่งเซวี่ยนออกมา ส่วนฉากที่พระรอง พระเอกและ แม่ดอกบัวขาวพบเจอกันคือที่โรงเตี๊ยมทว่าเหตุใดผู้คนถึงมาพบกันยังที่ตลาดกันได้ หลีหนิงหนิงกรอกตามองบน “หนิงหนิงมีเรื่องอันใดกับพี่รุ่ยหยางกัน” หลีหลินว่านเดินย่างกายมาตรงหน้าก่อนยืนมือหลีหนิงหนิงขึ้นมาจับกุมอย่างอ่อนโยน “พี่รุ่ยหยางอ่อนโยนกับนางสักนิดเถอะ นางน่าสงสารเพียงนี้” ประโยคหลังเอ่ยกับจือรุ่ยหยาง ข้ามีอันใดให้น่าสงสารกัน หลีหนิงหนิงขมวดคิ้ว เอียงคอมองด้วยความสงสัย “ข้าสบายดี สบายดีมากและกำลังจะกินโจ๊กถ้วยนั้นทว่า จู่ ๆ กับมีสุนัขตัวหนึ่งมายุ่มย่าม” นางอธิบายพร้อมทำการทางประกอบชี้ไปที่โจ๊กหอมกรุ่นถ้วยนั้นที่ตอนนี้คงจืดชืด จือรุ่ยหยางแย้ง “เจ้ากล่าวหาว่าข้าป็นสุนัขได้อย่างไร ข้าเห็นใจเจ้าที่ไม่มีเงินโจ๊กเมื่อพบคนคุ้นเคยย่อมช่วยเหลือ” “เหอะ!” หลีหนิงหนิงแค่นเสียง เท้าสะเอวมองไม่กะพริบ นัยน์ตาของหลีหลินว่านเริ่มเอ่อคลอ ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยมองแล้วน่าสงสารจับใจ “หยุดเถอะ” “หลินว่าน” ซ่งเสวี่ยนที่ยืนดูอยู่นาน เมื่อเห็นนางในดวงใจเริ่มทีท่าไม่ดีจึงหมายจะเข้ามาปลอบใจแต่ทว่ากับไม่ทันจื่อรุ่ยหยางที่พลันดีตัวนางเขาโอบกอดเสียงแล้ว “ข้าขอโทษหลินว่าน ข้าผิดไปแล้ว” จือรุ่ยหยางลูบเรือนผลงามอย่างแผ่วเบา พร้อมกับส่งสายตาดุมายังหลีหนิงหนิง บทของตัวประกอบเช่นนางคือทำให้ตัวเองของนางคือทำให้เรื่องดำเนินไปได้ใช่หรือไม่ ซ้ำยังต้องเป็นแม่สื่อให้พระเอกปากสุนัขและแม่ดอกบัวขาวอีกหรือ จังหวะเดียวกันหลีหนิงหนิงปรายสายตาไปมองซ่งเสวี่ยนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้เพียงแค่หนึ่งคืบเขาก็จะถึงตัวแม่ดอกบัวขาวแล้ว แต่ทว่าพระรองล้วนได้รับแต่ความผิดหวัง “กลับเรือน” หลีหนิงหนิงเจ็บปวดหัวใจ พระรองร้ายกาจผู้น่าสงสารของนางคงจะเจ็บปวดไม่น้อย “ข้าจะปลอบใจท่านเอง”น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังคงเป็นฤดูร้อน ทว่าหลีหนิงหนิงพลันรู้สึกไอเย็นที่แพร่กระจายรอบตัวหลีหนิงหนิงจูงมือซ่งเสวี่ยนมาจนกระทั่งหยุดอยู่ท้ายตลาดก่อนจะเริ่มรู้สึกได้ว่ามือที่จับกุมอยู่เริ่มบีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกระดูกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆนางสบัดมือทันทีหัวคิ้วของหลีหนิงหนิงขมวดมุ่นมองไม่พอใจ “ข้าเจ็บ”“สมควร” ทั้งน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าเคร่งขรึมของ ซ่งเสวี่ยนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทั้งสิ้น“ข้ากำลังช่วยท่านอยู่นะซ่งเสวี่ยน”นี่เป็นเรื่องบุญคุณแต่เขากับกระทำรุนแรงกับนางเช่นนี้ หลีหนิงหนิงเห็นว่านางควรปล่อยเขาให้ถูกพระเอกแทงจนกระอักเลือดจุกอกไปซะดีกว่าอารมณ์ของซ่งเสวี่ยนไม่สมควรให้นางต่อว่าเลยสักนิดซ่งเสวี่ยนตอบ “หากเจ้ายังสอดมือยุ่งเรื่องของข้าเช่นนั่นข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ” แล้วมีเหตุอันใดสตรีตรงหน้าถึงกล้าสอดมือเข้ามาช่วยเหลือ “รักษาชีวิตของเจ้าไว้ให้ดีเถอะหลีหนิงหนิง”หลีหนิงหนิงกำมือแน่น เม้มปากเป็นเช่นตรง พระรองผู้นี้หากเขาคิดจะทำเรื่องอันใดแล้วล้วนทำให้สำเร็จทั้งเรื่องสังหารนางก็เช่นกันหากเมื่อใดนางทำตัววุ่นวายเมื่อนั้นคือความตายมาเยือนทว่าคิดว่าคนอย่างหลีหนิงหนิงจะหวาดกล
