พอวันรุ่งขึ้นพิสูจน์แล้วว่าหลีหนิงหนิงยังไม่ตายถึงแม้ ตามบทแล้วตัวละครจะดำเนินไปเช่นนั้น แต่ความร้ายกาจของพระรองผู้ร้ายกายก็ทำให้นางอดหวั่นใจหวาดกลัวไม่ได้
ทว่าที่ย้ำแย่ไม่กว่านั้นคือการที่ต้องตื่นเช้าตรู่เพื่อยกจอกน้ำชาให้แม่สามีหากว่ากันตามตรงแล้ว สตรีผู้นั้นคือแม่เลี้ยงใจร้ายผู้หนึ่งก็ว่าได้ หลีหนิงหนิงยังคงจดจำบทหนึ่งในนิยายได้อย่างดี ซ่งเสวี่ยนในวัยสามขวบ ตอนนี้เขายังเป็เด็กน้อยที่น่ารัก น่าชังผู้หนึ่งแต่กับทอดถูกทิ้งไว้นอกเรือนท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายไม่หยุด นางถอนหายใจเฮือกใหญ่จนซ่งเสวี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายปรายตามองครู่หนึ่ง เหตุใดถึงน่าเห็นใจนัก “อย่าทำตัวให้วุ่นวาย” ซ่งเสวี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างน่ารำคาญ จังหวะเดียวกันนั้นเองภายในห้องโถงพลันเกิดความเงียบ “ไปพบเจ้าค่ะฮูหยินใหญ่” ก่อนที่ชั่วพริบตาจะพลันเกิดเสียงซุบซิบนินทาว่าร้ายพร้อมกับสายตาดูเคลนมองมาที่นาง หลีหนิงหนิงพลันเบิกตาด้วยความตกใจ แย่แล้ว! ในนิยายไม่ได้กล่าวรายละเอียดถึงบทตัวประกอบเช่น นางมากนัก ทว่าวันนี้พอตกค่ำนางก็พลันนอนอิดโรยเจ็บปวดอยู่บนเตียงเป็นเพราะถูกทำโทษจากแม่เลี้ยงใจร้าย ทว่าเรื่องอันใดหลีหนิงหนิงไม่อาจคาดเดาได้ หลังจากแม่นมเอ่ยกระซิบกระซาบรายงานบ้างอย่าง ข้างกายประมุขของจวน เซินฮูหยินพลันมีสีหน้ามึนตึง มุมปากเหยียดยิ้มด้วยความสมเพช เป็นเพียงลูกบ่าวไพร่แต่ริอาจมาเกิดก่อนบุตรชายของนาง เรื่องเช่นนี้สมควรแล้ว “ไม่ได้เข้าหอกันหรือ” เซินฮูหยินเอ่ยด้วยท่าทางสบายพร้อมทั้งยกชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่งอย่างผ่อนใจ ซ่งเสวี่ยนไม่ว่ากำจัดทิ้งอย่างไรก็ไม่ตาย! หลีหนิงหนิงพลาดจุดนี้ไม่ได้อย่างไร นางสมควรจะป้ายเลือดบนผ้าปูเตียงให้เสมือนกับเลือดพรรจรรย์….นี่คือสาเหตุที่ทำให้นางถูกทำโทษใช่หรือไม่ ซ่งเสวี่ยนมีสีหน้าเขร่งขรึม “ข้าจะเข้าหอกับนางหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวหาใช่เซินฮูหยินที่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว” “วาจาสามห้าว” เพียงพริบตาต่อมาหลีหนิงหนิงพลันเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ลุกขึ้นยืนชี้หน้าซ่งเสวี่ยนอย่างไร้ความเกรงกลัว หากจำไม่ผิดเกรงว่าคนผู้นั้นคงเป็นคุณชายเล็กของจวนเป็นแน่ ลี่เฉี่ยววัยสิบห้าหนาวบุตรชายของเซินฮูหยิน ทั้งปากร้ายชอบยกตนข่มเหงผู้อื่นที่ด้อยกว่าตนไม่เว้นแม้แต่ซ่งเสวี่ยนที่ เป็นพี่ชาย “ไร้มารยาท” หลีหนิงหนิงพลันหลุดปากแผ่วเบา บรรดาเหล่ารับใช้ทั้งหลายต่างได้แต่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าสตรีผู้ตบแต่งมาเป็นภรรยาของคุณชายซ่งนั้นจะฝีปากกล้าไม่เกรงกลัวแม่สามี ประโยคด่าทอพลันเช้าโสตประสาทของเซินฮูหยิน “กล้าดีอย่างไร” ตั้งแต่ลี่เฉี่ยวเกิดมานางยังไม่เคยดุด่าหรือต่อว่าเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าสตรีผู้นี้พึงตบแต่งเข้ามาเพียงหนึ่งวันกลับใจกล้าดุด่าบุตรชายของนางเช่นนี้สมควรจะสั่งสอน “จับนางไปโบนยี่สิบไม้” ลี่เฉี่ยวพยักหน้าเห็นด้วยกับมารดา “นางสมควรถูกท่านแม่สั่งสอน” หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บุตรชายนั้นของเขาบุบสลายหรือแตกหัก นางถึงต้องได้ถูกทำโทษเช่นนี้กัน ทั้งแม่นมและสาวใช้ต่างมีสีหน้าเบิกบานชมละครฉากนี้ด้วยความสนุก คุณชายซ่งนะหรือจะกล้าปกป้องสตรีผู้นั้นเพราะเขานั้นเห็นแก่ตัวยิ่งนักซ้ำยังไม่กล้ายุ่งกับเซินฮูหยิน กระทั่งบ่าวรับใช้ชายเดินมาหมายจะจับกุมตัวหลีหนิงหนิง ซ่งเสวี่ยนยามนี้เขามีความโกรธเต็มท้อง ใบหน้าฉายแววความรำคาญเต็มส่วน แค่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ทำเรื่องไร้สาระก็พอแล้ว