ครบสามวันหลังแต่งงามสมควรเยี่ยมเยือนบ้านเดิมจวนหลีตั้งอยู่ไม่ไกลนักห่างออกไปเพียงสองสามซอยเท่านั้นหลีหนิงหนิงลงจากรถม้าด้วยความระมัดระวัง บาดแผดที่หลังจากการโดนฟาดเพียงผ่านพ้นมาหนึ่งค่ำคืนเท่านั้นจะหายได้อย่างไร ซ้ำวันนี้มันยังออกรู้สึกเจ็บปวดจนนางระบมไปทั่วร่าง“ไม่อยู่แล้วข้าอยากกลับจวน”ในตอนนี้หลีหนิงหนิงไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับผู้ใดทั้งนั้น นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน เกรงว่าคงใกล้ตายเต็มทีแล้วดวงตาเมล็ดซิ่งเริ่มปรือลงมาอย่างง่วงงุน“อย่าได้ทำตัวยุ่งยาก” ซ่งเสวี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ สายตามองสตรีเบื้องหน้านิ่งเฉย นางเพียงโดนฟาดไปสองสามไม้ไฉนจะเจ็บปวดจนไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ซ่งเสวี่ยนพลางดูเคลนในใจเมื่อหลีหนิงหนิงได้ยินประโยคนี้ นางจึงแค่นเสียงในใจ “เป็นข้าหรือที่อยากมา….ข้ามิใช่ท่านต้องการพบหลีหลินว่าน”เพียงหลับตาหลีหนิงหนิงก็รู้ว่าซ่งเสวี่ยนคิดอันใดอยู่ใบหน้าของคนงามเริ่มร้อนผ่าวซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ยามที่ขยับเขยื้อนกายเดินหลีหนิงหนิงพลันโอนเอนเล็กน้อย นางพยายามตั้งสติไม่ให้ล้มคะมำขายหน้าอยู่ตรงนี้“จะไปไม่ใช่หรือ” หลีหนิงหนิงพลันทักท้วง เมื่อซ่งเสวี่ยนเอาแต่นิ่งเฉย“ช่างอวดดี” ซ่งเส
ปกติแล้วซ่งเสวี่ยนนิ่งเฉยต่อทุกเรื่องราวเสมอมา แต่พอสตรีผู้นั้นล้มป่วยเขากลับรู้สึกได้ถึงอาการกระวนกระวายอย่างไม่เคยเป็นหรือแท้จริงแล้วอาจจะเพราะว่านางเป็นของสิ่งแรกที่ครอบครองได้หากหลุดมือแล้วก็คงหาไม่พบ…ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ซ่งเสวี่ยนหลับไม่ได้เต็มตาเพียงเพราะมักจะสะดุ้งตัวตื่นอย่างหวาดระแวงแต่หาใช่เพราะความกลัวมันเป็นเพียงสตรีบนเตียงที่จับไข้ซ่งเสวี่ยนสูดลมหายใจก่อนจะคลายออกช้า ๆ“เจ้ามันตัววุ่นวาย” ถึงแม้ปากจะพร่ำบ่นแล้วอย่างไร สตรีบนเตียงยังคงนอนหลับไม่ตอบโต้และซ้ำซ่งเสวี่ยนยังคงนำผ้าชุบน้ำเช็ดตามทตัวทุกชั่วยาม“อื้อ….” หลีหนิงหนิงส่งเสียงเมื่อถูกรบกวนซ่งเสวี่ยนแค่นเสียง มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มยามหลับก็ดูเป็นเพียงสตรีที่เปลือกนอกแข็งแกร่งแต่ภายในกลับอ่อนแอผู้หนึ่ง ทว่าตอนได้สบตากับนางนั้น…ความกล้าอวดดีที่มีเขาอยากจะบดขยี้ให้แหลก“ซ่งเสวี่ยน…” น้ำเสียงแผ่วราวกับกับกระซิบดังขึ้นดึกดื่นปานนี้และยังมีเรื่องร้อนรนในใจผู้ใดจะหลับหลีหลินว่าน ๆ เปิดประตูเดินเข้ามาก่อนจะปิดลงอย่าง เบามือ ใบหน้าคนงามสะท้อนแสงจากตะเกียงดูผุดผ่อง เรือนผมยาวที่ปล่อยสยายถึงกลางหลังและอ
“ขอบใจเจ้ามาก” หลีหลินว่านกล่าวอย่างยิ้มแย้มบ่าวรับใช้ยกกาน้ำชาพร้อมกับถาดขนมมาให้วางลงบนโต๊ะหันมองคุณหนูหลีด้สยความซึ้งใจช่างเป็นคนที่ไม่กดขี่ผู้ต่ำกว่า…มีอย่างที่ไหนคุณหนูบ้านใดกันพูดจากขอบคุณบ่าวไพร่กันจากนั้นจึงถอยตัวออกห่างจากสถานที่แห่งนี้ทันทีหลีหลินว่านสวมใส่ชุดอาภรณ์สีฟ้านวลพริ้วไสวตามสายลม ใบหน้าแต่งแต้มประทิมโฉมเล็กน้อย เรือนผมครึ่งหัวถูกมวยขึ้นพร้อมปักปิ่นประดับงดงามยามนี้อารมณ์ขุ่นเคียงในใจของนางคลายลงเล็กน้อยเหตุการณ์นี้หลีหลินว่านจงใจให้ซ่งเสวี่ยนพบเห็นโดยจงใจ“ซ่งเสวี่ยน…” นางเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงหยิบจอกริมชาอย่างเชื่องช้า “ท่านคงเหนื่อยล้ามาทั้งคืนดื่มชานี้หน่อยเสีย” ก่อนจะสบตาบุรุษเบื้องหน้าซ่งเสวี่ยนยังคงมีหลีหลินว่าในใจ นางยังคงดีต่อเขาเสมอมาไม่ว่าจะเมื่อหลายปีก่อนหรือแม้กระทั่งตอนนี้“ขออภัยที่ข้าขับไล่เจ้าเมื่อคืน”หลีหลินว่านยกยิ้มพึงพอใจในตอบ ค่อย ๆ ยกจอกช้าขึ้นจิบท่าทางผ่อนคลาย “ข้าเข้าใจท่านซ่งเสวี่ยน” ในสายตาของ ซ่งเสวี่ยนสมควรมีแต่นางเท่านั้นหากนางไม่เอ่ยปากขับไล่ก็อย่าได้ริอาจจากไปก่อนจะพลางหัวเราะเล็กน้อย “หาใช่เรื่องแปลก จำไม่ได้แล้วหรือเมื่อตอนท่า
หลีหนิงหนิงยืนรออยู่หน้าประตูใจเย็น เดิมทีสมควรจะกลับจวนวันพรุ่งนี้แต่นางนั้นมีความอดทนไม่มากนักและไม่แน่ว่า แม่ดอกบัวขาวจะแสดงละครฉากนั้นอีก นางต้องขาดสติจนพลั้งลงมือสังหารคนแน่ “โมโหหรือ” ข้างกายนางยังคงเป็นจื่อรุ่ยหยาง เหตุใดช่วงนี้หลีหนิงหนิงบังเอิญพบเจอคนผู้นี้บ่อยครั้งนัก “ไปให้ไกลจากข้า” นางขับไล่น้ำเสียงดุ ๆ หากอีกหน่อยแม่ดอกบัวขาวมาพบเข้าคงเป็นเรื่อง ทว่า…ดีเช่นกัน ใบหน้าของหลีหนิงหนิงงยิ้มแย้มอารมณ์ดี นางเงยมองจื่อรุ่ยหยางที่สูงกว่าไม่ถึงคืบ “ชอบข้าแล้วหรือ” “กับผีน่ะสิ” จื่อรุ่ยหยางพลันตกใจ เขาไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าสตรีผู้นี้แท้จริงแล้วมีนิสัยเป็นอย่างไร “เจ้าคิดจะสวมหมวกเขียวให้สามีตนเองหรือไร” เขากัดฟันพูด โน้มใบหน้าสบตาในระยะใกล้ แน่นอนว่าหลีหนิงหนิงก็ไม่หลบนัยน์ตาดุดันคู่นั้นเช่นกัน “หากท่านชมชอบข้านั้นหาใช่เรื่องใหญ่” ว่ากันแล้ว นางพลันความขุ่นเคืองทั้งหมดที่มีในอกเมื่อมีเรื่องสนุก นางขยิบตาหนึ่งที จื่อรุ่นหยางตกตะลึง ตัวแข็งทื่อ “เจ้า!” ไหนเลยบุรุษจะเคยถูกสตรีพูดจาเกี้ยวเช่นนี้ “เจ้าคิดจะทำอันใด” หลีหนิงหนิงมองจื่อรุ่ยหยางเต็มไปด้วยความสนุก
ในบทหนึ่งของนิยายกล่าวไว้ว่า…ทั้งชีวิตของซ่งเสวี่ยนล้วนมีเพียงหลีหลินว่านเป็นที่ปลอดภัยดังนั้นเขาจึงรักฝังใจมิอาจเสื่อมคลายแม้สตรีผู้นั้นจะไม่สนใจก็ตามเขาทะนุถนอมมันมากระมัดระวังทุกอย่างทว่าหลีหลินว่านกับเหยียบย้ำซ่งเสวี่ยนจนแหกสลายอย่างไร้ค่าความรักของซ่งเสวี่ยนเป็นเพียงทางผ่านของหลินว่าน…น่าเสียดายที่รมีบุพเพแต่ไร้วาสนาหลีหนิงหนิงยังคงนั่งเหม่อลอยไม่ขยับกายราวสักครึ่งเค่อและยังคงถอนหายใจหนักอึ้งซ้ำ ๆ เมื่อคืนถอยคำของนางนั้นรุนแรงต่อซ่งเสวี่ยนมากเกินไปสักเล็กน้อยจนตั้งแต่ตอนนี้นางคล้ายมีความรู้สึกว่าเขาหลบหน้านาง“เหอะ! พี่ชายข้าทอดทิ้งคุณหนูหลีเสียแล้ว”ลี่เฉี่ยวยืนกอดอก สายตามองเหยียดด้วยความสมเพช“ลี่เฉี่ยว…” หลีหนิงหนิงจ้องมอง เด็กหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างดีใบหน้าหล่อคมคลายไม่ต่างจากพี่ชายต่างมารดาเลยแม้แต่น้อย แต่นิสัยกับไม่น่าคบเสียเลย“รู้หรือไม่เขาอยู่ที่ใด” หลีหนิงหนิงถามไม่ว่าจะห้องนอน เรือนที่อยู่และห้องอาบน้ำ ตลอดจนทั่วจวนกลับไม่พบแม้แต่เงาของซ่งเสวี่ยน หลีหนิงหนิงเหนื่อยเหลือเกินเหตุใดถึงเป็นบุรุษที่เอาแต่ใจเช่นนี้“เห็นข้าเป็นพวกบ่าวนับใช้ชั้นต่ำพวกนั้นหรือ!” ลี่เฉี่ยว