ไหนเลยจะคาดคิดได้ว่าภรรยาหมาด ๆ ของตนฝีปากกล้าเช่นนี้ “ตัววุ่นวาย” ซ่งเสวี่ยนสถบคำหนึ่งออกจากปากก่อนจะลุกขึ้นเตรียมจากไป ว่าอย่างไรนะ! หลีหนิงหนิงเหลียวมองทันควัน หนทางที่นางจะหลุดพ้นจากสถานที่นี้มีเพียงซ่งเสวี่ยนเท่านั้น ดังนั้นหลีหนิงหนิงจึงพลันคว้ามือของเขาโดยไร้ความหวาดกลัว นัยน์ตาของนางฉายแววออดวอน ช่วยภรรยาตนเองเร็วเข้า! เซินฮูหยินจึงยิ่งย้ำออกคำสั่ง “จับมันเร็วเข้า” หลีหนิงหนิงส่ายหน้า “พาข้าไปด้วย ข้าไม่อยากถูกตี” ลี่เฉี่ยวยืนกอดอกมองอยู่ไม่ไกลมองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยความสะใจ “หึ! ผู้นั้นเห็นแก่ตัวจะตายไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องช่วยเหลือเจ้า” “…..” ลี่เฉี่ยวยังคงได้ใจ “เขากลัวมารดาข้าจนจะตายอยู่แล้ว” อย่าได้เอ่ยวาจาสามห้าวเชียวนะ อย่าหาว่าหลีหนิงหนิงไม่เตือนว่าพระรองร้ายกาจผู้นี้จะทำอันใดกับเจ้า ในนิยายคงกล่าวถึงซ่งเสวี่ยนรังเกียจน้องชายต่างมารดาจนอยากจะฆ่าทิ้งแต่ทว่าความตายมันง่ายนัก เขาจึงเริ่มต้นทรมานด้วยการผลักเด็กหนุ่มให้ล้มใส่โขกหินจนด้วยแต่ท่ามการเหมันต์ฤดู อากาศที่เย็นเยือกพร้อมกับบาดแผลที่โดนหิมะกัดกินบาดแผลนั้นทรมานเกินกลัวจะมีชีวิตรอดได้ ส่วนเซินฮูหยินนั่น…นางไม่รู้เช่นกัน เพียงแค่นึกถึงตอนนั้นหลีหนิงหนิงพลันขนลุกซู่ “หุบปากของเจ้าซะไอ้ลูกเต่า!” นางแวดด่า “หึ!” ซ่งเสวี่ยนแค่นเสียง “ลูกเต่าเช่นเจ้าหากไม่มีมารดาให้ท้ายจะเป็นเช่นไรกัน” นัยน์ตาดุดันเพ่งมองเด็กหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับไอสังหารที่แทบกระอักเลือด “หากไม่อยากตายก็หลบไป” ซ่งเสวี่ยนพูดขึ้นก่อนเดินลากหลีหนิงหนิงออกมาจากความวุ่นวาย หลีหนิงหนิงค้นพบแล้วว่าซ่งเสวี่ยนไม่ใช่คนใจดำอย่างที่คิด “ขอบคุณซ่งเสวี่ยน” “……” แต่กลับเงียบ อย่าน้อยก็ขานรับได้หรือไม่ว่ารับรู้แล้ว หลีหนิงหนิงพลันขมวดคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ “อย่าได้ริอาจด่าข้าในใจ” หลีหนิงหนิงอดถามออกไปไม่ได้ “ท่านเป็นสุนัขหรือ” เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงเอาแต่ข่มขู่อยู่ได้ “คิดว่าข้ากลัวหรือไร” ไม่รู้ว่าเพราะทำไมจู่ ๆ นางถึงมีความใจกล้าขึ้นมา หรือนางสมควรจะตายให้รู้แล้วรู้รอดจะได้หลุดพ้นเสียที “คิดว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้าหรือไร” รอยยิ้มบนใบหน้าของหลีหนิงหนิงหายไปในพริบตา มือหนาที่จับลำคออยู่ก่อนจะออกแรงบีบแทบทำเอานางขาดอากาศ เมื่อเฉียดเข้าใกล้ความตายอีกครั้ง แน่นอนว่าหลีหนิงหนิงเองก็เป็นมนุษย์ นางจึงดิ้นทุรนทุรายอย่างนางสมเพช มุมปากของซ่งเสวี่ยนยกขึ้นด้วยความเหี้ยมโหด นัยน์ตาสีดำขลับดุดันดั่งมัจจุราชที่พร้อมจะพรากวิญญาณ “ซ่ง ซ่ง..เสวี่ยน” หลีหนิงหนิงกำลังร้องขอชีวิต นางจะต้องตายอย่างเวทนาอีกหรือเพราะนางเป็นเพียงตัวประกอบที่เท่านั้น ซ่งเสวี่ยนกดเสียงต่ำ “อย่าได้คิดจะต่อรองกับข้า” จังหวะเดียวกันเขาจึงปล่อยมือออกจากลำคอขาว มองดูนางที่หายใจหอบอากาศอย่างอ่อนแอ…ช่างน่าสมเพช นี่นับเป็นเรื่องสนุกของวันนี้ได้หรือไม่ อารมณ์ขุ่นมัวที่มีอยู่ในใจของซ่งเสวี่ยนพลันคลายลงชั่วพริบตาเพียงเพราะได้เห็นคนผู้หนึ่งกำลังวินวอนขอความเมฆตา จากเขา ร่างอรชนสั่นกระท้านด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นชีวิตนางเป็นเรื่องตลกหรือ ทรมานเช่นนี้มิต่างกับกำลังฆ่านางทั้งเป็น หลีหนิงหนิงช้อนตามองซ่งเสวี่ยนที่ยืนยิ้มอารมณ์ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่เหลียวมองนางที่เฉียดความตายมาแม้แต่น้อย หรือนางควรจะเป็นฝ่ายลงมือฆ่าก่อนโรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักใหญ่โตโอ่อ่าหลีหนิงหนิงเงยหน้าไล่ขึ้นมามองชั้นที่สอง…ชั้นที่สามขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ห้ารังรักของซ่งเสวี่ยนและแม่ดอกบัวขาวทุกอย่างจะมิใช่เรื่องแปลกหากซ่งเสวี่ยนนั้นไม่มีภรรยา“ดูท่าคงไปพลอดรักกัน ท่านคงชืมไปแล้วกระมังว่ายามนี้ตนมีภรรยาแล้ว” หลิหนิงหนิงพูดไล่หลังซ่งเสวี่ยที่เดินจากไปไม่เหลียวมองไม่รู้เพราะเหตุใดซ่งเสวี่ยนถึงไม่ตัดใจจากแม่ดอกบัวขาวเสียที ว่ากันตามตรงนั้นในบทที่ฉากที่พระรองตัวร้ายนัดหมายกับนางเอกออกมาเพื่อขอร้องอ้อนวอนให้นางอยู่ข้างกายเช่นเดิมแต่แม่ดอกบัวขาวนั้นทำทีเป็นบัวที่ตัดเยื่อยังเหลือใยเพราะแท้จริงแล้วอยากเก็บไว้ทั้งพระเอกและพระรองของนาง“ช่างเแสแสร้งเสียจริง” นางคร้านจะใส่ใจจึงปล่อยไปหลังจากซ่งเสวี่ยนปล่อยนางทิ้งไว้หน้าโรงเตี๊ยมแล้วเดินเข้าไปผู้เดียวนั้น เหอะ! เห็นนางเป็นตัวอะไรกันและคิดว่าหลีหนิงหนิงมีหรือจะวิ่งตามบุรุษอยากได้ก็เอาไปเถอะ!หลีหนิงหนิงพูดขึ้นกับตนเอง “เช่นนั้นข้าจะไปตามทาง ของข้า” ก่อนจะทอดถอนหายใจเหนื่อยหน่ายหากอยู่เดียวที่จวนนางก็โดนโบยเจียนตายทว่าหากอยู่กับซ่งเสวี่ยนก็
น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังคงเป็นฤดูร้อน ทว่าหลีหนิงหนิงพลันรู้สึกไอเย็นที่แพร่กระจายรอบตัวหลีหนิงหนิงจูงมือซ่งเสวี่ยนมาจนกระทั่งหยุดอยู่ท้ายตลาดก่อนจะเริ่มรู้สึกได้ว่ามือที่จับกุมอยู่เริ่มบีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกระดูกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆนางสบัดมือทันทีหัวคิ้วของหลีหนิงหนิงขมวดมุ่นมองไม่พอใจ “ข้าเจ็บ”“สมควร” ทั้งน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าเคร่งขรึมของ ซ่งเสวี่ยนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทั้งสิ้น“ข้ากำลังช่วยท่านอยู่นะซ่งเสวี่ยน”นี่เป็นเรื่องบุญคุณแต่เขากับกระทำรุนแรงกับนางเช่นนี้ หลีหนิงหนิงเห็นว่านางควรปล่อยเขาให้ถูกพระเอกแทงจนกระอักเลือดจุกอกไปซะดีกว่าอารมณ์ของซ่งเสวี่ยนไม่สมควรให้นางต่อว่าเลยสักนิดซ่งเสวี่ยนตอบ “หากเจ้ายังสอดมือยุ่งเรื่องของข้าเช่นนั่นข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ” แล้วมีเหตุอันใดสตรีตรงหน้าถึงกล้าสอดมือเข้ามาช่วยเหลือ “รักษาชีวิตของเจ้าไว้ให้ดีเถอะหลีหนิงหนิง”หลีหนิงหนิงกำมือแน่น เม้มปากเป็นเช่นตรง พระรองผู้นี้หากเขาคิดจะทำเรื่องอันใดแล้วล้วนทำให้สำเร็จทั้งเรื่องสังหารนางก็เช่นกันหากเมื่อใดนางทำตัววุ่นวายเมื่อนั้นคือความตายมาเยือนทว่าคิดว่าคนอย่างหลีหนิงหนิงจะหวาดกล
ครบสามวันหลังแต่งงามสมควรเยี่ยมเยือนบ้านเดิมจวนหลีตั้งอยู่ไม่ไกลนักห่างออกไปเพียงสองสามซอยเท่านั้นหลีหนิงหนิงลงจากรถม้าด้วยความระมัดระวัง บาดแผดที่หลังจากการโดนฟาดเพียงผ่านพ้นมาหนึ่งค่ำคืนเท่านั้นจะหายได้อย่างไร ซ้ำวันนี้มันยังออกรู้สึกเจ็บปวดจนนางระบมไปทั่วร่าง“ไม่อยู่แล้วข้าอยากกลับจวน”ในตอนนี้หลีหนิงหนิงไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับผู้ใดทั้งนั้น นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน เกรงว่าคงใกล้ตายเต็มทีแล้วดวงตาเมล็ดซิ่งเริ่มปรือลงมาอย่างง่วงงุน“อย่าได้ทำตัวยุ่งยาก” ซ่งเสวี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ สายตามองสตรีเบื้องหน้านิ่งเฉย นางเพียงโดนฟาดไปสองสามไม้ไฉนจะเจ็บปวดจนไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ซ่งเสวี่ยนพลางดูเคลนในใจเมื่อหลีหนิงหนิงได้ยินประโยคนี้ นางจึงแค่นเสียงในใจ “เป็นข้าหรือที่อยากมา….ข้ามิใช่ท่านต้องการพบหลีหลินว่าน”เพียงหลับตาหลีหนิงหนิงก็รู้ว่าซ่งเสวี่ยนคิดอันใดอยู่ใบหน้าของคนงามเริ่มร้อนผ่าวซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ยามที่ขยับเขยื้อนกายเดินหลีหนิงหนิงพลันโอนเอนเล็กน้อย นางพยายามตั้งสติไม่ให้ล้มคะมำขายหน้าอยู่ตรงนี้“จะไปไม่ใช่หรือ” หลีหนิงหนิงพลันทักท้วง เมื่อซ่งเสวี่ยนเอาแต่นิ่งเฉย“ช่างอวดดี” ซ่งเส