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น…ซ่งเสวี่ยนย่อมเคยทนหนาว ทนหิวและต้องดิ้นรนใช้ชีวิตท่ามกลางความสนุกของผู้คนตั้งมากมายที่กลั่นแกล้ง“เพราะอันใด” ซ่งเสวี่ยนถามต่อสถานที่แห่งนี้เขาอยู่ได้มาเนินนานหลายปีแล้วเพราะเหตุใดพอมีหลีหนิงหนิงเข้ามาอยู่ร่วมจึงต้องย้ายออก เรื่องเช่นนี้มันไม่มีเหตุผลและไร้ประโยชน์หลีหนิงหนิงมองบุรุษตรงหน้าแวบหนึ่งนางรู้เหตุผลอยู่ในใจว่าเหตุใดซ่งเสวี่ยนถึงไม่เห็นด้วยเรือนแห่งนั้นคือเรือนของมารดาซ่งเสวี่ยน สถานที่แห่งนั้นมีความทรงจำระหว่างชายหนุ่มและมารดาแต่ทว่ากับน่าเศร้าที่นางดันด่วนจากไปก่อนแม้ซ่งเสวี่ยนจะแข็งกร้าวแต่ข้างในเขากับโดดเดี่ยวราวกับกำลังยืนอยู่กลางหน้าผากหลีหนิงหนิงพลันโอบกอดซ่งเสวี่ยน ขอบตาแดงระรื่นทันที “เพราะข้าสามารถปกป้องและเลี้ยงดูท่านได้”ซ่งเสวี่ยนขมวดคิ้วไม่พอใจ ทว่ากับไม่ได้ผลักไสนางออกไป สัมผัสที่อ่อนโยนครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยได้รับจากคนผู้หนึ่งเช่นกันแต่นับวันกับยิ่งห่างเหินราวกับเป็นคนแปลกหน้าหลีหลินว่าน“สตรีเช่นเจ้าน่ะหรือ” สายตามองอย่างเหยียดหยามหลีหนิงหนิงผละตัวออก เงยหน้ามองซ่งเสวี่ยนด้วยความจริงจังพยักหน้า “ใช่!” ข้าเองนี้แหละที่จะคอย
พระรองผู้นี้ช่างคาดเดาความคิดได้อยากนัก…ตลอดหลายคืนที่ผ่านหลีหนิงหนิงมีหรือจะได้นอนร่วมเตียงเดียวกับเขาเช่นนี้ นางถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ทว่าบุรุษข้างกายกับนอนแน่นิ่งลมหายใจสม่ำเสมอราวไม่ใช่เรื่องผิดแปลก หลีหนิงหนิงนอนพลิกตัวไปมาหลายครั้งต่อให้พยายามข่มตาอย่างไรก็ไม่หลับ “ซ่งเสวี่ยน” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น “…..” แท้จริงแล้วซ่งเสวี่ยนก็ไม่อาจข่มตาหลับได้เช่นกัน เขาเพียงเงียบเพียงเพราะรอฟังว่านางจะเอ่ยอันใดเท่านั้น สตรีผู้ไม่น่าไว้ใจนักเหตุใดความลับที่ปกปิดไว้ถึงล่วงรู้ “หลับแล้วหรือ แต่เหตุใดข้าถึงนอนไม่หลับ” หลีหนิงหนิงพลันเอ่ยขึ้นเงียบ ๆ คนเดียว “…..” “เพราะอันใดท่านถึงชอบหลีหลินว่านนักเล่า ขณะที่หลีหนิงหนิงกำลังพร่ำพูดเลือนลอยโดยไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้กำลังสายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องมาที่นาง ซ่งเสวี่ยนแอบลอบมองเสี้ยวใบหน้าของนาง ภายในใจรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก หลีหลินว่านคือทั้งชีวิตของเขาตลอดมา ส่วนหลีหนิงหนิงนั้นเป็นภรรยาที่แต่งด้วยความไม่เต็มใจ ข้อแตกต่างในใจของซ่งเสวี่ยนย่อมชัดเจน ค่ำคืนที่ผ่านมา หลีหนิงหนิงนอนขยับพ
วสันต์ฤดูพานพบมาอีกครา สายลมเย็นโชยมาพัดพากลิ่นหอมของเหล่าดอกไม้พรรณาส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วจวน ท้องฟ้าปลอดโปร่งแสงแดดส่องจ้ากระทบลำธารจำลองจนน้ำระยิบระยับชวนให้งดงามในอ้อมแขนของซ่งเสวี่ยนโอบอุ้มห่อผ้าสีแดงไว้แนบอก เพียงพริบตาก็ผ่านพ้นครบร้อยวันแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนหลีหนิงหนิงผู้เป็นภรรยารักทั้งครรภ์อีกหน เขาคาดไว้ว่างอย่างไรก็ต้องเป็นบุตรสาวอย่างแน่นอนและทันทีที่หมอหญิงชราโอบอุ้มห่อผ้าออกมานั้นพลันบอกกล่าวว่าได้คุณหนูผู้หนึ่ง เขาในตอนนั้นมีความสุขสมดั่งใจหวังแม้ทารกจะตัวแดงผิวเหี่ยวย่นแต่ซ่งเสวี่ยนไม่เคยวางมือโอบอุ้มบุตรสาวไว้ตลอดช่างต่างจากบุตรชายคนแรกเหลือเกินอาจเป็นเพราะเขาเป็นบิดาอีกคนแล้ว“เหตุใดท่านไม่เคยอุ้มข้าบ้าง” ซ่งเหว่ยหยางเงยหน้าทักทวงบิดาแฝงความน้อยใจ ทว่าแท้จริงแล้วเขาเพียงแค่อยากโอบอุ้มน้องสาวบ้างซ่งเสวี่ยนหลุมตาต่ำมองบุตรชายที่บัดนี้จวนจะเจ็ดขวบแล้วแต่ยังสูงเพียงแค่ช่วงระหว่างขาเท่านั้น“หากเจ้าโตเมื่อไหร่ค่อยมาอุ้มบุตรสาวข้า”!!ซ่งเหว่ยฟังแล้วขมวดคิ้วงุนงงไม่เข้าใจ “สัญญากับข้า!”ในทุกปีล้วนมีเหตุการณ์พลิกผันเสมอและการเป็นตัวประกอบที่กลายเป็นมารดาทั้งยังมีสามีเ
ตอนแรกที่ซ่งเสวี่ยนพบเจอบุรุษที่คล้ายคลึงตนเองก็พลันไม่ชอบใจอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเด็กทารกที่คล้ายตามติดภรรยาของเขาอยู่ไม่ห่างเขายิ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีทุกครั้งพอลอบสังเกตสีหน้าของบุรุษข้างกลายที่บึ้งตึงแล้ว หลีหนิงหนิงพลันหัวเราะชอบใจ“บอกแล้วอย่างไรบุตรในครรภ์ข้าต้องเป็นเด็กชาย”ในความคิดของหลีหนิงหนิงบุตรชายคนแรกสมควรเป็นผู้ชายหากถามหาเหตุผลนั้นไม่มี นางเพียงแค่อยากชื่อชมซ่งเสวี่ยนในวัยเด็กจนเติบโตเท่านั้นคำพูดหยอกเย้าของนางเช่นนี้ ซ่งเสวี่ยนไม่ชอบเลยยิ่งพอเวลาพอไปนานเข้าเด็กทารกน่าเกียจนั้นก็เติบโตจึ้นแต่ไฉนยังต้องคล้ายตามติดภรรยาข้าทุกฝีก้าว“พรุ่งนี้ให้เขาไปเรียนหนังสือได้แล้ว” ซ่งเสวี่ยนเอ่ย นัยน์ดุดันจ้องมางเด็กชายตรงหน้าด้วยความจริงจังเจ้าเด็กนี้สมควรออกไปพบเจอผู้นเสียบ้างมิใช่วัน ๆ อยู่แต่กลับภรรยาเขาไม่ห่าง“ท่านพ่อ!” น้ำเสียงของเด็กน้อยร้องตกใจ “ข้าไม่ไป!”หลีหนิงหนิงหรี่ตามองอย่างขุนเคือง “เขาพึงจะสี่ขวบเท่านั้นอาเสวี่ยน”ไฉนเลยนางจะไม่รู้เหตุผลของซ่งเสวี่ยนคราแรกที่ซ่งเหว่ยหยางถือกำเนิดออกมาเป็นทารกตัวแรกนั้นซ่งเสวี่ยนแทบจะไม่เข้าใจหรือโอบอุ้ม เพียงแค่มองเห็นเห็นผิวหนังที่เห
หากไม่ได้ต้องอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกวันเช่นนี้ จื่อรุ่ยหยางก็ยังคงไม่กระจ่างแจ้งว่าแท้จริงแล้วหลีหลินว่านมีนิสัยเช่นไรตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีปีที่แล้วจนกระทั่งวนเวียนพบใหม่ อีกครา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลีหลินว่านพังพินาศตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้จื่อรุ่ยหยางทุกข์ใจไม่รู้จะหันหน้าไม่พึงผู้ใดได้“ข้าเซ็นหนังสือหย่าได้แล้ว”“บอกแล้วอย่างไรข้าไม่หย่า!”