ปกติแล้วซ่งเสวี่ยนนิ่งเฉยต่อทุกเรื่องราวเสมอมา แต่พอสตรีผู้นั้นล้มป่วยเขากลับรู้สึกได้ถึงอาการกระวนกระวายอย่างไม่เคยเป็นหรือแท้จริงแล้วอาจจะเพราะว่านางเป็นของสิ่งแรกที่ครอบครองได้หากหลุดมือแล้วก็คงหาไม่พบ…ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ซ่งเสวี่ยนหลับไม่ได้เต็มตาเพียงเพราะมักจะสะดุ้งตัวตื่นอย่างหวาดระแวงแต่หาใช่เพราะความกลัวมันเป็นเพียงสตรีบนเตียงที่จับไข้ซ่งเสวี่ยนสูดลมหายใจก่อนจะคลายออกช้า ๆ“เจ้ามันตัววุ่นวาย” ถึงแม้ปากจะพร่ำบ่นแล้วอย่างไร สตรีบนเตียงยังคงนอนหลับไม่ตอบโต้และซ้ำซ่งเสวี่ยนยังคงนำผ้าชุบน้ำเช็ดตามทตัวทุกชั่วยาม“อื้อ….” หลีหนิงหนิงส่งเสียงเมื่อถูกรบกวนซ่งเสวี่ยนแค่นเสียง มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มยามหลับก็ดูเป็นเพียงสตรีที่เปลือกนอกแข็งแกร่งแต่ภายในกลับอ่อนแอผู้หนึ่ง ทว่าตอนได้สบตากับนางนั้น…ความกล้าอวดดีที่มีเขาอยากจะบดขยี้ให้แหลก“ซ่งเสวี่ยน…” น้ำเสียงแผ่วราวกับกับกระซิบดังขึ้นดึกดื่นปานนี้และยังมีเรื่องร้อนรนในใจผู้ใดจะหลับหลีหลินว่าน ๆ เปิดประตูเดินเข้ามาก่อนจะปิดลงอย่าง เบามือ ใบหน้าคนงามสะท้อนแสงจากตะเกียงดูผุดผ่อง เรือนผมยาวที่ปล่อยสยายถึงกลางหลังและอ
“ขอบใจเจ้ามาก” หลีหลินว่านกล่าวอย่างยิ้มแย้มบ่าวรับใช้ยกกาน้ำชาพร้อมกับถาดขนมมาให้วางลงบนโต๊ะหันมองคุณหนูหลีด้สยความซึ้งใจช่างเป็นคนที่ไม่กดขี่ผู้ต่ำกว่า…มีอย่างที่ไหนคุณหนูบ้านใดกันพูดจากขอบคุณบ่าวไพร่กันจากนั้นจึงถอยตัวออกห่างจากสถานที่แห่งนี้ทันทีหลีหลินว่านสวมใส่ชุดอาภรณ์สีฟ้านวลพริ้วไสวตามสายลม ใบหน้าแต่งแต้มประทิมโฉมเล็กน้อย เรือนผมครึ่งหัวถูกมวยขึ้นพร้อมปักปิ่นประดับงดงามยามนี้อารมณ์ขุ่นเคียงในใจของนางคลายลงเล็กน้อยเหตุการณ์นี้หลีหลินว่านจงใจให้ซ่งเสวี่ยนพบเห็นโดยจงใจ“ซ่งเสวี่ยน…” นางเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงหยิบจอกริมชาอย่างเชื่องช้า “ท่านคงเหนื่อยล้ามาทั้งคืนดื่มชานี้หน่อยเสีย” ก่อนจะสบตาบุรุษเบื้องหน้าซ่งเสวี่ยนยังคงมีหลีหลินว่าในใจ นางยังคงดีต่อเขาเสมอมาไม่ว่าจะเมื่อหลายปีก่อนหรือแม้กระทั่งตอนนี้“ขออภัยที่ข้าขับไล่เจ้าเมื่อคืน”หลีหลินว่านยกยิ้มพึงพอใจในตอบ ค่อย ๆ ยกจอกช้าขึ้นจิบท่าทางผ่อนคลาย “ข้าเข้าใจท่านซ่งเสวี่ยน” ในสายตาของ ซ่งเสวี่ยนสมควรมีแต่นางเท่านั้นหากนางไม่เอ่ยปากขับไล่ก็อย่าได้ริอาจจากไปก่อนจะพลางหัวเราะเล็กน้อย “หาใช่เรื่องแปลก จำไม่ได้แล้วหรือเมื่อตอนท่า
หลีหนิงหนิงยืนรออยู่หน้าประตูใจเย็น เดิมทีสมควรจะกลับจวนวันพรุ่งนี้แต่นางนั้นมีความอดทนไม่มากนักและไม่แน่ว่า แม่ดอกบัวขาวจะแสดงละครฉากนั้นอีก นางต้องขาดสติจนพลั้งลงมือสังหารคนแน่ “โมโหหรือ” ข้างกายนางยังคงเป็นจื่อรุ่ยหยาง เหตุใดช่วงนี้หลีหนิงหนิงบังเอิญพบเจอคนผู้นี้บ่อยครั้งนัก “ไปให้ไกลจากข้า” นางขับไล่น้ำเสียงดุ ๆ หากอีกหน่อยแม่ดอกบัวขาวมาพบเข้าคงเป็นเรื่อง ทว่า…ดีเช่นกัน ใบหน้าของหลีหนิงหนิงงยิ้มแย้มอารมณ์ดี นางเงยมองจื่อรุ่ยหยางที่สูงกว่าไม่ถึงคืบ “ชอบข้าแล้วหรือ” “กับผีน่ะสิ” จื่อรุ่ยหยางพลันตกใจ เขาไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าสตรีผู้นี้แท้จริงแล้วมีนิสัยเป็นอย่างไร “เจ้าคิดจะสวมหมวกเขียวให้สามีตนเองหรือไร” เขากัดฟันพูด โน้มใบหน้าสบตาในระยะใกล้ แน่นอนว่าหลีหนิงหนิงก็ไม่หลบนัยน์ตาดุดันคู่นั้นเช่นกัน “หากท่านชมชอบข้านั้นหาใช่เรื่องใหญ่” ว่ากันแล้ว นางพลันความขุ่นเคืองทั้งหมดที่มีในอกเมื่อมีเรื่องสนุก นางขยิบตาหนึ่งที จื่อรุ่นหยางตกตะลึง ตัวแข็งทื่อ “เจ้า!” ไหนเลยบุรุษจะเคยถูกสตรีพูดจาเกี้ยวเช่นนี้ “เจ้าคิดจะทำอันใด” หลีหนิงหนิงมองจื่อรุ่ยหยางเต็มไปด้วยความสนุก
ในบทหนึ่งของนิยายกล่าวไว้ว่า…ทั้งชีวิตของซ่งเสวี่ยนล้วนมีเพียงหลีหลินว่านเป็นที่ปลอดภัยดังนั้นเขาจึงรักฝังใจมิอาจเสื่อมคลายแม้สตรีผู้นั้นจะไม่สนใจก็ตามเขาทะนุถนอมมันมากระมัดระวังทุกอย่างทว่าหลีหลินว่านกับเหยียบย้ำซ่งเสวี่ยนจนแหกสลายอย่างไร้ค่าความรักของซ่งเสวี่ยนเป็นเพียงทางผ่านของหลินว่าน…น่าเสียดายที่รมีบุพเพแต่ไร้วาสนาหลีหนิงหนิงยังคงนั่งเหม่อลอยไม่ขยับกายราวสักครึ่งเค่อและยังคงถอนหายใจหนักอึ้งซ้ำ ๆ เมื่อคืนถอยคำของนางนั้นรุนแรงต่อซ่งเสวี่ยนมากเกินไปสักเล็กน้อยจนตั้งแต่ตอนนี้นางคล้ายมีความรู้สึกว่าเขาหลบหน้านาง“เหอะ! พี่ชายข้าทอดทิ้งคุณหนูหลีเสียแล้ว”ลี่เฉี่ยวยืนกอดอก สายตามองเหยียดด้วยความสมเพช“ลี่เฉี่ยว…” หลีหนิงหนิงจ้องมอง เด็กหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างดีใบหน้าหล่อคมคลายไม่ต่างจากพี่ชายต่างมารดาเลยแม้แต่น้อย แต่นิสัยกับไม่น่าคบเสียเลย“รู้หรือไม่เขาอยู่ที่ใด” หลีหนิงหนิงถามไม่ว่าจะห้องนอน เรือนที่อยู่และห้องอาบน้ำ ตลอดจนทั่วจวนกลับไม่พบแม้แต่เงาของซ่งเสวี่ยน หลีหนิงหนิงเหนื่อยเหลือเกินเหตุใดถึงเป็นบุรุษที่เอาแต่ใจเช่นนี้“เห็นข้าเป็นพวกบ่าวนับใช้ชั้นต่ำพวกนั้นหรือ!” ลี่เฉี่ยว
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น…ซ่งเสวี่ยนย่อมเคยทนหนาว ทนหิวและต้องดิ้นรนใช้ชีวิตท่ามกลางความสนุกของผู้คนตั้งมากมายที่กลั่นแกล้ง“เพราะอันใด” ซ่งเสวี่ยนถามต่อสถานที่แห่งนี้เขาอยู่ได้มาเนินนานหลายปีแล้วเพราะเหตุใดพอมีหลีหนิงหนิงเข้ามาอยู่ร่วมจึงต้องย้ายออก เรื่องเช่นนี้มันไม่มีเหตุผลและไร้ประโยชน์หลีหนิงหนิงมองบุรุษตรงหน้าแวบหนึ่งนางรู้เหตุผลอยู่ในใจว่าเหตุใดซ่งเสวี่ยนถึงไม่เห็นด้วยเรือนแห่งนั้นคือเรือนของมารดาซ่งเสวี่ยน สถานที่แห่งนั้นมีความทรงจำระหว่างชายหนุ่มและมารดาแต่ทว่ากับน่าเศร้าที่นางดันด่วนจากไปก่อนแม้ซ่งเสวี่ยนจะแข็งกร้าวแต่ข้างในเขากับโดดเดี่ยวราวกับกำลังยืนอยู่กลางหน้าผากหลีหนิงหนิงพลันโอบกอดซ่งเสวี่ยน ขอบตาแดงระรื่นทันที “เพราะข้าสามารถปกป้องและเลี้ยงดูท่านได้”ซ่งเสวี่ยนขมวดคิ้วไม่พอใจ ทว่ากับไม่ได้ผลักไสนางออกไป สัมผัสที่อ่อนโยนครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยได้รับจากคนผู้หนึ่งเช่นกันแต่นับวันกับยิ่งห่างเหินราวกับเป็นคนแปลกหน้าหลีหลินว่าน“สตรีเช่นเจ้าน่ะหรือ” สายตามองอย่างเหยียดหยามหลีหนิงหนิงผละตัวออก เงยหน้ามองซ่งเสวี่ยนด้วยความจริงจังพยักหน้า “ใช่!” ข้าเองนี้แหละที่จะคอย
หากไม่ได้ต้องอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกวันเช่นนี้ จื่อรุ่ยหยางก็ยังคงไม่กระจ่างแจ้งว่าแท้จริงแล้วหลีหลินว่านมีนิสัยเช่นไรตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีปีที่แล้วจนกระทั่งวนเวียนพบใหม่ อีกครา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลีหลินว่านพังพินาศตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้จื่อรุ่ยหยางทุกข์ใจไม่รู้จะหันหน้าไม่พึงผู้ใดได้“ข้าเซ็นหนังสือหย่าได้แล้ว”“บอกแล้วอย่างไรข้าไม่หย่า!”พอได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง หลีหลินว่านพลันโมโหไม่มีที่สิ้นสุด “เพื่อให้ได้แต่งงานกับข้าที่ผ่านมาท่านล้วนกีดกันบุรุษอื่นออกไป…” นางยกยิ้ม “พอได้แล้วจึงอยากจะทิ้งข้าหรือ!”เรื่องไปกันใหญ่แล้ว จื่อรุ่ยหยางขมวดคิ้ว “ไม่ใช่หลินว่าน มันเพราะที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยดีต่อข้าเลย”ในในยามนี้เข้าใจแล้วมีบุพเพ…มีวาสนา..แต่ไร้รัก“เหอะ!” หลีหลินว่านยืนกอดอกมองด้วยความสายตาแข็งกร้าว “ท่านไม่มีหากหนีไปจากข้าพ้น!” นางกระแทกเสียงหากจื่อรุ่ยหยางยังไม่ตายก็ไม่มีทางแยกจากนางไปได้ หลีหลินว่านไม่ยอมตกเป็นขี้ปากของพวกคนนางรังเกียจเหล่า นั่นแน่ ชีวิตที่ผ่านมาของนางล้วนเป็นไปดั่งใจหวังแล้วเหตุใดครั้งรี้มันถึงกลับเป็นไปไม่ได้กันซ่งเสวี่ยน!พอนึกถึงบุรุษชื่อของบ