พอได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง หลีหลินว่านพลันโมโหไม่มีที่สิ้นสุด “เพื่อให้ได้แต่งงานกับข้าที่ผ่านมาท่านล้วนกีดกันบุรุษอื่นออกไป…” นางยกยิ้ม “พอได้แล้วจึงอยากจะทิ้งข้าหรือ!”เรื่องไปกันใหญ่แล้ว จื่อรุ่ยหยางขมวดคิ้ว “ไม่ใช่หลินว่าน มันเพราะที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยดีต่อข้าเลย”ในในยามนี้เข้าใจแล้วมีบุพเพ…มีวาสนา..แต่ไร้รัก“เหอะ!” หลีหลินว่านยืนกอดอกมองด้วยความสายตาแข็งกร้าว “ท่านไม่มีหากหนีไปจากข้าพ้น!” นางกระแทกเสียงหากจื่อรุ่ยหยางยังไม่ตายก็ไม่มีทางแยกจากนางไปได้ หลีหลินว่านไม่ยอมตกเป็นขี้ปากของพวกคนนางรังเกียจเหล่า นั่นแน่ ชีวิตที่ผ่านมาของนางล้วนเป็นไปดั่งใจหวังแล้วเหตุใดครั้งรี้มันถึงกลับเป็นไปไม่ได้กันซ่งเสวี่ยน!พอนึกถึงบุรุษชื่อของบ
สำหรับซ่งเสวี่ยนแล้วพอเข้าสู่ฤดูเหมันต์เขามักจะปลีกตัวออกไปหลบซ้อนตัวอยู่เพียงผู้เดียวบรรยากาศที่หนาวเย็นจนสั่นสะท้าน หิมะที่โปรยปรายตลอดเวลาโดยไม่มีทีท่าจะหยุดจนทั่วบริเวณโพลนขาว เพียงแวบหนึ่งซ่งเสวี่ยนพลันเห็นเหตุการณ์ในตอนที่ตนเองสามขวบอีกครั้ง“ข้าเกลียดฤดูหนาว” น้ำเสียงทุ้มสถบออกไปหลีหนิงหนิงเอี่ยงใบหน้ามองบุรุษข้างกาย ใบหน้าที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้ออุ่นที่ทำจากขนสัตว์และแก้มนวลที่ขึ้นสีระเรื่อทำให้มองดูน่าเอ็นดูไม่น้อย“ข้าอยากโอบกอดอาเสวี่ยนคลายหนาว พอฤดูใบไม้ผลิข้าอยากดูดอกไม้บานพร้อมกัน” ดวงตาเมล็ดซิ่งวูบไหว“แต่ข้าชอบ” ก่อนที่สายตาจะปรายไปมองหิมะที่ยังคงตกอยู่นอกหน้าต่างมุมปากหนาพลันยกยิ้ม “นับวันยิ่งเกียจคร้าน”ความจริงแล้วนางไม่ได้ชมชอบความหนาวสักนิด เพียงแต่พออากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ที่ไม่ต้องทำอันใด นอกจากนั่งขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมหรืออาภรณ์ขนสักอุ่น ๆ สักผืน“ให้ข้าปิดโรงเตี๊ยมดีหรือไม่” ซ่งเสวี่ยนเสนอ ใบหน้าหล่อเหล่าเต็มไปด้วยความยียวนทั้งสิ้น “พอเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าว่าพวกเราอยู่จวนตลอดไปคงไม่น่าเบื่อนัก”“ไม่” หลีหนิงหนิงปฏิเสธ “ ท่านจะเอาเงินที่มาให้ข้าใช้”นางยอมไม่ได้เ
ในขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เอิกเกริก โดยมีเจ้าบ่าวควบนั่งม้านำหน้าไป ผู้คนมากมายต่างมาชื่นชมมุ่งดูด้วยความรื่นเริงและยินดีให้กับคู่บ่าวสาวที่จัดว่ามีขมวบสินเดิมที่ยาวเหยียดสมศักดิ์คุณหนูหลีจากภรรยาเอกและบุตรชายผู้เดียวของสกุลจื่อมีสมรสมงคลก่อนที่ขบวนจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงหน้าประตูจวนสกุลจื่อที่ถูกตกแต่งประณีตด้วยสีแดงที่สื่อถึงความมงคลจื่อรุ่ยหยางสวมชุดอาภรณ์สีแดงลวดลายมังกรจากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังมาด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ทั้งที่วันมงลงเช่นนี้สมควรจะยิ้มแย้มเบิกบานแต่ใบหน้ากับหมองคล้ำไม่เป็นมงคลเสียเลย“จับมือข้า” เขาพูดขึ้นแผ่วเบาหลีหนิงหนิงสวมใส่อาภรณ์สีแดงเช่นกันเย็บปักด้วยความประณีต