สำหรับซ่งเสวี่ยนแล้วพอเข้าสู่ฤดูเหมันต์เขามักจะปลีกตัวออกไปหลบซ้อนตัวอยู่เพียงผู้เดียวบรรยากาศที่หนาวเย็นจนสั่นสะท้าน หิมะที่โปรยปรายตลอดเวลาโดยไม่มีทีท่าจะหยุดจนทั่วบริเวณโพลนขาว เพียงแวบหนึ่งซ่งเสวี่ยนพลันเห็นเหตุการณ์ในตอนที่ตนเองสามขวบอีกครั้ง“ข้าเกลียดฤดูหนาว” น้ำเสียงทุ้มสถบออกไปหลีหนิงหนิงเอี่ยงใบหน้ามองบุรุษข้างกาย ใบหน้าที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้ออุ่นที่ทำจากขนสัตว์และแก้มนวลที่ขึ้นสีระเรื่อทำให้มองดูน่าเอ็นดูไม่น้อย“ข้าอยากโอบกอดอาเสวี่ยนคลายหนาว พอฤดูใบไม้ผลิข้าอยากดูดอกไม้บานพร้อมกัน” ดวงตาเมล็ดซิ่งวูบไหว“แต่ข้าชอบ” ก่อนที่สายตาจะปรายไปมองหิมะที่ยังคงตกอยู่นอกหน้าต่างมุมปากหนาพลันยกยิ้ม “นับวันยิ่งเกียจคร้าน”ความจริงแล้วนางไม่ได้ชมชอบความหนาวสักนิด เพียงแต่พออากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ที่ไม่ต้องทำอันใด นอกจากนั่งขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมหรืออาภรณ์ขนสักอุ่น ๆ สักผืน“ให้ข้าปิดโรงเตี๊ยมดีหรือไม่” ซ่งเสวี่ยนเสนอ ใบหน้าหล่อเหล่าเต็มไปด้วยความยียวนทั้งสิ้น “พอเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าว่าพวกเราอยู่จวนตลอดไปคงไม่น่าเบื่อนัก”“ไม่” หลีหนิงหนิงปฏิเสธ “ ท่านจะเอาเงินที่มาให้ข้าใช้”นางยอมไม่ได้เ
ในขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เอิกเกริก โดยมีเจ้าบ่าวควบนั่งม้านำหน้าไป ผู้คนมากมายต่างมาชื่นชมมุ่งดูด้วยความรื่นเริงและยินดีให้กับคู่บ่าวสาวที่จัดว่ามีขมวบสินเดิมที่ยาวเหยียดสมศักดิ์คุณหนูหลีจากภรรยาเอกและบุตรชายผู้เดียวของสกุลจื่อมีสมรสมงคลก่อนที่ขบวนจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงหน้าประตูจวนสกุลจื่อที่ถูกตกแต่งประณีตด้วยสีแดงที่สื่อถึงความมงคลจื่อรุ่ยหยางสวมชุดอาภรณ์สีแดงลวดลายมังกรจากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังมาด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ทั้งที่วันมงลงเช่นนี้สมควรจะยิ้มแย้มเบิกบานแต่ใบหน้ากับหมองคล้ำไม่เป็นมงคลเสียเลย“จับมือข้า” เขาพูดขึ้นแผ่วเบาหลีหนิงหนิงสวมใส่อาภรณ์สีแดงเช่นกันเย็บปักด้วยความประณีต เรือนผมถูกมวยขึ้นเป็นทรงอย่างงดงามถูกประดับความมงกุฎหงษ์ที่แสดงถึงสัญญาณเคียงข้างมังกรแม่สื่อตะโกนร้องก้องบอกพิธีการทั่วจวนหนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามคำนับกันและกันทว่าช่างเป็นงานมงคลที่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศของความมงคลเลยแม้น้อย นี่เป็นเคราะห์กรรมของพระเอกผู้นี้หรือไร บนใบหน้าของจื่อรุ่ยหยางไม่หลงเหลือความสุขเลยเป็นงานมงคลที่บรรยากาศหดูจริง ๆช่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ หลีห
พอเข้าสู่ช่วงฤดูชิวเทียนหรือฤดูใบไม้ร่วง โรงเตี๊ยมและบริเวณโดยรอบที่เป็นร้านอาหารพลันครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวหรือจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ใกล้จะมาถึงนี้ในห้อง ๆ หนึ่งยังชั้นสองของร้านมีสตรีผู้หนึ่งนั่งเท้าคางทอดสายตาลงไปมองชั้นหนึ่งเดียวใบหน้าเบิกบานหากโรงเตี๊ยมมีผู้คนครึกครื้นตลอดทั้งปีเช่นนี้ นางคงได้ร่ำรวยเป็นแน่!