เรือนผมถูกมวยขึ้นเป็นทรงอย่างงดงามถูกประดับความมงกุฎหงษ์ที่แสดงถึงสัญญาณเคียงข้างมังกรแม่สื่อตะโกนร้องก้องบอกพิธีการทั่วจวนหนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามคำนับกันและกันทว่าช่างเป็นงานมงคลที่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศของความมงคลเลยแม้น้อย นี่เป็นเคราะห์กรรมของพระเอกผู้นี้หรือไร บนใบหน้าของจื่อรุ่ยหยางไม่หลงเหลือความสุขเลยเป็นงานมงคลที่บรรยากาศหดูจริง ๆช่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ หลีห
พอเข้าสู่ช่วงฤดูชิวเทียนหรือฤดูใบไม้ร่วง โรงเตี๊ยมและบริเวณโดยรอบที่เป็นร้านอาหารพลันครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวหรือจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ใกล้จะมาถึงนี้ในห้อง ๆ หนึ่งยังชั้นสองของร้านมีสตรีผู้หนึ่งนั่งเท้าคางทอดสายตาลงไปมองชั้นหนึ่งเดียวใบหน้าเบิกบานหากโรงเตี๊ยมมีผู้คนครึกครื้นตลอดทั้งปีเช่นนี้ นางคงได้ร่ำรวยเป็นแน่!หลีหนิงหนิงแอบลอบยิ้มในใจ พลางพลิกสมุดรายการของกิจการไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของซ่งเสวี่ยนที่ต้องตรวจสอบนางเพียงอยากทำตัวเป็นภรรยาที่ดีเท่านั้นซ่งเสวี่ยนที่เห็นการกระทำของภรรยาจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เถ้าเนี้ยว่าอย่างไรกิจการของข้าขาดทุนหรือไม่”หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วจึงหันไปถลึงตาใส่เขา บุรุษผู้นี้รู้ทั้งรู้ว่านางไม่เข้าใจแต่กลับเยาะเย้ยกันหรอกหรือ “ไปให้ไกล” นางเอ่ยปากไล่พอวันเวลาผ่านไปนานเข้า พระรองผู้นี้ก็เปบี่ยนไปราวกันคนละคน“เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ” เมื่อเห็นเป็นภรรยาหน้างอไม่พอใจ ผู้เป็นสามีอย่างซ่งเสวี่ยนนั้นก็ต้องสมควรเข้าใจใช่หรือไม่ ว่ากันตามตรงเขาเป็นสามีผู้อื่นคราแรกซ้ำยังดีต่อผู้อื่นไม่เป็นแม้ว่าจะ
จนกระทั่งหลายวันผ่านไปสถานที่จากไปแล้วหลีหนิงหนิงไม่อยากกลับมาเหยียบย้ำอีกด้วยซ้ำ ใบหน้าของนางจึงไม่ค่อยดีอารมณ์ไม่เบิกบานนักซ่งเสวี่ยนปรายสายตาไปมองคนข้างกายแวบหนึ่ง เห็นด็รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ “สินเดิมของเจ้าต้องทวงคืน” แม้ว่า ซ่งเสวี่ยนเองก็ไม่อยากจะหวนกลับมาที่นี้อีกก็ตามแต่ทว่า หลีหนิงหนิงสมควรจะต้องมาทวงของที่เป็นของนางคืนนางเบ้ปากถอนหายใจเบา จากนั้นพูดเบา ๆ “กลับเลยได้หรือไม่”“ไม่” ซ่งเสวี่ยนตอบขณะที่เซินฮูหยินนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางห้องโถง ใบหน้าบึ้งตึงไม่เอ่ยวาจาอันใดถัดไปข้างกันแล้วมีลี่เฉี่ยงนั่งยกยิ้มดูเคลนในใจ“มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่มักอวดตนฉลาด” เซินฮูหยินเชิดหน้าพูดด้วยถ้อยคำเหน็บแนม แม้แต่ปรายสายตามองลูกเลี้ยงและลูกสะใภ้ที่อวดดีนางยังไม่อยากจะมองด้วยเหอะ! ไปได้ไม่นานก็ซมซานกับมาเลียขาแล้วเซินฮูหยินดูเคลนในใจอย่างสมเพช“นี่ไม่ต่างอะไรกับน้ำที่สาดออกไปใช่หรือไม่ขอรับท่านแม่” ลี่เฉี่ยวอยากจะเอาใจมารดาแต่กลับเป็นโง่ที่อวดฉลาดโดยแท้หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วพลันหลุดหัวเราะทันที ช่างประจบสอพลอแต่กลับพูดออมาโดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน “รู้จักเปรียบเปรยย่อมดีไม่น้อย แต
หลีหนิงหนิงชะโชกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างไม่เงาของผู้ใดทั้งสิ้นซ้ำทั่วทั้งจวนมีเพียงแค่ห้องนอนเท่านั้นที่จุดตะเกียงแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่ปลายยามไฮ่ (21.00-23.00) แต่ทั้งนางและซ่งเสวี่ยนต่างไม่มีผู้ใดข่มตานอนหลับได้ หลีหนิงหนิงกับมานั่งเหยียดหลังพิงหัวเตียงดังเดิม สายตาทอดมองบุรุษที่นั่งอยู่ปลายเตียงเงียบ ๆ ผู้เดียว“พอแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นทว่าซ่งเสวี่ยนยังคงไม่หยุด เขายังคงนำผ้าชุบน้ำอุ่นผืนหนึ่งมาประคบขาของหลีหนิงหนิงตรงที่บาดเจ็บไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด“หากยังไม่หยุดขาของข้าคงกลายเป็นไก่ย่างแล้ว”บรรยากาศที่กระอักกระอ่วนยิ่งน่ำแย่เข้าไปอีก ซ่งเสวี่ยนหยุดการกระทำซ้ำ ๆ ลงแล้วแต่กลับนั่งนิ่งเฉยไม่ยอมขยับกายหนีหรือแม้แต่หันมาสบตานางหลีหนิงหนิงเห็นแล้วปวดใจนักภายในใจของซ่งเสวี่ยนคงจะเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะวะไม่น้อย เขาถนุถนอมหลีหลินว่านมากับมือแต่กลับเป็นผู้ลงมือทำร้ายเสียเองเหตุผลข้อนี้หลีหนิงหนิงเข้าใจได้“ขยับให้ใกล้ข้าหน่อย” หลีหนิงหนิงออกคำสั่งสายตาเมล็ดชิ่งมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าตาปริบ ๆ ฉายแววความห่วงใย หลีหนิงหนิงตัดสินใจเป็นฝ่ายขยับกายเข้ามาแทนแม้จะรู้สึกปวดระบมที่ข้อเท้าจ
ยามนี้ใบหน้าของหลีหลินว่านเปราะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนวลมองดูแล้วช่างน่าสงสารไม่น้อย แต่นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกับแข็งกร้าวไม่ยอมโอนอ่อน มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่ด้วยความโกรธ ร่างทั้งร่างสั่นทึ่มด้วยความโกรธ“ข้าจะถามท่านอีกคราซ่งเสวี่ยน!” น้ำเสียงของนางดังก้อง “ระหว่างข้ากับหลีหนิงหนิงท่านจะเลือกผู้ใด”ซ่งเสวี่ยนมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย ทว่ามีกลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านจนอึดอัดไม่น้อยที่ผ่านมาราวกับนางไม่มีใช่หลีหลินว่านที่เขารู้จัก“เจ้ากลับไปก่อนเถอะหลีหลินว่าน” หลีหนิงหนิงเอ่ย สถานการณ์เริ่มย้ำแย่กว่าคิดไว้นางเพียงเกรงว่าซ่งเสวี่ยนจะพลั้งลงมือทำร้ายจริง ๆ เมื่อหลีหลินว่านยังคงพร่ำพูดพรรณาไม่หยุดราวกับเรื่องทั้งหมดมิใช่ความผิดของนางเอง“เจ้าตบหน้าข้า! ทำร้ายข้า! คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ งั้นหรือหลีหนิงหนิง”เอาความผิดของคนเองมาโยนใช่ผู้อื่น ช่างเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุดหลีหนิงหนิงขมวดคิ้วมุ่นใบหน้าไม่สู้ดีนัก สตรีตรงหร้าเสียสติเป็นบ้าไปแล้ว “ออกไปก่อนที่ข้าจะทำร้ายเจ้าไปมากกว่านี้” นางกัดฟันพูดท่าทางเกรี้ยวกราด“ได้ยินหรือไม่ซ่งเสวี่ยน! ว่าหลีหนิงหนิงนั้นร้ายกาจเพียงใด