หลีหนิงหนิงแอบลอบยิ้มในใจ พลางพลิกสมุดรายการของกิจการไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของซ่งเสวี่ยนที่ต้องตรวจสอบนางเพียงอยากทำตัวเป็นภรรยาที่ดีเท่านั้นซ่งเสวี่ยนที่เห็นการกระทำของภรรยาจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เถ้าเนี้ยว่าอย่างไรกิจการของข้าขาดทุนหรือไม่”หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วจึงหันไปถลึงตาใส่เขา บุรุษผู้นี้รู้ทั้งรู้ว่านางไม่เข้าใจแต่กลับเยาะเย้ยกันหรอกหรือ “ไปให้ไกล” นางเอ่ยปากไล่พอวันเวลาผ่านไปนานเข้า พระรองผู้นี้ก็เปบี่ยนไปราวกันคนละคน“เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ” เมื่อเห็นเป็นภรรยาหน้างอไม่พอใจ ผู้เป็นสามีอย่างซ่งเสวี่ยนนั้นก็ต้องสมควรเข้าใจใช่หรือไม่ ว่ากันตามตรงเขาเป็นสามีผู้อื่นคราแรกซ้ำยังดีต่อผู้อื่นไม่เป็นแม้ว่าจะ
จนกระทั่งหลายวันผ่านไปสถานที่จากไปแล้วหลีหนิงหนิงไม่อยากกลับมาเหยียบย้ำอีกด้วยซ้ำ ใบหน้าของนางจึงไม่ค่อยดีอารมณ์ไม่เบิกบานนักซ่งเสวี่ยนปรายสายตาไปมองคนข้างกายแวบหนึ่ง เห็นด็รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ “สินเดิมของเจ้าต้องทวงคืน” แม้ว่า ซ่งเสวี่ยนเองก็ไม่อยากจะหวนกลับมาที่นี้อีกก็ตามแต่ทว่า หลีหนิงหนิงสมควรจะต้องมาทวงของที่เป็นของนางคืนนางเบ้ปากถอนหายใจเบา จากนั้นพูดเบา ๆ “กลับเลยได้หรือไม่”“ไม่” ซ่งเสวี่ยนตอบขณะที่เซินฮูหยินนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางห้องโถง ใบหน้าบึ้งตึงไม่เอ่ยวาจาอันใดถัดไปข้างกันแล้วมีลี่เฉี่ยงนั่งยกยิ้มดูเคลนในใจ“มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่มักอวดตนฉลาด” เซินฮูหยินเชิดหน้าพูดด้วยถ้อยคำเหน็บแนม แม้แต่ปรายสายตามองลูกเลี้ยงและลูกสะใภ้ที่อวดดีนางยังไม่อยากจะมองด้วยเหอะ! ไปได้ไม่นานก็ซมซานกับมาเลียขาแล้วเซินฮูหยินดูเคลนในใจอย่างสมเพช“นี่ไม่ต่างอะไรกับน้ำที่สาดออกไปใช่หรือไม่ขอรับท่านแม่” ลี่เฉี่ยวอยากจะเอาใจมารดาแต่กลับเป็นโง่ที่อวดฉลาดโดยแท้หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วพลันหลุดหัวเราะทันที ช่างประจบสอพลอแต่กลับพูดออมาโดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน “รู้จักเปรียบเปรยย่อมดีไม่น้อย แต
หลีหนิงหนิงชะโชกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างไม่เงาของผู้ใดทั้งสิ้นซ้ำทั่วทั้งจวนมีเพียงแค่ห้องนอนเท่านั้นที่จุดตะเกียงแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่ปลายยามไฮ่ (21.00-23.00) แต่ทั้งนางและซ่งเสวี่ยนต่างไม่มีผู้ใดข่มตานอนหลับได้ หลีหนิงหนิงกับมานั่งเหยียดหลังพิงหัวเตียงดังเดิม สายตาทอดมองบุรุษที่นั่งอยู่ปลายเตียงเงียบ ๆ ผู้เดียว“พอแล้ว” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นทว่าซ่งเสวี่ยนยังคงไม่หยุด เขายังคงนำผ้าชุบน้ำอุ่นผืนหนึ่งมาประคบขาของหลีหนิงหนิงตรงที่บาดเจ็บไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด“หากยังไม่หยุดขาของข้าคงกลายเป็นไก่ย่างแล้ว”บรรยากาศที่กระอักกระอ่วนยิ่งน่ำแย่เข้าไปอีก ซ่งเสวี่ยนหยุดการกระทำซ้ำ ๆ ลงแล้วแต่กลับนั่งนิ่งเฉยไม่ยอมขยับกายหนีหรือแม้แต่หันมาสบตานางหลีหนิงหนิงเห็นแล้วปวดใจนักภายในใจของซ่งเสวี่ยนคงจะเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะวะไม่น้อย เขาถนุถนอมหลีหลินว่านมากับมือแต่กลับเป็นผู้ลงมือทำร้ายเสียเองเหตุผลข้อนี้หลีหนิงหนิงเข้าใจได้“ขยับให้ใกล้ข้าหน่อย” หลีหนิงหนิงออกคำสั่งสายตาเมล็ดชิ่งมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าตาปริบ ๆ ฉายแววความห่วงใย หลีหนิงหนิงตัดสินใจเป็นฝ่ายขยับกายเข้ามาแทนแม้จะรู้สึกปวดระบมที่ข้อเท้าจ
ยามนี้ใบหน้าของหลีหลินว่านเปราะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนวลมองดูแล้วช่างน่าสงสารไม่น้อย แต่นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกับแข็งกร้าวไม่ยอมโอนอ่อน มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่ด้วยความโกรธ ร่างทั้งร่างสั่นทึ่มด้วยความโกรธ“ข้าจะถามท่านอีกคราซ่งเสวี่ยน!” น้ำเสียงของนางดังก้อง “ระหว่างข้ากับหลีหนิงหนิงท่านจะเลือกผู้ใด”ซ่งเสวี่ยนมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย ทว่ามีกลิ่นอายสังหารแผ่ซ่านจนอึดอัดไม่น้อยที่ผ่านมาราวกับนางไม่มีใช่หลีหลินว่านที่เขารู้จัก“เจ้ากลับไปก่อนเถอะหลีหลินว่าน” หลีหนิงหนิงเอ่ย สถานการณ์เริ่มย้ำแย่กว่าคิดไว้นางเพียงเกรงว่าซ่งเสวี่ยนจะพลั้งลงมือทำร้ายจริง ๆ เมื่อหลีหลินว่านยังคงพร่ำพูดพรรณาไม่หยุดราวกับเรื่องทั้งหมดมิใช่ความผิดของนางเอง“เจ้าตบหน้าข้า! ทำร้ายข้า! คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ งั้นหรือหลีหนิงหนิง”เอาความผิดของคนเองมาโยนใช่ผู้อื่น ช่างเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุดหลีหนิงหนิงขมวดคิ้วมุ่นใบหน้าไม่สู้ดีนัก สตรีตรงหร้าเสียสติเป็นบ้าไปแล้ว “ออกไปก่อนที่ข้าจะทำร้ายเจ้าไปมากกว่านี้” นางกัดฟันพูดท่าทางเกรี้ยวกราด“ได้ยินหรือไม่ซ่งเสวี่ยน! ว่าหลีหนิงหนิงนั้นร้ายกาจเพียงใด
พอยามพลบค่ำหลีหลินว่าพลันยืนอยู่หน้าจวนหลังหนึ่ง เสียแล้ว ดวงตาเมล็ดซิ่งสอดส่องไปทั่วจวนแต่กลับมืดมิดไร้แสงเทียนส่องไสวจนอดคิดไม่ได้ว่าถูกเซินฮูหยินหลอกลวงเข้าแล้วแต่ถึงแบบนั้นนางก็มิอาจปล่อยให้ซ่งเสวี่ยนอยู่ร่วมกับหลีหนิงหนิงได้ อีกต่อไปไม่มีทางที่ซ่งเสวี่ยนจะไม่เลือกนางและเฉยชาต่อนาง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้างหลังนางหนึ่งก้าวมีซ่งเสวี่ยนเสมอมาเรื่องที่ซ่งเสวี่ยนมีใจต่อหลีหนิงหนิงญาติผู้น้อง หลีหลินว่านจึงเกียจชังไม่ยอมรับ เขาสมควรคะนึงหานางผู้เดียวเท่านั้น!หลีหลินว่านตั้งสติให้สงบจิตใจลงเมื่อเจอหน้าแล้วค่อยพูดคุยอย่างใจเย็น ซ้ำยังพร่ำบอกตนเอง ที่นางลงมือทำเช่นนี้เป็นเพียงเพราะหวังดีกับซ่งเสวี่ยนหาได้ไม่ชมชอบที่เขามีภรรยาช่วงตลอดทั้งวันนี้ท้องฟ้าอึ้มครึ้มพลันฝนตกกระหน่ำไม่หยุดสักที กว่าจะได้กลับจวนก็ยามพลบค่ำแล้วโชคดีนักที่จวนหลังนี้และโรงเตี๊ยมอยู่ไม่ห่างกันมากนัก หลีหนิงหนิงจึงเดินกลับมาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนซ่งเสวี่ยนบุรุษผู้นั้นหรือ…ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงต้องการพูดคุยกับจื่อรุ่ยหยางเพียงสองคนเท่านั้นนางเองก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หลีหนิงหนิงจึงไม่รอ“หลีหนิ
จื่อรุ่ยหยางยกน้ำแกงขึ้นมาดื่มจดหมด ใบหน้าฉายแววเหนื่อยล้าเต็มส่วนพลันดีขึ้นเล็กน้อย อาการเมามายสุราจาก เมื่อวานยังคงอยู่ทำเอาแทบแย่หลังจากตื่นนอนทว่ายังโชคดีที่ได้น้ำแกงแก้สางเมาอุ่น ๆ ช่วยไว้ “นางเคี่ยวเองหรอกหรือ” สายตาจ้องมองบุรุษตรงหน้าที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่“เหตุใดนางต้องทำเช่นนั้นเพื่อเจ้า” ซ่งเสวี่ยนย้อนถามกลับ จากนั้นจึงหันหลังมามองสายตาเต็มไปด้วยความเย็นชาจื่อรุ่ยหยางได้ยินแล้วจึงไม่เข้าใจ “ก็นางเป็นสหายข้าอย่างไรเล่า” ว่ากันตามตรงแล้วเขาเพียงอยากเอ่ยขอบคุณเท่านั้น“นางเป็นภรรยาของข้าหาใช่สหายรักของเจ้า” ซ่งเสวี่ยนกัดฟันกรอด ถึงอย่างไรบุรุษและสตรีจะนับถือกันเป็นสหายได้อย่างไรเรื่องนี้เขาไม่เห็นด้วย!จื่อรุ่ยหยางขมวดคิ้ว แค่นเสียงในใจ บุรุษผู้นี้เป็นอันใดไปแล้วหรือ…เมื่อวันเขายังดื่มสุรายกไหชนจอกกับนาง พูดคุยถูกปากถูกคอเช่นนี้หาไม่นับเป็นสหายจะเป็นอันใดไปได้“ฮูหยินของเจ้าจะเป็นสหายข้าไม่ได้เช่นนั้นหรือ”“ไม่มีทาง!” เขาคัดค้านไม่เห็นด้วยซ่งเสวี่ยนขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าหล่อคมคายเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่สู้ดี เมื่อลองคิดดูแล้วหากมีบุรุษอื่นมาข้องเกี่ยวกับ หลีหนิงหนิงเขาคงพลั้งคงมื